ยังไม่ทันที่เฟยหยางจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องครัว เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำสนิทก้าวเข้ามาในครัวที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง มู่หรงเยว่ ชินอ๋องแห่งแคว้น มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก
"เฟยหยาง!" เสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง "เจ้าทำอะไรลงไป"
เฟยหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและเจ็บปวดในแววตา
"หม่อมฉัน..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอ
มู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น แววตาของเขาจ้องมองนางอย่างตำหนิ "เจ้าทำเกินกว่าเหตุอีกแล้วเฟยหยาง"
"หม่อมฉันแค่..." เฟยหยางพยายามจะอธิบาย แต่ก็ถูกเขาขัดขึ้น
"เจ้าแค่หึงหวงไป๋หลัน เจ้าแค่ทนไม่ได้ที่ข้าไปหาเขา เจ้าแค่..." มู่หรงเยว่เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น "เจ้าแค่เห็นแก่ตัว!"
คำพูดของเขาเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในใจของเฟยหยาง นางกำมือแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
"หม่อมฉันขอโทษ" นางพูดเสียงแผ่วเบา
"ขอโทษ?" มู่หรงเยว่หัวเราะในลำคอ "เจ้าคิดว่าคำขอโทษของเจ้าจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อได้หรือ"
เขาหันไปหาเป่ากงกงที่ยืนอยู่ด้านหลัง "เป่ากงกง จัดการตามสมควร"
เป่ากงกงโค้งคำนับ "พ่ะย่ะค่ะ" แล้วหันไปสั่งการเหล่าองครักษ์ "นำตัวพระชายารองไปโบย ห้าสิบที!"
เสียงโบยแส้ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณราวกับเสียงฟ้าผ่าลงกลางใจของเฟยหยาง แต่ละครั้งที่แส้กระทบผิวกาย รอยแผลเป็นสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกาย
เฟยหยางกัดฟันแน่น พยายามอย่างที่สุดที่จะกลั้นเสียงร้องเอาไว้ นางอยากจะร้องขอความเมตตาจากชินอ๋อง แต่ริมฝีปากที่ซีดเผือดกลับไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้ ความเจ็บปวดเกินกว่าที่นางจะทนทานไหว
น้ำตาไหลอาบแก้มนางอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางไม่เคยคิดเลยว่าชินอ๋องจะลงโทษนางเช่นนี้ เขาเคยทะนุถนอมนางยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แต่ตอนนี้...
ความเจ็บปวดทางกายยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในใจของเฟยหยาง นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชากออกเป็นเสี่ยงๆ ความรักที่นางมีให้เขามันไม่มีค่าอะไรเลยหรือ เขาถึงได้ทำกับนางเช่นนี้
"ท่านอ๋อง..." นางคร่ำครวญในใจ "ได้โปรด หยุดเถิด หม่อมฉันเจ็บปวดเหลือเกิน"
มู่หรงเยว่ยืนมองการลงโทษด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีแววตาแห่งความสงสารแม้แต่น้อย เขาโกรธที่เฟยหยางทำเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน และยิ่งโกรธกว่าที่นางเกือบจะทำให้ไป๋หลันบาดเจ็บ
"ถ้าไป๋หลันเป็นอะไรไป ข้าจะเดือดร้อน" เขาคิดในใจ "ฮ่องเต้ประทานนางมาให้ข้า ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะตอบอย่างไร"
ยิ่งคิด มู่หรงเยว่ก็ยิ่งรู้สึกโกรธเฟยหยางมากขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงไม่รู้จักพอ ทั้งที่เขาก็ประเคนแก้วแหวนเงินทองและความสุขสบายให้นางไปมากมายแล้ว
ในที่สุดการโบยได้สิ้นสุดลง เฟยหยางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล เลือดไหลซึมออกมาเปรอะเปื้อนชุดสีแดงของนาง
มู่หรงเยว่เดินเข้าไปหานาง "จำไว้เฟยหยาง นี่เป็นบทเรียนสำหรับเจ้า หวังว่าเจ้าจะสำนึกผิดและไม่ก่อเรื่องวุ่นวายอีก"
เขาหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เฟยหยางนอนอยู่บนพื้นอย่างโดดเดี่ยว นางมองตามหลังเขาไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
