“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”
“หืม”
“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”
“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”
พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน
“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”
“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบสั่งการไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะพระชายา”
อ๋องฉินขมวดคิ้วมองนางนิ่งลู่เหยียนซินไม่ทันสังเกตเขาอันที่จริงแล้วนางไม่ได้สนใจเขามากกว่า นางเหนื่อยล้าเต็มทนปากก็หาวหวอดออกมาอย่างไม่รักษากิริยาสักนิด
“พวกเรากลับกันเถอะข้าเหนื่อยอยากนอนพักเต็มทนแล้ว” นางบอกกล่าวก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังรถม้าของตนทันที
อ๋องฉินยืนส่ายหน้ากับตัวเองคล้ายเอือมระอากับพฤติกรรมของนางเต็มทีแต่หลังจากนั้นก็อดอมยิ้มไม่ได้ อารมณ์เดือดเมื่อครู่หายไปโดยไม่รู้ตัวพลอยทำให้ทุกคนซึ่งยืนมองอยู่อดอมยิ้มให้กับสามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้เช่นกัน
ขบวนรถม้าเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองผ่านตัวอาคารร้านค้าและบ้านเรือนของชาวบ้านที่แออัดกันหนาแน่น ก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูจวนหลังใหญ่แห่งหนึ่งตัวจวนที่ใหญ่โตโอ่อ่าประตูที่เปิดออกกว้างทำให้มองเห็นด้านในที่มีตำหนักน้อยใหญ่เรียงรายต่อกัน บ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมาเพื่อยืนรอต้อนรับผู้เป็นเจ้าของจวนและเมืองแห่งนี้ด้วยความตื่นเต้น
‘โอ้โห…สวยกว่าจวนในเมืองหลวงอีกแฮ่ะ’
เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ลู่เหยียนซินถูกห้ามไม่ให้ออกจากจวนนางรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันนี้นางเห็นแม่ทัพฮั่วเดินทางมาที่จวนแต่เช้าคาดว่าคงจะออกไปล่าตระเวนกันอีกตามเคย นางลอบยิ้มกับตัวเองด้วยความคิดที่จะแอบออกไปข้างนอกเสียหน่อย
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางคิดหาทางช่วยเหลือชาวบ้านที่ตอนนี้นั้นน่าจะขาดแคลนอาหารและของใช้กันพอสมควรแต่นางไม่มีเงินมากพอที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้
“ทำอย่างไรดีล่ะจะขอเงินท่านอ๋องก็ไม่ได้ ทางนั้นใช่ว่าจะญาติดีกับข้าเสียที่ไหนกัน เฮ้อ…” นางนั่งเหม่อมองไปข้างหน้ามืออีกข้างก็ลูบๆไปโดนแหวนบนนิ้ว ทันใดนั้นนางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีมิติวิเศษอยู่
“ให้ตายสิทำไมข้าถึงเพิ่งนึกได้กันนะ”
