“ค่ะ ได้ค่ะ...แพงเต็มใจ”
หญิงสาวยิ้มกร่อยๆ น้ำตาเอ่อเต็มหน่วยตา...จะอายุสั้นลงก็ช่างปะไร...เมื่อเธอมีที่ยึดเหนี่ยวใจ คือบิดาเพียงผู้เดียว
“คุณพยาบาลเอาเอกสารมาให้คุณเขาเซ็นยินยอมด้วยล่ะ หมอขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อน ส่วนคนไข้รายนี้ก็ย้ายเข้าไปในห้อง ICU เลย จนกว่าอาการจะดีขึ้น”
ท่านร้องสั่งพยาบาลประจำตัว ฉวยหูฟังคล้องคอ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อตรวจอาการคนไข้รายอื่นๆ
พยาบาลสาวยิ้มให้กำลังใจ เธอค้นเอกสารมายื่นให้พะแพง...เพื่อทำความเข้าใจ
พะแพงทำความเข้าใจกับเอกสารอยู่นาน เธอลงมือเซ็นเมื่ออ่านจนจบ ผู้รับผลประโยชน์คือบิดา แม้เธอจะต้องเสียอวัยวะชิ้นหนึ่งไป แลกกับการให้บิดามีอายุยาวนานขึ้น
หญิงสาวเดินตัวลอยออกมาจากห้องนายแพทย์ผู้นั้น สมองเธอยังหมุนคว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวกับที่พึ่งพาทางใจ
“แพงๆ เป็นไงบ้าง หมอว่าไอ้คล้ายมันเป็นอะไรเหรอ?”
เชิดชาย กับทัดเทพ ยืนหน้าซีดอยู่ด้านนอก เมื่อเขาสองคนเห็นคล้ายถูกเข็นเข้าไปในห้อง ICU
“พ่อเป็นโรคไตค่ะ ยังไม่วาย แต่ก็เฉียดๆ ต้องรีบเปลี่ยนเร็วที่สุด”
พะแพงตอบ เธอมองประตูห้อง ICU ตาละห้อย อยากเข้าไปให้กำลังใจบิดา แต่ก็ต้องรอเวลา เพราะห้องนั้น เปิดให้ญาติเข้าเป็นช่วงๆ เนื่องจากไม่อยากให้บุคคลภายนอกรบกวนอาการผู้ป่วย
“ตายโหง...เห็นดีๆ แข็งแรง ไม่คิดว่าจะทรุด” เชิดชายคราง
“แล้วจะเอาไงล่ะแพง?” ทัดเทพรีบถาม หากอาการหนักแบบนี้ พะแพงจะเป็นอย่างไร
“หมอแนะนำให้เปลี่ยนไตจ้ะ แต่ต้องตรวจความพร้อมของพ่อกับแพงก่อน”
หญิงสาวตอบตามจริง ทัดเทพขมวดคิ้ว พอจะเข้าใจว่าต้องตรวจคนป่วย แต่พะแพงเกี่ยวอะไรด้วย?
“แล้วตรวจแพงทำไมล่ะ หรือว่า...” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ปากเขาพะงาบขึ้นๆ ลงๆ มองพะแพงแบบเหลือเชื่อ
“อะไรวะไอ้ทัด?” เชิดชายหันมาสะกิดทัดเทพ ไอ้หนุ่มรุ่นลูก ที่ทำยักท่าขยักคำพูดเสียแบบนั้น
“แพงบอกว่าลุงคล้ายต้องรีบเปลี่ยนไต สมัยนี้นะลุง คนบริจาคร่างกายนะแทบจะไม่มี ถ้ารอคิวก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร แต่ถ้าหากว่า...ลูกหลานบริจาคให้เองจะเร็วขึ้น” ทัดเทพอธิบายเท่าที่รู้ เชิดชายหันมามองหญิงสาวตัวเล็ก ด้วยความซาบซึ้งใจแทนเพื่อนร่วมงาน ที่มีลูกเหมือนอภิชาตบุตร ยอมเสียสละสิ่งสำคัญในตัวเพื่อยื้อลมหายใจบิดา
“ดีใจแทนคล้ายมันนะแพง เจริญๆ เถอะแม่คุณ”
เชิดชายสรรเสริญพะแพง หญิงสาวยิ้มเศร้า...ไม่ได้คิดห่วงตัวเอง ห่วงแต่คนที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง ICU แทน
“บอกไอ้พายมันด้วยล่ะ เผื่อ...”
เชิดชายไม่ได้พูดเพื่อบั่นทอนกำลังใจ แต่ต้องการเตือนให้พะแพงรู้ เธอยังมีพี่ชาย ไม่ใช่ตัวคนเดียวบนโลก...
“พี่กับลุงคงต้องกลับก่อน ค่ำๆ ถึงจะมาได้ใหม่ ช่วงนั้นเขาคงเปิดให้เยี่ยม”
ทัดเทพกล่าว ภาระหน้าที่ค้ำคอ ทำให้อยู่เป็นกำลังใจให้พะแพงนานไม่ได้
“แพงก็ต้องกลับไปเก็บร้าน...วันนี้คงไม่ได้ขาย...” หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ
เดินตามสองหนุ่มต่างวัย เพราะต้องอาศัยรถยนต์ของเชิดชาย เพื่อกลับไปเก็บแผงขายของ เตรียมเสื้อผ้ามานอนเฝ้าบิดา...
