บุรุษหนุ่มทั้งสี่พูดคุยกันอย่างถูกคอยิ่งนักก่อนจะหันมองไปยังประตูห้องที่ถูกเปิดออก เหล่าหญิงงามเดินนวยนาดเข้ามาห้อมล้อมพวกเขาทันที หนึ่งในพวกนางนั้นกำลังนั่งดีดพิณขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะ“นายท่านแก้วของท่านว่างแล้วข้าเติมให้นะเจ้าคะ”นางเติมสุราไปเต็มจอก แต่ก่อนที่เขาจะยกขึ้นดื่มนั้นบุรุษด้านข้างนางดันแย่งไปดื่มเสียก่อน“ขออภัย ข้าคอแห้งมาก” แม่ทัพหยางเอ่ยปากบอกสั้นๆก่อนจะหันไปคีบเนื้อในจานเข้าปากต่อหญิงสาวคนนั้นรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ยาปลุกกำหนัดที่นางอุตส่าห์แอบเทใส่แก้วนั้นถูกแม่ทัพหยางแย่งไปดื่มต่อหน้านาง‘ทำอย่างไรดีล่ะ เหลือผงยาเพียงครึ่งเดียวแล้ว’“นายท่านเดี๋ยวข้าไปยกสุรามาเพิ่มอีกนะเจ้าคะ”“เอาสิ วันนี้ไม่เมาไม่เลิกแน่”หญิงงามผู้นั้นลุกขึ้นไปยกถาดสุราจากเสี่ยวเอ้อมาอีกถาดก่อนจะรีบเทผงยาลงจอกเหล้าชุดใหม่ไปหนึ่งจอก ทันทีที่หันหลังกลับไปก็ประจันหน้ากันกับแม่ทัพหยางทันที สายตาของเขาดูหวานเยิ้มเสียจนนางรู้สึกขนลุก“นายท่านต้องการดื่มอีกใช่หรือไม่ ข้ากำลังจะยกสุราไปท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ”“เร็วๆหน่อยข้าคอแห้งแล้ว” เขายิ้มหวานให้นาง ก่อนจะดึงนางลงไปนั่งบนตักของตัวเองจนหญิงสาวอีกคนเ
เมื่อถึงกลางดึกลู่เหยียนซินรู้สึกได้ว่ามีมือคู่หนึ่งกำลังเคลื่อนไหวลูบไล้เนื้อตัวของนางพลางบีบนวลเนื้อหน้าอกเบาๆ แล้วก็มีร่างกายที่หนักอึ้งทับลงมานางพยายามลืมตาขึ้นยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาริมฝีปากก็ถูกประคบจูบเหมือนดั่งไฟร้อนรุ่มขึ้นมาทันที นางหลับตาลงเพราะรู้สึกง่วงมากทั้งยังไม่มีแรงจะต่อต้านเขาริมฝีปากหนาค่อยๆจูบเบาๆที่ริมฝีปากของนางก่อนจะไล่ลิ้นร้อนโลมเลียลากผ่านลำคอระหงไล่ลงไปยังไหปลาร้า ขบเม้มทุกจุดที่เคลื่อนผ่านเบาบ้างหนักมากสลับกันแล้วก็เลื่อนลงไปอีกหยุดอยู่ตรงหน้าอกก่อนที่จะดูดดึงยอดปทุมถันสีชมพูเรื่อที่ชูช่อขึ้นมาให้เขาเชยชมลู่เหยียนซินหายใจกระชั้นถี่ขึ้นนางรู้สึกขนลุกเสียวซ่านไปทั้งตัว แขนของนางตระกองกอดแผ่นหลังที่แข็งแรงของเขาเอาไว้ รับรู้ความรู้สึกดั่งเปลวไฟอันอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ข้างใต้ร่างนั้นครั้งนี้เขาไม่อ่อนโยนเลยสักนิดกลับดูดุร้ายและป่าเถื่อนตอนสอดใส่เข้ามานั้นยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ช้าเอวสอบก็เริ่มเคลื่อนเข้าออกใจกลางหญิงสาวด้วยความเร็วขึ้นถี่ขึ้นจนในที่สุดทั้งคู่ก็สุขสมไปตามๆกันไม่นานอ๋องฉินก็เริ่มกลับมามีสติขึ้นมาอย่างมาก เพรา
