ยังไม่ทันที่เฟยหยางจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องครัว เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำสนิทก้าวเข้ามาในครัวที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง มู่หรงเยว่ ชินอ๋องแห่งแคว้น มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก"เฟยหยาง!" เสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง "เจ้าทำอะไรลงไป"เฟยหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและเจ็บปวดในแววตา"หม่อมฉัน..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอมู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น แววตาของเขาจ้องมองนางอย่างตำหนิ "เจ้าทำเกินกว่าเหตุอีกแล้วเฟยหยาง""หม่อมฉันแค่..." เฟยหยางพยายามจะอธิบาย แต่ก็ถูกเขาขัดขึ้น"เจ้าแค่หึงหวงไป๋หลัน เจ้าแค่ทนไม่ได้ที่ข้าไปหาเขา เจ้าแค่..." มู่หรงเยว่เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น "เจ้าแค่เห็นแก่ตัว!"คำพูดของเขาเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในใจของเฟยหยาง นางกำมือแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้"หม่อมฉันขอโทษ" นางพูดเสียงแผ่วเบา"ขอโทษ?" มู่หรงเยว่หัวเราะในลำคอ "เจ้าคิดว่าคำขอโทษของเจ้าจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อได้หรือ"เขาหันไปหาเป่ากงกงที่ยื
กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชมไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้""เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยเมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน...""กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ล
เมื่อกลับถึงจวน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเข้านอนหลับใหล เหลือเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างอยู่ตามทางเดินภายในห้องหนังสือของมู่หรงเยว่ กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าของเรือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ความเมาคืบคลานเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็นบัดนี้แดงก่ำ ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ภาพของไป๋หลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยนที่นางมอบให้ ทุกอย่างล้วนตอกย้ำความผิดพลาดของเขาในที่สุด ความเมาและความเจ็บปวดก็ทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มู่หรงเยว่ลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของไป๋หลัน หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกผิดและความปรารถนาตีกันวุ่นวายอยู่ในอกเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาผลักประตูเข้าไป..สตรีผู้งดงามราวกับเทพธิดาบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุข จนกระทั่ง...เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางเดิน ทำให้ไป๋หลันเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองไปทางประตูด้วยความสงสัย ใครกันที่มาในยามวิกาลเช่นนี้?"แอ๊
เฟยหยางกลับมาที่ห้องของตนด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ ร่างกายของนางยังคงปวดแสบปวดร้อนจากการถูกโบยตี แต่ความเจ็บปวดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในใจที่ถูกมู่หรงเยว่ไล่ออกมาอย่างไม่ใยดีนางไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยและไร้ค่าเช่นนี้มาก่อน ตลอดชีวิตของหญิงสาว นางไม่เคยได้รับความรักหรือความใส่ใจจากใครเลย แม้แต่พ่อแม่ของนางเองก็ยังไม่เคยเห็นค่าในตัวนาง นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาที่เกิดจากความผิดพลาด เป็นเหมือนตราบาปที่คอยตอกย้ำความอัปยศของตระกูลไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาก็ไม่เคยชอบหน้านาง พวกเขามองมักมองเฟยหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับนางเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การเหลียวแล