หลังจากมู่หรงเยว่ออกจากห้องไป ไป๋หลันเรียกอาหลิงเข้ามาพบทันที หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะใหญ่และจรดพู่กันลงบนกระดาษอย่างตั้งใจ
"อาหลิง" ไป๋หลันเอ่ยเรียก "เจ้าช่วยนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้เฉินกั๋วกงแทนข้าที"
อาหลิงรับจดหมายมาด้วยความสงสัย นางทราบดีว่าเฉินอี้เทียน หรือ เฉินกั๋วกง คือสหายในวัยเด็กและยังเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไป๋หลันแอบหลงรัก แต่ไม่เคยเห็นนางส่งจดหมายถึงเขาเลยตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าอยู่ในจวนอ๋อง
"ได้เพคะ พระชายา" อาหลิงรับคำ นางมองไป๋หลันด้วยแววตาเป็นกังวล นางพอจะเดาได้ว่านายหญิงคิดจะทำอะไร และก็รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้
"พระชายา..." อาหลิงเอ่ยอย่างลังเล "ท่านแน่ใจแล้วหรือเพคะ?"
ไป๋หลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น "ข้าแน่ใจแล้วอาหลิง" นางพูดเสียงหนักแน่น "ข้าจะไม่ทนอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไป ข้าจะไม่ยอมเป็นหมากในเกมการเมืองของใครอีกแล้ว"
อาหลิงถอนหายใจ นางรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจไป๋หลันได้ นางทำได้เพียงแค่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของนายหญิง
"บ่าวจะไปส่งจดหมายให้เฉินกั๋วกงเดี๋ยวนี้เพคะ" อาหลิงกล่าว
"ขอบใจเจ้ามากอาหลิง" ไป๋หลันยิ้มให้อาหลิงอย่างอบอุ่น "เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้า"
อาหลิงโค้งคำนับแล้วรีบออกจากห้องไป นางตรงไปที่คอกม้า หยิบม้าที่เร็วที่สุดออกมา แล้วควบออกจากจวนอ๋องไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋หลันมองตามหลังอาหลิงไปจนลับสายตา นางถอนหายใจยาว นางรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของนางไปตลอดกาล แต่นางก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอนาคต
ในจดหมายที่ไป๋หลันเขียนถึงเฉินกั๋วกง นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนาง บอกเขาว่านางตัดสินใจที่จะหย่ากับมู่หรงเยว่ และนางอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ และอยากได้การสนับสนุนจากเขา
"เฉินกั๋วกง" ไป๋หลันนึกในใจ “ข้ารู้ว่าเจ้ายังรักไป๋หลันคนเก่า และเจ้าของร่างเดิมก็ยังรักเจ้าอยู่มาก ข้าคิดว่ามีเพียงท่านเท่านั้น ที่จะให้การช่วยเหลือข้าในชาตินี้ได้"
ไป๋หลันวางพู่กันลง นางมองจดหมายที่นางเขียนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นางรู้สึกตื่นเต้นและมีความหวัง แต่ในขณะเดียวกัน หญิงสาวก็รู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ
หญิงสาวไม่รู้ว่าเฉินกั๋วกงจะตอบรับข้อเสนอของนางหรือไม่ นางไม่รู้ว่าอนาคตของนางจะเป็นอย่างไร แต่นางก็พร้อมที่จะเสี่ยง
มู่หรงเยว่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในห้องหนังสือ ท่ามกลางความเงียบสงบ คนสนิทของเขาก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าร้อนรน
"ท่านอ๋อง" เขาโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว "บ่าวมีเรื่องด่วนจะกราบทูล"
มู่หรงเยว่วางถ้วยชาลง "มีอะไร?" เขาถามเสียงเรียบ
"พระชายา... พระชายาให้บ่าวคนหนึ่งออกไปส่งจดหมายนอกจวนขอรับ" คนสนิทรายงาน
มู่หรงเยว่รู้สึกใจกระตุก จดหมาย? ไป๋หลันส่งจดหมายถึงใคร? ความสงสัยและความกังวลผุดขึ้นในใจเขาอย่างรวดเร็ว
"เจ้ารู้ไหมว่านางส่งจดหมายไปให้ใคร?" เขาถามเสียงเข้ม
คนสนิทส่ายหน้า "บ่าวไม่ทราบขอรับ แต่บ่าวเห็นว่านางกำชับบ่าวผู้นั้นเป็นพิเศษ"
