การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้
การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
นางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดี
ความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
“พระชายาเป็นเช่นใดบ้างเพคะ”
“ข้ายังไหว” นางตอบลี่ถิงด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ให้ข้าแจ้งท่านอ๋องหรือไม่เพคะ”
“ไม่ต้อง ข้าไม่ใช่คนที่ฉินอ๋องจะเห็นใจหากรู้ว่าข้าไม่สบายมีแต่จะสมน้ำหน้าข้าเสียมากกว่า เขาอาจจะหาวิธีทรมานข้ามากไปกว่านี้ก็เป็นได้”
“พูดอะไรเช่นนั้นท่านอ๋องไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอกนะเพคะ”
“เจ้าอยู่เงียบๆก็พอแล้วข้าจะพักสักหน่อย จำไว้ว่าอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”
“เพคะพระชายา”
รถม้าขับเคลื่อนไปเรื่อยๆหนทางข้างหน้าทุลักทุเลพอสมควร ยามรถม้าตกหลุมโคลงเคลงอย่างหนักส่งผลไปยังบาดแผลของนางโดยตรง
ลู่เหยียนซินฝืนทนต่อไปนางนอนตะแคงบนพื้นรถม้าโดยมีลี่ถิงนั่งอยู่ด้านข้าง คอยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้นางอยู่ตลอดเวลา
“พระชายาอดทนอีกนิดนะเพคะจวนจะพลบค่ำแล้ว หากขบวนกองทัพหยุดพักตั้งค่ายเมื่อใด ท่านก็จะได้นอนพักสบายๆ แล้วเพคะ”
“อืม” ลู่เหยียนซินตอบกลับนางด้วยเสียงอันแผ่วเบาก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
ไม่ช้ากองทัพของอ๋องฉินก็หยุดพักตรงเขตชายป่า เขาสั่งให้ทหารตั้งกระโจมพักและให้ทหารส่วนหนึ่งออกล่าตะเวนบริเวณรอบๆ เผื่อเจอกลุ่มโจรแอบซุ่มโจมตี
หลังจากทหารตั้งกระโจมและกระจายกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณโดยรอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว อ๋องฉินจึงสั่งให้ชิงอีเรียกลู่เหยียนซินลงจากรถม้า
“พระชายา”
“ท่านชิงอี คือว่าพระชายาหลับอยู่เจ้าค่ะ”
“หลับเช่นนั้นหรือ” ชิงอีแอบมองลอดผ่านผ้าม่านประตูแม้ลี่ถิงจะเปิดออกมาเพียงเล็กน้อยและรีบปิดม่านลง แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมขององค์รักษ์หนุ่มก็สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่ามันไม่ปกติ!
หลังจากชิงอีเดินจากไปแล้วลี่ถิงก็ลอบถอนหายใจออกมาทันที นางหันมองไปยังนายสาวของตัวเองสีหน้าพระชายาไม่ดีเลยนางลังเลอยู่พักใหญ่ ‘จะบอกท่านอ๋องดีหรือไม่นะ…'
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไร” อ๋องฉินที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าต้องหันกลับมามององค์รักษ์คนสนิทของเขาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกขาน
“คือว่า..ข้าน้อยคิดว่าพระชายาน่าจะมีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
“นางก่อเรื่องอันใดอีกล่ะ” อ๋องฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขาคิดถูกหรือผิดที่นำนางมาด้วยกันแน่