แต่ทั้งสามกลับทุ่มเททุกอย่างให้กับไป๋หลัน ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาที่สรวงสวรรค์ประทานมาให้มีเพียงมู่หรงเยว่เท่านั้นที่ภักดีกับนาง เขาเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตอันมืดมิดของนาง เขาเป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแต่นับตั้งแต่ไป๋หลันฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มู่หรงเยว่กลับเริ่มสนใจไป๋หลันมากขึ้น เริ่มดูแลเอาใจใส่นาง และตอนนี้... เขายังไปนอนกับนางอีก!เฟยหยางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงมา นางไม่ส
วันแล้ววันเล่า ไป๋หลันยังคงทำอาหารรสเลิศที่มู่หรงเยว่โปรดปราน จัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ความเอาใจใส่ของนางละเอียดอ่อนราวกับสายน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านกำแพงหิน ละลายความเย็นชาที่เคยกักขังหัวใจของมู่หรงเยว่เอาไว้ไป๋หลันมองดูมู่หรงเยว่ที่กำลังจามไม่หยุดด้วยความสงสาร นางรู้ว่าอาการภูมิแพ้ของเขาเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ชายหนุ่มทุกข์ทรมานมานานแสนนาน จึงตัดสินใจที่จะนำความรู้ที่ได้มาจากตำราของท่านหมอเทวดาผู้เคยรักษานางมาใช้ประโยชน์“ท่านหมอเคยบอกว่า ธรรมชาติมีสมุนไพรมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้” ไป๋หลันครุ่นคิด “ข้าจะต้องหาสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารให้ชินอ๋อง”ไป๋หลันเริ่มต้นค้นคว้าตำราสมุนไพรเก่าแก่ที่ท่านหมอเคยมอบให้ พร้อมกับออกเดินทางไปยังตลาดเพื่อเสาะหาสมุนไพรที่ต้องการ“ข้าต้องการรากบัวหลวง ดอกเก๊กฮวย และเห็ดหลินจือ” ไป๋หลันบอกกับพ่อค้าพ่อค้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปทำอะไรหรือขอรับ?”“ข้าจะนำไปปรุงอาหารให้ชินอ๋องเจ้าค่ะ” ไป๋หลันตอบด้วยรอยยิ้มพ่อค้าพยักหน้าเข้าใจ “สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ขอรับ”
เฟยหยางมองภาพมู่หรงเยว่ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขขณะรับประทานอาหารที่ไป๋หลันทำ ความริษยาและความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในอก นางไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากเขาเลย ทั้งที่นางเป็นถึงชายารองที่ท่านอ๋องโปรดปราน"ไป๋หลัน!" เฟยหยางกัดฟันกรอด "เจ้าคิดจะแย่งชินอ๋องไปจากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ!"ไป๋หลันยังคงทำอาหารให้มู่หรงเยว่ทานเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้นางตั้งใจจะทำให้พิเศษกว่าทุกวัน"วันนี้หม่อมฉันจะทำอาหารจากไข่ให้ท่านทานเพคะ" ไป๋หลันบอกกับมู่หรงเยว่มู่หรงเยว่เลิกคิ้วขึ้น "อาหารจากไข่? ไป๋หลัน เจ้าจะทำอะไรให้ข้าทานกัน?""ท่านรอชมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่นานนัก ไป๋หลันก็ยกสำรับอาหารมา มู่หรงเยว่มองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บนโต๊ะมีอาหารหลายจานที่ทำจากไข่ ทั้งไข่เจียวทรงเครื่อง ไข่ตุ๋นทะเล"น่าทานทั้งนั้นเลย ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่เอ่ยชม"เชิญท่านชิมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันเชื้อเชิญมู่หรงเยว่ตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปาก รสชาติเข้มข้นของไข่ผสมผสานกับเครื่องต่างๆ อย่างลงตัว ทำให้เขาแทบวางช้อนไม่ลง"อร่อยมาก ไป๋หลัน เจ้าทำอาหารเก่งจริงๆ" เขาเอ่ยชมอีกครั้งไป๋หลันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หม่อมฉันด
