ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว
"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ"
"อ๋อ งั้นหรือ"
‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’
"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร
'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’
"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง
"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"
เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!
"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ
‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิริยาของสตรีเหมือนท่านหญิงคนอื่นๆเลยนะ’
"เอาล่ะท่านนำทางข้าไปเถอะ" หลังระบายอารมณ์กับศรีษะของตัวเองแล้วก็เอ่ยปากบอกกับฉางกงกงต่อทันที
"พ่ะย่ะค่ะพระชายา"
นางกดๆเส้นผมที่หลุดลุ่ยเล็กน้อยก่อนจะเดินตามฉางกงกงมายังตำหนักซูหนิง ตำหนักแห่งนี้ห่างไกลจากตำหนักหน้าราชวังมากเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่การตกแต่งตำหนักไม่หรูหราจนเกินไปคงไว้ด้วยศิลปะที่สวยงามของลวดลายเนื้อไม้ดูแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก
นางเดินเข้าไปในตำหนักก่อนที่จะก้าวข้ามธรณีประตูไป ก็เห็นฉางกงกงหันหลังกลับมามองที่นางอย่างรวดเร็ว
"ก้าวระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะพระชายา"
"ขอบใจฉางกงกง" นางยิ้มและเดินต่อไปยังห้องบรรทมของไท่ซ่างหวง
"หลานสะใภ้ถวายบังคมเสด็จปู่เพคะ"
"เข้ามาๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอก" ไท่ซ่างหวงที่บัดนี้อายุได้ราวๆหกสิบพรรษาแล้ว มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและผิวกายเล็กน้อยที่เป็นไปตามวัยของมนุษย์
พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ให้ฮ่องเต้เยว่เหวินเทียนครองราชย์ต่อ ส่วนตัวพระองค์เองก็ย้ายมาอยู่ที่ตำหนักซูหนิงแทน
"นี่หรือหลานสะใภ้ของข้า ตั้งแต่เจ้าแต่งให้เจ้าสามมาก็ไม่เคยเห็นมาเคารพข้าเลยสักครั้ง"
"นั่นอาจจะเป็นเพราะท่านอ๋องยุ่งอยู่กระมังเพคะเสด็จปู่"
"ยุ่งหรือไม่สนใจกันแน่เจ้าเด็กคนนี้ชอบก่อเรื่องวุ่นวายจะตายไป คงไม่ได้ทำเรื่องอันใดให้เจ้าลำบากใจหรอกนะ"
"ข้าจะไปทำอะไรนางก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่" เสียงของอ๋องฉินดังมาแต่ไกล ก่อนที่จะเห็นเจ้าตัวเดินเข้ามายังห้องบรรทมของไท่ซ่างหวง
"หลานถวายบังคมเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าเรียกเพียงพระชายาของเจ้า ไม่ได้เรียกเจ้ามาด้วยเสียหน่อย"
"หลานแค่กลัวว่านางจะเผลอทำสิ่งใดให้เสด็จปู่ไม่พอพระทัย เลยต้องรีบตามมาพ่ะย่ะค่ะ"
"นางรู้ความกว่าเจ้าเยอะ เจ้าอย่าได้มาก่อกวนข้าเด็ดขาด!"
"ทรงเห็นหลานเป็นเช่นใด หลานไม่ได้ชอบก่อเรื่องขนาดนั้น"
ไท่ซ่างหวงกรอกพระเนตรไปมาพลางทอดถอนพระปัสสาสะทันที หลานของเขาเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้ตอนนี้คิดการสิ่งใดอยู่กัน
"เช่นนั้นก็จงอยู่เงียบๆอย่ารบกวนข้า"
"ได้พ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่"
"ฉางกงกงไปเอาของมา"
"พ่ะย่ะค่ะไท่ซ่างหวง"
ฉางกงกงเดินไปที่หลังม่าน หยิบเอากล่องไม้จันทร์เดินถือติดตัวออกมาด้วยก่อนจะยื่นให้กับไท่ซ่างหวง
"ข้าให้เจ้า ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานจากตาแก่คนนี้แล้วกัน”
ลู่เหยียนซินยื่นมาไปรับแล้วถือไว้ในอ้อมอกของตัวเอง
"เปิดดูสิ" ไท่ซ่างหวงบอกกล่าวทั้งส่งยิ้มอ่อนให้นาง ลู่เหยียนซินเลยจัดการเปิดกล่องที่ตนถือไว้ออกมาทันที ภายในบรรจุหินหยกสีเขียวมรกตสองชิ้นเมื่อแสงตกกระทบกับตัวหยกก็สะท้อนแสงแวววับขึ้นมาทันที
"สวยมากเลยเพคะเสด็จปู่"
"รักษาไว้ให้ดี"
"ขอบพระทัยเพคะ"
อ๋องฉินมองนางด้วยสายตาที่มืดมนเขาไม่เคยได้ของขวัญจากเสด็จปู่เลยสักครั้ง นางเป็นใครกันแต่งงานกับเขาเพียงไม่นานก็ได้ของขวัญแล้ว
"เก็บสายตาขี้อิจฉาของเจ้าด้วยฉินอ๋อง"
"ข้าไม่เห็นได้บ้าง"
"เจ้าเป็นชายจะเอาของขวัญไปทำไมกัน ข้าให้นางก็เหมือนให้เจ้า สามีภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกันคิดอันใดมากกัน"
"จะไปเป็นคนคนเดียวกันได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่ นางก็คือนาง ข้าก็คือข้า"
"เจ้านี่ยังไงนะอิจฉาแม้กระทั่งเมียตัวเอง เอาล่ะของขวัญก็ให้แล้วพวกเจ้าออกไปกันได้แล้วข้าจะพักผ่อน"
"พระชายาฉิน หลังกลับจากชายแดนเหนือหวังว่าเจ้าจะมีของขวัญกลับมาให้ข้าบ้างนะ"
"พระองค์ทรงรู้ได้เช่นไรกันเพคะ ว่าหม่อมฉันต้องเดินทางไปด้วย?”
"มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้บ้างล่ะ" ตาแก่พูดพลางอมยิ้มให้นาง ใช่สินะคนที่มีอำนาจย่อมมีหูตาเป็นสับปะรดอยู่แล้ว ต่อไปนี้จะพูดจะทำสิ่งใดคงต้องระวังมากขึ้นแล้ว
"ได้เพคะเสด็จปู่ หม่อมฉันไม่ลืมแน่นอนเพคะ"
"อืม เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนรอวันออกเดินทางเถอะ"
"เสด็จปู่รักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ หม่อมฉันทูลลาเพคะ"
อ๋องฉินไม่พูดไม่จามองไท่ซ่างหวงด้วยความน้อยใจ
"หลานจะออกเดินทางแล้ว ไม่มีของขวัญก็ควรมีคำอวยพรให้หลานบ้าง"
"เจ้าอย่าคิดก่อเรื่อง! ออกไปได้แล้ว"
'ลำเอียง! เสด็จปู่ลำเอียงชัดๆ'
เมื่อออกมาจากตำหนักซูหนิงเขาเห็นนางเอาแต่กอดกล่องไม้ที่เก็บหยกสองชิ้นนั้นด้วยความหวงแหน ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มตลอดทางเดิน อยู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉานางขึ้นมาเขาที่เป็นหลานแท้ๆเสด็จปู่ไม่เห็นให้ของขวัญอะไรเลย
"ท่านอ๋องหากพวกเราหย่ากัน หยกสองชิ้นนี้ข้าไม่ขอคืนให้ท่านนะเพคะ"
"เจ้าว่าอะไรนะ?"
"ข้าบอกว่าหยกสองชิ้นนี้ข้าจะเก็บไว้เองเพคะ"
"ไม่ใช่ ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้"
"หากเราสองคนหย่ากันแล้ว ข้าจะขอเก็บ…"
"สมรสพระราชทานเจ้าคิดว่าจะหย่ากันง่ายๆเช่นนั้นหรือ"
"ก่อนหน้านี้ท่านก็คิดจะหย่ากับข้าไม่ใช่หรืออย่างไรกัน ในเมื่อท่านต้องการแต่งกับหยางซูฉินท่านก็ต้องเขียนหนังสือหย่าให้ข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
"ท่านคิดว่าหยางซูฉินจะยอมแต่งเป็นชายารองจริงๆน่ะหรือ?" นางเอียงคอยืนรอคำตอบจากอ๋องฉินด้วยแววตาสุกใสไร้ซึ่งแววขุ่นเคืองหรือริษยาทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างหาสาเหตุไม่ได้
"แต่ก่อนเจ้าบังคับให้บิดาของเจ้าขอพระราชทานสมรสกับข้า มาวันนี้อยากจะหย่าก็หย่าง่ายๆ เช่นนั้นหรือ”
"แล้วท่านอ๋องจะเอายังไงกันล่ะเพคะเมื่อข้าต้องการหย่าท่านก็ไม่หย่าถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปหากข้าตามตอแยท่าน ท่านก็อย่ามาหาว่าข้าน่ารำคานก็แล้วกัน!" พูดจบก็เดินออกไปไม่รอเขาเลยสักนิด
นางยอมรับว่ารู้สึกโกรธเขามากไม่เข้าใจตาอ๋องบ้านี่เลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเขาต้องดีใจหรอกหรือที่นางจะหย่า แล้วที่เขาพูดออกมาเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน
อ๋องฉินไม่พูดสิ่งใดต่อเขาเดินตามนางไปจนถึงหน้าประตูวัง ก่อนจะยื่นมือไปรับม้าจากทหารผู้ดูแลแล้วคว้าเอวบางของนางอุ้มขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นมาซ้อนด้านหลังทันที นางหันมองอ๋องฉินก็พบเข้ากับสายตาเย็นชาที่ยากจะอ่านออก
ระหว่างทางกลับจวนคนทั้งคู่ไม่แม้แต่จะสนทนากันสักคำสร้างความอึดอัดใจให้แก่ลู่เหยียนซินไม่น้อย
‘ก็แค่พูดเรื่องหย่า เหตุใดต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยแปลกคนเสียจริง!’
-จวนอ๋องฉิน-
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเป็นอ๋องฉินที่รับนางลงจากหลังม้าเช่นเคย นางกล่าวขอบคุณแต่ก่อนที่นางจะเดินเลี่ยงไปยังเรือนของตัวเองก็ถูกอ๋องฉินเรียกไว้เสียก่อน
"เจ้าจงเตรียมตัวให้ดีเช้ามืดวันพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปจี้โจวกับข้า"
"เร็วเช่นนั้นเลยหรือเพคะ"
"ชีวิตผู้คนไม่สามารถรอได้" พูดจบเขาที่กำลังจะเดินกลับไปยังตำหนักฉางหมิงก็ได้ยินลู่เหยียนซินถามขึ้น
"ต้องไปนานเท่าใดหรือเพคะ"
"ครึ่งปีหรืออาจจะหนึ่งปี"
‘นานถึงเพียงนั้นเชียว?’
อ๋องฉินไม่พูดต่อปล่อยให้นางยืนเหม่ออยู่คนเดียว แล้วเลี่ยงไปสั่งการให้ทหารจัดเตรียมกองกำลังไปยังชายแดนทันที
"ท่านอ๋องต้องพาพระชายาไปด้วยเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" ชิงอีทหารคนสนิทของอ๋องฉินถามขึ้น
"พระชายาเป็นหญิงทั้งยังไม่มีวรยุทธ์ ไปแล้วจะช่วยอะไรท่านอ๋องได้กันพ่ะย่ะค่ะ"
อ๋องฉินมองไปยังเรือนซินหยางพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
"ใช่ นางเป็นหญิงที่ไม่มีวรยุทธ์ไปที่นั่นคงสร้างความลำบากให้นางไม่น้อย"
องค์รักษ์คนสนิททั้งสองมองหน้ากันไปมา อ๋องฉินละสายตาจากเรือนซินหยางก่อนจะมุ่งหน้าไปในเรือนใหญ่ทันที
เมื่อครู่เขาแค่หาเหตุผลให้องค์รักษ์ของตัวเองหยุดซักไซร้เขาเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องหย่ายังไม่ใช่ตอนนี้เขาต้องได้ประโยชน์จากนางก่อนถึงจะยอมปล่อยนางไปได้
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป็นฝีมือของคุณหนูหยาง เพราะกลัวว่าพระชายาจะโกรธหยางซูฉินจนก่อเรื่องขึ้นมาอีกเมื่อเดินออกมาจากเรือนซินหยางก็มองเห็นบ่าวในจวนช่วยกันยกหีบสัมภาระขึ้นบนรถม้ากันขวักไขว่ข้าวของรุงรังเต็มไปหมด เมื่อพวกเขาหันมาเห็นนางจึงรีบทำความเคารพ ลู่เหยียนซินโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องสนใจนางพวกเขาจึงรีบไปทำงานต่อทันทีลู่เหยียนซินรีบเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถม้าที่หน้าจวน เพื่อออกนอกเมืองไปสมทบกับกองทหารของอ๋องฉินอีกทีหนึ่งเมื
"พระชายาเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะเพคะ""จะเป็นไรไปล่ะท่านอ๋องมีใจรักใคร่ต่อแม่นางหยางผู้นั้นส่วนตัวข้าเองก็ไม่มีจิตพิศวาสกับท่านอ๋องอีกแล้ว ในเมื่อทั้งข้าและท่านอ๋องต่างก็ไม่ได้รักใคร่กันการหย่าขาดจากกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว""พระชายาอย่าได้พูดเช่นนั้นออกไปนะเพคะ หากท่านอ๋องโกรธขึ้นมาเป็นพระชายาเองที่จะเดือดร้อน""จะโกรธข้าด้วยเรื่องใดกันมีแต่จะดีใจน่ะสิที่หลุดพ้นจากข้าไปได้""พระชายา...""หรือว่าที่เจ้าคัดค้านเพราะไม่อยากไปลำบากข้างนอกกับข้า วางใจเถอะหากข้าได้หนังสือหย่าแล้วข้าจะทูลขอให้ท่านอ๋องรับเจ้าไว้เป็นหญิงรับใช้ในจวนต่อไป""ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะพระชายาอยู่ที่ไหนหม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่น เพียงแต่หม่อมฉันไม่อยากให้พระชายาลำบากอยู่ข้างนอกคนเดียวเพคะ""เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งพูดไปว่าจะไม่มีทางทิ้งข้า ก็นั่นอย่างไรเล่าข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวที่ไหนมีเจ้าอยู่ด้วยนี่นา" นางพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลี่ถิงเห็นแววตาของนางดูมีความสุขต่างจากเมื่อก่อนมากก็ไม่กล้าพูดขัดนางอีกต่อไป"ลี่ถิง การเป็นคนธรรมดาคงจะรู้สึกดีกว่าการอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันนะ วันข้างหน้าไม่รู้ว
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน “ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท้าลงหันหลังกลับไปมองยังลี่ถิงด้วยใบหน้าที่งุนงงระคนตกใจ“พระชายาท่านเป็นชายาของท่านอ๋องไม่ให้อยู่กระโจมเดียวกันกับท่านอ๋อง แล้วท่านจะไปนอนที่ไหนกันล่ะเพคะ” “ก็ให้ข้านอนกับเจ้าก็ได้นี่นา ท่านอ๋องเกลียดข้าอย่างกับอะไรดีจะมานอนร่วมเตียงเดียวกันได้เช่นไร”“เป็นคำสั่งท่านอ๋องเพคะ” ลู่เหยียนซินเบ้ปากทันทีตาอ๋องบ้านี่ยังไงเกลียดนางก็ควรอยู่ให้ห่างจากนางสิ ให้นอนเตียงเดียวกันข้าจะหลับลงได้เช่นไรกันนางจำใจต้องเดินไปยังกระโจมใหญ่นั้นด้
‘ท่านผู้เฒ่าหายไปไหนแล้ว?’นางหันซ้ายหันขวาไม่พบผู้ใดทันใดนั้นก็ถูกกระชากจากคนด้านหลัง นางไม่ทันตั้งตัวเซไปซบที่หน้าอกของบุรุษตรงหน้าทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเป็นอ๋องฉินเขาออกมาตามนางทำไมกัน!“บ้าจริงท่านกระชากข้าทำไม ข้าเกือบจะหกล้มไปแล้วนะ”“ใครใช้ให้เจ้าออกมาข้างนอกไม่บอกกล่าวข้าเช่นนี้”“ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านไม่ยอมตื่นเสียที ข้าเพียงแต่ร้อนอยากออกมารับลมข้างนอกก็เท่านั้นเอง”“เจ้าปลุกข้าแล้วเช่นนั้นหรือ”“ปลุกไปแล้วพอออกมาข้างนอกก็พบทหารของท่านหลับกันทุกคน ข้าไม่มีเพื่อนคุยจึงเดินเล่นออกมาไกลไปหน่อยขอโทษท่านแล้วกัน”นางรีบเดินเลี่ยงออกมาเพื่อกลับกระโจมทันที เมื่อเข้ามาในกระโจมลู่เหยียนซินก็ก้มลงมองที่หน้าอกของตัวเองก็พบกับแหวนหยกสองชิ้นคล้องอยู่กับสายสร้อยเส้นหนึ่ง พระเจ้า!เรื่องเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันนี่นาอ๋องฉินมองตามจนนางหายลับเข้าไปในกระโจม จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกคนจะหลับกันหมด ป่าแห่งนี้น่ากลัวจะมีอาถรรพ์อะไรสักอย่างไม่เช่นนั้นพวกเขาที่มีวรยุทธ์ไม่มีทางที่จะหลับขนาดที่ไม่ได้ยินเสียงผู้ใดย่างกรายเข้ามาเลย อีกทั้งลู่เหยียนซินเดินเสียงดังถึงเพียงนี้ไม่มีทางที่จะไม่มีใครได้
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้“พระชายาเป็นเช่นใดบ้างเพคะ”“ข้ายังไหว” นางตอบลี่ถิงด้วยเสียงอันสั่นเครือ“ให้ข้าแจ้งท่านอ๋องหรือไม่เพคะ”“ไม่ต้อง ข้าไม่ใช่คนที่ฉินอ๋องจะเห็นใจหากรู้ว่าข้าไม่สบายมีแต่จะสมน้ำหน้าข้าเสียมากกว่า เขาอาจจะหา
“ยังไม่ถึงจี้โจวก็จับไข้เสียแล้ว อ่อนแอเสียจริง!”อ๋องฉินจำต้องผลัดเสื้อผ้าของนางออกพลันสายตาของเขาก็มองไปเห็นร่องรอยบนแผ่นหลังของนาง ร่องรอยที่ถูกโบยยังไม่จางหายนวลเนื้อขาวใสมีรอยแดงแตกระแหงแผลบางแห่งยังคงมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเหตุที่นางจับไข้ก็คงเพราะพิษจากแผลที่โดนโบยนี่เองสินะ อ๋องฉินมองนางนิ่งเหตุใดถึงอดทนได้ขนาดนี้กันสักพักจึงลงมือเช็ดตัวให้นางอีกครั้งก่อนจะนำยามาทาด้านหลังของนางอีกทีหนึ่ง ไอร้อนยังคงไม่เจือจางลงเขาจำใจต้องดึงนางมาสวมกอด กลิ่นอายความอบอุ่นที่อยู่ตรงหน้าทำให้คนตัวเล็กมุดเข้าอ้อมแขนแกร่งทันทีชายหนุ่มรู้สึกเกรงตัวตามสัญชาตญาณของบุรุษ ความนุ่มนิ่มของกายสาวที่แนบชิดกับเนื้อตัวของเขาทำให้นวลเนื้อส่วนล่างตื่นขึ้นมาทันที แต่เห็นว่านางป่วยไข้เลยต้องหยุดความคิดเหล่านั้นลงอย่างเลี่ยงไม่ได้เขาสวมกอดนางอยู่อย่างนั้นทั้งคืนเมื่อถึงรุ่งเช้าค่อยรีบออกไปสั่งการให้ทหารเริ่มจัดขบวนออกเดินทางกันต่อ เขาไม่ได้อยากแล้งน้ำใจกับนางมากนักเพียงแต่หนทางข้างหน้ายังมีผู้คนที่รอคอยการช่วยเหลือไม่สามารถช้าได้สักวินาทีเดียว“พระชายาเป็นเช่นไรบ้างเพคะ” ลี่ถิงค่อยๆ ประคองนางออกมาจากกระโจมเพื่
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]หุบเขาหูซานนี้อยู่ใจกลางระหว่างหมู่บ้านเหมยหลันกับตัวเมืองจี้โจว เพราะความอุดมสมบูรณ์ของตัวป่าพวกเขาเลยเลือกที่จะปักหลักลงที่นั่น และลงเขาเพื่อออกปล้นบ้านเรือนชาวบ้านแทบจะทุกหมู่บ้านและเมืองอื่นๆที่ใกล้เคียงกัน เมื่อกองทัพอ
“บังอาจ! ถอยออกไปเสีย!”“พอแล้วชิงอี พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ” นางส่งสายตาปรามไปยังองค์รักษ์หนุ่ม พวกเขาจำต้องถอยล่นออกไปแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่สามารถปกป้องนายหญิงของพวกเขาได้“ข้าเป็นหมอ ข้ารักษานางได้”“ท่านเป็นหมอเช่นนั้นหรือ?” ชาวบ้านเหล่านั้นมองดูนางด้วยความไม่เชื่อถือเท่าใดนัก นางแต่งกายด้วยชุดธรรมดาแต่กลับมีผิวพรรณผุดผ่องไม่น่าจะใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนทั้งยังมีทหารคอยติดตามนางอาจจะเป็นหมอหญิงจริงๆก็ได้กระมัง“เวลานี้พวกเจ้าก็ทำได้แค่ยืนดูนางเจ็บปวดจวนจะขาดใจอยู่โดยไม่สามารถทำอันใดได้ ไม่สู้ปล่อยให้ข้ารักษานางไม่ดีกว่าหรือ”“หากว่าข้ารักษานางไม่ได้ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าอยากจะทำอะไรกับข้าก็สุดแล้วแต่ใจพวกเจ้าเถอะ”พวกเขาเห็นนางมาดีไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสทั้งยังเสนอช่วยบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้านจึงยอมถอยล่นออกไปด้านหลังทันที“ขออภัยแม่นางที่พวกข้าเสียมารยาท เมื่อคืนพวกเราชาวบ้านถูกโจรภูเขาบุกปล้นพวกมันสังหารชาวบ้านไปหลายชีวิตทั้งยังจับตัวผู้หญิงในหมู่บ้านไปอีกหลายคน ใครขัดขืนพวกมันฆ่าทิ้งทันทีลูกสาวของข้าต่อสู้กับพวกมันจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ทางการส่งท่านหมอมาเพียงคนเดียวไม่สามารถรักษาทุกคนได้ทั
“ตอนนี้เด็กๆก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าคิดถึงพวกเขาหรือไม่”“แน่นอนสิเพคะใครบ้างที่ไม่คิดถึงพวกเขากัน ข้าเองก็ไม่เคยห่างกับลูกๆนานขนาดนี้มาก่อนเลย”เด็กทั้งสองเดินทางไปเมืองจี้โจวนับดูแล้วก็เป็นเวลาสามเดือนเต็มพอดี ไม่เพียงแค่พวกเขาสองสามีภรรยาที่คิดถึงเด็กๆใจจะขาด แต่คนในวังก็ไม่ต่างกัน เด็กสองคนนี้ฉลาดเฉลียวเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งวัง หรืออาจจะทั้งเมืองหลวงก็เป็นได้ เมื่อพวกเขาไม่อยู่ที่แห่งนี้ก็พลันเงียบงันลงทันใดอ๋องฉินมองใบหน้าเศร้าสร้อยของภรรยารัก ก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปเยี่ยมกันดีหรือไม่”“จะหาเวลาไหนไปล่ะเพคะงานของท่านกับข้าต่างก็ล้นมือกันไปหมด บางวันเราสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเจอหน้ากันแค่ตอนกลางคืนไม่ทันพูดคุยก็เผลอหลับกันไปแล้ว”“ก็จริง หากเจ้าเหงานักเช่นนั้นพวกเราควรมีน้องให้หลิงหลิงอีกสักคนดีหรือไม่”นางได้ยินดังนั้นก็ขึงตาใส่เขาทันที“ไม่น่าจะใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีกระมังเพคะ”“แต่ข้าว่าน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่ดีมากๆ อย่างน้อยก็ยืดไปได้อีกสักสี่ห้าปี ราชสำนักน่าจะใช้งานเราน้อยลงบ้า
6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจว-“ท่านพี่ จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอด ได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งหลิงหลิงขึ้นรถม้าแล้วเยว่เหวินหลงก็เดินตรงไปข้างหน้าเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างเฟิงอวี้“ท่านพี่เฟิงอวี้ รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไป เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็ช่างว่าน้องสาวตัวเองไปได้ นางน่ารักขนาดนั้นทำไมถึงชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื่อยกันเล่า”สารถีประจำจวนแม่ทัพฮั่วเมื่อเห็นว่านายน้อยทั้งสองเข้าไปนั่งบนรถม้าเรียบร้อยแล้วก็เริ่มขี่รถม้าออกจากเมืองทันทีเยว่เหวิ
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ใช่แล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูแทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามาก เพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆติดมือมาให้นางทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ต้องการสอบเข้าเป็นหมอหลวง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็ก
เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางเข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนาง นางก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆเพื่อลดอาการตื่นเต้น ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!“ลี่ถิง มาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา รีบวิ่งไปยังห้องอาบน้ำทันที“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเพคะ”นางเห็นเพียงพระชายาสวมเสื้อเพียงชั้นเดียวจึงรีบเข้าไปพยุงทันที“ดูเหมือนว่าข้าจะคลอดแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า”“เช่นนั้นให้หม่อมฉันประคองพระชายาไปที่ห้องคลอดก่อนนะเพคะ”นางไม่กล้าทิ้งพระชายาไว้คนเดียวจึงตะโกนเรียกชิงอีที่ตอนนี้คอยให้อาหารเสือสองตัวอยู่ด้านนอกตำหนัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาก็รีบวิ่งมาทันที“มีอะไรหรือ”“พระชายาจะคลอดแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า”“จะ…จะคลอด จะคลอดแล้วหรือ”“เอ้า! ยืนอึ้งทำไม รีบไปสิ!”“ได้ ได้ ท่านห
เช้าวันต่อมาลู่เหยียนซินกำลังหยอกล้อกับลูกเสือน้อยสองตัวที่มีนามว่าเปาเปาและจ้านจ้านอยู่ที่สวนดอกไม้หน้าตำหนักใหญ่ นางเป็นคนตั้งชื่อให้พวกมันด้วยตัวของนางเอง“พระชายา”เสียงหวานใสดังขึ้นด้านหลังนาง ลู่เหยียนซินหันไปมองก็พบว่าเป็นหยางซูฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าอุทยาน ด้านหลังเป็นแม่ทัพหยางที่ยืนซ้อนหลังนางอีกทีหยางซูฉินค้อมคำนับทำความเคารพลู่เหยียนซินทันที ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆนาง อ๋องฉินเดินมายืนข้างๆนางแล้ว“พระชายาหม่อมฉันมีเรื่องอยากจะสนทนากับพระองค์สักนิดได้หรือไม่เพคะ”“ได้สิ ข้าคงต้องฝากเปาเปากับจ้านจ้านไว้กับพวกท่านก่อน”“ข้าน้อยไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับพวกเสือเท่าไหร่นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เสียงแม่ทัพหยางเอ่ยขึ้นสีหน้าเขาดูหวาดหวั่น‘ก็แค่ลูกเสือตัวน้อยๆพวกเขาจะกลัวอะไรกันนักหนา’ นางหันมองไปยังฉินอ๋อง“ไปเถอะ”ลู่เหยียนซินยิ้มหวานก่อนจะเดินนำหยางซูฉินไปยังศาลาริมสวนดอกไม้“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ”หยางซูฉินตอนนี้ดูสงบเสงี่ยมลงเป็นอย่างมาก ชุดที่นางสวมใส่ไม่มีความหรูหราเช่นเคย
“ความจริงแล้วข้าไม่ใช่ลู่เหยียนซิน”นางมองออกไปก็เห็นสายตาที่นิ่งสงบของเขามองนางอยู่ก่อนแล้ว“ท่านไม่คิดจะตกใจหน่อยหรือ”“ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่นาง”“ท่าน! ท่านรู้ได้เช่นไรกัน”“ทุกสิ่งในตัวเจ้านั้นเปลี่ยนไปความรักความห่วงใยที่เจ้ามีต่อทุกคนที่ลู่เหยียนซินคนก่อนหน้านั้นไม่เคยมี”“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าขอยืนยันว่าข้ารักที่เจ้าเป็นตัวของเจ้าเองในตอนนี้”ทันใดนั้นแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของนางก็พลันเกิดประกายแสงวาววับขึ้นมาประตูค่อยๆเปิดออกให้เห็นภายใน อ๋องฉินแรกเริ่มไม่ได้ตื่นตกใจกับสิ่งที่เห็นแต่ไม่นานนักเขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันทีลู่เหยียนซินที่ไม่หันไปมองก็รู้ว่าข้างในคือที่ไหน แต่เมื่อมองตามสายตาที่เบิกกว้างของเขาไปก็พลันตกใจขึ้นมาทั้งยังสงสัยว่ามันมาโผล่ในที่แห่งนี้ได้เช่นไรกันห้องพักแพทย์ที่นางเข้าไปพักผ่อนหลังการผ่าตัดคลอดแม่ลูกคู่นั้นเกิดเป็นภาพให้เห็นหลังประตูบานนั้นนางคิดว่าที่อ๋องฉินตื่นตกใจไม่น่าจะใช่เห็นประตูบานนี้ แต่เป็นนางอีกคนในนั้นที่ก้มหน้าลงนอ
เย็นวันนี้เหตุเพราะเขาดื่มสุรากับเสด็จปู่ไปถึงสองไหและส่วนใหญ่เป็นเขาที่ยกดื่มอยู่ฝ่ายเดียวทำให้อาการมึนเมามีมากเกินควบคุมอีกทั้งได้ยินว่าพระชายาของตนนั้นตั้งครรภ์แล้ว ความเมาที่ยังไม่ทันสร่างบวกกับความดีใจทั้งตื่นตกใจผสมปนเปกันเข้ามา ทำให้เลือดลมของเขาวิ่งพ่านจนเกิดอาการหน้ามืดหงายหลังล้มดังตึงลงไปทันทีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกเวียนศรีษะเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นหันมองไปรอบๆห้องก็ไม่พบใครอยู่ในห้องนี้เลย“นางหายไปไหนแล้วล่ะ?”ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาฉินแพร่กระจายออกไปจนทั่วทั้งวังหลวง ผู้คนในวังต่างรู้สึกปลื้มปิติยินดีกันถ้วนหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาเมื่อทรงทราบข่าวก็เสด็จมาที่ตำหนักซูหนิงทันทีอ๋องฉินรีบเปิดประตูออกไปเดินไปยังโถงตำหนักซูหนิงก็พบว่าลู่เหยียนซินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดไปไม่ไกลกันนัก เสด็จปู่ ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ประทับอยู่ตรงนั้นด้วย“เห็นหรือไม่เพคะหม่อมฉันพูดถูกหรือไม่ ว่าไว้แล้วเชียวว่านางต้องตั้งครรภ์อยู่อย่างแน่นอน”“แน่นอนสิ ข้ายังรู้เลย” ฮ่องเต้อมยิ้มอย่างภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของพระองค์ฮอ
‘ดื่มสุราต้องมีความสำราญใจถึงเพียงนั้นเชียว’"พระชายา มีคนมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ" เสียงขันทีหน้าตำหนักเข้ามารายงานคนด้านใน"ใครหรือ" นางเดินออกไปด้านนอกประตูตำหนักทั้งยังถือถ้วยน้ำชาออกไปด้วย นางยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ถูกคนเรียกตัวไปอีกแล้วเมื่อมองออกไปหน้าประตูคนผู้นั้นก็เดินออกมาจากด้านหลังของทหารรักษาประตูมองไปก็รู้ทันทีว่าคือชิงอี เสื้อผ้าของชิงอีฉีกขาดเขาเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่น่าสังเวชยิ่งนักพรู๊ด..~~ลู่เหยียนซินเดิมทีกำลังจะดื่มชาลงไปถึงกับต้องพ่นออกมาด้วยความตกใจที่เห็นสภาพขององค์รักษ์คนสนิทของอ๋องฉิน"ชิงอี เหตุใดเจ้าถึงเป็นสภาพนั้นกันเล่า"นางมองออกไปอย่างนึกสงสัยก็เห็นเฟยหยาจูงเสือขาวสองตัวเข้ามา ตอนนี้พวกมันนั่งอยู่บนพื้นหน้าพระตำหนักจ้องมองนางอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ลู่เหยียนซินรีบก้าวเดินไปข้างหน้านางยื่นมือออกไปลูบหัวของพวกมันไปคนละหนึ่งที"เด็กดี"อ๋องฉินที่เดินตามนางออกมาถึงกับขมวดคิ้วมองไปยังเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง นี่เขากล้าแต่งต
ทั้งสองเดินออกจากท้องพระโรงไปได้ไม่ไกลนักลู่เหยียนซินก็พึ่งนึกขึ้นได้ เข้าเมืองหลวงมาทั้งทีจะไม่ให้แวะไปหาเสด็จปู่คงเป็นการเสียมารยาทมากแน่ๆ อ๋องฉินที่เดินตามหลังนางมาก็หยุดเดินกะทันหันและมองนางด้วยความสงสัย ‘นางจะทำอะไรอีก?’“พวกเราไปถวายพระพรเสด็จปู่ด้วยดีหรือไม่เพคะ”“หากเจ้าเหนื่อยแล้ว วันหลังพวกเราค่อยมาใหม่ก็ยังได้”“ไม่เหนื่อยเลยสักนิดรีบไปกันเถอะเพคะ กลับมาทั้งทีคงไม่ดีนักหากพวกเราไม่ไปถวายพระพรพระองค์”“เช่นนั้นก็ได้ ตามใจเจ้า”พวกเขาเดินต่อไปยังตำหนักซูหนิงสองข้างทางก่อนเข้าสู่ตัวตำหนักเป็นอุทยานสวนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานชูช่อสวยงาม เมื่อเดินมาถึงหน้าตำหนักก็พบเข้ากับฉางกงกงที่ยืนรออยู่นอกตำหนักแล้ว“ท่านอ๋อง พระชายา ข้าน้อยนึกว่าพวกท่านจะไม่แวะมาที่นี่เสียแล้ว”“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือฉางกงกง เหตุใดสีหน้าท่านถึงดูไม่ได้เอาเสียเลยล่ะ” อ๋องฉินเอ่ยปากถามออกไปเมื่อเห็นว่าสีหน้าฉางกงกงนั้นดูเคร่งเคลียดยิ่งนัก“ก็ไท่ซ่างหวงนะสิพ่ะย่ะค่ะ โวยวายใหญ่เลยว่าท่านอ๋องกับพระชายากลับมาแล้วแต่ไม่ยอมมาคารวะพระองค์เสียที ทรง