เสียงถามเซ็งแซ่รอบตัว พะแพงยิ้มเศร้าๆ ก่อนตอบ รู้สึกเต็มตื่นกับความห่วงใยของคนรอบตัว...
“พ่อยังไม่ฟื้นค่ะอยู่ ICU แพงคงต้องไปนอนเฝ้า”
เธอตอบทุกคำถาม เมื่อเสียงถามเหล่านั้นเพราะพวกเขาเป็นห่วง มือเล็กๆ ก็หยิบจับข้าวของที่กองไว้เก็บลงกล่อง เพื่อจะลำเลียงกลับบ้าน...
“เก็บร้านทำไมล่ะแพงเอ๋ย...กว่าห้อง ICU จะเปิดก็2 ทุ่ม ขายๆ ไปก่อนลูก เก็บสตางค์ไว้เป็นทุนดีกว่าเสียของ ไม่หมดยังไงเดี๋ยวฝากพวกป้าขาย...เราต้องใช้เงินลูก...ทำๆ ไปก่อน”
เสียงท้วงจากป้าขายไก่ทอด หญิงสาวชะงัก แต่เธอคงไม่มีแรงใจที่จะขายของ เมื่อเป็นห่วงบิดาสุดใจ
“ป้ารู้ แต่เราต้องใช้เงินลูก...”
พะแพงตัดสินใจ เธอหยุดเก็บของ จุดไฟในเตา ปั้นทอดมันหย่อนใส่กระทะ เริ่มต้นการขายของใหม่ แม้หัวใจจะหนักอึ้ง สีหน้าเธอซีดๆ กระบอกตาร้อนผ่าว...สูดจมูกบ่อยๆ เพื่อกลั้นสะอื้น วันนี้จึงเป็นวันที่พะแพงเศร้าจัด แม้จะยังยิ้มได้ แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่กร่อยเต็มทน
19:00 นาฬิกา พะแพงตัดใจเก็บร้าน ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาทำเงิน ลูกค้าในชุมชนที่เพิ่งจะเลิกงาน เริ่มเดินกันหนาตาขึ้น แต่...เธออยากเห็นหน้าบิดา อยากรู้อาการของท่าน จึงจำใจเก็บของ ฝากทอดมันที่ยังขายไม่หมดไว้กับป้าขายไก่ทอด ซึ่งนางก็รับอาสาด้วยความเต็มใจ พร้อมกับให้กำลังใจพะแพง เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง...
หญิงสาวลำเลียงแผงขายของกลับไปยังบ้านตัวเอง เธอเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ที่เดิม รีบจัดแจงล้างหน้าทาแป้ง เข็นรถจักรยานยนต์ออกมาจากข้างบ้าน สตาร์ทเครื่องยนต์ พาตัวเองไปยังโรงพยาบาล ด้วยหัวใจที่กระวนกระวาย...
มีเพื่อนรวมชะตากรรมนั่งรอที่หน้าห้อง ICU กันหนาตา มีทั้งคนสูงอายุ เด็กเล็ก เด็กโต พวกเขามาเฝ้ารอเวลาที่ประตูห้องจะเปิด รวมถึงพะแพงด้วย...
หญิงสาวนั่งกุมมือ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมเต็มอุ้งมือ เธอจ้องมองประตูหน้าห้อง ICU พร้อมกับความหวัง
แกร็ก...
นางพยาบาลดันประตูให้เปิดออก หญิงสาวถลาลุกขึ้นยืน พยายามเดินแทรกกลุ่มคนเข้าไปด้านใน พร้อมกับกวาดตามองหาบิดาไปด้วย
น้ำตาแทบร่วง...เมื่อแรกเห็นบิดา ท่านนอนอยู่บนเตียง พร้อมกับสายระโยงระยางของอุปกรณ์ช่วยยื้อชีวิต
พะแพงถลาเข้าไปใกล้ เธอเกาะขอบเตียง น้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ ไร้เสียงสะอื้น มีแต่อาการสั่นไหว มือเรียวบางสั่นเทา เอื้อมกุมมือผอมบางของบิดาไว้ “พ่อจ๋า แพงมาแล้ว พ่ออย่าเป็นอะไรนะ”
น้ำเสียงสั่นพร่า น้ำตาไหลรินไม่หยุด เธอสูดจมูกแรงๆ กลั้นเสียงสะอื้น มองบิดาด้วยสายตารวดร้าว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พะแพงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เธอจะไม่มีวันยอมให้ท่านทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้...