ไป๋หลันวิ่งกลับเข้าห้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย นางไม่เคยรู้สึกโกรธและน้อยใจเช่นนี้มาก่อน มู่หรงเยว่ผู้ซึ่งเคยแสดงความรักและความเชื่อใจในตัวนาง กลับหันมาต่อว่านางอย่างรุนแรงเพียงเพราะคำยุยงของเฟยหยางไป๋หลันคร่ำครวญ “ท่านไม่เคยเห็นความจริงใจของข้าเลย อย่างไรท่านก็เลือกเฟยหยางอยู่ดี”ในขณะเดียวกัน มู่หรงเยว่ก็รู้สึกผิดที่ตะคอกใส่ไป๋หลัน เขาไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แต่คำพูดของเฟยหยางก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยในตัวไป๋หลัน“หรือว่าไป๋หลันแกล้งใส่เกลือลงในอาหารของข้าเพราะยังโกรธเคืองข้าเรื่องเฉินกั๋วกง?” มู่หรงเยว่ครุ่นคิด “ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฉินกั๋วกงพยายามขอเข้าพบไป๋หลัน แต่ข้าก็ไม่อนุญาตเพราะข้ารู้สึกหึงหวง”เขารู้ว่าไป๋หลันเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินอี้เทียนมาก่อน และเขาก็กลัวว่าไป๋หลันจะยังคงมีใจให้กับเฉินอี้เทียนอยู่ จึงกีดกันทั้งสองคนไม่ให้พบกัน“หรือว่าไป๋หลันจะตั้งใจทำอาหารรสชาติแย่ๆ เพื่อประชดข้า?” มู่หรงเยว่คิดต่อ “นางอาจจะต้องการให้ข้าเกลียดนาง เพื่อที่ข้าจะได้ยอมหย่ากับนาง และนางก็จะได้ไปอยู่กับเฉินกั๋วกง”ยิ่งคิด มู่หรงเยว่ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจใค
แม้บรรยากาศในจวนของชินอ๋องจะอบอุ่นขึ้นด้วยรอยยิ้มและความเอื้ออาทรที่ทุกคนมอบให้ไป๋หลันหลังจากได้ลิ้มรสอาหารฝีมือนาง แต่ในใจของไป๋หลันยังคงแน่วแน่กับการตัดสินใจครั้งสำคัญแม้ว่าตอนนี้นางจะตั้งครรภ์กับมูหรงเยว่ก็ตามที แต่ความคิดที่จะหย่ากับเขาก็ยังคงชัดเจนเหม่ยหลิง สาวที่มาจากยุคปัจจุบันที่มาอาศัยอยู่ในร่างของไป๋หลันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแบ่งปันสามีกับใคร ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยสั่นคลอนเฉินอี้เทียนเองก็ไม่เคยลืมถ้อยคำที่ไป๋หลันเขียนถึงเขาในจดหมายฉบับนั้น ถ้อยคำที่แสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะหย่าขาดจากมู่หรงเย่ว สามีของนาง มันเหมือนกับไฟที่ลุกโชนอยู่ในใจของเขา ทำให้ความหวังและความปรารถนาที่จะได้ครอบครองหัวใจของไป๋หลันนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะเขาเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้พบนางอีกครั้ง แต่โอกาสนั้นก็ดูเหมือนจะริบหรี่เต็มที เพราะไป๋หลันนั้นเป็นถึงพระชายาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ การที่จะเข้าถึงตัวนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่แล้วโชคชะตาก็เข้าข้างเขา เมื่อมู่หรงเย่วต้องออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองหลวง ทิ้งให้ไป๋หลันอยู่เพียงลำพังในจวนอันเงียบเหงาเฉินอี้เที
ในเขตพระราชวังอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยกำแพงหินสูงสง่าและต้นสนที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ไป๋หลัน เดินลัดเลาะตามทางเดินหินที่ทอดยาวสู่ตำหนักของฮองเฮา นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวงาช้างปักลายดอกไม้ละเอียดอ่อน ขณะเดินไป เสียงนกที่ร้องเบาๆ ตามกิ่งไม้สูง และเสียงฝีเท้าของนางบนหินที่เย็นเฉียบ ดูเหมือนจะเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินในยามนี้วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะเป็นวันที่หญิงสาวถูกเรียกเข้าเฝ้าฮองเฮาผู้เป็นพระญาติของนาง ผู้ทรงเป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างสูงในราชสำนัก นางรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่ทำให้นางกังวลมากที่สุดคือข่าวที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อถึงตำหนักของฮองเฮา ประตูไม้หนักที่สลักลวดลายวิจิตรถูกเปิดออกโดยขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ไป๋หลันก้าวเข้ามาในห้องรับรองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนและวัตถุโบราณจากยุคต่างๆ กลิ่นหอมของไม้จันทน์ลอยอบอวลไปทั่วห้อง ขณะที่ฮองเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์เล็กๆ ที่ประดับด้วยหมอนหนานุ่ม ใบหน้าของพระนางสงบสุข แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจคาดเดาได้"หลันเอ๋อร์" เสียงของฮองเฮาเรียกชื่อไป๋หลันเ
