เฟยหยางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความมืดมิด ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยังไม่จางหายไปไหน ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับถมอยู่ พิษของเห็ดเมาที่หลอกหลอนนางมาตลอดทั้งคืนเริ่มจางลง ทิ้งไว้เพียงความทรงจำเลือนรางของเหตุการณ์เมื่อคืนที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น
"ข้าเสียรู้ให้ไป๋หลัน!" เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ความโกรธเกรี้ยวและความอัปยศอดสูรวมตัวกันเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาภายในอก นางจำได้ลางๆ ถึงภาพของไป๋หลันที่หลอกล่อนางให้กินอาหารที่ป้ายด้วยเห็ดเมา แล้วหลังจากนั้น... ความทรงจำก็ขาดหายไป
"พระชายา" เสียงของเปาหม่าดังขึ้นข้างเตียง นางประคองถ้วยยาส่งให้เฟยหยาง "นี่คือยาบำรุงร่างกาย ท่านรีบดื่มเถิดเพคะ"
เฟยหยางรับถ้วยยา ดื่มมันจนหมดโดยไม่ปริปากบ่น ร่างกายของนางยังคงอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มด้วยความแค้น
"เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง" นางถามเสียงแหบพร่า
เปาหม่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล "หลังจากที่ท่านสลบไป ท่านอ๋องก็รีบไปหาพระชายาเอกที่เรือนทันที พระองค์ไม่ได้อยู่ดูแลท่านเลยแม้แต่น้อย และอยู่กับพระชายาเอกตลอดค่อนคืนเจ้าค่ะ"
คำพูดของเปาหม่าราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจของเฟยหยาง ความหึงหวงและความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางยึดติดกับมู่หรงเยว่มาโดยตลอด ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองเขา แต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าความรักของนางเลย
"ชินอ๋อง..." นางพึมพำชื่อเขา นางพยายามกีดกันเขากับไป๋หลัน สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายป้ายสี แต่ไม่ว่านางจะทำเช่นไร เขาก็ยังคงมองข้ามความรักของนางและไปหาไป๋หลันจนได้
"พระชายา" เปาหม่าพยายามปลอบใจ "ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องไม่ได้มีใจให้พระชายาเอกหรอกเพคะ"
"ไป๋หลัน!" เฟยหยางกัดฟันกรอด ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธ นางจะไม่ยอมให้ไป๋หลันแย่งชิงทุกอย่างไปจากนาง นางต้องทำอะไรสักอย่าง
"เปาหม่า" นางหันไปหาสาวใช้คนสนิท "ไปตามคนของเรามา ข้าจะไปหาพระชายาเอกเดี๋ยวนี้"
เปาหม่าพยักหน้ารับคำ เฟยหยางลุกขึ้นแต่งตัวด้วยชุดสีแดงเพลิง สวมเครื่องประดับทองอร่าม นางจะต้องทำให้ไป๋หลันได้เห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในจวนนี้
ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนชินอ๋อง เป่ากงกง ขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดไทเฮา พระมารดาของชินอ๋อง เดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
"พระชายา" เป่ากงกงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม "ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้ข้ามาแจ้งว่า พระองค์ทรงปรารถนาจะเสวยอาหารท้องถิ่นบ้านเกิดของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทเฮาโปรดให้พระชายาจัดสำรับสามอย่างที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองหางโจวบ้านเกิดของพระชายา"
ไป๋หลันยิ้มรับ "เรียนเป่ากงกง หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ทำอาหารให้ไทเฮาเสวยเพคะ"
เป่ากงกงพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นกล่องไม้แกะสลักอย่างประณีตให้ไป๋หลัน "นี่เป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากไทเฮา ขอพระชายารับไว้นะพ่ะย่ะค่ะ"