นางกดปุ่มบนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วพลันก็เกิดแสงสีทองวาบขึ้นทันทีก่อนจะเปิดประตูเข้าไปข้างในแล้วเลือกหยิบเอาเมล็ดพันธ์พืชออกมา ข้างในมิติวิเศษนี้มีเพียงต้นข้าวที่เหลืองอร่ามแต่ไม่มีข้าวสารสักกระสอบ ‘ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้’
“โว้ยย! ทำความดีทำไมมันยากเย็นเช่นนี้กันล่ะเนี่ย”
นางนั่งลงใช้ความคิดมีอะไรที่สามารถนำไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้บ้างนะ ลู่เหยียนซินหันซ้ายหันขวาทันใดนั้นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางมีปิ่นทองที่สวยงามประณีตอยู่ชิ้นหนึ่งจำได้ว่าก่อนจะเดินทางมาที่นี่นางโยนมันเข้ามาในมิติแห่งนี้
ตั้งแต่ที่เจ้าของร่างนี้แต่งงานเข้าจวนมาท่านอ๋องก็ไม่เคยริบปิ่นทองนี้คืนเลย ‘เช่นนั้นข้าขอยืมไปใช้ก่อนแล้วกันนะ’ นางยิ้มก่อนที่จะไปหยิบเอาปิ่นทองบนชั้นวางของและไม่ลืมที่จะหยิบเอาเมล็ดพันธ์พืชออกมาด้วย
ลู่เหยียนซินให้ลี่ถิงไปเรียกคนขับรถม้าเพื่อมุ่งหน้าออกจากจวนไปยังตลาดในตัวเมืองทันที อ๋องฉินที่กำลังจะออกไปลาดตระเวนเดินออกมาก็พบกับลู่เหยียนซินที่กำลังขึ้นรถม้าอยู่
“นางจะไปไหน”
“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง พระชายาไม่ได้แจ้งข้าน้อยไว้”
“เจ้าตามนางไปไม่ต้องแสดงตัวตามไปเงียบๆก็พอ เดี๋ยวนางก็มาโวยวายข้าอีกน่ารำคานชะมัด”
‘รำคานแต่ให้คนตามนางเนี่ยนะเหตุใดท่านอ๋องปากกับใจไม่ตรงกันเช่นนี้ล่ะ’
รถม้าจอดตรงหน้าร้านขายเครื่องประดับที่ดูแล้วน่าจะเป็นเพียงร้านเดียวที่มีในเมืองจี้โจวแห่งนี้
“ข้าต้องไปอีกหลายที่ เจ้าคอยข้าที่นี่แล้วอย่าให้คนของท่านอ๋องพบเข้าล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะพระชายา”
ลู่เหยียนซินเดินตรงเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับโดยมีลี่ถิงเดินตามไปติดๆ
“แม่นางต้องการซื้อสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยนะขอรับ”
“ข้าไม่ได้มาซื้อเจ้าค่ะ ข้าต้องการจำนำของสิ่งนี้”
เมื่อเฒ่าแก่มองเห็นของในมือนางก็ตาลุกวาวทันที ปิ่นทองชิ้นนี้ดูประณีตยิ่งนักการตกแต่งลวดลายนั้นดูซับซ้อนหนักแน่นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของคนธรรมดาใช้งานกัน มันทำจากทองคำมูลค่านับไม่ได้เลยด้วยซ้ำสตรีผู้นี้เป็นใครกันนะถึงได้มีของล่ำค่านี้ติดตัวได้
“แม่นางข้าให้ท่านสามพันตำลึงท่านว่าเช่นไรขอรับ”
“ข้าแค่จะจำนำไว้เท่านั้นนะ”
“ไม่ใช่ปัญหาขอรับแม่นางแต่หากเลยกำหนดหนึ่งเดือนแล้วท่านยังไม่มาไถ่คืน เกรงว่า…”
“ข้ารู้แล้วน่า”
นางหยิบเอาตั๋วสัญญาออกมาและหยิบเงินใส่แขนเสื้อไว้ก่อนจะเดินออกจากร้านไปทันที
ทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่แล้วเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆจนถึงร้านขายเครื่องปรุงวัตถุดิบ