ในห้องโถงวังหลวงซึ่งปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม ความเย็นเยียบของเสาไม้แกะสลักและเพดานสูงทำให้เสียงพูดของผู้คนก้องสะท้อนไปทั่ว ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุรุษผู้หนึ่งที่ยืนเด่นเป็นสง่า มู่หรงเยว่ชายหนุ่มที่สูงศักดิ์ในฐานะชินอ๋อง หนึ่งในบุคคลสำคัญของแคว้นหยาง อำนาจในมือของเขาคือกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่เบื้องหลังของเส้นทางสู่อำนาจนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ คิด และยิ่งในวันนี้ วันที่ชะตาของเขาถูกลิขิตใหม่อย่างไม่ทันคาดคิดฮ่องเต้ทอดพระเนตรน้องชายที่พระองค์รัก ท่าทางของพระองค์สงบและมั่นคงในคำสั่งที่กำลังจะประกาศออกมา "หรงเยว่" เสียงอันทรงอำนาจของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วห้อง "ข้าได้เตรียมการแต่งงานให้เจ้าแล้ว"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าที่ผ่ากลางใจของมู่หรงเยว่ เขานิ่งไปชั่วขณะ แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีสงบ แต่ภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกว้าวุ่น "การแต่งงาน?" เขาทวนคำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน การแต่งงานที่ไม่เคยมีการพูดถึงมาก่อน เหตุใดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้ และที่สำคัญ เหตุใดถึงต้องรีบร้อนจัดการเรื่องนี้ในตอนนี้?ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ดวงตายังคงแข็งกร้าว "ใช่ การแต่งงานของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก เจ้
หลายปีผ่านไป มู่หรงซาน บุตรชายคนโตของมู่หรงเยว่และไป๋หลัน เติบโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยห้าขวบผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสดใส แต่เขาก็มีนิสัยที่ทำให้บิดามารดาต้องปวดหัวไม่น้อย นั่นคือ เขาเป็นเด็ก 'ทานยาก' ที่สุด!ไป๋หลันพยายามทำอาหารสารพัดเมนูมาล่อใจลูกชาย แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะถูกปากเจ้าตัวเล็กได้เลย มู่หรงซานจะกินเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ผลักจานออกห่าง ทำให้ไป๋หลันรู้สึกท้อแท้ใจ"หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก" มู่หรงเยว่ปลอบใจภรรยา "เด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวซานเอ๋อร์ก็โตและกินง่ายขึ้นเอง"แต่ไป๋หลันยังคงเป็นห่วงลูกชาย นางรู้ว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และนางไม่อยากให้ลูกชายขาดสารอาหาร"แต่หม่อมฉันเป็นห่วงเขาเหลือเกิน ท่านพี่" ไป๋หลันพูดเสียงเศร้า "เขาตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน"มู่หรงเยว่โอบกอดภรรยาไว้ "เราจะหาวิธีกันนะ หลันเอ๋อร์"ด้วยความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อลูก ไป๋หลันจึงไม่ยอมแพ้ นางเริ่มศึกษาตำราอาหารสำหรับเด็ก ทดลองทำเมนูใหม่ ๆ ที่ทั้งอร่อยและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดใจลูกชายตัวน้อยของนางถึงแม้ไป๋หลันจะพยายามสร้างสรรค์เมนูอาหารให้น่าทานมากเพียงใด แ
ข่าวคราวที่ชินอ๋องมู่หรงเยว่จะทรงมีชายาเพียงองค์เดียวกระจายไปทั่วแคว้น สร้างความผิดหวังให้แก่เหล่าหญิงงามที่เคยหมายปองจะได้เป็นสนมของพระองค์ เพราะบัดนี้พวกนางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เฉียดใกล้ชินอ๋องอีกต่อไปในคืนที่ไป๋หลันใจอ่อนยอมคืนดี ภายในห้องบรรทมที่เคยเงียบเหงา บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยไอรักอันร้อนแรง มู่หรงเยว่และไป๋หลันผู้ห่างเหินกันไปนาน ได้กลับมาเปิดเผยความในใจซึ่งกันและกันอีกครั้งมู่หรงเยว่โอบกอดไป๋หลันไว้แนบอก จุมพิตหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม "ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดเช่นนี้อีก"ไป๋หลันซบหน้าลงกับอกแกร่ง น้ำตาแห่งความปีติยินดีเอ่อล้นออกมา "ได้ หม่อมฉันจะเชื่อใจท่านพี่อีกครั้ง"สัมผัสอันอ่อนโยนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร่าร้อน มู่หรงเยว่ประคองใบหน้างามของไป๋หลันขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววรักใคร่"ข้ารักเจ้า ไป๋หลัน" เขาเอ่ยเสียงพร่า"หม่อมฉันก็รักท่านพี่เพคะ" ไป๋หลันตอบรับ ก่อนจะมอบจุมพิตอันแสนหวานให้กับคนรักร่างสองร่างแนบชิดเป็นหนึ่งเดียว ความรักที่เก็บกดไว้นานถูกปลดปล่อยออกมาอย่างร้อนแรง เสียงครางกระเส่าดังคลอเคล้าไปกับเสียงลมหายใจหอบ