ไป๋หลันเปิดกล่องออก ภายในบรรจุวัตถุสีเขียวมรกต รูปทรงคล้ายหยดน้ำ เปล่งประกายระยิบระยับ
"หยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาเบาๆ "ไทเฮาทรงมีน้ำพระทัยอย่างยิ่ง หม่อมฉันซาบซึ้งใจเป็นล้นพ้น"
"พระชายาโปรดวางใจ ไทเฮาทรงพอพระทัยในตัวของพระชายายิ่งนัก" เป่ากงกงกล่าว
"เช่นนั้น ข้าขอตัวไปเตรียมสำรับสำหรับไทเฮาสักครู่ ระหว่างนี้เป่ากงกงเชิญเดินเล่นชมสวนได้ตามอัธยาศัยได้เลยเจ้าค่ะ" ไป๋หลันกล่าวเชิญ
เป่ากงกงโค้งคำนับ "ขอบพระทัยพระชายาไป๋หลัน"
ไป๋หลันเดินออกจากห้องโถงไปยังห้องครัว ทิ้งให้เป่ากงกงเดินชมสวนอันร่มรื่นเพียงลำพัง ความรู้สึกภาคภูมิใจเอ่อล้นในใจของไป๋หลัน ของกำนัลจากไทเฮาเป็นเครื่องยืนยันถึงความโปรดปรานที่พระองค์มีต่อนาง และนั่นทำให้ไป๋หลันมั่นใจว่าแผนการของนางกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
ในห้องครัว ไป๋หลันเริ่มลงมือเตรียมอาหารด้วยความตั้งใจ นางจะต้องทำให้สำรับนี้เป็นที่ประทับใจของไทเฮาให้จงได้ เพื่อที่นางจะได้ก้าวเข้าใกล้ชินอ๋องมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง
"สำรับแรก ข้าจะทำ 'ปลาตะเพียนน้ำแดง' " ไป๋หลันพึมพำกับตัวเอง นี่คืออาหารขึ้นชื่อของหางโจวที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติเปรี้ยวหวานกลมกล่อม ปลาตะเพียนสดๆ ตัวใหญ่ถูกนำมาแล่เอาแต่เนื้อ นำไปทอดจนเหลืองกรอบ ราดด้วยซอสน้ำแดงที่ปรุงจากน้ำตาล มะเขือเทศ และเครื่องเทศสูตรพิเศษของไป๋หลัน กลิ่นหอมของซอสน้ำแดงอบอวลไปทั่วห้องครัว ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างน้ำลายสอ
"สำรับที่สอง ข้าจะทำ 'กุ้งหลงในเล่ห์ไหม' " ไป๋หลันเลือกกุ้งตัวโตสดๆ มาผ่าหลังชุบแป้งทอดกรอบ ราดด้วยซอสสีทองที่ทำจากไข่แดงและน้ำผึ้ง เส้นหมี่ขาวถูกนำมาทอดเป็นรังไหมกรอบๆ วางกุ้งลงไปตรงกลาง ราวกับกุ้งกำลังหลงอยู่ในเล่ห์ไหมจริงๆ
"และสำรับสุดท้าย ข้าจะทำ 'ข้าวห่อใบบัว' " ไป๋หลันนำข้าวเหนียวนุ่มๆ มาผัดกับเห็ดหอม กุนเชียง และเครื่องปรุงรสต่างๆ ห่อด้วยใบบัวแล้วนำไปนึ่งจนสุก กลิ่นหอมของใบบัวอบอวลอยู่ในข้าวเหนียว ทำให้อาหารจานนี้มีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
เมื่อสำรับทั้งสามเสร็จเรียบร้อย บ่าวรับใช้ก็นำไปจัดวางใส่ภาชนะที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างสวยงาม ไป๋หลันมองสำรับอาหารที่ตัวเองบรรจงทำด้วยความภาคภูมิใจ นางมั่นใจว่าไทเฮาจะต้องพอพระทัยในรสชาติอาหารของนางอย่างแน่นอน ก่อนที่จะกลับไปยังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่จวนของหญิงสาว
ความวุ่นวายปะทุขึ้นในห้องครัวหลวงเมื่อเฟยหยางมาถึง นางอาละวาดทำลายข้าวของและวัตถุดิบที่เตรียมไว้สำหรับถวายอาหารแด่ไทเฮา
"อ๊ากกก!" นางกรีดร้องเสียงดัง มือคว้าแจกันลายครามใบใหญ่ใกล้ตัว ฟาดมันลงกับพื้นอย่างแรง เสียงแตกดังสนั่นหวั่นไหว บ่าวไพร่ในครัวต่างตกตะลึง หยุดกิจกรรมในมือ มองมาที่เฟยหยางด้วยความหวาดกลัว
ความโกรธของเฟยหยางไม่หยุดอยู่แค่นั้น จาน ชาม เครื่องเคลือบต่างๆ ถูกปัดปาลงพื้นแตกกระจายไม่ยั้ง เครื่องเทศนานาชนิดถูกคว่ำเทลงพื้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นฉุนเมื่อปะปนกับฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจาย
"ทำลายมันให้หมด!" นางตะโกนลั่น น้ำตาแห่งความคับแค้นไหลอาบสองแก้ม นางคว้ามีดทำครัวขึ้นมา ฟันมันลงบนเขียงไม้เสียงดังสนั่น จนเขียงเป็นรอยลึก
บ่าวไพร่บางคนพยายามเข้ามาห้าม แต่เฟยหยางผลักพวกเขาออกไปอย่างแรง "อย่ามายุ่งกับข้า! ปล่อยให้ข้าทำลายมัน!"