"เชิญเลือกดูข้างในได้นะขอรับแม่นาง ท่านอยากได้สิ่งใดบอกข้าได้เลยนะขอรับ"
"ข้าจะซื้อข้าวสารเสียหน่อย เยอะพอสมควร"
"เช่นนั้นเชิญด้านในเลยขอรับ"
“อืม”
ลู่เหยียนซินกับลี่ถิงเดินตามหลงจู๊เข้าไปด้านในร้านก่อนจะพบเข้ากับชายชราผู้หนึ่งที่ท่าทางเป็นจะเป็นเจ้าของร้านนี้
ด้านในร้านนั้นมีวัตถุดิบให้เลือกซื้ออยู่มากมายจริงๆ แทบจะเรียกได้ว่ามีทุกอย่างครบครันเลยก็ว่าได้
“เฒ่าแก่ขอรับ แม่นางผู้นี้ต้องการซื้อข้าวสารกับเราขอรับ”
"ข้าอยากได้ข้าวสารสักสิบกระสอบท่านคิดเงินมาได้เลยนะเจ้าคะ"
"เช่นนั้นแม่นางรอสักครู่นะขอรับ"
"ข้าวสารกระสอบล่ะหนึ่งตำลึง สิบกระสอบเป็นเงินสิบตำลึงขอรับแม่นาง"
“กระสอบล่ะหนึ่งตำลึงหรือ? เช่นนั้นข้าขอเพิ่มเป็นสามสิบกระสอบนะเจ้าคะเฒ่าแก่ แล้วก็ข้าอยากขอให้ท่านช่วยไปส่งข้าวสารพวกนี้ให้ข้าด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
อันที่จริงแล้วนางสามารถเรียกใช้ทหารในจวนได้ เพียงแต่ไม่อยากให้ล่วงรู้ถึงหูท่านอ๋อง เกรงว่าเขาจะเค้นถามเอาได้ว่านางไปเอาเงินมาจากไหนถึงซื้อข้าวสารได้เยอะถึงเพียงนี้ ความลับที่นางเอาปิ่นทองในจวนของเขาไปจำนำจะแตกเอาได้
“แม่นางต้องการให้ข้าไปส่งที่ใดบ้างขอรับ”
“ส่งตามหมู่บ้านทุกหมู่บ้านโดยรอบเมืองเลยเจ้าค่ะ ขาดเหลือเท่าใดข้าจะมาจ่ายเงินเพิ่ม”
นางพูดจบก็ยื่นตำลึงเงินให้กับหลงจู๊ทันที เขารับมาด้วยใบหน้าเบิกบานเป็นอย่างยิ่งก่อนจะตาโตเมื่อเห็นตำลึงเงินในมือ
“นี่…นี่มัน ห้าสิบตำลึง! แม่นางงงง....คอยข้าก่อนขอรับบบ"
ลู่เหยียนซินไม่ได้หันหลังกลับไปแต่รีบเร่งฝีเท้าเดินต่อไปยังรถม้าของตัวเองทันที นางอมยิ้มอย่างมีความสุขรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นเสมอไม่ว่าจะเป็นตอนที่นางอยู่ในที่ที่นางจากมาหรือในช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ก็ตาม
-จวนเจ้าเมือง-
“ท่านอ๋องขอรับข้าน้อยตามพระชายาไปในตัวเมือง เห็นนางนำปิ่นทองเล่มนี้ไปจำนำไว้ที่ร้านขายเครื่องประดับขอรับ”
“จำนำไว้เช่นนั้นหรือ แล้วเจ้าซื้อกลับมาเท่าไหร่”
“สามพันตำลึงขอรับ”
“มากถึงเพียงนั้นเชียวนางเอาเงินไปทำสิ่งใดกันแน่นะ”
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อวันนี้ได้ทำตามที่ใจปรารถนาแล้วก็นั่งรถม้ากลับมาที่จวนทันที ระหว่างทางกลับห้องนั้นนางเดินผ่านห้องโถงหูก็แว่วได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะของผู้หญิง
‘ผู้หญิงที่ไหนกัน! เสียงอ่อนเสียงหวานน่าขนลุกชะมัด’
นางก้าวเท้าเข้าไปที่โถงกลางพลันสายตาก็มองสบเข้ากับผู้หญิงอีกคนในห้องนางจ้องมองอีกครั้งอย่างเต็มตาถึงรู้ว่าคือหยางซูฉิน ไม่ต้องถามก็รู้คำตอบว่านางมาที่นี่ทำไมอ๋องฉินอยู่ที่นี่จะแปลกตรงไหนหากนางตามมาด้วย เพียงแต่ตามมาได้ไวถึงเพียงนี้เชียว?
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
-เรือนซินหยาง จวนอ๋องฉิน-"พระชายาเพคะ พระชายา"เสียงเรียกจากสตรีนางหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาทการรับฟัง ใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเปลือกตาบางค่อยๆ แย้มกระพริบขึ้น นางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ร่างเพรียวบางพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คนสนิทประคองตัวนางช่วยอีกแรงลู่เหยียนซินหันมองรอบๆ ห้องนางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นดวงตาเล็กเรียวทอดมองมายังหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าไร้เดียงสาที่ยังมีหยาดน้ำตานองเต็มดวงตากำลังนั่งมองนางด้วยความดีใจอย่างที่สุด"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าพระชายางั้นหรือ""เพคะพระชายา ท่านคงไม่ใช่ว่าได้รับการกระทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้หรอกนะเพคะ"สาวใช้คนสนิทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำคล้ายผ่านการร้องไห้มานานนับหลายวันและมีทีท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งลู่เหยียนซินพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมานั้นในช่วงเวลาหนึ่งที่คล้ายกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ลู่เหยียนซินเห็นตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัดนางกำลังผ่าตัดช่วยชีวิตหญิงท้องแก่ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรงส่งผลต่อเด็กในครรภ์โดยตรง การผ่าตัดใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆทุกวินาทีนั้นมีค่าห
เพล้ง !เสียงกระเบื้องเคลือบตกลงกระทบกับพื้นแตกกระจายทั่วทั้งพื้นห้องน้ำหวานสีแดงสดสาดกระเซ็นโดนปลายกระโปรงของหยางซูฉิน ไม่พอเท่านั้นนางยังยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าของตัวเองแรงๆไปทีหนึ่ง ลู่เหยียนซินมองนางด้วยความตื่นตะลึง 'นี่ต้องลงทุนทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลยหรือ?’"พระชายา หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ"หยางซูฉินทรุดตัวนั่งลงกับพื้นห้องนางมองมาที่ลู่เหยียนซินด้วยแววตาที่ชิงชัง เรียวปากของนางเหยียดยิ้มออกมาพลางบีบน้ำตาให้ไหลอาบใบหน้าเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางสร้างความรำคาญให้แก่ลู่เหยียนซินผู้เป็นเจ้าของห้องนี้เป็นอย่างมาก นางจ้องมองการกระทำของหยางซูฉินด้วยสายตาแข็งกร้าวจนหยางซูฉินเองรู้สึกขนลุกขนชันทั่วทั้งร่างกายหากเป็นแต่ก่อนลู่เหยียนซินคงจะอาระวาดหนักไปแล้วแต่วันนี้นางกลับนิ่งเงียบนั่งมองหยางซูฉินแสดงละครด้วยสีหน้านิ่งเฉย ลู่เหยียนซินกรอกตามองไปที่หยางซูฉินผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามกิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวาน นางเผยตัวตนที่เลวทรามให้ลู่เหยียนซินเห็นมาหลายครั้งหลายคราแต่กลับไม่มีผู้ใดมองเห็นมันเสียทีปัง!ประตูห้องนอนของนางถูกถีบออกด้วยฝ่าเท้าของบุรุษชุดคลุมสีเขียวหยก
-เรือนฉางหมิง จวนอ๋องฉิน-"ท่านอ๋องอย่าลงโทษพระชายาอีกเลยนะเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่ระวังเองหากลงโทษนางอีกเกรงว่าร่างกายของพระชายาจะรับไม่ไหว""อืม วันนี้เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ""แต่ว่าท่านอ๋อง...""เจ้าเองก็หายดีแล้วหากอยู่ที่นี่นานจะมีแต่คำติฉินนินทา วันนี้ข้าต้องเข้าวังเจ้ากลับไปก่อนไว้ข้าจะหารือเรื่องของเรากับฝ่าบาทอีกครั้ง""เช่นนั้นก็ได้เพคะหม่อมฉันทูลลา"หลังหยางซูฉินจากไปอ๋องฉินก็เข้าไปในห้องตำราก่อนจะนั่งลงพลางครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่ดูจากหลักฐานแล้วลู่เหยียนซินไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องขึ้นก่อนแน่นอนแล้วหยางซูฉินจะใส่ความนางทำไมกัน?หากเป็นแต่ก่อนมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่พ้นที่นางจะโวยวายและเป็นฝ่ายตบตีหยางซูฉินก่อนเป็นแน่ แต่ครั้งนี้ต่างไปนางนิ่งเงียบแววตาไร้ซึ่งอารมณ์กรุ่นโกรธเหมือนกำลังดูอะไรสนุกๆอยู่อย่างไรอย่างนั้น"ท่านอ๋องให้เรียกท่านหมอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""ไม่จำเป็น"อ๋องฉินที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ผุดลุกขึ้นทันทีคราบเลือดเริ่มแห้งลงบ้างแล้ว เขาไม่สนใจบาดแผลนี้เลยสักนิดก่อนจะหันมองไปยังองค์รักษ์คนสนิท"ชิงอี""ท่านอ๋องเชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ""สั่งให้
วันรุ่งขึ้นลู่เหยียนซินถูกลี่ถิงปลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่เช้า ดวงตาที่ยังไม่เต็มตื่นปากของนางก็ยังหาวหวอดๆ อยู่เลย “ลี่ถิง ข้าต้องแต่งตัวเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”“เตรียมตัวไว้เพคะพระชายา ท่านยังต้องกินอาหารก่อนเข้าวังอีกนะเพคะหากท่านอ๋องต้องคอยนานเกรงว่าพระชายาอาจจะถูกทำโทษอีก”“ก็ได้”ทางด้านเรือนฉางหมิงเมื่อเห็นว่าจวนจะสายแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นนางออกมา อ๋องฉินที่กำลังจะสั่งให้ชิงอีไปเรียกในตอนนั้นลู่เหยียนซินก็เดินออกมาพอดี นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูหวานปักลวดลายดอกไม้สวยงามขับสีผิวขาวเนียนใส ที่เอวยังคาดเครื่องประดับสีเดียวกัน ทำให้เอวระหงยิ่งดูอรชรมากขึ้นดูอ่อนช้อยน่าหลงใหล มวยผมที่เกล้าขึ้นยังมีที่ปักผมรูปหางหงส์หยกดิ้นทองประดับอยู่เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆหวานใส แก้มแดงระเรื่อเมื่อโดนแสงแดดกลับสว่างใสมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที“ไปกันได้หรือยังข้ามีงานต้องกลับมาทำต่อนะ”“.....”‘เป็นเขาที่รอนางนานไม่ใช่หรืออย่างไรกัน นางมาช้ายังจะกล้าบ่นอีก’อ๋องฉินเดินนำหน้านางไปยังหน้าประตูจวน ลู่เหยียนซินหันมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นรถม้า ‘ไหนบอกว่ารีบ? รถม้าสักคันก็ไม่เห็นเตรียมเอาไว้แล้วจะมาเร่งนางทำไมกัน’ลู่เหยียนซิ
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
วันถัดไปอ๋องฉินสั่งเรียกแม่ทัพทั้งสองประชุมหารือเรื่องปราบโจรภูเขา พวกเขาหารือกันตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมาเลยสักคนหลี่เจ้อหยูบ่าวรับใช้ประจำกายของแม่ทัพฮั่วรีบควบม้าตรงดิ่งมายังจวนเจ้าเมืองด้วยความเร่งรีบเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาลนลานลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปในจวนจนแทบจะสะดุดกับขอบประตู ยังดีที่ทหารหน้าประตูรับไว้ได้ทัน คนผู้นี้มาที่จวนแห่งนี้กับท่านแม่ทัพฮั่วอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่เคยชิน ทหารเหล่านั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในไม่ได้ขวางเอาไว้เขารีบวิ่งเข้ามาในจวนด้วยความรวดเร็วแม่ทัพฮั่วมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่สำคัญจริงๆ คนผู้นี้จะไม่กล้าเข้ามารบกวนในเวลาแบบนี้เป็นแน่“นายท่าน นายท่านขอรับ!”“มีเรื่องอะไร”“ฮูหยิน ฮูหยินตกเลือดขอร
“คาราวะพระชายาฉินเพคะ""อืม"ลู่เหยียนซินตอบกลับเพียงคำเดียวก่อนจะตั้งท่าเดินเลี่ยงไปยังห้องนอนของนาง"เดี๋ยวก่อน!" เสียงดุดันของบุรุษแทรกเข้ามาทันทีลู่เหยียนซินหยุดชะงักก่อนจะหันกลับมามองบุรุษที่เรียกขานนางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง นางจึงหันหลังไปสั่งให้ลี่ถิงล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน"วันนี้เจ้าหายไปไหนมา""ข้าหรือ?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าถามผู้ใด""ข้าก็เพียงแต่คิดว่าท่านอ๋องจะสนใจสตรีผู้งามพร้อมไปด้วยกิริยาและหน้าตาที่อยู่ตรงหน้าท่าน ไม่สนใจจะใคร่ถามว่าข้าหายไปไหนมา""เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำให้มากนัก ข้าเพียงแต่ถามเจ้าว่า..."
“ท่านดูหงุดหงิดใจไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เป็นอะไรไปนางทำอะไรให้ท่านกัน”“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแต่…”“หืม”“แล้วเหตุใดข้าต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟังด้วย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอ๋องหากอยากได้ที่ปรึกษาข้าพร้อมตลอดเวลานะ”“พูดบ้าอะไรของเจ้า ไปไกลๆข้าเลยนะ”พวกเขาเงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นลู่เหยียนซินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“สถานการณ์เป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เป็นชิงอีที่เอ่ยปากถามนางก่อน“น่าจะคงที่แล้วล่ะคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพช่วยเปลี่ยนท่านหมอมาดูแลที่นี่ต่อด้วยนะเจ้าคะ ท่านหมอโจเองก็อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้วต้องให้เขาพักผ่อนบ้าง”“ไม่มีปัญหา ข้าจะรีบส
เมื่อแม่ทัพฮั่วเดินทางมาถึงหมู่บ้านมู่หลางเขาถึงกลับต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที เมื่อคืนเวลาประมาณยามโฉว่ (01.00-02.59 น.) เขาได้รับรายงานมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านโดยรอบเมืองจี้โจวถูกโจรป่าบุกปล้นเขารีบส่งกองกำลังทหารมาช่วยแต่เพราะข่าวสารที่ล่าช้าเกินไปจึงมาไม่ทันการ ชาวบ้านถูกสังหารไปหลายชีวิตพวกทหารรุดหน้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกจับตัวไปและพึ่งจะส่งถึงมือชาวบ้านก็เช้าตรู่นี่เอง แม่ทัพฮั่วส่งท่านหมอโจหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในตัวเมืองจี้โจวมาช่วยรักษาคนเจ็บที่นี่ เขาไม่สามารถส่งหมอออกมาได้หลายคนนักเพราะเมื่อคืนหมู่บ้านรอบๆก็ถูกปล้นเช่นกัน จึงต้องแบ่งท่านหมอกระจายกันออกไปตามหมู่บ้านต่างๆหมู่บ้านมู่หลางดูจะได้รับความเลวร้ายที่สุดพวกโจรป่าบุกฆ่าไม่เว้นหญิงชายทั้งยังเผาบ้านเรือนไปหลายหลัง พอมาเห็นด้วยตาของตนเองจึงรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก“ทำความเคารพท่านแม่ทัพขอรับ”
การเดินทางมายังเมืองจี้โจวนั้นกินเวลามามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญเข้าสู่เขตชายแดนเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่จะผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินที่เลิกม่านขึ้นมองเห็นก็รู้สึกอนาจใจยิ่งนัก พืชผลทางการเกษตรแห้งแล้งล้มตายจำนวนมากผู้คนอดอยากเห็นได้ชัดจากสีหน้าที่หม่นหมองของพวกเขาเหล่านั้น อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับโจรป่าที่บุกปล้นสะดมกันแทบทุกวันซ้ำเติมความทุกข์ยากเข้าไปอีกโจรป่าหรือโจรภูเขาที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้นนับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านั้นมาจากทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันที่หุบเขาหูซานใกล้หมู่บ้านเหมยหลัน หมู่บ้านเหมยหลันอยู่ห่างจากตัวเมืองจี้โจวราวๆ40ลี้[1]
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันไม่สามารถขยับไปทางไหนได้การสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางได้แต่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เหงื่อผุดขึ้นไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
‘รู้สึกไปเองรึป่าวนะ…’“ไม่มีอะไร พวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะลี่ถิงข้ารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ยังไงชอบกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปอีกสักพักก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางจึงรีบขึ้นจากแม่น้ำทันทีลี่ถิงนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้เสียก่อน“ลี่ถิงกระโจมข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ?นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า!เจ้าว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถิดนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้วไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากัน จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว""เจ้าเตรียมข้าวของของข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ ทั้งวันจนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยงั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายา ไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหางั้นหรือ?’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆทิ้งไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวง"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางปวดหัวอีกแน่นอน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะโดนบังคับทำสิ่งใดอีก!"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองมองด้วยความตื่นตกใจ ‘เหตุใดพระชายาถึงไม่รักษากิ