แม้ว่าจะถูกมู่หรงเยว่สืบข่าวจนล่วงรู้ถึงแผนการร้าย แต่ซูหลิงก็ยังไม่ยอมละความพยายาม นางยังคงมีความแค้นฝังลึกต่อมู่หรงเยว่และไป๋หลัน คิดว่าหากไป๋หลันแท้งลูก มู่หรงเยว่อาจจะใจอ่อน ยอมแต่งงานกับนางเพื่อรักษาสัมพันธภาพระหว่างแคว้นเอาไว้วันหนึ่ง ซูหลิงบุกเข้าไปในภัตตาคารของไป๋หลัน นางผลักไป๋หลันอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น"เจ้าคิดว่าจะแย่งท่านอ๋องไปจากข้าได้งั้นเหรอ? ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยแพ้ให้กับสตรีผู้ใด!" ซูหลิงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวไป๋หลันพยายามลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องน้อย นางกุมท้องตัวเองไว้แน่น "อย่านะ ซูหลิง อย่าทำอะไรลูกของข้า" ไป๋หลันร้องขอเสียงสั่นเครือแต่ซูหลิงไม่ฟัง นางตรงเข้าไปหมายจะทำร้ายไป๋หลันอีกครั้งทันใดนั้นเอง มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเข้ามาขวางซูหลิงไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะทำอะไรไป๋หลันได้"หยุดนะ ซูหลิง!" มู่หรงเยว่ตวาดลั่นซูหลิงหันไปมองเขาด้วยความตกใจ "ท่านอ๋อง"มู่หรงเยว่ไม่ฟังคำแก้ตัวของนาง เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ"นี่คือจดหมายที่เจ้าลอบส่งให้พี่ชายของเจ้าใช่ไหม?" มู่หรงเยว่ถามพลางโยนจดหมายลงตรงหน้าซูหลิงซูหลิงหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นจ
ข่าวการแต่งงานของมู่หรงเยว่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจไป๋หลัน แม้จะรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้า แต่หญิงสาวก็ยังคงความสงบนิ่ง ไร้ซึ่งน้ำตาหรือเสียงสะอื้นใดๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะลูบท้องน้อยของตนเองอย่างแผ่วเบา"ลูกแม่" นางกระซิบแผ่วเบา "เราต้องเข้มแข็งนะ"ไม่นานนัก มู่หรงเยว่ก็มาหาไป๋หลันด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาจับมือนางไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว"ไป๋หลัน ข้า...""ข้าทราบแล้ว" ไป๋หลันขัดขึ้น นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่อ่านยาก "เรื่องการแต่งงานของท่าน"มู่หรงเยว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ข้ามิได้ประสงค์ในการแต่งงานครั้งนี้เลยสักนิด ไป๋หลัน"ไป๋หลันพยายามฝืนยิ้ม "ข้าเข้าใจท่านอ๋อง"แต่ในใจของนางกลับปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดลึก ความเจ็บปวดนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้"ข้ารู้ว่าท่านคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้" ไป๋หลันพูดต่อ "แต่ข้าจะขอท่านเพียงแค่สิ่งเดียว"มู่หรงเยว่มองนางด้วยความรู้สึกผิด "สิ่งใดหรือ ไป๋หลัน""ดูแลลูกของเราให้ดี" นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ "นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการ"มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น"ข้าให้สัญญา ไป๋หลัน"ถึงแม้ไป๋หลันจะยอม