เสียงดังโครมครามดังต่อเนื่อง เฟยหยางไม่สนใจว่าการกระทำของนางจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ใด นางต้องการเพียงระบายความคับแค้นในใจออกมาให้หมดสิ้น
เป่ากงกง ขันทีผู้จงรักภักดีต่อไทเฮา แทบคลั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาไม่เคยพบเห็นการกระทำที่อุกอาจและหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้มาก่อน
ด้วยความเดือดดาล เป่ากงกงสั่งให้ทหารไปตามชินอ๋องมาโดยพลัน เขาต้องการให้ชินอ๋องมาจัดการกับชายารองของเขาที่ก่อเรื่องอื้อฉาวนี้ ชินอ๋องมาถึงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่คาดคิดว่าเฟยหยางจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ เขาเข้าใจดีว่าการกระทำของเฟยหยางไม่เพียงแต่เป็นการดูหมิ่นไทเฮาเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายอำนาจของเขาอีกด้วย
ยังไม่ทันที่เฟยหยางจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องครัว เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำสนิทก้าวเข้ามาในครัวที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง มู่หรงเยว่ ชินอ๋องแห่งแคว้น มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก"เฟยหยาง!" เสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง "เจ้าทำอะไรลงไป"เฟยหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและเจ็บปวดในแววตา"หม่อมฉัน..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอมู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น แววตาของเขาจ้องมองนางอย่างตำหนิ "เจ้าทำเกินกว่าเหตุอีกแล้วเฟยหยาง""หม่อมฉันแค่..." เฟยหยางพยายามจะอธิบาย แต่ก็ถูกเขาขัดขึ้น"เจ้าแค่หึงหวงไป๋หลัน เจ้าแค่ทนไม่ได้ที่ข้าไปหาเขา เจ้าแค่..." มู่หรงเยว่เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น "เจ้าแค่เห็นแก่ตัว!"คำพูดของเขาเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในใจของเฟยหยาง นางกำมือแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้"หม่อมฉันขอโทษ" นางพูดเสียงแผ่วเบา"ขอโทษ?" มู่หรงเยว่หัวเราะในลำคอ "เจ้าคิดว่าคำขอโทษของเจ้าจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อได้หรือ"เขาหันไปหาเป่ากงกงที่ยื
กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชมไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้""เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยเมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน...""กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ล
เมื่อกลับถึงจวน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเข้านอนหลับใหล เหลือเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างอยู่ตามทางเดินภายในห้องหนังสือของมู่หรงเยว่ กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าของเรือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ความเมาคืบคลานเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็นบัดนี้แดงก่ำ ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ภาพของไป๋หลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยนที่นางมอบให้ ทุกอย่างล้วนตอกย้ำความผิดพลาดของเขาในที่สุด ความเมาและความเจ็บปวดก็ทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มู่หรงเยว่ลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของไป๋หลัน หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกผิดและความปรารถนาตีกันวุ่นวายอยู่ในอกเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาผลักประตูเข้าไป..สตรีผู้งดงามราวกับเทพธิดาบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุข จนกระทั่ง...เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางเดิน ทำให้ไป๋หลันเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองไปทางประตูด้วยความสงสัย ใครกันที่มาในยามวิกาลเช่นนี้?"แอ๊