"ท่านอ๋อง..." นางพึมพำเบาๆ
"ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว" นางร้องไห้สะอึกสะอื้น "ได้โปรด ให้โอกาสหม่อมฉันอีกครั้ง"
แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเขา มีเพียงความเงียบงันที่ดังก้องอยู่ในใจของนาง
เหล่าบ่าวไพร่เข้ามาพยุงร่างบอบช้ำของเฟยหยางขึ้น นำนางกลับไปยังเรือนพัก นางนอนอยู่บนเตียง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อายใคร
"ข้าจะไม่ยอมแพ้ให้กับไป๋หลันเป็นอันขาด" นางบอกกับตัวเอง "ข้าจะต้องทำให้ท่านอ๋องหันกลับมามองข้าให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม"
ไป๋หลันมองภาพเฟยหยางที่ถูกโบยด้วยความสะใจ ความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเอ่อล้นในอก ภาพน้ำตาและเลือดของเฟยหยางราวกับเป็นเครื่องยืนยันถึงชัยชนะของนาง
ความทรงจำอันเจ็บปวดของเจ้าของร่างเดิมที่เคยถูกเฟยหยางข่มเหงรังแกผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ความรู้สึกสะใจในครั้งนี้จึงยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นเท่าทวี
เมื่อเห็นว่าเฟยหยางได้รับบทเรียนจนสาสมแล้ว ไป๋หลันก็หันหลังเดินกลับเข้าครัวด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน ราวกับไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น นางเริ่มลงมือทำอาหารใหม่อีกครั้งด้วยความคล่องแคล่วและมั่นใจ
ไม่นานนัก สำรับอาหารรสเลิศก็เสร็จสมบูรณ์ กลิ่นหอมของอาหารโชยไปทั่วห้องครัว ไป๋หลันจัดอาหารใส่ปิ่นโตอย่างประณีต ก่อนจะเรียกเป่ากงกงให้มารับไปถวายไทเฮา
"เป่ากงกง เชิญนำสำรับนี้ไปถวายไทเฮาด้วยเถิด" ไป๋หลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เป่ากงกงมองสำรับอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ "พระชายาไป๋หลัน ท่านทำสำรับใหม่เสร็จแล้วหรือ ไวจริงๆ"
"แน่นอน" ไป๋หลันตอบ "ข้าไม่อยากให้ไทเฮาต้องรอนานเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้น ข้าจะรีบนำไปถวายเดี๋ยวนี้" เป่ากงกงรับปิ่นโตไปด้วยความยินดี
"เดี๋ยวก่อนเป่ากงกง" ไป๋หลันร้องทัก "ข้าขออนุญาตเข้าวังไปพร้อมท่านด้วยเจ้าค่ะ"
เป่ากงกงมองไป๋หลันด้วยความประหลาดใจ "พระชายาจะเข้าวังไปทำไมหรือ"
"หม่อมฉันอยากทราบว่าไทเฮาทรงพอพระทัยในรสชาติอาหารหรือไม่" ไป๋หลันตอบ
เป่ากงกงพยักหน้า "ก็ได้ เช่นนั้นก็ตามมาเถิด พระชายา"
ในเวลานั้นเอง มู่หรงเยว่ก็เดินเข้ามาในครัวพอดี เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน
"เจ้าจะเข้าวังไปด้วยหรือ" เขาถามไป๋หลัน
"เพคะ ท่านอ๋อง" ไป๋หลันตอบ "ข้าน้อยอยากทราบว่าไทเฮาทรงพอพระทัยในรสชาติอาหารหรือไม่"
“งั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย พระชายา”
ไป๋หลันชะงักไปครู่หนึ่ง คำพูดของมู่หรงเยว่ทำให้ใจของนางเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 'ผีตนไหนเข้าสิงเขากัน' หญิงสาวคิดในใจ
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม คนผู้นี้ไม่เคยพาไป๋หลันไปไหนด้วยกันเลยสักครั้ง แม้แต่จะเข้ามาหาในจวนยังไม่มีเลย
แต่ถึงจะแปลกใจเพียงใด ไป๋หลันก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ นางยิ้มตอบรับเขาอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยท่านอ๋อง"
ภายในใจของไป๋หลันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งดีใจ ตื่นเต้น และสงสัย นางไม่รู้ว่าอะไรทำให้มู่หรงเยว่เปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
บางที... แผนการหย่าของนางอาจจะสำเร็จเร็วขึ้นก็ได้
แม้ว่าในใจลึกๆ นางจะวางแผนที่จะหย่ากับเขา แต่ในตอนนี้นางก็ยังอยากจะลิ้มรสความสุขเล็กๆ น้อยๆ นี้ก่อน
รถม้าของชินอ๋องเคลื่อนตัวออกจากจวนไป๋หลันมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง ไป๋หลันนั่งอยู่ข้างๆ มู่หรงเยว่ หัวใจของนางกำลังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
"ท่านอ๋อง" นางเอ่ยขึ้น "ขอบพระทัยที่ท่านพาหม่อมฉันไปด้วย"
มู่หรงเยว่มองนางนิ่ง "ไม่เป็นไร"
ไป๋หลันยิ้มบางๆ นางรู้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมาจากใจจริง แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง
อย่างน้อยในตอนนี้ นางก็ยังมีเขาอยู่เคียงข้าง
กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชมไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้""เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยเมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน...""กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ล
เมื่อกลับถึงจวน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเข้านอนหลับใหล เหลือเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างอยู่ตามทางเดินภายในห้องหนังสือของมู่หรงเยว่ กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าของเรือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ความเมาคืบคลานเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็นบัดนี้แดงก่ำ ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ภาพของไป๋หลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยนที่นางมอบให้ ทุกอย่างล้วนตอกย้ำความผิดพลาดของเขาในที่สุด ความเมาและความเจ็บปวดก็ทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มู่หรงเยว่ลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของไป๋หลัน หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกผิดและความปรารถนาตีกันวุ่นวายอยู่ในอกเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาผลักประตูเข้าไป..สตรีผู้งดงามราวกับเทพธิดาบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุข จนกระทั่ง...เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางเดิน ทำให้ไป๋หลันเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองไปทางประตูด้วยความสงสัย ใครกันที่มาในยามวิกาลเช่นนี้?"แอ๊
เฟยหยางกลับมาที่ห้องของตนด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ ร่างกายของนางยังคงปวดแสบปวดร้อนจากการถูกโบยตี แต่ความเจ็บปวดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในใจที่ถูกมู่หรงเยว่ไล่ออกมาอย่างไม่ใยดีนางไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยและไร้ค่าเช่นนี้มาก่อน ตลอดชีวิตของหญิงสาว นางไม่เคยได้รับความรักหรือความใส่ใจจากใครเลย แม้แต่พ่อแม่ของนางเองก็ยังไม่เคยเห็นค่าในตัวนาง นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาที่เกิดจากความผิดพลาด เป็นเหมือนตราบาปที่คอยตอกย้ำความอัปยศของตระกูลไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาก็ไม่เคยชอบหน้านาง พวกเขามองมักมองเฟยหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับนางเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การเหลียวแล แต่ทั้งสามกลับทุ่มเททุกอย่างให้กับไป๋หลัน ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาที่สรวงสวรรค์ประทานมาให้มีเพียงมู่หรงเยว่เท่านั้นที่ภักดีกับนาง เขาเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตอันมืดมิดของนาง เขาเป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแต่นับตั้งแต่ไป๋หลันฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มู่หรงเยว่กลับเริ่มสนใจไป๋หลันมากขึ้น เริ่มดูแลเอาใจใส่นาง และตอนนี้... เขายังไปนอนกับนางอีก!เฟยหยางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงมา นางไม่ส
วันแล้ววันเล่า ไป๋หลันยังคงทำอาหารรสเลิศที่มู่หรงเยว่โปรดปราน จัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ความเอาใจใส่ของนางละเอียดอ่อนราวกับสายน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านกำแพงหิน ละลายความเย็นชาที่เคยกักขังหัวใจของมู่หรงเยว่เอาไว้ไป๋หลันมองดูมู่หรงเยว่ที่กำลังจามไม่หยุดด้วยความสงสาร นางรู้ว่าอาการภูมิแพ้ของเขาเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ชายหนุ่มทุกข์ทรมานมานานแสนนาน จึงตัดสินใจที่จะนำความรู้ที่ได้มาจากตำราของท่านหมอเทวดาผู้เคยรักษานางมาใช้ประโยชน์“ท่านหมอเคยบอกว่า ธรรมชาติมีสมุนไพรมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้” ไป๋หลันครุ่นคิด “ข้าจะต้องหาสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารให้ชินอ๋อง”ไป๋หลันเริ่มต้นค้นคว้าตำราสมุนไพรเก่าแก่ที่ท่านหมอเคยมอบให้ พร้อมกับออกเดินทางไปยังตลาดเพื่อเสาะหาสมุนไพรที่ต้องการ“ข้าต้องการรากบัวหลวง ดอกเก๊กฮวย และเห็ดหลินจือ” ไป๋หลันบอกกับพ่อค้าพ่อค้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปทำอะไรหรือขอรับ?”“ข้าจะนำไปปรุงอาหารให้ชินอ๋องเจ้าค่ะ” ไป๋หลันตอบด้วยรอยยิ้มพ่อค้าพยักหน้าเข้าใจ “สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ขอรับ”
เฟยหยางมองภาพมู่หรงเยว่ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขขณะรับประทานอาหารที่ไป๋หลันทำ ความริษยาและความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในอก นางไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากเขาเลย ทั้งที่นางเป็นถึงชายารองที่ท่านอ๋องโปรดปราน"ไป๋หลัน!" เฟยหยางกัดฟันกรอด "เจ้าคิดจะแย่งชินอ๋องไปจากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ!"ไป๋หลันยังคงทำอาหารให้มู่หรงเยว่ทานเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้นางตั้งใจจะทำให้พิเศษกว่าทุกวัน"วันนี้หม่อมฉันจะทำอาหารจากไข่ให้ท่านทานเพคะ" ไป๋หลันบอกกับมู่หรงเยว่มู่หรงเยว่เลิกคิ้วขึ้น "อาหารจากไข่? ไป๋หลัน เจ้าจะทำอะไรให้ข้าทานกัน?""ท่านรอชมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่นานนัก ไป๋หลันก็ยกสำรับอาหารมา มู่หรงเยว่มองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บนโต๊ะมีอาหารหลายจานที่ทำจากไข่ ทั้งไข่เจียวทรงเครื่อง ไข่ตุ๋นทะเล"น่าทานทั้งนั้นเลย ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่เอ่ยชม"เชิญท่านชิมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันเชื้อเชิญมู่หรงเยว่ตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปาก รสชาติเข้มข้นของไข่ผสมผสานกับเครื่องต่างๆ อย่างลงตัว ทำให้เขาแทบวางช้อนไม่ลง"อร่อยมาก ไป๋หลัน เจ้าทำอาหารเก่งจริงๆ" เขาเอ่ยชมอีกครั้งไป๋หลันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หม่อมฉันด
ไป๋หลันวิ่งกลับเข้าห้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย นางไม่เคยรู้สึกโกรธและน้อยใจเช่นนี้มาก่อน มู่หรงเยว่ผู้ซึ่งเคยแสดงความรักและความเชื่อใจในตัวนาง กลับหันมาต่อว่านางอย่างรุนแรงเพียงเพราะคำยุยงของเฟยหยางไป๋หลันคร่ำครวญ “ท่านไม่เคยเห็นความจริงใจของข้าเลย อย่างไรท่านก็เลือกเฟยหยางอยู่ดี”ในขณะเดียวกัน มู่หรงเยว่ก็รู้สึกผิดที่ตะคอกใส่ไป๋หลัน เขาไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แต่คำพูดของเฟยหยางก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยในตัวไป๋หลัน“หรือว่าไป๋หลันแกล้งใส่เกลือลงในอาหารของข้าเพราะยังโกรธเคืองข้าเรื่องเฉินกั๋วกง?” มู่หรงเยว่ครุ่นคิด “ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฉินกั๋วกงพยายามขอเข้าพบไป๋หลัน แต่ข้าก็ไม่อนุญาตเพราะข้ารู้สึกหึงหวง”เขารู้ว่าไป๋หลันเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินอี้เทียนมาก่อน และเขาก็กลัวว่าไป๋หลันจะยังคงมีใจให้กับเฉินอี้เทียนอยู่ จึงกีดกันทั้งสองคนไม่ให้พบกัน“หรือว่าไป๋หลันจะตั้งใจทำอาหารรสชาติแย่ๆ เพื่อประชดข้า?” มู่หรงเยว่คิดต่อ “นางอาจจะต้องการให้ข้าเกลียดนาง เพื่อที่ข้าจะได้ยอมหย่ากับนาง และนางก็จะได้ไปอยู่กับเฉินกั๋วกง”ยิ่งคิด มู่หรงเยว่ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจใค
แม้บรรยากาศในจวนของชินอ๋องจะอบอุ่นขึ้นด้วยรอยยิ้มและความเอื้ออาทรที่ทุกคนมอบให้ไป๋หลันหลังจากได้ลิ้มรสอาหารฝีมือนาง แต่ในใจของไป๋หลันยังคงแน่วแน่กับการตัดสินใจครั้งสำคัญแม้ว่าตอนนี้นางจะตั้งครรภ์กับมูหรงเยว่ก็ตามที แต่ความคิดที่จะหย่ากับเขาก็ยังคงชัดเจนเหม่ยหลิง สาวที่มาจากยุคปัจจุบันที่มาอาศัยอยู่ในร่างของไป๋หลันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแบ่งปันสามีกับใคร ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยสั่นคลอนเฉินอี้เทียนเองก็ไม่เคยลืมถ้อยคำที่ไป๋หลันเขียนถึงเขาในจดหมายฉบับนั้น ถ้อยคำที่แสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะหย่าขาดจากมู่หรงเย่ว สามีของนาง มันเหมือนกับไฟที่ลุกโชนอยู่ในใจของเขา ทำให้ความหวังและความปรารถนาที่จะได้ครอบครองหัวใจของไป๋หลันนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะเขาเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้พบนางอีกครั้ง แต่โอกาสนั้นก็ดูเหมือนจะริบหรี่เต็มที เพราะไป๋หลันนั้นเป็นถึงพระชายาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ การที่จะเข้าถึงตัวนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่แล้วโชคชะตาก็เข้าข้างเขา เมื่อมู่หรงเย่วต้องออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองหลวง ทิ้งให้ไป๋หลันอยู่เพียงลำพังในจวนอันเงียบเหงาเฉินอี้เที
ภายในห้องโถงใหญ่ของจวนชินอ๋อง ไป๋หลันที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมตัวที่จะเปิดเผยความจริงที่เก็บงำไว้"ท่านอ๋อง" นางเริ่มเอ่ยเสียงแผ่ว "หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน"มู่หรงเยว่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังตรวจดู มองไปยังไป๋หลันด้วยสายตาที่อ่อนโยน "ว่าอย่างไร หลันเอ๋อร์"แต่ก่อนที่ไป๋หลันจะได้เอ่ยคำพูดใด เฟยหยางก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง ใบหน้าของนางซีดเซียวและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก"ท่านอ๋อง!" เฟยหยางร้องไห้โฮด้วยความดีใจ "หม่อมฉัน... หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้วเพคะ"คำพูดของเฟยหยางเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของไป๋หลัน มู่หรงเยว่ลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความดีใจ เขาโผเข้าไปกอดเฟยหยางไว้แน่น"จริงหรือ" เขาถามเสียงสั่นเครือ "เจ้าตั้งครรภ์แล้วจริงๆ หรือ"เฟยหยางพยักหน้าทั้งน้ำตา "เพคะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว"มู่หรงเยว่มองเฟยหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความห่วงใย เขาหันไปสั่งสาวใช้ให้ไปตามหมอหลวงมาตรวจทันที จากนั้นเขาก็หันกลับมาหาไป๋หลัน"ไป๋หลัน" เขาพูดเสียงเรียบ "เจ้าไปเตรียมอาหารบำรุงครรภ์ให้เฟยหยางที"ไป๋หลันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน นางไม่อยากจะเชื่อในส