หญิงสาวพยายามยิ้ม บอกตัวเองย้ำๆ ให้สู้ไว้...หากเธอหมดกำลังใจ แล้วใครล่ะจะเข้มแข็ง
แม้บิดาจะยังไม่ฟื้น...แต่ท่านก็ยังมีลมหายใจ พะแพงก็ยังมีความหวัง 1 ชั่วโมงกับความรวดร้าว ที่ทำได้แค่เฝ้ามอง และส่งผ่านกำลังใจให้คนนอนไม่ได้สติ หัวใจพะแพงแทบจะขาดรอนๆ เธอพร่ำภาวนา ร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิอย่าเพิ่งเอาพระในชีวิตของเธอไป
หญิงสาวเดินคอตกออกจากห้องICU เมื่อหมดเวลาเยี่ยม...พะแพงทรุดตัวนั่งนิ่งๆ บนเก้าอี้ริมทางเธอยังตัดใจกลับบ้านไม่ได้ แม้จะรู้ว่าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่เพราะยังไม่อยากอยู่ห่างจากท่าน จึงยังนั่งมองเหม่อไปยังประตูห้อง ICU เหมือนจะบอกกับบิดาว่าเธอไม่มีวันถอยหนีไปไหน
โทรศัพท์เครื่องเล็กราคาถูกถูกล้วงออกจากกระเป๋ากางเกง หญิงสาวชั่งใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจแจ้งให้พี่ชายคนเดียวรู้เรื่องร้ายๆ นี้
เสียงสัญญาณดังติดต่อกันอยู่ประมาน1 นาทีก่อนจะถูกตัด...หญิงดึงโทรศัพท์ออกห่างๆ หู มองหน้าจอด้วยความมึนงง ปลายนิ้วเรียวสวย กดหมายเลขเดิมซ้ำอีกครั้ง และนิ่งฟังเสียงสัญญาณที่ยังดังติดต่อกันแล้วก็ถูกตัดเหมือนเดิม...
พะแพงขมวดคิ้ว...ก่อนจะตัดใจ งานของพะนายคงกำลังยุ่ง เธอไม่ใคร่รู้เนื้องานของพี่ชายสักเท่าไร รู้แค่ว่า พะนายทำงานเหมือนเป็นการ์ดให้กับคนร่ำรวยคนหนึ่ง...คอยดูแลและอารักขา...ตัวติดกันไปทุกที่ มันได้เงินดี แต่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย นานนับเดือนแล้วที่พะแพงยังไม่ได้พบเจอกับพี่ชาย มีแค่เงินเดือนที่พะนายโอนเข้าบัญชีให้ เมื่อสองพี่น้องช่วยกันเก็บสะสมเงิน ไว้สำหรับ ‘บ้าน’ หลังน้อยในฝัน
“พี่นาย พ่อ...”
หญิงสาวรำพันเสียงแผ่ว...เสียงเธอขาดหายไป เพราะกลั้นสะอื้น
พะแพงนั่งอยู่ตรงนั้น จนคนทยอยหายไปเกือบหมด บางคนหลบมุมนอนซุกอยู่ข้างทาง เพราะคงไม่อยากห่างคนที่เขารัก แม้จะลำบากลำบนก็ยอมทน หญิงสาวตัดใจลุกขึ้นยืน...เธอเหลือบมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือ ลมหายใจถูกพ่นออกมาแรงๆ แค่ประเดี๋ยวเดียว เวลาผ่านไปนานโข จวนจะล่วงเข้าวันใหม่เต็มทน...
“พ่อจ๋า แพงกลับบ้านก่อนนะ เช้าแพงจะรีบมา...”
หญิงสาวเปรยฝากสายลม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบิดาจะรับรู้
แม้จะไม่อยากถอยห่างไปจากตรงนี้เลย...แต่หากยังนั่งอยู่ ก็คงช่วยอะไรบิดาไม่ได้ แถมยังเกะกะขวางทางคนอื่นๆ ด้วย
สายลมเย็นฉ่ำพัดผ่านใบหน้า แล้วก็เลยผ่านไป เมื่อพะแพงควบรถจักรยานยนต์คู่ใจกลับห้องเช่าของตัวเอง ถนนตอนกลางคืนแทบจะร้างรารถยนต์ มีไฟฟ้าสว่างพอสมควร แต่ก็ช่วยให้ผู้หญิงตัวคนเดียวอุ่นใจขึ้น เธอขับรถด้วยความเร็วคงที่ ไม่ช้าและก็ไม่เร็วเกินไป เกือบ10 นาทีที่เธออยู่ตัวคนเดียวบนท้องถนน จนกระทั่งถึงชุมชนแออัดที่ตัวเองพักอาศัยอยู่ ร้านค้าข้างทางก็ยังมีบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับช่วงเย็นๆ...
หญิงสาวขมวดคิ้ว ยกมือเปิดฝาครอบของหมวกกันน็อค เมื่อรถจักรยานยนต์เคลื่อนที่เข้าใกล้ตัวห้องเช่า แสงไฟฟ้าตรงบ้านเธอสว่างมากกว่าปกติ!! มีคนชุมนุมกันหนาตา มีเสียงดังโครมคราม พร้อมกับสิ่งของที่กระจายเกลื่อนเต็มพื้น
เกิดอะไรขึ้น!!
ใคร? ทำอะไรกับบ้านของเธอ...
บทที่2.ผู้ชายใจดำที่ไม่ต่างอะไรกับพญามัจจุราช!! พะแพงกระโจนลงจากรถจักรยานยนต์แบบไม่กลัวเจ็บ เมื่อสิ่งที่เธอเห็นน่าตระหนกมากกว่า “แพงๆ ไอ้พวกนี้มันรื้อของในบ้านแพงออกมาโยนทิ้งไว้อะ ใครกันเหรอ?” เสียงถามรอบตัวดังลั่น พะแพงส่ายหน้า เธอแน่ใจว่าไม่รู้จักใครในกลุ่มคนนั่น สักคนเลย หญิงสาวเม้มปากแน่น เธอมองแผ่นหลังเหยียดตรงของผู้ชายที่ยืนชี้นิ้วสั่ง...เบื้องหน้ากับฝูงผู้ชายวัยฉกรรจ์ เสียงของเขาดังลั่น แฝงแววอำมหิตจนขนแขนของเธอลุกเกรียว “ขนออกมาให้หมด...หึ!! มีแต่ขยะ ให้มันรู้ไปว่ามันจะมุดหัวหลบซ่อนตัวอยู่ได้อีก!!” หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ เขาโกรธแค้นอะไรกับครอบครัวเธอนักหนา ถึงได้ใจร้ายใจดำเช่นนี้ ใช่...สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นหิ้วมาโยนทิ้ง...มันอาจจะเป็นขยะในสายตาเขา...แต่สำหรับเธอมันคือสมบัติทางใจ ไม่ว่าจะเป็นตำราเก่าๆ หรือแม้แต่หม้อ ไห กระทะ ที่เก่ากึก แต่มันอยู่กับเธอมาตั้งแต่จำความได้ “หยุดนะ!! คุณต้องการอะไรกับฉันกันแน่ นี่บ้านฉันเองค่ะ และถ้าหากคุณยังไม่หยุดทำบ้าๆ นี่ ฉันจะแจ้งความ” หญิงสาวตะโกนลั่น เสียงดัง
บทที่3.รอยราคีที่ต้องจำจนวันตาย “เธอแน่ใจนะว่าจะไม่เปลี่ยนใจทีหลัง...” ภาคินถามย้ำ เขาไม่ใคร่แน่ใจ หากหล่อนบิดพลิ้วขึ้นมาเหมือนกับพี่ชาย เขาจะอารมณ์เสียหนักขึ้น “ค่ะ...” พะแพงเชิดหน้าขึ้น เธอยอมรับความอดสูไว้ เพื่อต่อลมหายใจและทางเลือกให้พะนาย “ดี!!” ชายหนุ่มกระแทกเสียงหนักๆ เขาเดินปึงๆ ออกไปจากบ้าน พร้อมกับตะโกนเสียงลั่น “พาหล่อนไปหากูที่คอนโด กูจะไปอาบน้ำรอ แล้วถ้าหาไอ้พะนายเจอ จับเป็นมัน!! กูอยากเห็นหน้ามันก่อน” ใครจะคิดว่าบ้านเมืองที่มีกฎหมายคุ้มครอง จะมีคนบางคนใช้ศาลเตี้ย ตัดสินด้วยกำลัง เป็นอิทธิพลมืดที่พะแพงเองก็เพิ่งจะเคยเห็น เธอเคยได้ยินแค่เสียงเล่าลือ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับมันแบบที่ไม่สามารถเลี่ยงได้... “ครับ” เสียงรับคำแบบพร้อมเพรียง พะแพงทรุดฮวบ เธอร่วงลงไปกองที่พื้น แล้วก็มีผู้ชายหน้าดุเยี่ยมหน้าเข้ามามอง “อย่าลีลา เธอมีเวลาแค่10 นาที อย่าให้ถึงกับต้องลากไป” เป็นคำขู่ที่หญิงสาวสะท้านถึงทรวง... พะแพงสูดลมหายใจลึกๆ ไหนๆ เธอก็ตัดสินใจไปแล้ว ช่วงเวลาเลวร้ายจ
บทที่4.เพียงสายลมพัดผ่าน... เป็น ‘จูบ’ แรกที่หญิงสาวได้รู้จัก มันไม่ได้เริ่มต้นดีนัก เพราะมันเกิดขึ้นจากความจำยอม... แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด!! นับว่าภาคินมีฝีมือเชี่ยวพอตัว เขาสามารถโน้มน้าว ทำให้คนที่นอนแข็งเป็นท่อนไม้ หลงเคลิ้มไปกับสัมผัสแผ่วๆ นั่นได้ ‘จูบ’ สิ่งที่สาวๆ วัยแรกรุ่นส่วนใหญ่เคยนึกฝันยามค่ำคืน...พวกหล่อนอยากอยู่ในอ้อมกอดของใครสักคน? ใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่ที่พะแพงกำลังผจญอยู่นี่... มันกลับเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ซ่านเสียวและทรมานจนหญิงสาวนึกหวั่นกลัว มันต่างกับที่เธอเคยฝันหวานไว้ ‘จูบ’ ไม่ได้อ่อนหวาน แต่มันกำลังทรมานเธอแทบจะขาดใจตาย...กำหนัดรุ่มร้อน ตามประสาหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่ที่ทำให้ภาคินแปลกใจ เขาทำเหมือนคนอดอยาก...ตะโบม ‘จูบ’ หล่
ยอดอกสีสดถูกอุ้งปากร้อนชื้นอ้างับ เขาครอบครอง ดูดซึมความหวานฉ่ำชื่น ขยำขยี้ บีบบี้ความเต่งตึงนุ่มหยุ่นเคล้นคลึงด้วยความพอใจ ความรู้สึกหวามไหวไหลปร่า แผ่กระจายทั่วทุกตารางนิ้วบนผิวกาย เธอรู้สึกสยิวซาบซ่าน ทุกครั้ง...ยามที่ถูกโลมลูบด้วยฝ่ามือร้อนระอุ!! ร่างกายของเธอแทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ๆ ลูบไล้สัมผัส ให้ตายเถอะ!! เธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกกระสันซ่านได้ถึงเพียงนี้ ความรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต...กระแสไฟอ่อนๆ นั่นวิ่งพล่านทั่วทั้งตัว มันจุดประกายบางอย่างที่เธอไม่เคยรู้ และมันกำลังทำให้เธออยากรู้ในสิ่งต่อไปที่กำลังจะมาถึง!!“อืมมมม...”เสียงครางผะแผ่ว ดังรอดออกมาจากกลีบปากที่เม้มแน่น ภาคินยิ้มเหยียดๆ มุมปาก เขาพรมจุมพิตหนักๆ ใต้ฐานอกอวบ ลากปลายลิ้นเปียกๆ ลงต่ำ พร้อมทั้งสูดกลิ่นความหอมหวานของเนื้อสาวจนเต็มปอด...ลูบไล้ผิวกายนุ่มนิ่มปลุกกระแสเลือดในกายของหญิงสาวให้เดือดพล่านเพิ่มมากขึ้นมือร้อนไล้วนเหนือแผ่นท้องราบเรียบ ปลายนิ้วเรียวสวยวนรอบแอ่งสะดือบุ๋มชวนชิดเชย ไถลเรื่อยไปยันเอวคอดกิ่วกับสะโพกผายเต็มตรึง!! พะแพงสะดุดลมหายใจตัวเอง เธอกลั้นห
บทที่5.นกปีกหัก... โครม!! หญิงสาวผวา เธอได้ยินเสียงดังปึงปัง...จากภายนอก จนกลั้นความอยากรู้ไม่ได้ เธอแง้มประตูห้อง...เพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนั้น...หญิงสาวตะลึงตาค้าง... ที่ถูกหิ้วปีกจากชายสองคนนั่น...คือพะนายพี่ชายเธอไม่ใช่เหรอ? พะแพงดันประตูพรวด เธอถลาเขาไปยืนขวางหน้าภาคิน ดวงตากลมโตไหวระริก แต่เด็ดขาด...เชิดหน้าขึ้นท้าทายกับเขา เสียงสั่นๆ ผ่านริมฝีปากบวมเจ่อ “คุณบอกว่าจะปล่อยพี่นายไปไงคะ!!” นัยน์คมดุถมึงทึง...เขากราดตามองหญิงสาวตรงหน้า แล้วจึงถอนลมหายใจพรวดๆ... “กลับเข้าไปอยู่ในห้องเลยพะแพง...”&nbs
“เจ้านายไม่เคย ‘รัก’ ใคร เจ้านายไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผมกับคุณอรหรอกครับ” แม้จะถูกกระทำ ถูกกดต่ำยิ่งกว่าผิวดิน แต่ความนับถือที่พะนายมอบให้ภาคินยังเหมือนเดิม ถึงความเห็นจะไม่ลงรอยกัน “หึ!! ไอ้นายอย่าว่ากูสอนเลยนะ ‘ความรัก’ ที่มึงอ้าง มันกินไม่ได้ว่ะ และมันไม่มีอยู่จริง ตอนนี้ยัยอรหลงมึง เพราะหลานกูยังเด็ก แต่รอให้ยัยอรโตกว่านี้เถอะ รับประกัน... แม้แต่หางตายัยอรก็ไม่แลมึง” ชายหนุ่มบริภาษ...เขากรรโชกเสียงห้าว ในมุมมองของภาคิน...ความรัก...เป็นความรู้สึกที่สัมผัสไม่ได้ ถึงมีคุณค่ากับใจ แต่ไม่จำเป็น...เมื่อยังมีหลายสิ่งมากมาย ที่สำคัญกว่า ความรู้สึกไร้ค่าเช่นนั้น พะนายเม้มปาก เขาเถียงภาคินไม่ได้ เมื่อแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยมั่นใจ ว่าความรักระหว่างวลัยอร กับตัวเองจะสมหวัง เมื่อมันแตกต่างกันเกินไป
สองคนพี่น้องหอบสังขารสะบักสะบอมไม่ต่างกันเดินออกมาจากสถานที่โอ่อ่า มีสายตาหมิ่นๆ มองตามมาตลอดทาง เมื่อสภาพร่างกายของคนทั้งคู่น่าสังเวชเหลือทน... พะแพงเดินเท้าเปล่า เธอไม่มีแม้แต่รองเท้า... พะนายเองก็ย่ำแย่ เขามีร่องรอยบาดเจ็บไปทั้งตัว มีแต่คราบเลือด กับความบอบช้ำ “พี่นาย...แพงไม่มีสตางค์เลย...พี่นายพอมีมั้ย?” หญิงสาวเอ่ยถามพี่ชายเสียงสั่น เธอกัดกระพุ้งแก้มมองตรงไปยังเบื้องหน้า พยายามไม่ใส่ใจสายตาหลายคู่ที่มองมายังเธอ “ยะ อยู่ในกระเป๋ากางเกง...” พะนายกัดฟันพูด เขาเจ็บร้าวไปทั้งกระบอกตา “เราต้องกลับบ้านก่อน ค่อยไปโรงพยาบาล”
บทที่6.เส้นทางใหม่กับหัวใจนักสู้... “พี่นายแพงไปก่อนนะเจอกันเย็นๆ พี่นายนอนพักไปก่อนเถอะ ให้ทำแผลก็ไม่ยอมทำ” หญิงสาวบ่นพี่ชาย ในขณะที่ตัวเองก็บาดเจ็บไม่ต่างกัน พะนายเจ็บที่ตัว แต่พะแพงเจ็บร้าวไปทั้งหัวใจ “แพง...ที่คุณภาคินพูดหมายความว่าไง?” พะนายรั้งแขนน้องสาวไว้ ก่อนที่เธอจะเดินหนีไปอีกทาง... พะแพงชะงัก เธอเม้มเรียวปากแน่น... “ก็อย่างที่เขาพูด ไม่อย่างนั้นพี่นายคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้” พะนายเม้มปาก เขาเผลอกดแขนบางของพะแพงแรงๆ จนหญิงสาวร้องลั่น “โอ้ย!! พี่นาย แพงเจ็บ” “โทษทีๆ แพง...พี่ขอ
“แพง” เสียงของภาคินแหบปร่า ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดอยู่หลังใบหูนั่นอีก มันทำให้หญิงท้องแก่หัวใจระทวย“ขา...” เสียงหวานขานรับ ภาคินยิ้มเครียด เขาเตรียมพร้อมศึกษาความเป็นไปได้มาก็จริง แต่ยังไม่กล้าลงมือ เพราะห่วงคนตัวเล็กจะไม่พร้อม“ฉันๆ” คนกล้าแกร่งเกิดหัวหดขึ้นมาแบบนั้น เขามองเนินท้องนูนๆ ของพะแพง ก่อนจะถอนใจดังเฮือกๆใบหน้าร้อนผ่าว ผิวแก้มซับสีระเรื่อ เมื่อทำใจกล้า เอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่ชักกลับ เหมือนกับว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก เขาเกิดปอดขึ้นมาดื้อๆ เธอจับมือของภาคินวางบนเนินหน้าท้อง ตอนที่ทิ้งตัวนั่งบนขอบที่นอน“ลองจับดูสิคะ”เสียงของพะแพงสั่นพร่าไม่ต่างจากภาคินเลย“ฉันๆ” ชายหนุ่มกระอึกกระอัก เขาไม่ได้ต้องการสัมผัสเพียงแค่นี้ เขาอยากชื่นชมพะแพง แม้ว่าหล่อนจะไม่เหมือนเดิม แต่ไม่ว่ายังไง ในสายตาของภาคิน พะแพงก็งดงามเสมอหญิงสาวยิ้มหวาน ริมฝีปากสั่น เมื่อเลื่อนฝ่ามือร้อนผ่าวนั่นมาที่เนินอกตนเอง“แพงเจ็บตรงนี้จังคุณคินดูให้หน่อยได้มั้ยคะ”ชายหนุ่มเง
ภาคินยิ้มกว้าง...คืนนี้เขาคงไม่ต้องนอนตาค้าง...เพราะเขามีเป้าหมายสำคัญอังกฤษ... ภาวนามองพะนายตาประหลับประเหลือก...นางเบ้ปากให้คู่รักของบุตรสาว ไอ้ผู้ชายที่เคยเกือบทำให้วลัยอรหมดอนาคต วันนี้พะนายพิสูจน์ให้เห็นถึงความมั่นคง...และความพยายามของพะนายเอง ก็ทำให้นางทึ่ง!! จนต้องยอมลงให้...ว่าที่บุตรเขย...เพราะบุตรสาวที่เคยเชื่อฟังและหัวอ่อน เริ่มมีข้อโต้แย้ง เหตุผลของวลัยอรเองก็ทำให้นางแย้งไม่ได้เช่นกัน ‘แม่เคยรักใครมั้ยคะ?’ เป็นคำถามที่นางไม่สามารถตอบได้ เมื่อชั่วชีวิตของภาวนา นางไม่เคยรู้จักคำนั้นเมื่อตนเองโตมาพร้อมกับคำว่าหน้าที่...เธอเพิ่งมาตระหนักเอาก็ตอนที่จำต้องก้มหน้ารับคำสั่งบิดา นั่นคือความจำยอมที่ต้องแบกรับไว้บนสองบ่า สามีของเธอ เขามาเพราะผลประโยชน์ ไม่เคยมีจิตพิศวาส อยู่กันไปแกนๆ ตามหน้าที่ ไม่รู้สึกอะไรเลย มีแค่ภาระหน้า
“เห้ย!! อะไรว่ะ แค่มีเมีย... คุณแต่งงานได้กี่วันวะคิน ทำตัวเหินห่างจากเพื่อนแบบนี้ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไง”เพิ่มลาภ กับเก่งกาจ แวะมาหาเพื่อนรัก หลังงานวิวาห์สายฟ้าแลบที่ภาคินเนรมิตได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน แต่...หลังจากนั้น ชายหนุ่มที่เคยประกาศปาวๆ เรื่องอยากโสดตลอดชีวิต กลับหายหัวไปเสียชิป ไม่เคยเห็นเงาภาคินตามสถานบริการ ตามแหล่งชุมชนเองก็เช่นกัน...หากไม่เกี่ยวพันเกี่ยวกับเรื่องงาน แทบจะไม่เห็นชายหนุ่มปรากฏตัว“แหม...” หนุ่มเจ้าของห้องยิ้มแหยๆเขารีบซุกกล่องข้าวเก็บไว้ในลิ้นชักทำงาน เมื่อได้เวลาพักเที่ยงพอดี“ไป๊ไป ไปกินข้าวเที่ยงกัน กว่าจะลากไอ้คุณเพิ่มมาได้นี่ ยากชิปหาย จะกินแต่ฝีมือเมียอยู่นั่นแหละ”เก่งกาจเป็นคนเดียวที่ยังโสด เขามีแพลนงานวิวาห์แต่ยังไม่ถึงเวลา“ก็เมียทำมาให้กิน ไม่กินก็เสียของสิวะ”เพิ่มลาภแก้ตัวเสียงอ่อยๆ ภรรยาสุดที่รักอุตส่าห์แหกตาตื่นมาทำไว้ให้ จะทิ้งขว้างมันก็ใช่ที่ เมื่อมันหมายถึงความใส่ใจของเจ้าหล่อนภาคินกลืนน้ำลายเอือกๆ เขาชำเรืองมองกล่องข้าวของตนเอง
พะแพงกดอินเตอร์คอม “เอาน้ำเย็นขึ้นมาให้แพงที่ห้องทำงาน 2แก้วนะจ้ะ” เธอสั่งงานแม่บ้าน ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญ ‘แขก’“ลื้อชื่อ...อาแพง...สินะ”เสียงแหบสั่นแต่ยังทรงอำนาจไม่เปลี่ยน แม้จะหยุดบงการ พักผ่อนเงียบๆ อยู่กับบ้าน ในบั้นปลายของชีวิต“ค่ะ แพง พะแพง งามสุวรรณ ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรกับแพงคะ?”เจ้าสัวภพเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของพะแพง ยกมือขึ้นมาว่างทาบบนหัวไม่เท้าที่ท่านถือติดมือมาด้วย สายตาคมกริบมองผู้หญิงตรงหน้าตรงๆ“ลื้อท้องกับอาคินลูกอั้ว!! แล้วลื้อจายักท่าทำไมหะ ไม่กลัวลูกในท้องเกิดมามีปมด้อยเหรอไงล่ะ?” คำถามของท่านทำให้พะแพงตกใจ มือเรียวสั่นระริกจนต้องตัดใจวางปากกาในมือ พร้อมกับพักการทำงานเมื่อดูเหมือนว่าคนที่มาหาเธอจะดูท่าไม่เป็นมิตรเท่าไร“สวัสดีค่ะ แพงไม่คิดว่าท่านจะมา” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ ตอบเสียงอ่อนอ่อย“ฉันอยากมาที่ไหนล่ะ...ฉันน่ะวางมือหมดแล้ว ให้คินมันดูแล นี่ถ้าไม่ร้อนใจไม่มาเองหรอก ขึ้นรถขึ้นเรือมันลำบาก เดินเหินไม่สะดวกเหม
“ไม่มีใครไม่เคยทำพลาดหรอกนะนาย ทุกคนต้องเคยกันทั้งนั้น มันขึ้นอยู่ว่าเขาจะแก้ไขหรือไม่ เต็มใจที่จะแก้ไขสิ่งที่ทำ...หรือถูกบีบบังคับให้ทำหรือเปล่า”เป็นข้อคิดที่พะนายเก็บมาคิด คำของพ่อไม่เคยทำลาย ชายหนุ่มฟัง เขานิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “พ่อ แต่มันจะทำให้เขาดูถูกเราเพิ่มขึ้นหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขาเคยประณามเราว่าเราคิดจะเกาะเขาเพื่อยกฐานะตัวเอง”คำประณามของภาคิน ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ พะนายสลักเอาไว้เพื่อใช้เตือนตัวเอง“เราคิดแบบที่เขาว่าหรือเปล่าล่ะ” พะนายส่ายศีรษะแรงๆ“งั้นก็อย่าไปกลัว นายเองก็ยัง ‘รัก’ คุณหนูคนนั้นเลย แล้วทำไมคุณ เขาจะ ‘รัก’ ยัยแพงไม่ได้ล่ะ”คล้ายเอ่ยแบบเป็นกลาง พะแพงไม่ได้มีอะไรเสียหาย แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นจะหลงรักลูกสาวของท่านไม่ได้ แม้เวลานี้เขาจะยังไม่รู้ใจตัวเองเห้อ!! พะนายเบ้ปาก เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ มันเป็นวัวพันหลัก สลัดยังไงก็ไม่พ้น อิหลัก อิเหลื่อ เหมือนน้ำท่วมปาก เขากีดกันภาคินได้ไม่เต็มที่ เมื่อตนเองก็ปองรักสาวบ้าน อภิเษศโยธาอยู่เช่นกัน
บทที่18.จีบเมียให้มาเป็น...เมีย“นี่...คุณจะพาฉันไปไหน...ฉันไม่ไปนะ”พะแพงร้องโวยเมื่อจู่ๆ ภาคินก็ฉุดกระชากลากถูออกมาจากโต๊ะทำงาน“หุบปากเถอะน่า...เดินตามมาเงียบๆ สิ ไม่รู้เป็นไงสิ!! ชอบขัดใจฉันจริง”ภาคินหันมาตะคอก ป้าสาย สมจริตชะเง้อมองมาจากในครัว เพราะทั้งสองสาวใหญ่กำลังทำอาหารมือเที่ยงอยู่พอดี“แพง มีอะไรให้ป้าช่วยมั้ยลูก!!”ในมือของยายสายมีตะบวยอันใหญ่ติดมาด้วย หากพะแพงร้องขอความช่วยเหลือตะบวยตักแกงอันนั้นจะเปลี่ยนสถานะเป็นอาวุธทันที“ไม่มีอะไรหรอกป้า...ฉันแค่จะพา ‘เมีย’ ไปดูของฝาก”ภาคินเบ้ปาก เขาปรามพะแพงด้วยสายตาคมกริบ แต่หญิงสาวไม่สนใจ หล่อนพยายามดิ้นให้หลุดจากการพันธนาการอยู่ดี“ทำไม...ชอบมีปัญหาจังแพง...ฉันไม่ได้ลักขโมยใครมาหรอกน่า”ภาคินบ่น ออกแรงดึงเรียวแขนเสลาจนพะแพงนิ่วหน้า“คุณเอาแต่ใจ...ไม่มีเหตุผล”หญิงสาวเถียงกลับ ใบหน้าอิ่มบึ้งตึง“แล้วใครบอกเธอว่าฉันเป็นคนมีเหตุผลล่ะ
ชายหนุ่มกลั้นใจตอบ เขากลืนน้ำลายฝืดๆ แต่เมื่อเหลือบมองพะแพง ใจหายวูบ!! เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะเกร็ดน้ำตาของพะแพงไหลเป็นทาง กับความจริงอันน่าเจ็บปวดที่ได้ยินด้วยสองหูตัวเอง“เดี๋ยวๆ” ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักพูด เขานิ่งไปหนึ่งอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ “แต่งก็แต่ง...” เสียงของภาคินแผ่วลง เมื่อจำต้องเอ่ยประโยคนั้นออกมาแต่...ไม่ได้เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิด พะแพงไม่ได้แสดงอาการดีใจเหมือนอย่างสาวๆ ที่เขาเคยควงหากได้ยินคำสำคัญคำนี้จากปากคนอย่างนายภาคิน อภิเษศโยธาหญิงร่างเล็กใจเด็ด ตวัดตามอง เธอเม้มเรียวปากจนเป็นเส้นตรงก่อนจะแย้มปากขึ้นกล่าวช้าๆ“ไม่จำเป็นค่ะ พะแพงไม่ต้องการความเมตตานั่น แพงยืนยันเหมือนเดิม แพงเลี้ยงลูกเองได้ โดยไม่ต้องรับความเมตตาของคุณ”สิ้นคำพูดของพะแพง...กลุ่มอาคันตุกะถึงกับอึ้งกิมกี่ ยังมีอีกหรือผู้หญิงที่กล้าปฏิเสธผู้ชายเพอร์เฟคอย่างภาคินเมื่อชายหนุ่มทั้งหล่อและรวย“เธอจะพูดง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะพะแพง...เธอหนีความจริงไม่พ้นหรอก ยังไงเสียฉันก็เป็น ‘พ่อ’ ของลูกเธอ”
สองหนุ่มเบ้ปาก จิปากเบาๆ เดินตามไปห่างๆ เพื่อเป็นฝ่ายสนับสนุนให้ภาคิน “แพงไม่ต้องการให้ใครมารับผิดชอบ แพงดูแลตัวเองได้ค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงห้วน เธอเสก้มหน้านิ่ง ไม่เหลือบแลใครสักคน ภาคินทำหน้าเซ็ง เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะดื้อด้านถึงขนาดนี้ “เราตกลงกันแล้วครับ พวกเรายอมรับ ‘คนมาใหม่’ แต่ไม่ขอรับความเมตตาของใคร” พะนายเอ่ย ใครในที่นี้คือภาคิน “แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่แพงท้อง มันเกิดขึ้นเพราะฉัน แล้วทำไมถึงกีดกันฉันล่ะ” ภาคินกล่าวเสียงขุ่น พะแพงตั้งท่ากันเขาตั้งแต่แย้มปาก “คุณก็รู้ คุณไม่ได้ ‘รัก’ ไม่ได้ชอบน้องสาวผม แล้วจะ
“ฉันอยากเจอพะแพง” ภาคินกล่าวเสียงเย็น เขาต้องการเจอหล่อน เมื่อความสงสัยบางอย่างเกาะกุมอยู่ในหัวใจด้านชา วันนั้นเขาเห็นพะแพงที่โรงพยาบาล หล่อนอยู่ในชุดหลวมๆ เพื่อความสะดวกสบายร่างกายของพะแพงยังไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร แต่ที่ภาคินสะดุด!! คือกลางร่างของหล่อนดูแปลกตา การเดินเหินของหล่อนด้วย ดูพะแพงระมัดระวัง การแต่งกายของหล่อนก็แปลกไป เขาว่าจะเข้าไปหา แต่เพราะติดดูแลบิดาที่มาตรวจเช็คร่างกายประจำปี จึงยังไม่มีเวลาเข้าไปหา พอว่าง...พะแพงก็หายไปแล้ว...นั่นคือสิ่งที่ภาคินติดใจ...บวกกับครั้งนั้น ‘คอนดอม’ เขาละเลย เขาไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันตอนที่มีความสัมพันธ์กับพะแพง มันจึงมีความเป็นไปได้ที่หล่อนจะ ‘ท้อง’ “ยัยแพงไม่ต้องการเจอคุณ!!” คล้ายตอบแทนบุตรสาว