“ไปกันเถอะ” อ๋องฉินเอ่ยปากชักชวนนางก่อนจะลุกขึ้นเดินนำหน้าไปก่อน“ไปไหนหรือเพคะ”“ไปดูโรงเลี้ยงม้าไงเล่า”หยางซูฉินที่แอบมองอยู่แต่ไกล สายตาของนางแข็งกร้าวมีแววของความกรุ่นโกรธและอิจฉาอยู่เต็มที่“ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าได้ท่านอ๋องไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแน่ ของที่ข้าอยากได้ข้าต้องได้หากข้าไม่ได้เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ไปครอบครองเลย”เนินเขาแห่งนี้เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสีเขียวขจีตัดกับแสงแดดอ่อนรำไรดูสวยงามยิ่งนัก คนงานส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่นางเกณฑ์ออกมาทำงานโดยเฉพาะ ทุกคนมีงานทำต่างรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง พระชายาในสายตาของพวกเขานั้นเปรียบเสมือนเทพธิดาที่ลงมาช่วยขจัดภัยและอยู่เคียงข้างพวกเขาจริงๆตอนนี้แม่ทัพฮั่วได้ทยอยนำม้าพันธ์ที่แข็งแรงที่สุดเข้ามาที่โรงเลี้ยงม้าแห่งนี้แล้ว พื้นที่บางส่วนยังต้องปรับปรุงอีกมาก ทั้งยังสร้างโรงเรือนพักอาศัยให้แก่คนงานเลี้ยงม้าอีกด้วย บริเวณโดยรอบถูกจัดสรรเป็นบ้านเรือน มีผู้คนย้ายเข้ามาที่นี่จำนวนมากจนจะกลายเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งแล้ว&ld
วันนี้แม่ทัพหยางรวบรวมกองทหารฝีมือดีที่สุดจากทั้งสามกองทัพและเตรียมเสบียงก่อนจะออกไปล่าตระเวนนอกเมือง พวกเขาตั้งใจจะจับตัวหัวหน้าโจรภูเขาให้ได้“ท่านอ๋อง ข้าน้อยจัดเตรียมทหารเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ข้ารู้แล้ว”อ๋องฉินเพียงแค่ตอบรับแต่ยังไม่ยอมขยับไปไหน สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังเรือนหลุนอี้มือหนาจับของบางอย่างไว้ในมือแน่นหยางถิงเฟิงนั่งมองเขาเงียบๆเมื่อคืนวานเขาบังเอิญได้ยินที่ทั้งคู่ทะเลาะกันใจเขาเองก็รู้สึกไม่เป็นสุขนัก เพราะคนที่เป็นต้นตอที่ทำให้คนคู่นี้ทะเลาะกันก็คือหยางซูฉินน้องสาวบุญธรรมของเขาแต่ไหนแต่ไรมาเขาคอยคัดค้านแม่ทัพใหญ่หยางไห่ฉวนผู้เป็นบิดาให้ยื่นเรื่องขอยกเลิกพระราชทานสมรสของอ๋องฉินกับหยางซูฉินเหตุเพราะเขาล่วงรู้ความคิดของนาง นางต้องการเป็นมากกว่าพระชายาเอกของฉินอ๋องหยางซูฉินไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหยางที่แท้จริง สตรีผู้นี้แสดงออกว่ากระหายอำนาจมากกว่าการได้รับความรักนางต้องการที่จะขึ้นเป็นฮองเฮา วันหนึ่งเขาบังเอิญได้ยินนางร้องขอให้แม่ทัพใหญ่หยางคอยสนับสนุนให้อ๋องฉินขึ้นเป็นรัชทายาท หากว่านางแต่งเป็นชายาเอกแล้วนั้นนาง
-หมู่บ้านเหมยหลัน-ยามเว่ย (13.00-14.59 น.)บ่ายวันนั้นอ๋องฉินนำกองกำลังมาทางด้านทิศเหนือของเมืองตรงไปยังหมู่บ้านเหมยหลัน ตลอดทางยังไม่มีคนน่าสงสัยปรากฏตัวขึ้นเมื่อเข้าไปในเขตหมู่บ้านก็พากันระแวดระวังกันถ้วนหน้า หมู่บ้านเหมยหลันแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาทั้งสามด้านอีกด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำหากเข้าไปในหมู่บ้านก็เท่ากับเข้าไปให้ถูกโจมตีอย่างผู้แพ้หลังจากเข้ามาในหมู่บ้านแล้วในใจทุกคนต่างก็มีความรู้สึกได้ถึงความอันตราย คนที่มีวรยุทธ์ต่างก็รับรู้ถึงอันตรายนี้ไวกว่าคนปกติในอากาศโดยรอบดูเหมือนจะเต็มไปด้วยลมหายใจของนักฆ่าอ๋องฉินนำพาคนของเขาเข้าไปในร้านน้ำชาแห่งหนึ่งสังเกตมองดูรอบๆ ร้านก็พบเพียงแขกสิบคน แขกพวกนี้เหมือนไม่ได้มาเพียงเพื่อดื่มชา พวกเขาก้มหน้าก้มตาลงมีบางครั้งที่เงยขึ้นมามองพวกของอ๋องฉินเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็หันไปสบตาพูดคุยกันเบาๆพวกของอ๋องฉินมองตากันแวบหนึ่งด้วยสายตาเงียบสงบ สักพักก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังกึกก้องทั่วท้องถนนด้านนอกและแทบจะภายในเวลาเดียวกันแขกในร้านน้ำชาก็พลิกโต๊ะขึ้นมาก่อนที่จะชักดาบที่ซ่อ
แสงสายัณห์ตกกระทบส่องสว่างเต็มลานจวน ลู่เหยียนซินจู่ๆก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา นางคอยชะเง้อคอมองหาอ๋องฉินแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาลู่เหยียนซินออกมาสูดอากาศด้านนอกจวนหลายวันมานี้นางเดินทางไปหลายแห่งทั้งโรงเลี้ยงม้า ร้านโอสถและจวนแม่ทัพฮั่ว บางครั้งฝนที่ตกลงมาแบบฉับพลันทำให้นางเองก็ไม่ทันตั้งตัว เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำฝนเป็นเหตุให้นางมีอาการจับไข้ขึ้นมาดื้อๆทั้งๆที่กินยาไว้ก่อนแล้ววันนี้นางยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังมีไข้อยู่จึงใช้น้ำอุ่นเช็ดตัว ล้างหน้าแล้วกินยาแก้อักเสบก่อนจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียง หลายวันมานี้เพราะกินแต่ยาแก้อักเสบทำให้นางรู้สึกมึนๆง่วงนอนทั้งวันพอร่างเตะกับที่นอนหนังตาก็ปิดลงทันทีค่ำคืนอันมืดมิดในห้วงแห่งความฝันลู่เหยียนซินมองเห็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหานาง เมื่อมองให้ชัดเจนอีกครั้งถึงรู้ว่าคนผู้นั้นคือฉินอ๋อง เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดท่วมทั้งตัว'เหยียนเอ๋อร์ ช่วยข้าด้วย'เสียงอันแผ่วเบาแต่ดังก้องกังวาลชัดเจนในใจนาง นางพยายามคว้าตัวเขาไว้แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็เหมือนเขาจะยิ่งห่างออกไปนางตกใจสะดุ้ง
‘ไม่ได้นะท่านจะทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียวได้อย่างไร ตื่นขึ้นมาให้ข้าดุด่าท่านก่อนสิจะไปทั้งแบบนี้ได้อย่างไร…’แม่ทัพฮั่วนั้นทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้วเขาเอื้อมมือออกไปคิดจะดึงตัวลู่เหยียนซินออก แต่ในชั่วพริบตานั้นเองก็ดูเหมือนว่าอ๋องฉินจะเริ่มกลับมามีลมหายใจแล้วเขามองหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเบาๆของอ๋องฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาทุกคนในห้องนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมากหันมองไปยังพระชายาอย่างทึ่ง ลู่เหยียนซินวางหูแนบลงที่หน้าอกของอ๋องฉินฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวใจเต้นขึ้นมา นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกตัวนางส่ายโอนเอนจนแทบจะล้มลงไปอยู่แล้วหลังช่วยชีวิตคืนมาได้นางรู้สึกเหนื่อยหอบเป็นอย่างมากลู่เหยียนซินมองไปยังร่างกายของเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างในมือที่กำเอาไว้แน่น