-เช้าวันต่อมา-
"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่"
"พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว"
"เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่"
"ครบแล้วเพคะพระชายา"
"ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย"
"พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ"
"หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"
ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป็นฝีมือของคุณหนูหยาง เพราะกลัวว่าพระชายาจะโกรธหยางซูฉินจนก่อเรื่องขึ้นมาอีก
เมื่อเดินออกมาจากเรือนซินหยางก็มองเห็นบ่าวในจวนช่วยกันยกหีบสัมภาระขึ้นบนรถม้ากันขวักไขว่ข้าวของรุงรังเต็มไปหมด เมื่อพวกเขาหันมาเห็นนางจึงรีบทำความเคารพ ลู่เหยียนซินโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องสนใจนางพวกเขาจึงรีบไปทำงานต่อทันที
ลู่เหยียนซินรีบเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถม้าที่หน้าจวน เพื่อออกนอกเมืองไปสมทบกับกองทหารของอ๋องฉินอีกทีหนึ่ง
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูเมืองนางก็รีบเปิดม่านประตูชะเง้อคอออกมามองนอกรถม้าทันที สายตาของนางจับจ้องไปยังลานกว้างข้างหน้ามองเห็นกลุ่มเหล่าทหารกล้ารูปร่างโปร่งสูงสมส่วนแข็งแรงอกผายไหล่ผึ่งยืนจัดขบวนอยู่ละลานตาเต็มไปหมด
สายตาของนางจ้องมองความองอาจของพวกเขาเหล่านั้นด้วยดวงตาเป็นประกายจนลืมไปว่าตัวเองกำลังจะลงจากรถม้า ไม่ทันระวังก้าวเท้าพลาดสะดุดกับขอบรถม้าเป็นอ๋องฉินที่ยื่นมือมารับนางไว้ได้ทัน
"ซุ่มซ่ามเสียจริง"
นางมุุ่ยหน้าให้เขาลังเลที่จะขอบคุณเขาดีหรือไม่ ‘ปากแบบนี้…ไม่ดีกว่า’
"เช้านี้ปากท่านรับประทานสุนัขเข้าไปหรือเพคะท่านอ๋อง"
"ลู่เหยียนซิน!"
"ฮ่าๆๆ" นางรู้สึกสะใจอยู่บ้างที่ได้ด่าเขาออกไปก็เล่นบังคับให้เดินทางไปกับเขาทางอ้อมเช่นนี้ ความรู้สึกอึดอัดอัดอั้นใจที่นางมีจะต้องได้ระบายออกมาบ้างถึงจะคุ้มค่ากับที่นางนั่งเคลียดมาทั้งวันทั้งคืน
นางถอยหลังออกวิ่งตรงไปยังรถม้าคันใหญ่คันงามที่มีชิงอียืนประกบอยู่กับทหารสองสามคนที่คอยตรวจตรารถม้ากันอยู่รอบคันรถ
"ข้าอยากจะบ้าตาย" อ๋องฉินส่ายหัวให้กับกิริยาเหมือนม้าดีดกระโหลกของนาง ตั้งแต่ถูกเฆี่ยนคราวก่อนพอฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันทีตกลงแล้วนางคือลู่เหยียนซินตัวจริงหรือนางเป็นใครกันแน่นะ?
วันนี้ลู่เหยียนซินสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใสนางไม่ได้แต่งตัวหรูหรา แต่ปักเครื่องประดับเพียงปิ่นหยกมรกตชิ้นเดียวเท่านั้น
ความสดใสร่าเริงของนางที่แสดงออกมาในวันนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำให้นางรู้สึกทรมานในการเดินทางในครั้งนี้หรือกำลังทำให้นางรู้สึกสนุกอยู่เป็นแน่
ก่อนที่เขาจะเดินตามนางไปก็ได้ยินเสียงเรียกของสตรีนางหนึ่งดังแว่วอยู่ข้างหู
"ท่านอ๋องเพคะ"
"ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตามเสด็จไปด้วยได้หรือไม่เพคะ" เสียงหวานใสมาพร้อมกับใบหน้าใสซื่อของหยางซูฉินสีหน้าของนางแสดงถึงความเศร้าอย่างที่สุด
"ไปครั้งนี้ไม่แน่นอนถึงเวลากลับเจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนจะเดินทางร่วมกับข้าคงไม่เหมาะเท่าใดนัก อีกทั้งเส้นทางข้างหน้าทุรกันดารยิ่ง ข้าไปเพื่อทำตามราชโองการของฮ่องเต้เจ้ารอข้าอยู่ที่เมืองหลวงนี้เถิด" เสียงอบอุ่นของบุรุษกล่าวปลอบประโลมหญิงสาวตรงหน้า
ลู่เหยียนซินคงจะไม่รู้สึกอะไรหากนั่นไม่ใช่เสียงของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางที่กำลังแสดงออกถึงความห่วงใยกับหญิงสาวคนอื่นอยู่
แต่แล้วลู่เหยียนซินก็เพิ่งนึกขึ้นได้ คำปลอบประโลมของอ๋องฉินเมื่อครู่นี้ทำให้นางฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
'อันตรายเช่นนั้นหรือ? หากมีอันตรายแล้วเหตุใดยังให้ข้าไปด้วย คนผู้นี้ต้องการเห็นข้าลำบากหรือต้องการแอบสังหารข้ากันแน่!'
"ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะรอท่านอ๋องกลับมานะเพคะ" นางพูดทั้งน้ำตาคลอเต็มดวงตา หยางซูฉินกำลังจะซบไปที่อกของบุรุษตรงหน้าก็ต้องพลันหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง
"ท่านอ๋องหากคนนอกเห็นคงคิดว่าหยางซูฉินคือพระชายาของท่านแน่นอน พวกท่านไม่อายคนอื่นแต่ข้าอายแทนนะใบหน้าพวกท่านคงจะหนาน่าดู"
"นี่เจ้า!" อ๋องฉินหันมากำลังจะตวาดนางก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาเห็นนางเดินไปขึ้นรถม้าของตัวเองอย่างไม่สนใจต่อสิ่งใดอีกผู้หญิงคนนี้ชอบยั่วโมโหเขายิ่งนัก
"พระชายาค่อยๆ ก้าวขึ้นนะเพคะ"
"ขอบใจนะลี่ถิง" นางหันมองไปยังคนทั้งคู่ ก่อนจะยักคิ้วส่งไปยังอ๋องฉินแล้วรีบปิดม่านลงทันที
อ๋องฉินโมโหมากแต่เพราะต้องรีบเดินทางโดยเร็วเลยได้แต่ต้องปล่อยนางไปก่อน
ขบวนกองทัพของอ๋องฉินเคลื่อนผ่านเส้นทางตัวเมืองหลวงสองข้างทางเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้านที่มามุงดู ตรงกลางขบวนเป็นรถม้าที่พระชายาฉินประทับอยู่รถม้าถูกตกแต่งอย่างงามวิจิตรเหมาะสมกับฐานะพระชายาเอกมาก
สายลมพัดโชยไปยังผ้าม่านสีเขียวเข้มพริ้วไหวบนรถม้าคันงามปรากฎให้เห็นหญิงสาวใบหน้ามนรูปไข่ที่มีเลือดฝาดบนพวงแก้ม ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังอมยิ้มไม่มีร่องรอยความเศร้าหมองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวงามลอบมองบรรยากาศข้างนอกผ่านม่านหน้าต่าง ผิวกายของนางนั้นขาวสะพรั่งสวยงามกว่าหญิงคนใดในเมืองหลวงแห่งนี้
ไม่นานนักฝ่ามือเรียวก็ยกขึ้นเลิกผ้าม่านหน้าต่างของรถม้าขึ้นนางมองออกไปก็เห็นแผ่นหลังกว้างที่อยู่นำหน้าขบวน แผ่นหลังที่ตรงสูงเด่นสง่าน่าเกรงขามนั้นนั่งอยู่บนหลังอาชาตัวใหญ่สีดำทมิฬดูองอาจเช่นเคย
ข้างกายเป็นเฟยหยาองค์รักษ์คนสนิทควบม้าอยู่ด้านข้างอ๋องฉินส่วนชิงอีองครักษ์คนสนิทอีกคนควบม้าอยู่ด้านข้างรถม้าของนาง
นางมองไปยังสองข้างทางที่มีร้านรวงต่างๆ แออัดกันอยู่มากมาย ผู้คนหนาแน่นของกินของใช้ตระการตาบางอย่างก็ดูแปลกตาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
"ลี่ถิงหากวันใดข้าหย่ากับอ๋องฉินแล้ว ข้าจะเริ่มทำการค้าก่อนเป็นอันดับแรกเลย" ดวงตาของนางเป็นประกายวาววับความใฝ่ฝันของนางคือการหลุดพ้นจากตำแหน่งพระชายาที่พันธนาการนางอยู่ในตอนนี้
"พระชายาเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะเพคะ"
"จะเป็นไรไปล่ะท่านอ๋องมีใจรักใคร่ต่อแม่นางหยางผู้นั้นส่วนตัวข้าเองก็ไม่มีจิตพิศวาสกับท่านอ๋องอีกแล้ว ในเมื่อทั้งข้าและท่านอ๋องต่างก็ไม่ได้รักใคร่กันการหย่าขาดจากกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว"
"พระชายาอย่าได้พูดเช่นนั้นออกไปนะเพคะ หากท่านอ๋องโกรธขึ้นมาเป็นพระชายาเองที่จะเดือดร้อน"
"จะโกรธข้าด้วยเรื่องใดกันมีแต่จะดีใจน่ะสิที่หลุดพ้นจากข้าไปได้"
"พระชายา..."
"หรือว่าที่เจ้าคัดค้านเพราะไม่อยากไปลำบากข้างนอกกับข้า วางใจเถอะหากข้าได้หนังสือหย่าแล้วข้าจะทูลขอให้ท่านอ๋องรับเจ้าไว้เป็นหญิงรับใช้ในจวนต่อไป"
"ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะพระชายาอยู่ที่ไหนหม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่น เพียงแต่หม่อมฉันไม่อยากให้พระชายาลำบากอยู่ข้างนอกคนเดียวเพคะ"
"เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งพูดไปว่าจะไม่มีทางทิ้งข้า ก็นั่นอย่างไรเล่าข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวที่ไหนมีเจ้าอยู่ด้วยนี่นา" นางพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลี่ถิงเห็นแววตาของนางดูมีความสุขต่างจากเมื่อก่อนมากก็ไม่กล้าพูดขัดนางอีกต่อไป
"ลี่ถิง การเป็นคนธรรมดาคงจะรู้สึกดีกว่าการอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันนะ วันข้างหน้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะรับอนุเข้ามาอีกสักกี่คนความฝันของข้าก็เพียงแค่อยากให้สามีของข้ามีข้าเพียงคนเดียวซึ่งแน่นอนว่าท่านอ๋องไม่มีทางทำได้"
นางพูดจบก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทันที การจากบ้านมาในที่ไกลแสนไกลต้องมาพบเจอกับโชคชะตาที่เล่นตลกแบบนี้ ให้นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาก็คงจะดีกว่าต้องมาเป็นพระชายาที่สามีรังเกียจเช่นนี้
การเดินทางดำเนินไปจากเมืองหลวงออกสู่เส้นทางชนบทห่างไกลออกไปเรื่อยๆ สองข้างทางปรากฏบ้านเรือนชาวบ้านอยู่ประปราย ก่อนจะเริ่มพบเห็นได้น้อยลง บรรยากาศทิวทัศน์โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ป่าเขาลำเนาไพรที่เริ่มจะไร้บ้านเรือนผู้คนอาศัยอยู่
ขบวนรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ช้าบ้างเร็วบ้างการเดินทางไปยังเมืองจี้โจวต้องใช้เวลานานถึงแปดวันหรือสิบวันพวกเขาจึงเร่งเดินทางกันอย่างต่อเนื่อง หยุดพักเพียงเพื่อทานอาหารกับพักม้าเท่านั้น
ในวันที่สามของการเดินทางพวกเขารอนแรมอยู่ในป่ามาค่อนวันก็ยังไม่พบเจอทางออกไปสู่หมู่บ้านข้างหน้าแต่อย่างใด จนเวลาใกล้โพล้เพล้แล้วก็ยังคงอยู่กลางป่าแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ ทางข้างหน้ามีแต่ต้นไม้ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ครั้งกี่หนหน้าตาของผืนป่าแห่งนี้ก็เหมือนกันไม่มีผิด เหมือนอยู่ในเขาวงกตอย่างไรอย่างนั้น
"คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นี่ส่งคนออกไปล่าตะเวนตรวจสอบบริเวณนี้ให้ละเอียดอีกรอบ"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
"เดี๋ยวก่อน!"
"มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"พวกเจ้าไม่ต้องไปแล้วป่าแห่งนี้แลดูแปลกประหลาด เราวนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหากออกลาดตระเวนข้าเกรงว่าอาจจะคลาดกันได้"
"ข้าจะตั้งม่านพลังอำพรางไม่ให้สัตว์ป่าหรือผู้ใดมาพบเห็น พวกเจ้าเพียงแค่ทำเครื่องหมายเอาไว้ก็พออย่าได้หลงออกจากม่านพลังของข้า"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อชะโงกหน้าออกมามองดูก็เห็นว่ามีทหารบางส่วนหยิบเอาอุปกรณ์สำหรับตั้งค่ายออกมาแล้ว
นางค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีลี่ถิงยืนรอรับอยู่ด้านข้าง สายลมยามเย็นโบกสะบัดพัดโชยมาทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่…..
‘คงไม่ใช่ว่าแถวนี้จะมีผีหรอกนะ! น่าขนลุกชะมัด’
"พระชายาเพคะ ทหารตั้งค่ายกันเสร็จแล้วพระชายาเชิญเสด็จไปอาบน้ำที่ลำธารกันเถอะเพคะ"
"อืม ข้ารู้สึกเหนียวตัวอยู่พอดี" ลู่เหยียนซินเดินนำลี่ถิงไปยังลำธารเพื่อชำระล้างตัวบวกกับความเหนื่อยล้าที่นั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันหากได้อาบน้ำสักหน่อยคงจะสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง
เมื่อมาถึงลำธารก็ปรากฏให้เห็นแม่น้ำใสแจ๋วรอบๆถูกกั้นด้วยผ้าเป็นแถบยาว นางหันมองดูรอบๆป่าแห่งนี้ดูแปลกตาให้ความรู้สึกวังเวงน่าขนลุกเป็นอย่างมาก
"พ่อแก้วแม่แก้วอย่าได้มาหลอกหลอนกันเลยนะ ไว้ข้าถึงจี้โจวเมื่อไหร่ข้าจะทำบุญไปให้" พูดจบพลันสายลมก็พัดโชยมาทันที ทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บเย็นยะเยือกขึ้นมาดื้อๆ
"พระชายาท่านว่าอะไรนะเพคะ”
ลู่เหยียนซินหันมองไปรอบๆป่าทันทีสายลมพริ้วไหวพัดใบไม้ปลิวสะบัด ต้นไม้ใบหญ้าโอนเอนลู่ไปตามแรงลมความเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องให้ความรู้สึกวังเวงชอบกล แสงตะวันเริ่มจางหายไปทีละนิดความมืดก็คืบคลานเข้ามาแทนที่ ลู่เหยียนซินรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างจับจ้องมายังพวกนางอยู่
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
-เรือนซินหยาง จวนอ๋องฉิน-"พระชายาเพคะ พระชายา"เสียงเรียกจากสตรีนางหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาทการรับฟัง ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเปลือกตาบางค่อยๆ แย้มกระพริบขึ้น นางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ร่างเพรียวบางพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คนสนิทประคองตัวนางช่วยอีกแรงลู่เหยียนซินหันมองรอบๆ ห้องนางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นดวงตาเล็กเรียวทอดมองมายังหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าไร้เดียงสาที่ยังมีหยาดน้ำตานองเต็มดวงตากำลังนั่งมองนางด้วยความดีใจอย่างที่สุด"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพระชายางั้นหรือ""เพคะพระชายา ท่านคงไม่ใช่ว่าได้รับการกระทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้หรอกนะเพคะ"สาวใช้คนสนิทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำคล้ายผ่านการร้องไห้มานานนับหลายวันและมีทีท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งลู่เหยียนซินพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมานั้นในช่วงเวลาหนึ่งที่คล้ายกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ลู่เหยียนซินเห็นตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัดนางกำลังผ่าตัดช่วยชีวิตหญิงท้องแก่ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรงส่งผลต่อเด็กในครรภ์โดยตรง การผ่าตัดใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆทุกวินาทีนั้นมีค่าห
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