มู่หรงเยว่ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นไป๋หลันติดต่อกับใครนอกจวนมาก่อน นางเป็นคนเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร นี่เป็นครั้งแรกที่นางส่งจดหมายออกไป
"เจ้าให้คนตามไปดูหรือไม่?" เขาถามต่อ
"บ่าวกำลังจะสั่งการขอรับ แต่ท่านอ๋องจะให้ตามไปหรือไม่ขอรับ?" คนสนิทถามอย่างลังเล
มู่หรงเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ "ตามไป" เขาพูดเสียงหนักแน่น "ข้าอยากจะรู้นักว่านางส่งจดหมายไปให้ใครกัน"
คนสนิทโค้งคำนับแล้วรีบออกไปทำตามคำสั่ง
มู่หรงเยว่นั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังพิงพนัก ความกังวลยังคงเกาะกินใจเขา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้
ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจไป๋หลันมาก่อน แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขากำลังสนใจนาง เขาอยากรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ และเขาอยากรู้ว่านางกำลังจะทำอะไรต่อไป
ถ้าเดาไม่ผิดจดหมายฉบับนั้นคงจะถูกส่งให้เฉินอี้เทียนอย่างไม่ต้องสงสัย ความจริงที่ว่าไป๋หลันหลงรักเฉินอี้เทียนนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมู่หรงเยว่ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใส่ใจ เพราะไม่เคยคิดจะเปิดใจให้ไป๋หลันเลยแม้แต่น้อย
การแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงการถูกบังคับจากฮ่องเต้พี่ชายของเขา เขาเกลียดการถูกบังคับ จึงเลือกที่จะระบายความโกรธและความคับข้องใจทั้งหมดไปที่ไป๋หลัน ผู้ที่ถูกส่งตัวมาเป็นพระชายาโดยที่นางเองก็ไม่ได้เต็มใจเช่นกัน
ส่วนเฟยหยางนั้น เขาเคยพลาดท่าร่วมสัมพันธ์กับนาง จึงจำต้องรับนางเข้ามาอยู่ในจวน และถือโอกาสใช้เฟยหยางเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งไป๋หลันไปในตัว
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป มู่หรงเยว่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องใส่ใจว่าไป๋หลันจะกลับไปหาเฉินอี้เทียนหรือไม่ ทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงภาพนั้น
ความรู้สึกสับสนวุ่นวายตีตื้นขึ้นมาในใจ มู่หรงเยว่พยายามสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป เขาตัดสินใจไม่ตามไปดูว่าอาหลิงไปส่งจดหมายที่ไหน เขาเลือกที่จะดับเทียนแล้วเข้านอน โดยที่ไม่แม้แต่จะไปดูแลเฟยหยางที่กำลังไม่สบายอยู่เพราะรับประทานเห็ดเมาเข้าไป
คืนนั้น มู่หรงเยว่นอนพลิกตัวไปมาบนเตียง ความคิดมากมายรุมเร้าเขาจนไม่อาจข่มตาหลับได้ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร เขาได้แต่หวังว่าเมื่อถึงรุ่งอรุณ เขาจะสามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้
ในขณะเดียวกัน อาหลิงมองไป๋หลันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "พระชายาเพคะ ก่อนที่เราจะหย่ากับท่านอ๋อง เราต้องไว้ลายก่อนนะเพคะ"
ไป๋หลันเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย "ไว้ลาย?"
"เพคะ" อาหลิงพยักหน้า "ถ้าหากฝ่ายของเราต้องการที่จะหย่า เราก็ต้องหย่าให้สวยงามที่สุด อย่าให้ใครดูถูกว่าพระชายาทรงถูกหมางเมิน ก่อนอื่นเราต้องทำให้ท่านอ๋องและคนในจวนตายใจ และเป็นพวกของเราก่อนเพคะ"
ไป๋หลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย "เจ้าพูดถูกอาหลิง ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกข้าได้อีก"
"แล้วพระชายาจะทำอย่างไรเพคะ?" อาหลิงถาม
เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันยิ้มมุมปาก "ข้าจะใช้เสน่ห์ปลายจวักของข้าเอง" นางตอบ
อาหลิงมองไป๋หลันด้วยความประหลาดใจ "เสน่ห์ปลายจวัก?"