“ไม่ได้ก่อเรื่องอันใดแต่ข้าน้อยคิดว่าพระชายาน่าจะมีไข้ เมื่อครู่ข้าน้อยไปเรียกที่รถม้าสาวใช้ของพระชายาบอกว่าพระชายาทรงพักผ่อนอยู่ แต่ข้าน้อยแอบลอบมองเข้าไปเห็นสีหน้าพระชายาดูไม่สู้ดีเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉินที่ตอนนี้ยังสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยสาบเสื้อแยกออกจากกันมองเห็นแผงอกแกร่งที่มีขนประดับเบาบางอยู่รำไร เขาเดินตรงมุ่งหน้าไปยังรถม้าทันทีเมื่อเปิดม่านออกลี่ถิงถึงกลับสะดุ้งตกใจก่อนจะรีบลนลานลงจากรถม้าไปยืนด้านข้างถัดจากชิงอีทันที
อ๋องฉินก้าวขึ้นไปบนรถม้าใช้หลังมือสัมผัสไปยังหน้าผากมนหากแต่หลังมือของเขายังไม่ทันแตะถึงผิวเนื้อของนางก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากตัวนาง
เขารีบช้อนตัวนางขึ้นแล้วอุ้มไว้ในอ้อมแขนแกร่งวิ่งตรงไปยังกระโจมพักทันที อ๋องฉินสั่งให้ทหารนำอ่างน้ำสำหรับเช็ดตัวและทำการต้มยาให้นางโดยเร็ว
เขาสั่งให้ลี่ถิงเช็ดตัวให้นางเมื่อเสร็จเรียบร้อยถึงนำยามาป้อนนางต่อ ลู่เหยียนซินลืมตาขึ้นมาได้นิดหน่อยก็ต้องหลับตาลงต่อเพราะรู้สึกถึงความหนักอึ้งของศรีษะ
“กินยาเข้าไปเจ้าจะมาตายกลางป่าไม่ได้ หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้เกิดใครมาพบเห็นเข้าคงต้องหลอนติดตาไปชั่วชีวิตแน่ๆ น่าสงสารจะตายไป”
ลี่ถิงถึงกลับเบิกตากว้างมองไปยังอ๋องฉินทันที นั่นใช่คำพูดปลอบประโลมคนป่วยหรืออย่างไรกัน ท่านอ๋องเหตุใดถึงได้กล่าวหาพระชายาเช่นนั้นกันเล่า
อ๋องฉินป้อนยาเข้าปากนาง นางกลืนลงแต่โดยดีแต่ก็ต้องสำลักออกมาเพราะความขมของยาทั้งยังพยายามเบือนหน้าหนี เขาจำต้องอมยาไว้ในปากแล้วป้อนให้นางโดยตรงแทน ลี่ถิงกับชิงอีถึงกลับเบือนหน้าหนีกันแทบไม่ทัน
“เจ้าดูแลพระชายามาทั้งวันไปพักได้แล้ว กระโจมเจ้าอยู่ถัดออกไปทางด้านหลัง” ชิงอีบอกกล่าวกับลี่ถิง นางพยักหน้าตอบรับและรีบเดินออกจากกระโจมไปทันที ‘พระชายายังมีท่านอ๋องดูแลอยู่คงไม่เป็นไรกระมัง’
อ๋องฉินปล่อยให้นางนอนพักต่อส่วนเขาออกไปนั่งลงตรงกองไฟข้างกระโจม พวกเหล่าทหารกล้าทั้งหมดนั่งกินอาการค่ำพร้อมๆ กันกับท่านอ๋อง อ๋องฉินไม่ถือสาสิ่งใดเพราะเขานับว่าทหารกล้าที่ร่วมรบด้วยกันต่างก็มีเกียรติเท่ากันทุกคน
ปกติยามไฮ่ (21.00-22.59) อ๋องฉินจะนำทหารบางส่วนออกล่าตระเวนในระยะที่พวกเขาตั้งกระโจมในทุกๆ คืนตั้งแต่ที่เดินทางกันมาแต่เพราะคืนนี้พระชายาของเขาป่วยจึงทำได้เพียงมอบหมายให้ชิงอีและเฟยหยาทำหน้าที่แทน
เขาเดินเข้ามาในกระโจมแล้วนั่งลงบนเตียงข้างนาง ลู่เหยียนซินนอนขดตัวอยู่บนเตียงปากเรียวบางสั่นสะท้านพลางเอ่ยเสียงสั่นเบาๆ ออกมา
“หนะ..หนาว”
“แม่จ๋าข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
มือหนายื่นออกไปจับหน้าผากมนรับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวนาง เขาสั่งทหารรับใช้นำอ่างน้ำมาให้ที่กระโจมอีกครั้ง ดึกมากแล้วจึงไม่ได้ให้คนไปตามลี่ถิงมาดูแลนาง
“ยังไม่ถึงจี้โจวก็จับไข้เสียแล้ว อ่อนแอเสียจริง!”
