กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชม
ไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้"
"เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย
เมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย
"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง
"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน..."
"กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"
ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"
ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ลุกขึ้นเถิด ไป๋หลัน เจ้าสมควรได้รับมัน"
ไป๋หลันลุกขึ้นรับกำไลหยกมาด้วยความตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าไทเฮาจะประทานของล้ำค่าเช่นนี้ให้กับนาง
มู่หรงเยว่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไทเฮามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นพระมารดาของเขาพอพระทัยในผู้ใดถึงเพียงนี้มาก่อน ไทเฮาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ที่เสวยยาก และยากที่จะประทานของล้ำค่าให้กับใคร
"ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ใจพระมารดาของข้าไปเต็มๆ แล้วนะ ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่กระซิบข้างหูไป๋หลัน
ไป๋หลันยิ้มบางๆ "ทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านอ๋องช่วยพูดให้หม่อมฉัน"
มู่หรงเยว่เลิกคิ้ว "ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยนะ"
ไป๋หลันหัวเราะเบาๆ "แต่หม่อมฉันก็ยังอยากจะขอบคุณท่านอ๋องอยู่ดี"
มู่หรงเยว่มองไป๋หลันด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย เขายอมรับว่ารู้สึกประทับใจในตัวนาง ไป๋หลันไม่เพียงแต่มีฝีมือในการทำอาหารเท่านั้น แต่ยังมีความเฉลียวฉลาดและละเอียดอ่อนอีกด้วย เป็นมุมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
"ไป๋หลัน" เขาเอ่ยขึ้น "เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ"
ขณะที่มู่หรงเยว่และไป๋หลันกำลังจะก้าวออกจากประตูวังหลวง รถม้าคันหนึ่งก็หยุดลงกะทันหันตรงหน้าพวกเขา
เฉินอี้เทียน แม่ทัพหนุ่มยศกั๋วกงผู้เพิ่งเสร็จศึกจากเมืองทางใต้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาด้วยท่าทีองอาจสง่างาม
"ไป๋หลัน!" เฉินอี้เทียนเอ่ยทักทายไป๋หลันด้วยรอยยิ้มกว้าง สายตาของเขาจับจ้องไปที่นางเพียงผู้เดียวราวกับว่ามู่หรงเยว่ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
มู่หรงเยว่ยืนนิ่งเงียบ ภายในใจของเขาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของไป๋หลันและเฉินอี้เทียนมาก่อน แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง จนกระทั่งได้เห็นกับตาตัวเองในวันนี้
เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกกลัว กลัวว่าจะมีใครมาแย่งชิงไป๋หลันไปจากเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักนาง แต่เขาก็ไม่อาจยอมให้ใครมาทำให้เขาเสียหน้าได้
ไป๋หลันยิ้มตอบรับให้กับเฉินอี้เทียนอย่างสุภาพ "คารวะเฉินกั๋วกง"
เฉินอี้เทียนยิ้มกว้างอย่างเป็นกันเอง "ไป๋หลัน ข้าได้ยินเรื่องราวความกล้าหาญของพระชายาเอกในการจัดการกับเรื่องวุ่นวายในจวนมาตลอด ข้าชื่นชมในสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยวของเจ้ายิ่งนัก"
ไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างสุภาพ "เฉินกั๋วกงกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของตนเท่านั้น"
เฉินอี้เทียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของไป๋หลัน "ข้าเชื่อว่าไป๋หลันมีความสามารถมากกว่านั้น หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือเจ้าได้ โปรดอย่าลังเลที่จะบอกกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะอยุ่เคียงข้างเจ้าเสมอ"
ไป๋หลันรู้สึกถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงของเฉินอี้เทียน นางรู้ดีว่าเขามีความรู้สึกพิเศษต่อนาง แต่ในเวลานี้ นางไม่อาจแสดงออกใดๆ ได้
ทันใดนั้น มู่หรงเยว่ก็ก้าวเข้ามาขวางระหว่างทั้งสอง "พระชายา เย็นแล้ว เราต้องรีบกลับจวนแล้ว"
ไป๋หลันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ "เพคะ ท่านอ๋อง"
มู่หรงเยว่โอบเอวบางของไป๋หลันอย่างเป็นเจ้าของ ก่อนจะพานางเดินขึ้นรถม้าไป ทิ้งให้เฉินอี้เทียนยืนกำหมัดแน่นอยู่เพียงลำพัง
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินอี้เทียนบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและผิดหวัง..
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไป๋หลันต้องยอมจำนนต่อการแต่งงานที่ไม่มีความสุขเช่นนี้ ทำไมนางไม่ยอมรับความรู้สึกของเขาเสียที
ภายใต้แสงแดดร้อนแรงของลานฝึกทหาร เฉินอี้เทียนในวัยเด็ก เขานั้นทั้งตัวเล็กและผอมบางกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังฝึกซ้อมกันอย่างหนัก เหงื่อไหลอาบใบหน้า ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้จะเหนื่อยและเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้
วันนั้นเป็นอีกวันที่เขาฝึกซ้อมจนเกินกำลัง เขาล้มลงไปกองกับพื้น แขนถลอกเป็นแผล เลือดไหลซิบๆ เด็กคนอื่นๆ พากันหัวเราะเยาะเขา แต่เขาก็ได้แต่กัดฟัน ไม่สนใจเสียงเหล่านั้น
ทันใดนั้น ร่างเล็กๆ ของเด็กสาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา นางมีดวงตากลมโตสดใส ผิวขาวผ่องราวกับหยก และรอยยิ้มที่อบอุ่นละมุนละไม
"เจ้าเป็นอะไรไป" นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
เฉินอี้เทียนเงยหน้ามองไปยังผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงใส เด็กสาวคนนี้คือไป๋หลัน บุตรสาวของเสนาบดีไป๋แห่งกรมตรวจการ นางเป็นที่รู้จักในนามของหญิงงามแห่งเมืองหลวง ทั้งยังมีจิตใจดีงาม เป็นที่รักของทุกคน
"ข้าไม่เป็นไร" เขาตอบเสียงแผ่ว
แต่ไป๋หลันไม่เชื่อ นางนั่งลงข้างๆ เขา ค่อยๆ ช่วยเขาทำความสะอาดแผลและพันผ้าพันแผลให้
"เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะ" นางพูดเสียงนุ่มนวล "อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป"
เฉินอี้เทียนมองการกระทำของนางด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยมีใครมาดูแลเอาใจใส่เขาเช่นนี้มาก่อน หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"ขอบคุณ" เขาพูดเสียงแผ่ว
ไป๋หลันยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นทำให้โลกทั้งใบของเฉินอี้เทียนสว่างไสวขึ้นมาทันที
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินอี้เทียนก็เฝ้ามองไป๋หลันอยู่ห่างๆ เขาเฝ้ารอคอยที่จะได้พบเจอนางอีกครั้ง และทุกครั้งที่ได้พบกัน เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกที
เขาแอบไปดูนางเล่นฉินในสวน แอบไปดูนางอ่านหนังสือใน เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ นาง แม้เพียงแค่ได้มองนางจากระยะไกลก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว
และบางครั้ง เขาก็รู้สึกว่าไป๋หลันก็แอบมองเขาเช่นกัน เวลาที่สายตาของพวกเขาสบประสานกัน ไป๋หลันจะรีบหลบตาและหน้าแดงก่ำ ทำให้เฉินอี้เทียนมีความหวังว่าบางที นางอาจจะมีใจให้เขาบ้าง
วันหนึ่ง เฉินอี้เทียนตัดสินใจสารภาพรักกับไป๋หลัน เขาเตรียมดอกไม้และคำพูดที่ซ้อมมาอย่างดี เขาเดินไปหาหญิงสาวที่สวนดอกไม้
"พระชายาไป๋หลัน" เขาเรียกนางเสียงสั่น
ไป๋หลันหันมาหาเขา รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าของนาง "เฉินอี้เทียน มีอะไรหรือ"
เฉินอี้เทียนยื่นดอกไม้ให้นาง "ข้า... ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน"
ไป๋หลันรับดอกไม้มาด้วยความประหลาดใจ "เรื่องอะไรหรือ"
เฉินอี้เทียนสูดหายใจลึก "ข้าชอบท่าน" เขาพูดเสียงดังฟังชัด
ไป๋หลันเบิกตากว้าง หน้าของนางแดงก่ำไปหมด นางก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเขา
เฉินอี้เทียนใจเต้นรัว เขารอคอยคำตอบจากนางอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุด ไป๋หลันก็เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางเป็นประกาย
"ข้าก็..." นางพูดเสียงแผ่วเบา
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น บิดาของนาง เสนาบดีไป๋ เดินเข้ามาในสวน
"ไป๋หลัน" เขาเรียกนางเสียงเข้ม "เจ้ามาทำอะไรที่นี่"
ไป๋หลันสะดุ้งตกใจ นางรีบซ่อนดอกไม้ไว้ด้านหลัง
"ท่านพ่อ" นางพูดเสียงสั่น "ข้า... ข้าแค่มาเดินเล่น"
เสนาบดีไป๋มองเฉินอี้เทียนด้วยสายตาตำหนิ "เฉินอี้เทียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่"
เฉินอี้เทียนรู้สึกเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ เขารู้ดีว่าเสนาบดีไป๋ไม่ชอบเขา เขาเป็นแค่เด็กฝึกทหารตัวเล็กๆ ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวของเขา
"ข้า... ข้าแค่มาคุยกับพระชายาไป๋หลัน" เขาตอบเสียงตะกุกตะกัก
เสนาบดีไป๋หรี่ตาลง "เช่นนั้นก็คุยกันเสร็จแล้วสินะ เฉินอี้เทียน เจ้ากลับไปได้แล้ว"
เฉินอี้เทียนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของเสนาบดีไป๋ เขาได้แต่โค้งคำนับแล้วเดินจากไป
ภาพความทรงจำในอดีตเลือนหายไป เฉินอี้เทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองรถม้าของมู่หรงเยว่และไป๋หลันที่เคลื่อนตัวออกไปไกล ความรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวังถาโถมเข้ามาในใจเขาอีกครั้ง
แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาจะต้องทำให้ไป๋หลันเป็นของเขาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
เมื่อกลับถึงจวน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเข้านอนหลับใหล เหลือเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างอยู่ตามทางเดินภายในห้องหนังสือของมู่หรงเยว่ กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าของเรือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ความเมาคืบคลานเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็นบัดนี้แดงก่ำ ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ภาพของไป๋หลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยนที่นางมอบให้ ทุกอย่างล้วนตอกย้ำความผิดพลาดของเขาในที่สุด ความเมาและความเจ็บปวดก็ทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มู่หรงเยว่ลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของไป๋หลัน หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกผิดและความปรารถนาตีกันวุ่นวายอยู่ในอกเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาผลักประตูเข้าไป..สตรีผู้งดงามราวกับเทพธิดาบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุข จนกระทั่ง...เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางเดิน ทำให้ไป๋หลันเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองไปทางประตูด้วยความสงสัย ใครกันที่มาในยามวิกาลเช่นนี้?"แอ๊
เฟยหยางกลับมาที่ห้องของตนด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจ ร่างกายของนางยังคงปวดแสบปวดร้อนจากการถูกโบยตี แต่ความเจ็บปวดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในใจที่ถูกมู่หรงเยว่ไล่ออกมาอย่างไม่ใยดีนางไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยและไร้ค่าเช่นนี้มาก่อน ตลอดชีวิตของหญิงสาว นางไม่เคยได้รับความรักหรือความใส่ใจจากใครเลย แม้แต่พ่อแม่ของนางเองก็ยังไม่เคยเห็นค่าในตัวนาง นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาที่เกิดจากความผิดพลาด เป็นเหมือนตราบาปที่คอยตอกย้ำความอัปยศของตระกูลไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาก็ไม่เคยชอบหน้านาง พวกเขามองมักมองเฟยหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ราวกับนางเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การเหลียวแล แต่ทั้งสามกลับทุ่มเททุกอย่างให้กับไป๋หลัน ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาที่สรวงสวรรค์ประทานมาให้มีเพียงมู่หรงเยว่เท่านั้นที่ภักดีกับนาง เขาเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตอันมืดมิดของนาง เขาเป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแต่นับตั้งแต่ไป๋หลันฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มู่หรงเยว่กลับเริ่มสนใจไป๋หลันมากขึ้น เริ่มดูแลเอาใจใส่นาง และตอนนี้... เขายังไปนอนกับนางอีก!เฟยหยางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงมา นางไม่ส
วันแล้ววันเล่า ไป๋หลันยังคงทำอาหารรสเลิศที่มู่หรงเยว่โปรดปราน จัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน ความเอาใจใส่ของนางละเอียดอ่อนราวกับสายน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านกำแพงหิน ละลายความเย็นชาที่เคยกักขังหัวใจของมู่หรงเยว่เอาไว้ไป๋หลันมองดูมู่หรงเยว่ที่กำลังจามไม่หยุดด้วยความสงสาร นางรู้ว่าอาการภูมิแพ้ของเขาเป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้ชายหนุ่มทุกข์ทรมานมานานแสนนาน จึงตัดสินใจที่จะนำความรู้ที่ได้มาจากตำราของท่านหมอเทวดาผู้เคยรักษานางมาใช้ประโยชน์“ท่านหมอเคยบอกว่า ธรรมชาติมีสมุนไพรมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้” ไป๋หลันครุ่นคิด “ข้าจะต้องหาสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารให้ชินอ๋อง”ไป๋หลันเริ่มต้นค้นคว้าตำราสมุนไพรเก่าแก่ที่ท่านหมอเคยมอบให้ พร้อมกับออกเดินทางไปยังตลาดเพื่อเสาะหาสมุนไพรที่ต้องการ“ข้าต้องการรากบัวหลวง ดอกเก๊กฮวย และเห็ดหลินจือ” ไป๋หลันบอกกับพ่อค้าพ่อค้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “พระชายาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปทำอะไรหรือขอรับ?”“ข้าจะนำไปปรุงอาหารให้ชินอ๋องเจ้าค่ะ” ไป๋หลันตอบด้วยรอยยิ้มพ่อค้าพยักหน้าเข้าใจ “สมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณช่วยบำรุงปอดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ขอรับ”
เฟยหยางมองภาพมู่หรงเยว่ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขขณะรับประทานอาหารที่ไป๋หลันทำ ความริษยาและความโกรธแค้นพลุ่งพล่านในอก นางไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากเขาเลย ทั้งที่นางเป็นถึงชายารองที่ท่านอ๋องโปรดปราน"ไป๋หลัน!" เฟยหยางกัดฟันกรอด "เจ้าคิดจะแย่งชินอ๋องไปจากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ!"ไป๋หลันยังคงทำอาหารให้มู่หรงเยว่ทานเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้นางตั้งใจจะทำให้พิเศษกว่าทุกวัน"วันนี้หม่อมฉันจะทำอาหารจากไข่ให้ท่านทานเพคะ" ไป๋หลันบอกกับมู่หรงเยว่มู่หรงเยว่เลิกคิ้วขึ้น "อาหารจากไข่? ไป๋หลัน เจ้าจะทำอะไรให้ข้าทานกัน?""ท่านรอชมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่นานนัก ไป๋หลันก็ยกสำรับอาหารมา มู่หรงเยว่มองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บนโต๊ะมีอาหารหลายจานที่ทำจากไข่ ทั้งไข่เจียวทรงเครื่อง ไข่ตุ๋นทะเล"น่าทานทั้งนั้นเลย ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่เอ่ยชม"เชิญท่านชิมได้เลยเพคะ" ไป๋หลันเชื้อเชิญมู่หรงเยว่ตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปาก รสชาติเข้มข้นของไข่ผสมผสานกับเครื่องต่างๆ อย่างลงตัว ทำให้เขาแทบวางช้อนไม่ลง"อร่อยมาก ไป๋หลัน เจ้าทำอาหารเก่งจริงๆ" เขาเอ่ยชมอีกครั้งไป๋หลันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หม่อมฉันด
ไป๋หลันวิ่งกลับเข้าห้องด้วยหัวใจที่แหลกสลาย นางไม่เคยรู้สึกโกรธและน้อยใจเช่นนี้มาก่อน มู่หรงเยว่ผู้ซึ่งเคยแสดงความรักและความเชื่อใจในตัวนาง กลับหันมาต่อว่านางอย่างรุนแรงเพียงเพราะคำยุยงของเฟยหยางไป๋หลันคร่ำครวญ “ท่านไม่เคยเห็นความจริงใจของข้าเลย อย่างไรท่านก็เลือกเฟยหยางอยู่ดี”ในขณะเดียวกัน มู่หรงเยว่ก็รู้สึกผิดที่ตะคอกใส่ไป๋หลัน เขาไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แต่คำพูดของเฟยหยางก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยในตัวไป๋หลัน“หรือว่าไป๋หลันแกล้งใส่เกลือลงในอาหารของข้าเพราะยังโกรธเคืองข้าเรื่องเฉินกั๋วกง?” มู่หรงเยว่ครุ่นคิด “ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฉินกั๋วกงพยายามขอเข้าพบไป๋หลัน แต่ข้าก็ไม่อนุญาตเพราะข้ารู้สึกหึงหวง”เขารู้ว่าไป๋หลันเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินอี้เทียนมาก่อน และเขาก็กลัวว่าไป๋หลันจะยังคงมีใจให้กับเฉินอี้เทียนอยู่ จึงกีดกันทั้งสองคนไม่ให้พบกัน“หรือว่าไป๋หลันจะตั้งใจทำอาหารรสชาติแย่ๆ เพื่อประชดข้า?” มู่หรงเยว่คิดต่อ “นางอาจจะต้องการให้ข้าเกลียดนาง เพื่อที่ข้าจะได้ยอมหย่ากับนาง และนางก็จะได้ไปอยู่กับเฉินกั๋วกง”ยิ่งคิด มู่หรงเยว่ก็ยิ่งรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใจใค
แม้บรรยากาศในจวนของชินอ๋องจะอบอุ่นขึ้นด้วยรอยยิ้มและความเอื้ออาทรที่ทุกคนมอบให้ไป๋หลันหลังจากได้ลิ้มรสอาหารฝีมือนาง แต่ในใจของไป๋หลันยังคงแน่วแน่กับการตัดสินใจครั้งสำคัญแม้ว่าตอนนี้นางจะตั้งครรภ์กับมูหรงเยว่ก็ตามที แต่ความคิดที่จะหย่ากับเขาก็ยังคงชัดเจนเหม่ยหลิง สาวที่มาจากยุคปัจจุบันที่มาอาศัยอยู่ในร่างของไป๋หลันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมแบ่งปันสามีกับใคร ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยสั่นคลอนเฉินอี้เทียนเองก็ไม่เคยลืมถ้อยคำที่ไป๋หลันเขียนถึงเขาในจดหมายฉบับนั้น ถ้อยคำที่แสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะหย่าขาดจากมู่หรงเย่ว สามีของนาง มันเหมือนกับไฟที่ลุกโชนอยู่ในใจของเขา ทำให้ความหวังและความปรารถนาที่จะได้ครอบครองหัวใจของไป๋หลันนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะเขาเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้พบนางอีกครั้ง แต่โอกาสนั้นก็ดูเหมือนจะริบหรี่เต็มที เพราะไป๋หลันนั้นเป็นถึงพระชายาของอ๋องผู้สูงศักดิ์ การที่จะเข้าถึงตัวนางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่แล้วโชคชะตาก็เข้าข้างเขา เมื่อมู่หรงเย่วต้องออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองหลวง ทิ้งให้ไป๋หลันอยู่เพียงลำพังในจวนอันเงียบเหงาเฉินอี้เที
ภายในห้องโถงใหญ่ของจวนชินอ๋อง ไป๋หลันที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมตัวที่จะเปิดเผยความจริงที่เก็บงำไว้"ท่านอ๋อง" นางเริ่มเอ่ยเสียงแผ่ว "หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน"มู่หรงเยว่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังตรวจดู มองไปยังไป๋หลันด้วยสายตาที่อ่อนโยน "ว่าอย่างไร หลันเอ๋อร์"แต่ก่อนที่ไป๋หลันจะได้เอ่ยคำพูดใด เฟยหยางก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง ใบหน้าของนางซีดเซียวและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก"ท่านอ๋อง!" เฟยหยางร้องไห้โฮด้วยความดีใจ "หม่อมฉัน... หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้วเพคะ"คำพูดของเฟยหยางเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของไป๋หลัน มู่หรงเยว่ลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความดีใจ เขาโผเข้าไปกอดเฟยหยางไว้แน่น"จริงหรือ" เขาถามเสียงสั่นเครือ "เจ้าตั้งครรภ์แล้วจริงๆ หรือ"เฟยหยางพยักหน้าทั้งน้ำตา "เพคะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว"มู่หรงเยว่มองเฟยหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความห่วงใย เขาหันไปสั่งสาวใช้ให้ไปตามหมอหลวงมาตรวจทันที จากนั้นเขาก็หันกลับมาหาไป๋หลัน"ไป๋หลัน" เขาพูดเสียงเรียบ "เจ้าไปเตรียมอาหารบำรุงครรภ์ให้เฟยหยางที"ไป๋หลันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน นางไม่อยากจะเชื่อในส
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในสวนดอกไม้ของจวนชินอ๋อง เฟยหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่มู่หรงเยว่คุกเข่าลงข้างๆ นาง บรรจงปอกผลไม้และป้อนให้นางอย่างทะนุถนอม"หวานหรือไม่ เฟยเอ๋อร์" มู่หรงเยว่ถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่น"หวานมากเพคะ ท่านอ๋อง" เฟยหยางตอบเสียงหวาน พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เขาไป๋หลันยืนมองภาพนั้นอยู่ห่างๆ หัวใจของนางรู้สึกเหมือนถูกบีบรัด น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของนาง นางพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจของนางได้ข่าวลือเรื่องฝีมือการทำอาหารเพื่อรักษาของไป๋หลันแพร่สะพัดไปถึงพระราชวังชั้นใน เรื่องเล่าจากคนในจวนของมู่หรงเยว่และจากไทเฮา พระมารดาของชินอ๋อง ยิ่งเสริมความน่าสนใจให้กับไป๋หลัน ฮองเฮาซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าทรงนึกถึงรสชาติอาหารจากบ้านเกิดที่คุ้นเคย จึงมีพระประสงค์ให้ไป๋หลันเข้ามาเป็นแม่ครัวในวังหลวงคำสั่งนี้สร้างความสับสนให้กับมู่หรงเยว่ เขาไม่ต้องการให้ไป๋หลันจากไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาได้"ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล "ฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าไปเป็นแม่ครัวในวัง"ไป๋หลันเงย