"ใช่แล้ว" เหม่ยหลิงพยักหน้า "ข้าจะทำอาหารให้ท่านอ๋องและคนในจวนทาน ข้าจะทำให้พวกเขาติดใจในรสชาติอาหารของข้า และเมื่อถึงเวลานั้น ข้าก็จะหักหน้าท่านอ๋องด้วยการเขียนหนังสือหย่า"
อาหลิงยิ้มกว้าง "เป็นความคิดที่ดีมากเพคะพระชายา"
ไป๋หลันและอาหลิงเริ่มวางแผนกันทันที พวกนางตัดสินใจที่จะเริ่มต้นด้วยการทำอาหารเย็นให้มู่หรงเยว่ทานในคืนนี้
ไป๋หลันเข้าครัวและเริ่มลงมือทำอาหาร นางใช้ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากโลกเดิมมาปรุงอาหารแต่ละจานอย่างพิถีพิถัน นางเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดและปรุงแต่งรสชาติให้ออกมาอย่างลงตัว
เมื่อสำรับอาหารพร้อม บ่าวรับใช้ก็ยกสำรับอาหารไปยังห้องอาหารของมู่หรงเยว่
มู่หรงเยว่นั่งลงที่โต๊ะอาหาร เขามองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นอาหารที่ดูน่ารับประทานเช่นนี้มาก่อน
"นี่คืออะไร?" เขาถามบ่าวรับใช้
"พระชายาเอกเป็นผู้ทำเองเพคะ" บ่าวรับใช้ตอบ
มู่หรงเยว่ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าไป๋หลันทำอาหารเป็น
เขาตักอาหารเข้าปากคำหนึ่ง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ รสชาติของอาหารนั้นอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่เคยทานอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
มู่หรงเยว่ทานอาหารต่อไปเรื่อยๆ จนหมดจาน เขาเงยหน้าขึ้นมองบ่าวรับใช้ "บอกพระชายาว่าอาหารอร่อยมาก"
บ่าวรับใช้โค้งคำนับแล้วรีบไปแจ้งข่าวดีให้ไป๋หลันทราบ
ไป๋หลันยิ้มอย่างพอใจ นางรู้ว่าแผนการของนางกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
ในวันต่อมา ไป๋หลันทำอาหารให้คนในจวนทาน ทุกคนต่างพากันชื่นชมในรสชาติอาหารของนาง ชื่อเสียงของไป๋หลันในฐานะผู้มีฝีมือในการทำอาหารแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่หรงเยว่เองก็ติดใจในรสชาติอาหารของไป๋หลัน เขาเริ่มทานอาหารร่วมกับนางทุกมื้อ และเขาก็เริ่มพูดคุยกับนางมากขึ้น
ไป๋หลันใช้โอกาสนี้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่หรงเยว่ นางทำตัวให้น่ารักและอ่อนหวาน นางเอาใจใส่เขาและคอยดูแลเขาอย่างดี
มู่หรงเยว่เริ่มรู้สึกว่าไป๋หลันเปลี่ยนไป นางไม่ใช่ผู้หญิงที่เย็นชาและเก็บตัวอีกต่อไปแล้ว นางดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น เขาเริ่มรู้สึกดีกับนางมากขึ้น และเขาเริ่มคิดว่าบางทีเขาอาจจะตัดสินนางผิดไป
แต่ไป๋หลันไม่ได้ลืมแผนการของนาง นางยังคงรอเวลาที่เหมาะสมที่จะหักหน้ามู่หรงเยว่ และประกาศอิสรภาพของนางอย่างสง่างาม
เฟยหยางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความมืดมิด ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยังไม่จางหายไปไหน ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับถมอยู่ พิษของเห็ดเมาที่หลอกหลอนนางมาตลอดทั้งคืนเริ่มจางลง ทิ้งไว้เพียงความทรงจำเลือนรางของเหตุการณ์เมื่อคืนที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น"ข้าเสียรู้ให้ไป๋หลัน!" เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ความโกรธเกรี้ยวและความอัปยศอดสูรวมตัวกันเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาภายในอก นางจำได้ลางๆ ถึงภาพของไป๋หลันที่หลอกล่อนางให้กินอาหารที่ป้ายด้วยเห็ดเมา แล้วหลังจากนั้น... ความทรงจำก็ขาดหายไป"พระชายา" เสียงของเปาหม่าดังขึ้นข้างเตียง นางประคองถ้วยยาส่งให้เฟยหยาง "นี่คือยาบำรุงร่างกาย ท่านรีบดื่มเถิดเพคะ"เฟยหยางรับถ้วยยา ดื่มมันจนหมดโดยไม่ปริปากบ่น ร่างกายของนางยังคงอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มด้วยความแค้น"เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง" นางถามเสียงแหบพร่าเปาหม่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล "หลังจากที่ท่านสลบไป ท่านอ๋องก็รีบไปหาพระชายาเอกที่เรือนทันที พระองค์ไม่ได้อยู่ดูแลท่านเลยแม้แต่น้อย และอยู่กับพระชายาเอกตลอดค่อนคืนเจ้าค่ะ"คำพูดของเปาหม่าราวกับ