อ๋องฉินจำต้องผลัดเสื้อผ้าของนางออกพลันสายตาของเขาก็มองไปเห็นร่องรอยบนแผ่นหลังของนาง ร่องรอยที่ถูกโบยยังไม่จางหายนวลเนื้อขาวใสมีรอยแดงแตกระแหงแผลบางแห่งยังคงมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย
เหตุที่นางจับไข้ก็คงเพราะพิษจากแผลที่โดนโบยนี่เองสินะ อ๋องฉินมองนางนิ่งเหตุใดถึงอดทนได้ขนาดนี้กัน
สักพักจึงลงมือเช็ดตัวให้นางอีกครั้งก่อนจะนำยามาทาด้านหลังของนางอีกทีหนึ่ง ไอร้อนยังคงไม่เจือจางลงเขาจำใจต้องดึงนางมาสวมกอด กลิ่นอายความอบอุ่นที่อยู่ตรงหน้าทำให้คนตัวเล็กมุดเข้าอ้อมแขนแกร่งทันที
ชายหนุ่มรู้สึกเกรงตัวตามสัญชาตญาณของบุรุษ ความนุ่มนิ่มของกายสาวที่แนบชิดกับเนื้อตัวของเขาทำให้นวลเนื้อส่วนล่างตื่นขึ้นมาทันที แต่เห็นว่านางป่วยไข้เลยต้องหยุดความคิดเหล่านั้นลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาสวมกอดนางอยู่อย่างนั้นทั้งคืนเมื่อถึงรุ่งเช้าค่อยรีบออกไปสั่งการให้ทหารเริ่มจัดขบวนออกเดินทางกันต่อ เขาไม่ได้อยากแล้งน้ำใจกับนางมากนักเพียงแต่หนทางข้างหน้ายังมีผู้คนที่รอคอยการช่วยเหลือไม่สามารถช้าได้สักวินาทีเดียว
“พระชายาเป็นเช่นไรบ้างเพคะ” ลี่ถิงค่อยๆ ประคองนางออกมาจากกระโจมเพื่อไปขึ้นรถม้า
“ดีขึ้นแล้วล่ะ” ดียังไงกันสีหน้าพระชายายังซีดเซียวอยู่เลย นางได้แต่คิดในใจไม่อยากเถียงผู้เป็นเจ้านายให้ไม่สบายใจอีก
“ท่านนั่งรอตรงนี้ก่อนนะเพคะเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปเอาอาหารมาให้ พระชายาต้องกินยาด้วยไข้จะได้ทุเลาลงเพคะ”
“ขอบใจนะลี่ถิง อ้อ..เมื่อคืนเจ้าดูแลข้าใช่หรือไม่”
“หามิได้เพคะ เป็นท่านอ๋องที่ดูแลท่านทั้งคืนเพคะ”
“ห๋า!”
พูดจบลี่ถิงก็เดินไปยังบริเวณจุดทำครัวทันที เมื่อครู่หูนางคงฝาดไปใช่หรือไม่อ๋องฉินเนี่ยนะจะเฝ้าไข้นาง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง!!!
ไม่นานนักลี่ถิงเดินกลับมาพร้อมถ้วยโจ๊กถ้วยหนึ่ง “พระชายาเสวยอาหารเถอะเพคะ”
“อืม”
ลู่เหยียนซินกินไปได้เพียงสองสามคำจำต้องวางลงรสชาติจืดชืดนางจึงกลืนไม่ค่อยลง อ๋องฉินที่เดินตามมาเห็นนางกินไปได้แค่สองสามคำถึงกลับขมวดคิ้วทันที
“เจ้ากินแค่นั้นจะไปอยู่ท้องได้เช่นไรยังต้องเดินทางอีกไกลนะ”
“ข้าอิ่มแล้ว”
“กินแค่นั้นจะไปอิ่มได้เช่นไรเจ้ารู้หรือไม่ว่าอาหารที่ทำออกมา ทหารทุกคนต้องกินให้หมด ไม่มีผู้ใดกินทิ้งกินขว้างไม่รู้คุณค่าเหมือนเจ้าเลยสักคน”
“ทำไมท่านต้องพูดมากด้วยเล่า ข้าแค่กินไม่ลงเท่านั้นเองที่ผ่านมาข้ากินไม่เคยเหลือเลยนะ”
“ใช่เพคะท่านอ๋อง พระชายากินอาหารหมดทุกครั้งเลยนะเพคะยกเว้นก็เพียงแต่ครั้งนี้…”
อ๋องฉินส่ายหัวให้นายบ่าวคู่นี้ทันทีเขาคร้านจะเถียงนางจึงเดินไปนั่งบนรถม้าข้างนาง ลี่ถิงเก็บถาดอาหารออกไปทันทีไม่ลืมที่จะทิ้งยาไว้ให้นางอีกด้วย
ลู่เหยียนซินเดิมทีนางจะเอายาแก้อักเสบออกมากินแต่เพราะอ๋องฉินยังอยู่อีกทั้งยังนั่งข้างนางขนาดนี้นางเลยไม่กล้าหยิบออกมา
ได้แต่มองถ้วยยาที่มีน้ำสีแดงนองอยู่ด้านในเต็มถ้วยนางลอบกลืนน้ำลายช้าๆ นางไม่ชอบดื่มยาน้ำเป็นที่สุด รับรู้ได้ทันทีเลยว่ายาถ้วยนี้คงจะขมน่าดู
อ๋องฉินลอบสังเกตุนางก็เห็นว่านางดูไม่อยากกินยาเลยจำเป็นต้องขู่นางไว้ก่อน
“หากเจ้ายังไม่ยอมกินข้าจะจับกรอกปากเจ้าเดี๋ยวนี้!” เขาพูดพลางมองไปที่นางนิ่งจ้องขนาดนี้นางจะแอบเททิ้งได้เช่นไรกัน
ลู่เหยียนซินยกถ้วยยาขึ้นมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกตนเองไว้แล้วรีบกลืนยาลงทันที รสชาติที่ขมทำให้นางแทบอยากจะพ่นยาออกมา อ๋องฉินใช้มือปิดปากนางทันที นางทำอะไรไม่ได้นอกจากจำต้องกลืนมันลงไป
“หากเจ้ายังดื้อดึงไม่ยอมกินยาอีก ข้าจะมาป้อนให้เจ้าเองกับมือทุกครั้ง!” คำขู่ของเขาทำให้นางหันมองเขาทันที
“ข้ายังต้องกินยาอีกงั้นหรือ”
“จนกว่าจะหาย หากเสด็จแม่รู้ว่าเจ้าตายระหว่างทางไม่พ้นที่ข้าจะโดนเสด็จแม่ลงโทษ”
พูดจบก็เดินออกไปสั่งการกับทหารองค์รักษ์ทันที นางรู้สึกสยองที่ต้องกินยานี้อีกครั้งเลยรีบหยิบยาแก้อักเสบจากกล่องยาออกมากินทันที นางต้องหายด้วยยาของนางเองนางจะไม่มีวันกินยานั้นอีกเป็นอันขาด!