เฟยหยางกลับมาที่ห้องของตนด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ ร่างกายของนางยังคงปวดแสบปวดร้อนจากการถูกโบยตี แต่ความเจ็บปวดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในใจที่ถูกมู่หรงเยว่ไล่ออกมาอย่างไม่ใยดีนางไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยและไร้ค่าเช่นนี้มาก่อน ตลอดชีวิตของหญิงสาว นางไม่เคยได้รับความรักหรือความใส่ใจจากใครเลย แม้แต่พ่อแม่ของนางเองก็ยังไม่เคยเห็นค่าในตัวนาง นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาที่เกิดจากความผิดพลาด เป็นเหมือนตราบาปที่คอยตอกย้ำความอัปยศของตระกูลไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาก็ไม่เคยชอบหน้านาง พวกเขามองมักมองเฟยหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับนางเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การเหลียวแล แต่ทั้งสามกลับทุ่มเททุกอย่างให้กับไป๋หลัน ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาที่สรวงสวรรค์ประทานมาให้มีเพียงมู่หรงเยว่เท่านั้นที่ภักดีกับนาง เขาเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตอันมืดมิดของนาง เขาเป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแต่นับตั้งแต่ไป๋หลันฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มู่หรงเยว่กลับเริ่มสนใจไป๋หลันมากขึ้น เริ่มดูแลเอาใจใส่นาง และตอนนี้... เขายังไปนอนกับนางอีก!เฟยหยางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงมา นางไม่ส
วันแล้ววันเล่า ไป๋หลันยังคงทำอาหารรสเลิศที่มู่หรงเยว่โปรดปราน จัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ความเอาใจใส่ของนางละเอียดอ่อนราวกับสายน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านกำแพงหิน ละลายความเย็นชาที่เคยกักขังหัวใจของมู่หรงเยว่เอาไว้ไป๋หลันมองดูมู่หรงเยว่ที่กำลังจามไม่หยุดด้วยความสงสาร นางรู้ว่าอาการภูมิแพ้ของเขาเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ชายหนุ่มทุกข์ทรมานมานานแสนนาน จึงตัดสินใจที่จะนำความรู้ที่ได้มาจากตำราของท่านหมอเทวดาผู้เคยรักษานางมาใช้ประโยชน์“ท่านหมอเคยบอกว่า ธรรมชาติมีสมุนไพรมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้” ไป๋หลันครุ่นคิด “ข้าจะต้องหาสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารให้ชินอ๋อง”ไป๋หลันเริ่มต้นค้นคว้าตำราสมุนไพรเก่าแก่ที่ท่านหมอเคยมอบให้ พร้อมกับออกเดินทางไปยังตลาดเพื่อเสาะหาสมุนไพรที่ต้องการ“ข้าต้องการรากบัวหลวง ดอกเก๊กฮวย และเห็ดหลินจือ” ไป๋หลันบอกกับพ่อค้าพ่อค้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปทำอะไรหรือขอรับ?”“ข้าจะนำไปปรุงอาหารให้ชินอ๋องเจ้าค่ะ” ไป๋หลันตอบด้วยรอยยิ้มพ่อค้าพยักหน้าเข้าใจ “สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ขอรับ”
เฟยหยางมองภาพมู่หรงเยว่ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขขณะรับประทานอาหารที่ไป๋หลันทำ ความริษยาและความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในอก นางไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากเขาเลย ทั้งที่นางเป็นถึงชายารองที่ท่านอ๋องโปรดปราน"ไป๋หลัน!" เฟยหยางกัดฟันกรอด "เจ้าคิดจะแย่งชินอ๋องไปจากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ!"ไป๋หลันยังคงทำอาหารให้มู่หรงเยว่ทานเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้นางตั้งใจจะทำให้พิเศษกว่าทุกวัน"วันนี้หม่อมฉันจะทำอาหารจากไข่ให้ท่านทานเพคะ" ไป๋หลันบอกกับมู่หรงเยว่มู่หรงเยว่เลิกคิ้วขึ้น "อาหารจากไข่? ไป๋หลัน เจ้าจะทำอะไรให้ข้าทานกัน?""ท่านรอชมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่นานนัก ไป๋หลันก็ยกสำรับอาหารมา มู่หรงเยว่มองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บนโต๊ะมีอาหารหลายจานที่ทำจากไข่ ทั้งไข่เจียวทรงเครื่อง ไข่ตุ๋นทะเล"น่าทานทั้งนั้นเลย ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่เอ่ยชม"เชิญท่านชิมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันเชื้อเชิญมู่หรงเยว่ตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปาก รสชาติเข้มข้นของไข่ผสมผสานกับเครื่องต่างๆ อย่างลงตัว ทำให้เขาแทบวางช้อนไม่ลง"อร่อยมาก ไป๋หลัน เจ้าทำอาหารเก่งจริงๆ" เขาเอ่ยชมอีกครั้งไป๋หลันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หม่อมฉันด
ไป๋หลันวิ่งกลับเข้าห้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย นางไม่เคยรู้สึกโกรธและน้อยใจเช่นนี้มาก่อน มู่หรงเยว่ผู้ซึ่งเคยแสดงความรักและความเชื่อใจในตัวนาง กลับหันมาต่อว่านางอย่างรุนแรงเพียงเพราะคำยุยงของเฟยหยางไป๋หลันคร่ำครวญ “ท่านไม่เคยเห็นความจริงใจของข้าเลย อย่างไรท่านก็เลือกเฟยหยางอยู่ดี”ในขณะเดียวกัน มู่หรงเยว่ก็รู้สึกผิดที่ตะคอกใส่ไป๋หลัน เขาไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แต่คำพูดของเฟยหยางก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยในตัวไป๋หลัน“หรือว่าไป๋หลันแกล้งใส่เกลือลงในอาหารของข้าเพราะยังโกรธเคืองข้าเรื่องเฉินกั๋วกง?” มู่หรงเยว่ครุ่นคิด “ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฉินกั๋วกงพยายามขอเข้าพบไป๋หลัน แต่ข้าก็ไม่อนุญาตเพราะข้ารู้สึกหึงหวง”เขารู้ว่าไป๋หลันเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินอี้เทียนมาก่อน และเขาก็กลัวว่าไป๋หลันจะยังคงมีใจให้กับเฉินอี้เทียนอยู่ จึงกีดกันทั้งสองคนไม่ให้พบกัน“หรือว่าไป๋หลันจะตั้งใจทำอาหารรสชาติแย่ๆ เพื่อประชดข้า?” มู่หรงเยว่คิดต่อ “นางอาจจะต้องการให้ข้าเกลียดนาง เพื่อที่ข้าจะได้ยอมหย่ากับนาง และนางก็จะได้ไปอยู่กับเฉินกั๋วกง”ยิ่งคิด มู่หรงเยว่ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจใค
แม้บรรยากาศในจวนของชินอ๋องจะอบอุ่นขึ้นด้วยรอยยิ้มและความเอื้ออาทรที่ทุกคนมอบให้ไป๋หลันหลังจากได้ลิ้มรสอาหารฝีมือนาง แต่ในใจของไป๋หลันยังคงแน่วแน่กับการตัดสินใจครั้งสำคัญแม้ว่าตอนนี้นางจะตั้งครรภ์กับมูหรงเยว่ก็ตามที แต่ความคิดที่จะหย่ากับเขาก็ยังคงชัดเจนเหม่ยหลิง สาวที่มาจากยุคปัจจุบันที่มาอาศัยอยู่ในร่างของไป๋หลันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแบ่งปันสามีกับใคร ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยสั่นคลอนเฉินอี้เทียนเองก็ไม่เคยลืมถ้อยคำที่ไป๋หลันเขียนถึงเขาในจดหมายฉบับนั้น ถ้อยคำที่แสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะหย่าขาดจากมู่หรงเย่ว สามีของนาง มันเหมือนกับไฟที่ลุกโชนอยู่ในใจของเขา ทำให้ความหวังและความปรารถนาที่จะได้ครอบครองหัวใจของไป๋หลันนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะเขาเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้พบนางอีกครั้ง แต่โอกาสนั้นก็ดูเหมือนจะริบหรี่เต็มที เพราะไป๋หลันนั้นเป็นถึงพระชายาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ การที่จะเข้าถึงตัวนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่แล้วโชคชะตาก็เข้าข้างเขา เมื่อมู่หรงเย่วต้องออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองหลวง ทิ้งให้ไป๋หลันอยู่เพียงลำพังในจวนอันเงียบเหงาเฉินอี้เที