นางพยายามแกะมือของเขาออกมือข้างนั้นคลายออกมาอย่างว่าง่ายปรากฏให้เห็นเป็นสร้อยที่มีแหวนหยกห้อยอยู่ด้วยกันของสิ่งนี้เป็นของนางที่เคยให้เขาไว้ตอนที่เดินทางผ่านหุบเขาลึกลับนั่นเองนางจึงหยิบออกมาแล้วเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ แม่ทั
“เจ้าตั้งใจเข้าไปขวางทาง ตั้งใจให้พวกโจรฟันกระบี่ใส่เจ้าใช่หรือไม่”“ท่านพี่เหตุใดท่านถึงพูดใส่ร้ายข้าเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ข้าเพียงแต่อยากช่วยท่านอ๋องก็เท่านั้น”“ช่วยหรือต้องการเป็นตัวถ่วง ข้ารู้ว่าที่เจ้าทำไปนั้นเจ้าตั้งใจให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเพียงเพื่อให้ท่านอ๋องห่วงใยเจ้าเจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่”“ที่เจ้าก่อเรื่องเอาไว้อาจได้รับโทษถึงตายหากว่าท่านอ๋องสิ้นใจไปจริงๆ ดีแค่ไหนแล้วที่พระชายาช่วยกลับมาได้”“ข้าสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพี่”“อยู่ให้ห่างจากพระชายาและท่านอ๋องอย่าได้คิดก่อเรื่องขึ้นมาอีก ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นท่านพ่อออกหน้าให้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้”แม่ทัพหยางเดินออกจากห้องของนางด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ เขาสั่งให้ทหารเฝ้าประตูตำหนักเอาไว้ห้ามปล่อยให้นางออกข้างนอกตำหนักอีกเป็นอันขาดเปรี้ยง....ภายนอกหน้าต่างมีสายฟ้าพาดผ่านแหวกอากาศให้ปรากฎพร้อมกับสายฝนห่าใหญ่เทลงมาอย่างไม่ขาดสาย ฝนห่าใหญ่ในครั้งนี้ตกลงต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันจนถึงช่วงเช้ามืดและค่อยๆหยุดไปหลายวั
“ตอนนี้เด็กๆก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าคิดถึงพวกเขาหรือไม่”“แน่นอนสิเพคะใครบ้างที่ไม่คิดถึงพวกเขากัน ข้าเองก็ไม่เคยห่างกับลูกๆนานขนาดนี้มาก่อนเลย”เด็กทั้งสองเดินทางไปเมืองจี้โจวนับดูแล้วก็เป็นเวลาสามเดือนเต็มพอดี ไม่เพียงแค่พวกเขาสองสามีภรรยาที่คิดถึงเด็กๆใจจะขาด แต่คนในวังก็ไม่ต่างกัน เด็กสองคนนี้ฉลาดเฉลียวเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งวัง หรืออาจจะทั้งเมืองหลวงก็เป็นได้ เมื่อพวกเขาไม่อยู่ที่แห่งนี้ก็พลันเงียบงันลงทันใดอ๋องฉินมองใบหน้าเศร้าสร้อยของภรรยารัก ก่อนจะระบายยิ้มออกมาบางๆ“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปเยี่ยมกันดีหรือไม่”“จะหาเวลาไหนไปล่ะเพคะงานของท่านกับข้าต่างก็ล้นมือกันไปหมด บางวันเราสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเจอหน้ากันแค่ตอนกลางคืนไม่ทันพูดคุยก็เผลอหลับกันไปแล้ว”“ก็จริง หากเจ้าเหงานักเช่นนั้นพวกเราควรมีน้องให้หลิงหลิงอีกสักคนดีหรือไม่”นางได้ยินดังนั้นก็ขึงตาใส่เขาทันที“ไม่น่าจะใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีกระมังเพคะ”“แต่ข้าว่าน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่ดีมากๆ อย่างน้อยก็ยืดไปได้อีกสักสี่ห้าปี ราชสำนักน่าจะใช้งานเราน้อยลงบ้า
6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจว-“ท่านพี่ จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอด ได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งหลิงหลิงขึ้นรถม้าแล้วเยว่เหวินหลงก็เดินตรงไปข้างหน้าเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างเฟิงอวี้“ท่านพี่เฟิงอวี้ รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไป เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็ช่างว่าน้องสาวตัวเองไปได้ นางน่ารักขนาดนั้นทำไมถึงชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื่อยกันเล่า”สารถีประจำจวนแม่ทัพฮั่วเมื่อเห็นว่านายน้อยทั้งสองเข้าไปนั่งบนรถม้าเรียบร้อยแล้วก็เริ่มขี่รถม้าออกจากเมืองทันทีเยว่เหวิ
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ใช่แล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูแทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามาก เพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆติดมือมาให้นางทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ต้องการสอบเข้าเป็นหมอหลวง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็ก
เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางเข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนาง นางก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆเพื่อลดอาการตื่นเต้น ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!“ลี่ถิง มาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา รีบวิ่งไปยังห้องอาบน้ำทันที“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเพคะ”นางเห็นเพียงพระชายาสวมเสื้อเพียงชั้นเดียวจึงรีบเข้าไปพยุงทันที“ดูเหมือนว่าข้าจะคลอดแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า”“เช่นนั้นให้หม่อมฉันประคองพระชายาไปที่ห้องคลอดก่อนนะเพคะ”นางไม่กล้าทิ้งพระชายาไว้คนเดียวจึงตะโกนเรียกชิงอีที่ตอนนี้คอยให้อาหารเสือสองตัวอยู่ด้านนอกตำหนัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาก็รีบวิ่งมาทันที“มีอะไรหรือ”“พระชายาจะคลอดแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า”“จะ…จะคลอด จะคลอดแล้วหรือ”“เอ้า! ยืนอึ้งทำไม รีบไปสิ!”“ได้ ได้ ท่านห
เช้าวันต่อมาลู่เหยียนซินกำลังหยอกล้อกับลูกเสือน้อยสองตัวที่มีนามว่าเปาเปาและจ้านจ้านอยู่ที่สวนดอกไม้หน้าตำหนักใหญ่ นางเป็นคนตั้งชื่อให้พวกมันด้วยตัวของนางเอง“พระชายา”เสียงหวานใสดังขึ้นด้านหลังนาง ลู่เหยียนซินหันไปมองก็พบว่าเป็นหยางซูฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าอุทยาน ด้านหลังเป็นแม่ทัพหยางที่ยืนซ้อนหลังนางอีกทีหยางซูฉินค้อมคำนับทำความเคารพลู่เหยียนซินทันที ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆนาง อ๋องฉินเดินมายืนข้างๆนางแล้ว“พระชายาหม่อมฉันมีเรื่องอยากจะสนทนากับพระองค์สักนิดได้หรือไม่เพคะ”“ได้สิ ข้าคงต้องฝากเปาเปากับจ้านจ้านไว้กับพวกท่านก่อน”“ข้าน้อยไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับพวกเสือเท่าไหร่นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เสียงแม่ทัพหยางเอ่ยขึ้นสีหน้าเขาดูหวาดหวั่น‘ก็แค่ลูกเสือตัวน้อยๆพวกเขาจะกลัวอะไรกันนักหนา’ นางหันมองไปยังฉินอ๋อง“ไปเถอะ”ลู่เหยียนซินยิ้มหวานก่อนจะเดินนำหยางซูฉินไปยังศาลาริมสวนดอกไม้“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ”หยางซูฉินตอนนี้ดูสงบเสงี่ยมลงเป็นอย่างมาก ชุดที่นางสวมใส่ไม่มีความหรูหราเช่นเคย
“ความจริงแล้วข้าไม่ใช่ลู่เหยียนซิน”นางมองออกไปก็เห็นสายตาที่นิ่งสงบของเขามองนางอยู่ก่อนแล้ว“ท่านไม่คิดจะตกใจหน่อยหรือ”“ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่นาง”“ท่าน! ท่านรู้ได้เช่นไรกัน”“ทุกสิ่งในตัวเจ้านั้นเปลี่ยนไปความรักความห่วงใยที่เจ้ามีต่อทุกคนที่ลู่เหยียนซินคนก่อนหน้านั้นไม่เคยมี”“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าขอยืนยันว่าข้ารักที่เจ้าเป็นตัวของเจ้าเองในตอนนี้”ทันใดนั้นแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของนางก็พลันเกิดประกายแสงวาววับขึ้นมาประตูค่อยๆเปิดออกให้เห็นภายใน อ๋องฉินแรกเริ่มไม่ได้ตื่นตกใจกับสิ่งที่เห็นแต่ไม่นานนักเขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันทีลู่เหยียนซินที่ไม่หันไปมองก็รู้ว่าข้างในคือที่ไหน แต่เมื่อมองตามสายตาที่เบิกกว้างของเขาไปก็พลันตกใจขึ้นมาทั้งยังสงสัยว่ามันมาโผล่ในที่แห่งนี้ได้เช่นไรกันห้องพักแพทย์ที่นางเข้าไปพักผ่อนหลังการผ่าตัดคลอดแม่ลูกคู่นั้นเกิดเป็นภาพให้เห็นหลังประตูบานนั้นนางคิดว่าที่อ๋องฉินตื่นตกใจไม่น่าจะใช่เห็นประตูบานนี้ แต่เป็นนางอีกคนในนั้นที่ก้มหน้าลงนอ
เย็นวันนี้เหตุเพราะเขาดื่มสุรากับเสด็จปู่ไปถึงสองไหและส่วนใหญ่เป็นเขาที่ยกดื่มอยู่ฝ่ายเดียวทำให้อาการมึนเมามีมากเกินควบคุมอีกทั้งได้ยินว่าพระชายาของตนนั้นตั้งครรภ์แล้ว ความเมาที่ยังไม่ทันสร่างบวกกับความดีใจทั้งตื่นตกใจผสมปนเปกันเข้ามา ทำให้เลือดลมของเขาวิ่งพ่านจนเกิดอาการหน้ามืดหงายหลังล้มดังตึงลงไปทันทีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกเวียนศรีษะเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นหันมองไปรอบๆห้องก็ไม่พบใครอยู่ในห้องนี้เลย“นางหายไปไหนแล้วล่ะ?”ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาฉินแพร่กระจายออกไปจนทั่วทั้งวังหลวง ผู้คนในวังต่างรู้สึกปลื้มปิติยินดีกันถ้วนหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาเมื่อทรงทราบข่าวก็เสด็จมาที่ตำหนักซูหนิงทันทีอ๋องฉินรีบเปิดประตูออกไปเดินไปยังโถงตำหนักซูหนิงก็พบว่าลู่เหยียนซินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดไปไม่ไกลกันนัก เสด็จปู่ ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ประทับอยู่ตรงนั้นด้วย“เห็นหรือไม่เพคะหม่อมฉันพูดถูกหรือไม่ ว่าไว้แล้วเชียวว่านางต้องตั้งครรภ์อยู่อย่างแน่นอน”“แน่นอนสิ ข้ายังรู้เลย” ฮ่องเต้อมยิ้มอย่างภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของพระองค์ฮอ
‘ดื่มสุราต้องมีความสำราญใจถึงเพียงนั้นเชียว’"พระชายา มีคนมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ" เสียงขันทีหน้าตำหนักเข้ามารายงานคนด้านใน"ใครหรือ" นางเดินออกไปด้านนอกประตูตำหนักทั้งยังถือถ้วยน้ำชาออกไปด้วย นางยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ถูกคนเรียกตัวไปอีกแล้วเมื่อมองออกไปหน้าประตูคนผู้นั้นก็เดินออกมาจากด้านหลังของทหารรักษาประตูมองไปก็รู้ทันทีว่าคือชิงอี เสื้อผ้าของชิงอีฉีกขาดเขาเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่น่าสังเวชยิ่งนักพรู๊ด..~~ลู่เหยียนซินเดิมทีกำลังจะดื่มชาลงไปถึงกับต้องพ่นออกมาด้วยความตกใจที่เห็นสภาพขององค์รักษ์คนสนิทของอ๋องฉิน"ชิงอี เหตุใดเจ้าถึงเป็นสภาพนั้นกันเล่า"นางมองออกไปอย่างนึกสงสัยก็เห็นเฟยหยาจูงเสือขาวสองตัวเข้ามา ตอนนี้พวกมันนั่งอยู่บนพื้นหน้าพระตำหนักจ้องมองนางอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ลู่เหยียนซินรีบก้าวเดินไปข้างหน้านางยื่นมือออกไปลูบหัวของพวกมันไปคนละหนึ่งที"เด็กดี"อ๋องฉินที่เดินตามนางออกมาถึงกับขมวดคิ้วมองไปยังเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง นี่เขากล้าแต่งต
ทั้งสองเดินออกจากท้องพระโรงไปได้ไม่ไกลนักลู่เหยียนซินก็พึ่งนึกขึ้นได้ เข้าเมืองหลวงมาทั้งทีจะไม่ให้แวะไปหาเสด็จปู่คงเป็นการเสียมารยาทมากแน่ๆ อ๋องฉินที่เดินตามหลังนางมาก็หยุดเดินกะทันหันและมองนางด้วยความสงสัย ‘นางจะทำอะไรอีก?’“พวกเราไปถวายพระพรเสด็จปู่ด้วยดีหรือไม่เพคะ”“หากเจ้าเหนื่อยแล้ว วันหลังพวกเราค่อยมาใหม่ก็ยังได้”“ไม่เหนื่อยเลยสักนิดรีบไปกันเถอะเพคะ กลับมาทั้งทีคงไม่ดีนักหากพวกเราไม่ไปถวายพระพรพระองค์”“เช่นนั้นก็ได้ ตามใจเจ้า”พวกเขาเดินต่อไปยังตำหนักซูหนิงสองข้างทางก่อนเข้าสู่ตัวตำหนักเป็นอุทยานสวนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานชูช่อสวยงาม เมื่อเดินมาถึงหน้าตำหนักก็พบเข้ากับฉางกงกงที่ยืนรออยู่นอกตำหนักแล้ว“ท่านอ๋อง พระชายา ข้าน้อยนึกว่าพวกท่านจะไม่แวะมาที่นี่เสียแล้ว”“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือฉางกงกง เหตุใดสีหน้าท่านถึงดูไม่ได้เอาเสียเลยล่ะ” อ๋องฉินเอ่ยปากถามออกไปเมื่อเห็นว่าสีหน้าฉางกงกงนั้นดูเคร่งเคลียดยิ่งนัก“ก็ไท่ซ่างหวงนะสิพ่ะย่ะค่ะ โวยวายใหญ่เลยว่าท่านอ๋องกับพระชายากลับมาแล้วแต่ไม่ยอมมาคารวะพระองค์เสียที ทรง