อ๋องฉินสั่งจัดขบวนเพื่อเดินทางต่อ เขาไม่ได้ขี่ม้าที่หัวขบวนเช่นเคยแต่กลับมานั่งบนรถม้ากับนาง ส่วนลี่ถิงไปนั่งรถม้าที่ใช้เก็บเสบียงแทน
“ท่าน! เหตุใดไม่ไปขี่ม้าเช่นเคยเล่า”
“ข้าต้องกำชับให้เจ้าพักผ่อนและกินยาไม่ให้คลาดสายตา”
“นอนพักข้าทำอยู่แล้ว แต่กินยาไม่ใช่ว่าถึงเวลาอาหารก็หยุดพักม้ากันหรอกหรือ”
“วันนี้ไม่ คนครัวได้ทำเสบียงอาหารสำหรับกินไปด้วยเดินทางไปด้วยไว้แล้ววันนี้เราไม่สามารถหยุดพักบริเวณพื้นที่แถบนี้ได้มันอันตรายเกินไป”
ลู่เหยียนซินมองหน้าเขานิ่งก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็มองเห็นทั้งชิงอีและเฟยหยาควบม้าอยู่ด้านข้าง เหล่าทหารที่เหลือจัดขบวนได้แปลกตากว่าวันผ่านๆ มามาก ดูไปแล้วเหมือนพวกเขาตั้งใจปกป้องรถม้าของนางอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้านอนลงเถอะหนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะเข้าเขตแดนเมืองจี้โจว เราต้องผ่านหุบเขาลูกนี้ไปให้ได้ก่อน”
ลู่เหยียนซินหลี่ตาลง จู่ๆก็มาทำดีกับนางไม่ใช่ว่าจะหาทางกลั่นแกล้งนางอีกหรอกนะ นางเห็นอ๋องฉินหลับตาลงไม่สนใจนางอีก นางจึงเลิกคิดและหันกลับมาจัดท่านอนของตนเอง
ลู่เหยียนซินนอนลงอย่างว่าง่ายนางรู้สึกอ่อนเพลียมากจริงๆเมื่อหัวถึงหมอนนางก็หลับตาลงทันที อ๋องฉินมองใบหน้าที่หลับใหลด้วยแววตาที่หลากหลายความรู้สึกทั้งความรู้สึกเกลียด เกลียดที่นางร้ายกาจชอบแสดงอำนาจทำร้ายบ่าวไพร่ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็เหมือนโล่งใจเวลาที่นางไม่สนใจแสดงความรักใคร่ต่อเขาเฉกเช่นที่นางเคยเป็น เขาจึงรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้พูดคุยกับนางในช่วงเวลานี้
ขบวนรถม้ามุ่งหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วพวกเขาไม่หยุดเดินทางกันเลยสักนิดเหตุเพราะบริเวณนี้เป็นหุบเขาที่ซับซ้อนยิ่งนัก โจรป่าก็ชุกชุมไม่สามารถหยุดการเดินทางได้เด็ดขาด
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
-เรือนซินหยาง จวนอ๋องฉิน-"พระชายาเพคะ พระชายา"เสียงเรียกจากสตรีนางหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาทการรับฟัง ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเปลือกตาบางค่อยๆ แย้มกระพริบขึ้น นางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ร่างเพรียวบางพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คนสนิทประคองตัวนางช่วยอีกแรงลู่เหยียนซินหันมองรอบๆ ห้องนางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นดวงตาเล็กเรียวทอดมองมายังหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าไร้เดียงสาที่ยังมีหยาดน้ำตานองเต็มดวงตากำลังนั่งมองนางด้วยความดีใจอย่างที่สุด"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพระชายางั้นหรือ""เพคะพระชายา ท่านคงไม่ใช่ว่าได้รับการกระทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้หรอกนะเพคะ"สาวใช้คนสนิทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำคล้ายผ่านการร้องไห้มานานนับหลายวันและมีทีท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งลู่เหยียนซินพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมานั้นในช่วงเวลาหนึ่งที่คล้ายกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ลู่เหยียนซินเห็นตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัดนางกำลังผ่าตัดช่วยชีวิตหญิงท้องแก่ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรงส่งผลต่อเด็กในครรภ์โดยตรง การผ่าตัดใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆทุกวินาทีนั้นมีค่าห
เพล้ง !เสียงกระเบื้องเคลือบตกลงกระทบกับพื้นแตกกระจายทั่วทั้งพื้นห้องน้ำหวานสีแดงสดสาดกระเซ็นโดนปลายกระโปรงของหยางซูฉิน ไม่พอเท่านั้นนางยังยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของตัวเองแรงๆไปทีหนึ่ง ลู่เหยียนซินมองนางด้วยความตื่นตะลึง 'นี่ต้องลงทุนทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลยหรือ?’"พระชายา หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ"หยางซูฉินทรุดตัวนั่งลงกับพื้นห้องนางมองมาที่ลู่เหยียนซินด้วยแววตาที่ชิงชัง เรียวปากของนางเหยียดยิ้มออกมาพลางบีบน้ำตาให้ไหลอาบใบหน้าเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางสร้างความรำคาญให้แก่ลู่เหยียนซินผู้เป็นเจ้าของห้องนี้เป็นอย่างมาก นางจ้องมองการกระทำของหยางซูฉินด้วยสายตาแข็งกร้าวจนหยางซูฉินเองรู้สึกขนลุกขนชันทั่วทั้งร่างกายหากเป็นแต่ก่อนลู่เหยียนซินคงจะอาระวาดหนักไปแล้วแต่วันนี้นางกลับนิ่งเงียบนั่งมองหยางซูฉินแสดงละครด้วยสีหน้านิ่งเฉย ลู่เหยียนซินกรอกตามองไปที่หยางซูฉินผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามกิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวาน นางเผยตัวตนที่เลวทรามให้ลู่เหยียนซินเห็นมาหลายครั้งหลายคราแต่กลับไม่มีผู้ใดมองเห็นมันเสียทีปัง!ประตูห้องนอนของนางถูกถีบออกด้วยฝ่าเท้าของบุรุษชุดคลุมสีเขียวหยก
-เรือนฉางหมิง จวนอ๋องฉิน-"ท่านอ๋องอย่าลงโทษพระชายาอีกเลยนะเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่ระวังเองหากลงโทษนางอีกเกรงว่าร่างกายของพระชายาจะรับไม่ไหว""อืม วันนี้เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ""แต่ว่าท่านอ๋อง...""เจ้าเองก็หายดีแล้วหากอยู่ที่นี่นานจะมีแต่คำติฉินนินทา วันนี้ข้าต้องเข้าวังเจ้ากลับไปก่อนไว้ข้าจะหารือเรื่องของเรากับฝ่าบาทอีกครั้ง""เช่นนั้นก็ได้เพคะหม่อมฉันทูลลา"หลังหยางซูฉินจากไปอ๋องฉินก็เข้าไปในห้องตำราก่อนจะนั่งลงพลางครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่ดูจากหลักฐานแล้วลู่เหยียนซินไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องขึ้นก่อนแน่นอนแล้วหยางซูฉินจะใส่ความนางทำไมกัน?หากเป็นแต่ก่อนมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่พ้นที่นางจะโวยวายและเป็นฝ่ายตบตีหยางซูฉินก่อนเป็นแน่ แต่ครั้งนี้ต่างไปนางนิ่งเงียบแววตาไร้ซึ่งอารมณ์กรุ่นโกรธเหมือนกำลังดูอะไรสนุกๆอยู่อย่างไรอย่างนั้น"ท่านอ๋องให้เรียกท่านหมอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่จำเป็น"อ๋องฉินที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ผุดลุกขึ้นทันทีคราบเลือดเริ่มแห้งลงบ้างแล้ว เขาไม่สนใจบาดแผลนี้เลยสักนิดก่อนจะหันมองไปยังองค์รักษ์คนสนิท"ชิงอี""ท่านอ๋องเชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ""สั่งให้
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