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับสายน้ำ ท้องของไป๋หลันค่อยๆ โตขึ้นจนใกล้ถึงกำหนดคลอด นางเริ่มเคลื่อนไหวลำบากและเหนื่อยง่าย ภัตตาคารที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของนางก็เริ่มกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งวันหนึ่ง พ่อครัวคนสำคัญในร้านเกิดล้มป่วยกะทันหัน ไป๋หลันร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง นางไม่รู้จะหาใครมาแทนได้ทันท่วงที ในใจนางคิดถึงแต่เรื่องนี้จนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับท่ามกลางความกังวลนั้นเอง จู่ๆ มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ภัตตาคารของนางราวกับปาฏิหาริย์ เขาเพิ่งเสร็จศึกจากแนวหน้าและรีบรุดกลับเมืองหลวงทันทีที่ทราบข่าวว่านางใกล้ถึงกำหนดคลอดเมื่อเห็นไป๋หลันยืนหน้าเครียด มู่หรงเยว่ก็รับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของนาง เขาจึงเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย "หลันเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงดูไม่สบายใจเช่นนี้"ไป๋หลันเล่าเรื่องพ่อครัวให้เขาฟัง มู่หรงเยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง"ไป๋หลันมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ท่านจะช่วยข้าอย่างไร ท่านไม่เคยทำครัวมาก่อน"มู่หรงเยว่หัวเราะเบาๆ "ตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่จวน ข้าเคยนั่งเฝ้าเจ้านอนเฝ้าเจ้าตอนเข้าครัวจนจำได้หมดแล้ว"ไป๋หลันนึกถึงภาพในอดีต แม้จะผ่
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับแสงทองแรกที่สาดส่อง ทว่าความสดใสของวันใหม่กลับมิอาจนำพาความสุขมาสู่จวนของมู่หรงเยว่ สาส์นด่วนจากฮ่องเต้มาถึงในยามเช้าตรู่ สั่งให้เขาออกเดินทางไปรบ ณ ชายแดนแนวหน้าทันทีมู่หรงเยว่กำสาสน์นั้นแน่น รู้สึกราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา เขาเหลือเวลาอยู่กับไป๋หลันเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่จะต้องจากนางไปเผชิญหน้ากับความเป็นความตายในสนามรบ หัวใจของเขาปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด เขาอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับนางให้มากที่สุด แต่หน้าที่ก็ไม่อาจละเลยในที่สุดวันที่เขาต้องออกเดินทางก็มาถึง ไป๋หลันยืนรอส่งเขาอยู่หน้าจวน นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ ดั่งแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดในใจของเขา"ท่านอ๋อง โปรดดูแลตัวเองด้วย" น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง"ข้าสัญญาว่าจะกลับมาหาเจ้า ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่กระซิบข้างหูนาง "และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าอีกครั้ง"เขาจูบหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความอาลัย และคำมั่นสัญญามู่หรงเยว่ผละออกจากอ้อมกอดของไป๋หลันอย่างอ้อยอิ่ง เขาหันหลังกลับและก้าวขึ้นม้า สายตาของเขามองกลับมาที่นา
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต มู่หรงเยว่จึงตัดสินใจเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาอีกครั้ง เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าทั้งสองพระองค์ น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น"ขอฝ่าบาทและฮองเฮาทรงโปรดประทานอภัยให้กับข้าผู้โง่เขลาอีกครั้ง" มู่หรงเยว่กล่าว "ข้ารู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ แต่ข้าขาดไป๋หลันไม่ได้ ขอทรงโปรดให้โอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ"แม้ฮองเฮาจะยังทรงกริ้วที่มู่หรงเยว่ชอบทำร้ายจิตใจหลานสาวของนาง แต่ลึกๆแล้วพระนางก็ทราบดีว่าไป๋หลันยังคงมีใจให้มู่หรงเยว่อยู่ อีกทั้งเด็กในท้องก็ต้องการบิดา นางจึงให้โอกาสมู่หรงเยว่อีกครั้ง"เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง" ฮองเฮาตรัส "เราจะส่งไป๋หลันกลับไปอยู่กับเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะได้พิสูจน์ตัวเอง หากเจ้ายังไม่สามารถทำให้นางกลับมามีความสุขได้ เราจะให้เจ้าสองคนหย่าขาดจากกัน และไป๋หลันจะต้องเข้ามาอยู่ในวังหลวงกับเรา"มู่หรงเยว่รู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตาของฮองเฮาเป็นล้นพ้น เขารีบกลับไปยังจวนของตนเพื่อรอคอยการกลับมาของไป๋หลันด้วยใจจดจ่อ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวังและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาจะไ