-เรือนฉางหมิง จวนอ๋องฉิน-
"ท่านอ๋องอย่าลงโทษพระชายาอีกเลยนะเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่ระวังเองหากลงโทษนางอีกเกรงว่าร่างกายของพระชายาจะรับไม่ไหว"
"อืม วันนี้เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ"
"แต่ว่าท่านอ๋อง..."
"เจ้าเองก็หายดีแล้วหากอยู่ที่นี่นานจะมีแต่คำติฉินนินทา วันนี้ข้าต้องเข้าวังเจ้ากลับไปก่อนไว้ข้าจะหารือเรื่องของเรากับฝ่าบาทอีกครั้ง"
"เช่นนั้นก็ได้เพคะหม่อมฉันทูลลา"
หลังหยางซูฉินจากไปอ๋องฉินก็เข้าไปในห้องตำราก่อนจะนั่งลงพลางครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่ดูจากหลักฐานแล้วลู่เหยียนซินไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องขึ้นก่อนแน่นอนแล้วหยางซูฉินจะใส่ความนางทำไมกัน?
หากเป็นแต่ก่อนมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่พ้นที่นางจะโวยวายและเป็นฝ่ายตบตีหยางซูฉินก่อนเป็นแน่ แต่ครั้งนี้ต่างไปนางนิ่งเงียบแววตาไร้ซึ่งอารมณ์กรุ่นโกรธเหมือนกำลังดูอะไรสนุกๆอยู่อย่างไรอย่างนั้น
"ท่านอ๋องให้เรียกท่านหมอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่จำเป็น"
อ๋องฉินที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ผุดลุกขึ้นทันทีคราบเลือดเริ่มแห้งลงบ้างแล้ว เขาไม่สนใจบาดแผลนี้เลยสักนิดก่อนจะหันมองไปยังองค์รักษ์คนสนิท
"ชิงอี"
"ท่านอ๋องเชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ"
"สั่งให้คนไปจับตาดูพระชายาหากว่านางเคลื่อนไหวสิ่งใดรีบมารายงานข้า"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ทางด้านเรือนซินหยางหลังจากลู่เหยียนซินอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ลี่ถิงก็ลงมือทายาที่แผลด้านหลังของนางทันที
"บาดแผลของท่านยังไม่ดีขึ้นเลยนะเพคะพระชายา"
"ช่างเถอะอดทนกินยาสักสี่ห้าวันก็คงทุเลาลงบ้างแล้ว ตาอ๋องบ้าผู้นี้ใยลู่เหยียนซินถึงได้หน้ามืดตามัวหลงรักลงไปได้นะ"
"พระชายาพูดว่าอะไรนะเพคะ"
"ไม่มีอะไรหรอก"
นางหลับตาลงพลางนึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีตของเจ้าของร่างนี้ เนื่องจากลู่เหยียนซินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากฮูหยินเอกและเคยเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลนางจึงถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็กๆ
หลังจากมารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางอายุได้เพียงห้าหนาว บิดาของนางก็รับอนุเข้ามาในจวนเพิ่มอีกคนเพื่อคอยดูแลเลี้ยงดูนางแทน
ไม่นานนักอนุนางนั้นก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรสาวอีกคนให้กับตระกูลลู่แต่ก็น่าแปลกที่นางไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินเอกเสียทีด้วยความคับแค้นใจทำให้อนุผู้นั้นเกลียดชังลู่เหยียนซินมากยิ่งขึ้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าเสนาบดีลู่นั้นนางแสดงออกว่ารักลู่เหยียนซินมากแต่ลับหลังบิดาของนางกลับทำร้ายลู่เหยียนซินมาโดยตลอด เพราะต้องปกป้องตัวเองลู่เหยียนซินจึงกลายเป็นคนร้ายกาจทำลายทุกอย่างทำร้ายทุกคนได้หากคนผู้นั้นคิดไม่ดีกับนาง ความร้ายที่ไม่ได้อยากร้ายมาตั้งแต่ต้นแต่ทำไปเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น
ความร้ายกาจของนางฉาวโฉ่ไปทั่วเมืองหลวงแห่งนี้เริ่มแรกอ๋องฉินก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวของนางแต่อย่างใด แต่เมื่อถูกบังคับสมรสกับนางจึงทำให้เขาเริ่มเกลียดชังนางมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวนางตอนนี้ก็เข้าใจเขาอยู่บ้างจะมีใครบ้างเล่าที่อยากจะได้สตรีเช่นนั้นมาเป็นคู่ครองกัน!
เมื่อลี่ถิงทายาให้นางเสร็จลู่เหยียนซินจึงให้นางไปพักผ่อน ขณะที่กำลังพลิกกายหันไปทางประตูห้องนางก็เหลือบมองไปเห็นสร้อยเส้นหนึ่งที่ต้องแสงแวววับอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงของนาง สร้อยเส้นนี้ดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก
นางพยายามลุกขึ้นแล้วก้มลงหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู ตัวสร้อยขาดไปแล้วแต่ตัวแหวนยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่
นางเพ่งมองดูด้วยความตื่นตกใจมันเป็นสร้อยของนาง! สร้อยที่มารดาของนางมอบให้ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจไป แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!
ลู่เหยียนซินดีใจมากแม้จะข้ามภพมาแล้วไม่รู้จักใครสักคนแต่อย่างน้อยมีสร้อยเส้นนี้อยู่ก็ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
นางถอดเอาแหวนมาสวมใส่ที่นิ้วชี้และเก็บสร้อยเอาไว้ใต้หมอนรอเวลาซ่อมแซมมัน นางลูบแหวนเบาๆตรงหัวแหวนเป็นปุ่มกดได้ลู่เหยียนซินรู้ว่ามันไม่มีกลไกใดๆ เพราะครั้งตอนที่นางอยู่ยุคปัจจุบันก็กดเล่นไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เห็นมีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่ครั้งนี้ต่างไปเมื่อนางกดปุ่มลงไปทันใดนั้นก็พลันเกิดแสงสีทองขึ้นเมื่อแสงนั้นจางหายก็มองเห็นประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้า นางตัดสินใจเปิดมันออกมาแล้วก้าวเข้าไปทันที
ที่แห่งนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติบรรยากาศที่นี่ช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก ภายในคำนวนดูคร่าวๆ น่าจะมีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารที่ใกล้สุกงอมเต็มที่
ไม่ไกลกันนักมีลำธารใสสะอาดสายหนึ่งที่มองลงไปก็เห็นฝูงปลาอวบอ้วนแหวกว่ายกันไปมา ถัดไปอีกจะเป็นสวนผลไม้และสวนสมุนไพรที่เรียงรายเกิดขึ้นดั่งมีคนมาปลูกเอาไว้
นอกจากนั้นยังมีเป็ดไก่ที่เดินขวักไขว่กันไปมา นางมองเห็นเรือนไม้หลังหนึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักเมื่อเดินเข้าไปสำรวจภายในนั้นก็พบว่ามีชั้นวางของที่บรรจุอัดแน่นไปด้วยสมุนไพรหายาก ทั้งตำรับยาแผนโบราณและแผนปัจจุบันบรรจุเอาไว้ในกล่องเต็มไปหมด
อีกทั้งยังมีเมล็ดพันธุ์พืชเกือบทุกชนิดที่ต่อให้นางถูกปล่อยให้อดอยากที่จวนแห่งนี้นางก็ไม่มีวันอดตาย เพราะในมิติแห่งนี้เหมือนจะมีปัจจัยทุกสิ่งอย่างที่ทำให้ชีวิตของนางอยู่ได้แบบสบายๆ ไปได้อีกหลายปีกันเลยทีเดียว
‘แม่เจ้าโว้ย! มันช่างอเมซิ่งมาก!’
นางนั่งลงพักผ่อนตรงทุ่งหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะหลับตาลงพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ‘ช่างสบายอะไรเช่นนี้นะ’ นางตั้งใจเพียงจะพักสักงีบแต่ก็เผลอหลับยาวไปอย่างไม่รู้ตัว
เพียงแต่นางนอนหลับไม่ถึงสองก้านธูปร่างของนางก็จะถูกถีบออกมาจากมิตินั้นทันที
‘อะไรกันเนี่ย?ไม่ใช่ว่าอาศัยอยู่ในนั้นได้เลยเหรอ เฮ้อ...ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้นะ'
-เจ็ดวันผ่านไป-
จวนอ๋องฉินเงียบสงบขึ้นมากกว่าแต่ก่อน เงียบมากจนบ่าวในจวรและตัวอ๋องฉินเองยัวรู้สึกนึกสงสัยว่า พระชายาที่ร้ายกาจผู้นั้นป่วยหนักมากหรืออย่างไรเจ็ดวันมานี้นางถึงได้นิ่งเงียบไม่เข้ามารบกวนที่เรือนใหญ่เหมือนเช่นเคย
อีกด้านที่เรือนซินหยางลู่เหยียนซินเข้าไปในมิติอีกครั้ง นางตั้งชื่อให้มันว่ามิติวิเศษเพราะมีทุกสิ่งที่นางต้องการหากนางขาดเหลือสิ่งใดเพียงแค่ร้องขอของสิ่งนั้นก็ปรากฎตรงหน้าทันที
ครั้งนี้นางเข้าไปหยิบกล่องยาออกมาจากตู้ยาพร้อมตำรายาเล่มหนึ่ง ไม่ลืมที่จะหยิบเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด แตงกวา เมล็ดพืชผักและผลไม้ชนิดอื่นๆ ออกมาด้วย
พื้นที่ฝั่งที่เรือนของนางตั้งอยู่นั้นมีพื้นที่ว่างด้านหลังกว้างขวางพอสมควร นางใช้พื้นที่ไปเพียง 5 หมู่ (1 หมู่เท่ากับ 666 ตารางเมตร) ในการปลูกพืชผักผลไม้ ด้านหลังจวนติดกับภูเขาและแม่น้ำเหมาะกับการปลูกพันธุ์พืชเป็นอย่างมาก
หากตาอ๋องบ้านั่นจะจองจำไม่ให้นางออกไปไหนเลยอีกทั้งยังจะสั่งงดอาหารนางอีก ถ้าเช่นนั้นนางก็ต้องสร้างอาหารของนางเองเสียแล้วคิดๆ ดูแล้วก็มีความสุขจริงๆ
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าจะไม่เกรงกลัวคำขู่ของท่านอีกต่อไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"พระชายา..." ลี่ถิงมองพระชายาด้วยสายตาหม่นหมองที่สุด นี่พระชายาของนางถึงกับใกล้เสียสติเพราะโดนท่านอ๋องลงโทษหลายต่อหลายครั้งจริงๆนะหรือ
ลู่เหยียนซินกวักมือเรียกลี่ถิงมาช่วยกันขุดพรวนดินไว้ลงแปลงผัก ลี่ถิงเคยช่วยงานที่จวนมาตั้งแต่ยังเล็กเลยคล่องมือเพียงแค่ครึ่งวันการถางหน้าดินก็เสร็จสิ้น
ลู่เหยียนซินลงมือปลูกผักและสมุนไพรด้วยตัวเอง เจ็ดวันมานี้พวกนางจึงยุ่งอยู่กับแปลงผักจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนแอบซุ่มดูพวกนางอยู่
"ท่านอ๋อง องครักษ์ที่ส่งไปสอดแนมที่เรือนซินหยางรายงานมาว่าเห็นพระชายาขุดดินด้านหลังจวนพ่ะย่ะค่ะ"
"ขุดดิน?"
อ๋องฉินวางตำราลงแววตาฉงนสงสัยในตัวนางมากขึ้น หลายวันมานี้ที่นางไม่มาก่อกวนเขาเพราะมัวแต่ขุดดินอยู่อย่างงั้นหรือ?
"ไปบอกนางว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมตัวเข้าวังพร้อมข้า"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
-เรือนซินหยาง-
ลู่เหยียนซินและลี่ถิงหลังจากปลูกผักและสมุนไพรกันเสร็จเรียบร้อยพวกนางก็นั่งลงพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างสบายใจ ยังดีที่นางไม่ลืมหยิบเอาพวงองุ่นและผลแตงโมออกมาจากมิติวิเศษด้วย อากาศร้อนๆ แบบนี้ได้กินของเย็นๆ พวกนี้ช่างชื่นใจยิ่งนัก
พวกนางนั่งกินผลไม้ได้สักพักก็เหลือบมองไปเห็นชิงอี องครักษ์ประจำตัวของอ๋องฉินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
"พระชายา ท่านอ๋องให้มาเรียนท่านว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าวังพร้อมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ"
"เข้าวังเหรอ?แล้วทำไมข้าต้องไปกับท่านอ๋องของพวกเจ้าด้วยล่ะ ไม่ให้แม่นางหยางผู้นั้นไปเช่นเคยเล่า"
"เอ่อ เรื่องนั้นข้าน้อย..."
"หยางซูฉินหาได้เป็นพระชายาของข้าไม่ หรือเจ้าต้องการมอบตำแหน่งนี้ให้นางแทน เช่นนั้นก็ไปบอกกล่าวกับฮองเฮาเอง"
เสียงอันทรงพลังนิ่งขรึมดังขึ้นด้านหลังของนาง ลู่เหยียนซินไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
"แล้วข้าพูดเมื่อไหร่ว่าไม่ไปล่ะเพคะ"
อ๋องฉินมีสีหน้าเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เมื่อครู่นางเป็นคนบอกเองหรอกหรือว่าจะให้หยางซูฉินไปแทน
หากเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่จำเป็นต้องเดินมาย้ำกับนางเป็นแน่ แต่เดี๋ยวนี้ผู้หญิงคนนี้ว่าง่ายเหมือนเดิมที่ไหนครั้งนี้เลยต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง
ลู่เหยียนซินมองเห็นประกายความโกรธเสี้ยวหนึ่งในแววตาของฉินอ๋องพลางลุกขึ้นและรีบพูดอย่างเอาใจทันที
"รู้แล้วๆ ท่านอ๋องไปพักผ่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะกลับเข้าข้างในแล้ว"
"ข้าก็ไม่ได้อยากจะอยู่นานเสียหน่อย"
พูดจบก็รีบก้าวท้าวเดินออกจากเรือนซินหยางมุ่งสู่เรือนฉางหมิงทันที
"เป็นอะไรของเขา ไปเถอะลี่ถิงข้าอยากอาบน้ำแล้ว"
"เพคะพระชายา"
วันรุ่งขึ้นลู่เหยียนซินถูกลี่ถิงปลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่เช้า ดวงตาที่ยังไม่เต็มตื่นปากของนางก็ยังหาวหวอดๆ อยู่เลย “ลี่ถิง ข้าต้องแต่งตัวเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”“เตรียมตัวไว้เพคะพระชายา ท่านยังต้องกินอาหารก่อนเข้าวังอีกนะเพคะหากท่านอ๋องต้องคอยนานเกรงว่าพระชายาอาจจะถูกทำโทษอีก”“ก็ได้”ทางด้านเรือนฉางหมิงเมื่อเห็นว่าจวนจะสายแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นนางออกมา อ๋องฉินที่กำลังจะสั่งให้ชิงอีไปเรียกในตอนนั้นลู่เหยียนซินก็เดินออกมาพอดี นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูหวานปักลวดลายดอกไม้สวยงามขับสีผิวขาวเนียนใส ที่เอวยังคาดเครื่องประดับสีเดียวกัน ทำให้เอวระหงยิ่งดูอรชรมากขึ้นดูอ่อนช้อยน่าหลงใหล มวยผมที่เกล้าขึ้นยังมีที่ปักผมรูปหางหงส์หยกดิ้นทองประดับอยู่เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆหวานใส แก้มแดงระเรื่อเมื่อโดนแสงแดดกลับสว่างใสมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที“ไปกันได้หรือยังข้ามีงานต้องกลับมาทำต่อนะ”“.....”‘เป็นเขาที่รอนางนานไม่ใช่หรืออย่างไรกัน นางมาช้ายังจะกล้าบ่นอีก’อ๋องฉินเดินนำหน้านางไปยังหน้าประตูจวน ลู่เหยียนซินหันมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นรถม้า ‘ไหนบอกว่ารีบ? รถม้าสักคันก็ไม่เห็นเตรียมเอาไว้แล้วจะมาเร่งนางทำไมกัน’ลู่เหยียนซิ
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