ยังไม่ทันที่เฟยหยางจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องครัว เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำสนิทก้าวเข้ามาในครัวที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง มู่หรงเยว่ ชินอ๋องแห่งแคว้น มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก"เฟยหยาง!" เสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง "เจ้าทำอะไรลงไป"เฟยหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและเจ็บปวดในแววตา"หม่อมฉัน..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอมู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น แววตาของเขาจ้องมองนางอย่างตำหนิ "เจ้าทำเกินกว่าเหตุอีกแล้วเฟยหยาง""หม่อมฉันแค่..." เฟยหยางพยายามจะอธิบาย แต่ก็ถูกเขาขัดขึ้น"เจ้าแค่หึงหวงไป๋หลัน เจ้าแค่ทนไม่ได้ที่ข้าไปหาเขา เจ้าแค่..." มู่หรงเยว่เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น "เจ้าแค่เห็นแก่ตัว!"คำพูดของเขาเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในใจของเฟยหยาง นางกำมือแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้"หม่อมฉันขอโทษ" นางพูดเสียงแผ่วเบา"ขอโทษ?" มู่หรงเยว่หัวเราะในลำคอ "เจ้าคิดว่าคำขอโทษของเจ้าจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อได้หรือ"เขาหันไปหาเป่ากงกงที่ยื
กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชมไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้""เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยเมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน...""กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ล
เมื่อกลับถึงจวน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเข้านอนหลับใหล เหลือเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างอยู่ตามทางเดินภายในห้องหนังสือของมู่หรงเยว่ กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าของเรือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ความเมาคืบคลานเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็นบัดนี้แดงก่ำ ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ภาพของไป๋หลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยนที่นางมอบให้ ทุกอย่างล้วนตอกย้ำความผิดพลาดของเขาในที่สุด ความเมาและความเจ็บปวดก็ทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มู่หรงเยว่ลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของไป๋หลัน หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกผิดและความปรารถนาตีกันวุ่นวายอยู่ในอกเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาผลักประตูเข้าไป..สตรีผู้งดงามราวกับเทพธิดาบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุข จนกระทั่ง...เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางเดิน ทำให้ไป๋หลันเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองไปทางประตูด้วยความสงสัย ใครกันที่มาในยามวิกาลเช่นนี้?"แอ๊
เฟยหยางกลับมาที่ห้องของตนด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ ร่างกายของนางยังคงปวดแสบปวดร้อนจากการถูกโบยตี แต่ความเจ็บปวดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในใจที่ถูกมู่หรงเยว่ไล่ออกมาอย่างไม่ใยดีนางไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยและไร้ค่าเช่นนี้มาก่อน ตลอดชีวิตของหญิงสาว นางไม่เคยได้รับความรักหรือความใส่ใจจากใครเลย แม้แต่พ่อแม่ของนางเองก็ยังไม่เคยเห็นค่าในตัวนาง นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาที่เกิดจากความผิดพลาด เป็นเหมือนตราบาปที่คอยตอกย้ำความอัปยศของตระกูลไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาก็ไม่เคยชอบหน้านาง พวกเขามองมักมองเฟยหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับนางเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การเหลียวแล แต่ทั้งสามกลับทุ่มเททุกอย่างให้กับไป๋หลัน ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาที่สรวงสวรรค์ประทานมาให้มีเพียงมู่หรงเยว่เท่านั้นที่ภักดีกับนาง เขาเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตอันมืดมิดของนาง เขาเป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแต่นับตั้งแต่ไป๋หลันฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มู่หรงเยว่กลับเริ่มสนใจไป๋หลันมากขึ้น เริ่มดูแลเอาใจใส่นาง และตอนนี้... เขายังไปนอนกับนางอีก!เฟยหยางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงมา นางไม่ส
วันแล้ววันเล่า ไป๋หลันยังคงทำอาหารรสเลิศที่มู่หรงเยว่โปรดปราน จัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ความเอาใจใส่ของนางละเอียดอ่อนราวกับสายน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านกำแพงหิน ละลายความเย็นชาที่เคยกักขังหัวใจของมู่หรงเยว่เอาไว้ไป๋หลันมองดูมู่หรงเยว่ที่กำลังจามไม่หยุดด้วยความสงสาร นางรู้ว่าอาการภูมิแพ้ของเขาเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ชายหนุ่มทุกข์ทรมานมานานแสนนาน จึงตัดสินใจที่จะนำความรู้ที่ได้มาจากตำราของท่านหมอเทวดาผู้เคยรักษานางมาใช้ประโยชน์“ท่านหมอเคยบอกว่า ธรรมชาติมีสมุนไพรมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้” ไป๋หลันครุ่นคิด “ข้าจะต้องหาสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารให้ชินอ๋อง”ไป๋หลันเริ่มต้นค้นคว้าตำราสมุนไพรเก่าแก่ที่ท่านหมอเคยมอบให้ พร้อมกับออกเดินทางไปยังตลาดเพื่อเสาะหาสมุนไพรที่ต้องการ“ข้าต้องการรากบัวหลวง ดอกเก๊กฮวย และเห็ดหลินจือ” ไป๋หลันบอกกับพ่อค้าพ่อค้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปทำอะไรหรือขอรับ?”“ข้าจะนำไปปรุงอาหารให้ชินอ๋องเจ้าค่ะ” ไป๋หลันตอบด้วยรอยยิ้มพ่อค้าพยักหน้าเข้าใจ “สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ขอรับ”
เฟยหยางมองภาพมู่หรงเยว่ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขขณะรับประทานอาหารที่ไป๋หลันทำ ความริษยาและความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในอก นางไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากเขาเลย ทั้งที่นางเป็นถึงชายารองที่ท่านอ๋องโปรดปราน"ไป๋หลัน!" เฟยหยางกัดฟันกรอด "เจ้าคิดจะแย่งชินอ๋องไปจากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ!"ไป๋หลันยังคงทำอาหารให้มู่หรงเยว่ทานเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้นางตั้งใจจะทำให้พิเศษกว่าทุกวัน"วันนี้หม่อมฉันจะทำอาหารจากไข่ให้ท่านทานเพคะ" ไป๋หลันบอกกับมู่หรงเยว่มู่หรงเยว่เลิกคิ้วขึ้น "อาหารจากไข่? ไป๋หลัน เจ้าจะทำอะไรให้ข้าทานกัน?""ท่านรอชมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่นานนัก ไป๋หลันก็ยกสำรับอาหารมา มู่หรงเยว่มองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บนโต๊ะมีอาหารหลายจานที่ทำจากไข่ ทั้งไข่เจียวทรงเครื่อง ไข่ตุ๋นทะเล"น่าทานทั้งนั้นเลย ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่เอ่ยชม"เชิญท่านชิมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันเชื้อเชิญมู่หรงเยว่ตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปาก รสชาติเข้มข้นของไข่ผสมผสานกับเครื่องต่างๆ อย่างลงตัว ทำให้เขาแทบวางช้อนไม่ลง"อร่อยมาก ไป๋หลัน เจ้าทำอาหารเก่งจริงๆ" เขาเอ่ยชมอีกครั้งไป๋หลันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หม่อมฉันด
ไป๋หลันวิ่งกลับเข้าห้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย นางไม่เคยรู้สึกโกรธและน้อยใจเช่นนี้มาก่อน มู่หรงเยว่ผู้ซึ่งเคยแสดงความรักและความเชื่อใจในตัวนาง กลับหันมาต่อว่านางอย่างรุนแรงเพียงเพราะคำยุยงของเฟยหยางไป๋หลันคร่ำครวญ “ท่านไม่เคยเห็นความจริงใจของข้าเลย อย่างไรท่านก็เลือกเฟยหยางอยู่ดี”ในขณะเดียวกัน มู่หรงเยว่ก็รู้สึกผิดที่ตะคอกใส่ไป๋หลัน เขาไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แต่คำพูดของเฟยหยางก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยในตัวไป๋หลัน“หรือว่าไป๋หลันแกล้งใส่เกลือลงในอาหารของข้าเพราะยังโกรธเคืองข้าเรื่องเฉินกั๋วกง?” มู่หรงเยว่ครุ่นคิด “ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฉินกั๋วกงพยายามขอเข้าพบไป๋หลัน แต่ข้าก็ไม่อนุญาตเพราะข้ารู้สึกหึงหวง”เขารู้ว่าไป๋หลันเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินอี้เทียนมาก่อน และเขาก็กลัวว่าไป๋หลันจะยังคงมีใจให้กับเฉินอี้เทียนอยู่ จึงกีดกันทั้งสองคนไม่ให้พบกัน“หรือว่าไป๋หลันจะตั้งใจทำอาหารรสชาติแย่ๆ เพื่อประชดข้า?” มู่หรงเยว่คิดต่อ “นางอาจจะต้องการให้ข้าเกลียดนาง เพื่อที่ข้าจะได้ยอมหย่ากับนาง และนางก็จะได้ไปอยู่กับเฉินกั๋วกง”ยิ่งคิด มู่หรงเยว่ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจใค