เมื่อมู่หรงเยว่กลับถึงเมืองหลวง เขารีบมุ่งหน้าเข้าวังทันทีด้วยความร้อนใจ เมื่อทราบข่าวว่าเฟยหยางถูกคุมขังในคุกหลวงในข้อหาทำร้ายร่างกายและวางยาพิษไป๋หลันผู้เป็นพระชายาเอก
แม้เฟยหยางจะทำผิดมหันต์ แต่ความรักและความผูกพันที่เขามีต่อนางทำให้เขาไม่สามารถทนเห็นนางต้องโทษทัณฑ์ได้ เขาจึงตัดสินใจใช้อำนาจและตำแหน่งที่มีของตนเพื่อช่วยเหลือชายารักของเขา
แม้เฟยหยางจะเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของเสนาบดีกรมคลัง และได้เข้ามาเป็นชายารองของเขาโดยบังเอิญ หลังจากที่เขาเผลอมีความสัมพันธ์กับนางในระหว่างที่ออกปฏิบัติราชการนอกเมือง
แม้จะหลงใหลในเล่ห์มายาของเฟยหยาง แต่มู่หรงเยว่ก็ไม่อาจแต่งตั้งนางเป็นชายาเอกได้ เพราะขัดต่อราชโองการของฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชาย ที่ต้องการให้เขาสมรสกับไป๋หลัน บุตรีของเสนาบดีกรมตรวจการ
ฮ่องเต้ผู้รักฮองเฮายิ่งชีพไม่อาจนิ่งเฉยต่อข่าวการวางยาพิษไป๋หลันผู้เป็นหลานสาวสุดที่รักได้ พระองค์ทรงเรียกตัวมู่หรงเยว่เข้าเฝ้าทันทีเพื่อสอบสวนเรื่องราวทั้งหมดด้วยพระองค์เอง
บรรยากาศในท้องพระโรงตอนนี้ดูตึงเครียดมาก มู่หรงเยว่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระที่นั่ง สายพระเนตรของฮ่องเต้จ้องมองเขาอย่างดุดัน บ่งบอกถึงความไม่พอพระทัยอย่างรุนแรง
"ชินอ๋อง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงทรงอำนาจ "เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวในเรื่องที่เกิดขึ้น?"
มู่หรงเยว่คุกเข่าลง "หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันละเลยพระชายาเอก ปล่อยให้นางต้องตกอยู่ในอันตราย"
"ละเลย?" ฮ่องเต้แค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา "เจ้ารู้หรือไม่ว่าไป๋หลันถูกทารุณกรรมมาเป็นเวลานานเพียงใด? ร่างกายของนางเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้าย ทั้งเก่าและใหม่ เจ้าตาบอดหรืออย่างไรถึงไม่เคยสังเกตเห็น!"
มู่หรงเยว่ก้มหน้าลงต่ำ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบพระเนตรของฮ่องเต้ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเขา ด้วยไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาเพิกเฉยต่อความทุกข์ทรมานของไป๋หลันมาตลอดระยะเวลาที่แต่งงานกัน
"และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเฟยหยาง อนุภรรยาที่เจ้าโปรดปราน" ฮ่องเต้ตรัสต่อ "ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้"
มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าคนบอบบางอย่างเฟยหยางจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ นางที่เขาเคยเห็นว่าอ่อนหวานและบอบบาง แท้จริงแล้วกลับซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ภายใต้หน้ากากนั้น
"หม่อมฉันจะลงโทษพระชายาของกระหม่อมด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ" มู่หรงเยว่กล่าวอย่างสำนึกผิด
"ดี" ฮ่องเต้พยักหน้า "แต่เจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับไป๋หลันด้วย"
มู่หรงเยว่ยอมรับโดยดุษฎี หลังจากออกจากท้องพระโรง มู่หรงเยว่ก็ตรงไปยังคุกหลวงทันที เขาต้องการพบเฟยหยาง เขาอยากรู้ว่าทำไมนางถึงทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
เมื่อพบหน้าเฟยหยาง มู่หรงเยว่ก็ตกใจกับสภาพของนาง นางดูซูบผอมและอิดโรย ผิดกับภาพลักษณ์ที่เคยงดงามและอ่อนหวาน
เฟยหยางเห็นมู่หรงเยว่ก็รีบโผเข้ากอดเขา "ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลัวเหลือเกิน" นางร้องไห้สะอึกสะอื้น
มู่หรงเยว่มองนางด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งโกรธ ทั้งสงสาร ทั้งผิดหวัง
"ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้เฟยหยาง?" เขาถามเสียงแผ่ว
"หม่อมฉันรักท่านอ๋อง หม่อมฉันทนไม่ได้ที่เห็นไป๋หลันเป็นพระชายาเอกของท่าน" เฟยหยางตอบทั้งน้ำตา
"แต่เจ้าทำผิดมหันต์ เจ้ารู้ไหมว่าไป๋หลันเกือบจะตายเพราะเจ้า" มู่หรงเยว่พูดเสียงเครียด
"หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว" เฟยหยางกอดมู่หรงเยว่แน่น "ท่านอ๋องช่วยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันไม่อยากอยู่ในคุกนี้"
มู่หรงเยว่ถอนหายใจ เขาไม่อาจทนเห็นเฟยหยางเป็นเช่นนี้ได้ เขาตัดสินใจที่จะช่วยนาง แม้จะรู้ว่ามันอาจทำให้เขาต้องขัดแย้งกับฮ่องเต้ก็ตาม
"ข้าจะพยายามช่วยเจ้า" มู่หรงเยว่พูด "แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีก"
เฟยหยางพยักหน้ารัวๆ "หม่อมฉันสัญญาเพคะ"
มู่หรงเยว่ออกจากคุกหลวงด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาต้องหาทางช่วยเฟยหยางโดยไม่ทำให้ฮองเฮาพิโรธไปมากกว่านี้ แต่ก่อนอื่น เขาต้องไปพบไป๋หลัน
มู่หรงเยว่ก้าวเท้าเข้าสู่จวนของไป๋หลันเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่นางถูกส่งตัวมาเป็นภรรยาของเขา ความรู้สึกผิดและความหวาดหวั่นเกาะกุมหัวใจเขาแน่น เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับไป๋หลันอย่างไรหลังจากที่ละเลยนางมาตลอดหลายปี
เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ สายตาก็ไปสะดุดกับร่างของไป๋หลันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าคือ ไป๋หลันที่เขาเห็นในวันนี้แตกต่างจากภาพจำในอดีตโดยสิ้นเชิง
ไป๋หลันในวันนี้ดูงดงามราวกับเทพธิดา เสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้าอ่อนขับผิวขาวผ่องของนางให้ดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีตเผยให้เห็นลำคอระหง แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือแววตาของนาง มันไม่ว่างเปล่าและเศร้าสร้อยดังเช่นเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและความมั่นใจ
เมื่อสายตาของทั้งสองประสานกัน มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนถูกมีดคมกรีดแทงเข้าไปในอก แววตาของไป๋หลันเย็นชาและทิ่มแทงราวกับมองทะลุเขาไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ แม้จะรู้ดีว่าไป๋หลันไม่เคยมีใจให้เขาเลยนับตั้งแต่แต่งงานด้วยกัน แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอกก็ทำให้เขารู้ว่า เขาไม่อาจทนเห็นสายตาแบบนั้นจากนางได้อีกต่อไป
"ไป๋หลัน" เขาเอ่ยชื่อนางแผ่วเบา พยายามระงับความรู้สึกสับสนในใจ
ไป๋หลันเพียงแค่พยักหน้ารับเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
มู่หรงเยว่สูดหายใจเข้าลึก "ข้ามาที่นี่เพื่อขอโทษเจ้า ข้ารู้ว่าข้าทำผิดต่อเจ้ามากมายนัก ข้าละเลยเจ้า ปล่อยให้เจ้าต้องเจ็บปวด ข้าขอโทษ"
ไป๋หลันยังคงนิ่งเงียบ มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับกำแพง
"และข้ามาที่นี่เพื่อขอร้องเจ้า" เขาพูดต่อ "ข้ารู้ว่าเฟยหยางทำผิดมหันต์ แต่ข้าขอให้เจ้าให้อภัยนาง ข้ายกเลิกการลงโทษนางได้หรือไม่?"
ไป๋หลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน "ท่านอ๋องกำลังขอร้องข้า ให้ยกโทษให้อนุที่ทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ?" นางถามเสียงเรียบ
"ข้ารู้ว่ามันมากเกินไป" มู่หรงเยว่ยอมรับ "แต่ข้ารักนาง ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นนางต้อง..."
"ความรัก?" ไป๋หลันขัดจังหวะ "ท่านอ๋องเคยรู้จักความรักหรือไม่ ท่านเคยรักใครจริงหรือเปล่า?"
คำถามของไป๋หลันทำให้มู่หรงเยว่พูดไม่ออก เขาไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ เขาไม่เคยรักใครจริง นอกจากตัวเอง
"ข้าจะช่วยเฟยหยาง" ไป๋หลันพูดในที่สุด "แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง"
มู่หรงเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างมีความหวัง "อะไร?"
"ท่านอ๋องต้องหย่ากับข้า" ไป๋หลันตอบอย่างตรงไปตรงมา "เพราะคนรักของข้ากำลังจะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว"
มู่หรงเยว่นิ่งอึ้งไป เขาไม่เคยคิดว่าไป๋หลันจะเอ่ยปากขอหย่า แม้เคยได้ยินข่าวลือว่านางมีคนรักอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่านางจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
"ทำไม?" เขาถามเสียงสั่น
"เพราะเฉินกั๋วกง คนรักของข้ากำลังจะกลับมา" ไป๋หลันตอบอย่างตรงไปตรงมา "และข้าต้องการที่จะอยู่กับเขา ไม่ใช่คนไร้หัวใจเช่นท่านอ๋อง"
มู่หรงเยว่รู้สึกใจหายวาบ เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ควรจะดีใจที่ไป๋หลันจะได้มีความสุขกับคนที่นางรัก หรือควรจะเสียใจที่กำลังจะสูญเสียภรรยาไป แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นค่าของนางมาก่อนก็ตาม
"ตกลง" มู่หรงเยว่ตอบอย่างหนักแน่น "ข้าจะหย่ากับเจ้า แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะฝ่าบาทและฮองเฮากำลังจับตามองพวกเราอยู่"
ไป๋หลันพยักหน้ารับ "ขอบพระทัยท่านอ๋อง"
อาหลิงมองดูบาดแผลบนร่างกายของนายหญิงด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลอาบแก้ม บ่าวรับใช้ผู้นี้อยู่รับใช้ไป๋หลันมาตั้งแต่เด็ก เห็นทั้งความอ่อนโยนและความอดทนของนางมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ไป๋หลันจะต้องแบกรับความทุกข์ทรมานไว้มากมายเพียงใด"พระชายา..." อาหลิงสะอื้นไห้ "บ่าวจะไปส่งข่าวให้ท่านเสนาบดีเดี๋ยวนี้เพคะ"เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันจับมืออาหลิงไว้ "ไม่ต้องหรอกอาหลิง" นางพูดเสียงแผ่ว "ท่านพ่อคงไม่มาหรอก"อาหลิงมองไป๋หลันด้วยความประหลาดใจ "ทำไมพระชายาถึงตรัสเช่นนั้นเพคะ? ท่านเสนาบดีรักพระชายามากนะเพคะ"ไป๋หลันส่ายหน้า "อาหลิง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นเพียงบุตรสาวคนเล็กที่ท่านพ่อลืมเลือนไปแล้ว" นางถอนหายใจ "ท่านพ่อไม่เคยสนใจใยดีข้าเลย นับตั้งแต่แม่ของข้าสิ้นใจ ท่านก็แต่งภรรยาใหม่และมีลูกใหม่ ข้าเป็นเพียงส่วนเกินในครอบครัวเท่านั้น""ใช่แล้ว" ไป๋หลันพยักหน้า "ถ้าไม่มีฮองเฮา ข้าคงถูกเฟยหยางและพวกนางรังแกจนตายไปนานแล้ว"อาหลิงก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย นางรู้สึกสงสารไป๋หลันจับใจ นางลืมไปได้อย่างไรว่านายหญิงของนางต้องทนอยู่กับชีวิตที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างเช่นนี้มู่หรงเยว่รู
ข่าวเรื่องป้าหลี่ที่หายจากอาการไอเรื้อรังด้วยอาหารของไป๋หลันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนต่างพากันมาหาไป๋หลันเพื่อขอความช่วยเหลือ นางไม่เคยปฏิเสธใคร นางรักษาผู้คนด้วยอาหารเป็นยาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยชื่อเสียงของ "พระชายาหมอเทวดา" โด่งดังไปทั่วแคว้น ผู้คนต่างพากันรักและเคารพนาง ไป๋หลันไม่เพียงแต่รักษาโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนเท่านั้น แต่นางยังมอบความหวังและกำลังใจให้กับพวกเขาอีกด้วยในที่สุด มู่หรงเยว่ก็ใช้ตำแหน่งและอิทธิพลของเขา จนนำเฟยหยางกลับออกมาจากคุกหลวงได้สำเร็จ แม้จะต้องแลกกับการเผชิญหน้ากับความไม่พอพระทัยของฮองเฮาก็ตามเฟยหยางเป็นผู้ที่แสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจนที่สุด นางกระโดดเข้าสวมกอดมู่หรงเยว่ทันทีที่เห็นเขา นัยน์ตาของเฟยหยางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ"ท่านอ๋อง ขอบพระทัยเพคะที่ช่วยหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย" เฟยหยางพูดเสียงสั่นเครือมู่หรงเยว่ลูบผมนางเบาๆ "ไม่เป็นไร ข้าดีใจที่เจ้าปลอดภัย"แต่สิ่งที่ทำให้เฟยหยางดีใจยิ่งกว่าการได้กลับมาสู่อ้อมกอดของมู่หรงเยว่ คือการที่ไป๋หลันหายจากอาการป่วยแล้ว"พระชายาหายดีแล้วหรือเพคะ?" เฟยหยางถามมู่หรงเยว่ด้วยน้ำเสีย
มู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาในห้องของไป๋หลันในจังหวะที่เฟยหยางกำลังล้มลงไปกองกับพื้น เสียงร้องของเฟยหยางดังสะท้อนไปทั่วห้อง ทำให้เขารีบสาวเท้าเข้าไปดูด้วยความตกใจ"เกิดอะไรขึ้น!" มู่หรงเยว่ถามเสียงเข้ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ไป๋หลันอย่างตำหนิไป๋หลันมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย "หม่อมฉันแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเพคะ"เฟยหยางรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ "ท่านพี่" นางร้องไห้สะอึกสะอื้น "พี่หญิงทำร้ายหม่อมฉัน"มู่หรงเยว่ขมวดคิ้ว "ไป๋หลัน เจ้าทำอะไรเฟยหยาง?""หม่อมฉันแค่ป้องกันตัว" ไป๋หลันย้ำอีกครั้ง "นางจะทำร้ายหม่อมฉันก่อน"เฟยหยางรีบพูดแทรกขึ้น "ไม่จริงเพคะท่านพี่ หม่อมฉันแค่เข้ามาคุยกับพี่หญิงดีๆ แต่พี่หญิงกลับ..." นางเว้นวรรคไว้ ก่อนจะสะอื้นไห้ต่อ "พี่หญิงกลับทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันเจ็บ..."มู่หรงเยว่มองไป๋หลันด้วยสายตาตำหนิ เขาไม่คิดว่านางจะกล้าทำร้ายเฟยหยาง แม้ว่าเฟยหยางจะทำผิดมาก่อน แต่นางก็เป็นอนุภรรยาของเขา และตอนนี้เฟยหยางที่เพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุกหลวงก็กำลังอ่อนแอเป็นอย่างมาก"ไป๋หลัน เจ้า..." เขาเริ่มจะต่อว่านาง แต่เฟยหยางก็รีบพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง"ช่างเถอะเพคะท่านพี่" เฟยหยางพูดเสียงอ่อน "เรื่องมันผ่านไ
ยามราตรีแผ่ปกคลุมจวนหลังใหญ่ของอ๋องชิน ความเงียบสงัดเข้าครอบงำทุกห้องหับ ในขณะที่ไป๋หลันเข้าไปพักผ่อนในห้องนอนของนางเรียบร้อยแล้ว มู่หรงเยว่กลับยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ภาพของไป๋หลันที่ถูกทำร้ายร่างกายและคำสารภาพของเฟยหยางยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วง มู่หรงเยว่ตัดสินใจเดินไปเยี่ยมเยียนไป๋หลันที่ห้องนอน เขาเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอาหลิงกำลังบรรจงทายาให้ไป๋หลันที่นอนหลับอยู่บนเตียง"ท่านอ๋อง!" อาหลิงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่หรงเยว่อย่างกะทันหันมู่หรงเยว่ยกมือขึ้นห้ามอาหลิงส่งเสียง "อย่าปลุกนาง" เขาพูดเสียงเบาอาหลิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ"ให้ข้าทำเองเถิด" มู่หรงเยว่พูดต่ออาหลิงลังเลเล็กน้อย แต่มู่หรงเยว่ยืนกรานว่าจะเป็นคนทายารักษาแผลเป็นให้ร่างบางด้วยตัวเอง นางจึงจำต้องถอยออกมามู่หรงเยว่นั่งลงข้างเตียง มองใบหน้าสงบนิ่งของไป๋หลัน แม้ในยามหลับ นางก็ยังคงดูงดงามและอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มนางอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลของผิวเขาเริ่มทายาให้ไป๋หลันอย่างเบามือที่สุด พยายามไม่ให้นางรู้สึกตัว แต่บาดแผลบนร่างกาย
หลังจากมู่หรงเยว่ออกจากห้องไป ไป๋หลันเรียกอาหลิงเข้ามาพบทันที หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะใหญ่และจรดพู่กันลงบนกระดาษอย่างตั้งใจ"อาหลิง" ไป๋หลันเอ่ยเรียก "เจ้าช่วยนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้เฉินกั๋วกงแทนข้าที"อาหลิงรับจดหมายมาด้วยความสงสัย นางทราบดีว่าเฉินอี้เทียน หรือ เฉินกั๋วกง คือสหายในวัยเด็กและยังเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไป๋หลันแอบหลงรัก แต่ไม่เคยเห็นนางส่งจดหมายถึงเขาเลยตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าอยู่ในจวนอ๋อง"ได้เพคะ พระชายา" อาหลิงรับคำ นางมองไป๋หลันด้วยแววตาเป็นกังวล นางพอจะเดาได้ว่านายหญิงคิดจะทำอะไร และก็รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้"พระชายา..." อาหลิงเอ่ยอย่างลังเล "ท่านแน่ใจแล้วหรือเพคะ?"ไป๋หลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น "ข้าแน่ใจแล้วอาหลิง" นางพูดเสียงหนักแน่น "ข้าจะไม่ทนอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไป ข้าจะไม่ยอมเป็นหมากในเกมการเมืองของใครอีกแล้ว"อาหลิงถอนหายใจ นางรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจไป๋หลันได้ นางทำได้เพียงแค่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของนายหญิง"บ่าวจะไปส่งจดหมายให้เฉินกั๋วกงเดี๋ยวนี้เพคะ" อาหลิงกล่าว"ขอบใจเจ้ามากอาหลิง" ไป๋หลันยิ้มให้อาหลิงอย่างอบอุ่น "เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้า"อาหลิงโค้งคำนับแล้วรีบออกจา
เฟยหยางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความมืดมิด ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยังไม่จางหายไปไหน ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับถมอยู่ พิษของเห็ดเมาที่หลอกหลอนนางมาตลอดทั้งคืนเริ่มจางลง ทิ้งไว้เพียงความทรงจำเลือนรางของเหตุการณ์เมื่อคืนที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น"ข้าเสียรู้ให้ไป๋หลัน!" เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ความโกรธเกรี้ยวและความอัปยศอดสูรวมตัวกันเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาภายในอก นางจำได้ลางๆ ถึงภาพของไป๋หลันที่หลอกล่อนางให้กินอาหารที่ป้ายด้วยเห็ดเมา แล้วหลังจากนั้น... ความทรงจำก็ขาดหายไป"พระชายา" เสียงของเปาหม่าดังขึ้นข้างเตียง นางประคองถ้วยยาส่งให้เฟยหยาง "นี่คือยาบำรุงร่างกาย ท่านรีบดื่มเถิดเพคะ"เฟยหยางรับถ้วยยา ดื่มมันจนหมดโดยไม่ปริปากบ่น ร่างกายของนางยังคงอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มด้วยความแค้น"เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง" นางถามเสียงแหบพร่าเปาหม่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล "หลังจากที่ท่านสลบไป ท่านอ๋องก็รีบไปหาพระชายาเอกที่เรือนทันที พระองค์ไม่ได้อยู่ดูแลท่านเลยแม้แต่น้อย และอยู่กับพระชายาเอกตลอดค่อนคืนเจ้าค่ะ"คำพูดของเปาหม่าราวกับ
ยังไม่ทันที่เฟยหยางจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องครัว เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำสนิทก้าวเข้ามาในครัวที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง มู่หรงเยว่ ชินอ๋องแห่งแคว้น มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก"เฟยหยาง!" เสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง "เจ้าทำอะไรลงไป"เฟยหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและเจ็บปวดในแววตา"หม่อมฉัน..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอมู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น แววตาของเขาจ้องมองนางอย่างตำหนิ "เจ้าทำเกินกว่าเหตุอีกแล้วเฟยหยาง""หม่อมฉันแค่..." เฟยหยางพยายามจะอธิบาย แต่ก็ถูกเขาขัดขึ้น"เจ้าแค่หึงหวงไป๋หลัน เจ้าแค่ทนไม่ได้ที่ข้าไปหาเขา เจ้าแค่..." มู่หรงเยว่เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น "เจ้าแค่เห็นแก่ตัว!"คำพูดของเขาเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในใจของเฟยหยาง นางกำมือแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้"หม่อมฉันขอโทษ" นางพูดเสียงแผ่วเบา"ขอโทษ?" มู่หรงเยว่หัวเราะในลำคอ "เจ้าคิดว่าคำขอโทษของเจ้าจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อได้หรือ"เขาหันไปหาเป่ากงกงที่ยื
กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชมไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้""เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยเมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน...""กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ล
ในเขตพระราชวังอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยกำแพงหินสูงสง่าและต้นสนที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ไป๋หลัน เดินลัดเลาะตามทางเดินหินที่ทอดยาวสู่ตำหนักของฮองเฮา นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวงาช้างปักลายดอกไม้ละเอียดอ่อน ขณะเดินไป เสียงนกที่ร้องเบาๆ ตามกิ่งไม้สูง และเสียงฝีเท้าของนางบนหินที่เย็นเฉียบ ดูเหมือนจะเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินในยามนี้วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะเป็นวันที่หญิงสาวถูกเรียกเข้าเฝ้าฮองเฮาผู้เป็นพระญาติของนาง ผู้ทรงเป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างสูงในราชสำนัก นางรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่ทำให้นางกังวลมากที่สุดคือข่าวที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อถึงตำหนักของฮองเฮา ประตูไม้หนักที่สลักลวดลายวิจิตรถูกเปิดออกโดยขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ไป๋หลันก้าวเข้ามาในห้องรับรองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนและวัตถุโบราณจากยุคต่างๆ กลิ่นหอมของไม้จันทน์ลอยอบอวลไปทั่วห้อง ขณะที่ฮองเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์เล็กๆ ที่ประดับด้วยหมอนหนานุ่ม ใบหน้าของพระนางสงบสุข แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจคาดเดาได้"หลันเอ๋อร์" เสียงของฮองเฮาเรียกชื่อไป๋หลันเ
ในห้องโถงวังหลวงซึ่งปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม ความเย็นเยียบของเสาไม้แกะสลักและเพดานสูงทำให้เสียงพูดของผู้คนก้องสะท้อนไปทั่ว ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุรุษผู้หนึ่งที่ยืนเด่นเป็นสง่า มู่หรงเยว่ชายหนุ่มที่สูงศักดิ์ในฐานะชินอ๋อง หนึ่งในบุคคลสำคัญของแคว้นหยาง อำนาจในมือของเขาคือกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่เบื้องหลังของเส้นทางสู่อำนาจนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ คิด และยิ่งในวันนี้ วันที่ชะตาของเขาถูกลิขิตใหม่อย่างไม่ทันคาดคิดฮ่องเต้ทอดพระเนตรน้องชายที่พระองค์รัก ท่าทางของพระองค์สงบและมั่นคงในคำสั่งที่กำลังจะประกาศออกมา "หรงเยว่" เสียงอันทรงอำนาจของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วห้อง "ข้าได้เตรียมการแต่งงานให้เจ้าแล้ว"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าที่ผ่ากลางใจของมู่หรงเยว่ เขานิ่งไปชั่วขณะ แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีสงบ แต่ภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกว้าวุ่น "การแต่งงาน?" เขาทวนคำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน การแต่งงานที่ไม่เคยมีการพูดถึงมาก่อน เหตุใดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้ และที่สำคัญ เหตุใดถึงต้องรีบร้อนจัดการเรื่องนี้ในตอนนี้?ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ดวงตายังคงแข็งกร้าว "ใช่ การแต่งงานของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก เจ้
หลายปีผ่านไป มู่หรงซาน บุตรชายคนโตของมู่หรงเยว่และไป๋หลัน เติบโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยห้าขวบผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสดใส แต่เขาก็มีนิสัยที่ทำให้บิดามารดาต้องปวดหัวไม่น้อย นั่นคือ เขาเป็นเด็ก 'ทานยาก' ที่สุด!ไป๋หลันพยายามทำอาหารสารพัดเมนูมาล่อใจลูกชาย แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะถูกปากเจ้าตัวเล็กได้เลย มู่หรงซานจะกินเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ผลักจานออกห่าง ทำให้ไป๋หลันรู้สึกท้อแท้ใจ"หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก" มู่หรงเยว่ปลอบใจภรรยา "เด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวซานเอ๋อร์ก็โตและกินง่ายขึ้นเอง"แต่ไป๋หลันยังคงเป็นห่วงลูกชาย นางรู้ว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และนางไม่อยากให้ลูกชายขาดสารอาหาร"แต่หม่อมฉันเป็นห่วงเขาเหลือเกิน ท่านพี่" ไป๋หลันพูดเสียงเศร้า "เขาตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน"มู่หรงเยว่โอบกอดภรรยาไว้ "เราจะหาวิธีกันนะ หลันเอ๋อร์"ด้วยความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อลูก ไป๋หลันจึงไม่ยอมแพ้ นางเริ่มศึกษาตำราอาหารสำหรับเด็ก ทดลองทำเมนูใหม่ ๆ ที่ทั้งอร่อยและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดใจลูกชายตัวน้อยของนางถึงแม้ไป๋หลันจะพยายามสร้างสรรค์เมนูอาหารให้น่าทานมากเพียงใด แ
ข่าวคราวที่ชินอ๋องมู่หรงเยว่จะทรงมีชายาเพียงองค์เดียวกระจายไปทั่วแคว้น สร้างความผิดหวังให้แก่เหล่าหญิงงามที่เคยหมายปองจะได้เป็นสนมของพระองค์ เพราะบัดนี้พวกนางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เฉียดใกล้ชินอ๋องอีกต่อไปในคืนที่ไป๋หลันใจอ่อนยอมคืนดี ภายในห้องบรรทมที่เคยเงียบเหงา บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยไอรักอันร้อนแรง มู่หรงเยว่และไป๋หลันผู้ห่างเหินกันไปนาน ได้กลับมาเปิดเผยความในใจซึ่งกันและกันอีกครั้งมู่หรงเยว่โอบกอดไป๋หลันไว้แนบอก จุมพิตหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม "ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดเช่นนี้อีก"ไป๋หลันซบหน้าลงกับอกแกร่ง น้ำตาแห่งความปีติยินดีเอ่อล้นออกมา "ได้ หม่อมฉันจะเชื่อใจท่านพี่อีกครั้ง"สัมผัสอันอ่อนโยนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร่าร้อน มู่หรงเยว่ประคองใบหน้างามของไป๋หลันขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววรักใคร่"ข้ารักเจ้า ไป๋หลัน" เขาเอ่ยเสียงพร่า"หม่อมฉันก็รักท่านพี่เพคะ" ไป๋หลันตอบรับ ก่อนจะมอบจุมพิตอันแสนหวานให้กับคนรักร่างสองร่างแนบชิดเป็นหนึ่งเดียว ความรักที่เก็บกดไว้นานถูกปลดปล่อยออกมาอย่างร้อนแรง เสียงครางกระเส่าดังคลอเคล้าไปกับเสียงลมหายใจหอบ
แม้ว่าจะถูกมู่หรงเยว่สืบข่าวจนล่วงรู้ถึงแผนการร้าย แต่ซูหลิงก็ยังไม่ยอมละความพยายาม นางยังคงมีความแค้นฝังลึกต่อมู่หรงเยว่และไป๋หลัน คิดว่าหากไป๋หลันแท้งลูก มู่หรงเยว่อาจจะใจอ่อน ยอมแต่งงานกับนางเพื่อรักษาสัมพันธภาพระหว่างแคว้นเอาไว้วันหนึ่ง ซูหลิงบุกเข้าไปในภัตตาคารของไป๋หลัน นางผลักไป๋หลันอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น"เจ้าคิดว่าจะแย่งท่านอ๋องไปจากข้าได้งั้นเหรอ? ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยแพ้ให้กับสตรีผู้ใด!" ซูหลิงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวไป๋หลันพยายามลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องน้อย นางกุมท้องตัวเองไว้แน่น "อย่านะ ซูหลิง อย่าทำอะไรลูกของข้า" ไป๋หลันร้องขอเสียงสั่นเครือแต่ซูหลิงไม่ฟัง นางตรงเข้าไปหมายจะทำร้ายไป๋หลันอีกครั้งทันใดนั้นเอง มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเข้ามาขวางซูหลิงไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะทำอะไรไป๋หลันได้"หยุดนะ ซูหลิง!" มู่หรงเยว่ตวาดลั่นซูหลิงหันไปมองเขาด้วยความตกใจ "ท่านอ๋อง"มู่หรงเยว่ไม่ฟังคำแก้ตัวของนาง เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ"นี่คือจดหมายที่เจ้าลอบส่งให้พี่ชายของเจ้าใช่ไหม?" มู่หรงเยว่ถามพลางโยนจดหมายลงตรงหน้าซูหลิงซูหลิงหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นจ
ข่าวการแต่งงานของมู่หรงเยว่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจไป๋หลัน แม้จะรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้า แต่หญิงสาวก็ยังคงความสงบนิ่ง ไร้ซึ่งน้ำตาหรือเสียงสะอื้นใดๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะลูบท้องน้อยของตนเองอย่างแผ่วเบา"ลูกแม่" นางกระซิบแผ่วเบา "เราต้องเข้มแข็งนะ"ไม่นานนัก มู่หรงเยว่ก็มาหาไป๋หลันด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาจับมือนางไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว"ไป๋หลัน ข้า...""ข้าทราบแล้ว" ไป๋หลันขัดขึ้น นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่อ่านยาก "เรื่องการแต่งงานของท่าน"มู่หรงเยว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ข้ามิได้ประสงค์ในการแต่งงานครั้งนี้เลยสักนิด ไป๋หลัน"ไป๋หลันพยายามฝืนยิ้ม "ข้าเข้าใจท่านอ๋อง"แต่ในใจของนางกลับปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดลึก ความเจ็บปวดนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้"ข้ารู้ว่าท่านคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้" ไป๋หลันพูดต่อ "แต่ข้าจะขอท่านเพียงแค่สิ่งเดียว"มู่หรงเยว่มองนางด้วยความรู้สึกผิด "สิ่งใดหรือ ไป๋หลัน""ดูแลลูกของเราให้ดี" นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ "นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการ"มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น"ข้าให้สัญญา ไป๋หลัน"ถึงแม้ไป๋หลันจะยอม
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับสายน้ำ ท้องของไป๋หลันค่อยๆ โตขึ้นจนใกล้ถึงกำหนดคลอด นางเริ่มเคลื่อนไหวลำบากและเหนื่อยง่าย ภัตตาคารที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของนางก็เริ่มกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งวันหนึ่ง พ่อครัวคนสำคัญในร้านเกิดล้มป่วยกะทันหัน ไป๋หลันร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง นางไม่รู้จะหาใครมาแทนได้ทันท่วงที ในใจนางคิดถึงแต่เรื่องนี้จนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับท่ามกลางความกังวลนั้นเอง จู่ๆ มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ภัตตาคารของนางราวกับปาฏิหาริย์ เขาเพิ่งเสร็จศึกจากแนวหน้าและรีบรุดกลับเมืองหลวงทันทีที่ทราบข่าวว่านางใกล้ถึงกำหนดคลอดเมื่อเห็นไป๋หลันยืนหน้าเครียด มู่หรงเยว่ก็รับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของนาง เขาจึงเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย "หลันเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงดูไม่สบายใจเช่นนี้"ไป๋หลันเล่าเรื่องพ่อครัวให้เขาฟัง มู่หรงเยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง"ไป๋หลันมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ท่านจะช่วยข้าอย่างไร ท่านไม่เคยทำครัวมาก่อน"มู่หรงเยว่หัวเราะเบาๆ "ตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่จวน ข้าเคยนั่งเฝ้าเจ้านอนเฝ้าเจ้าตอนเข้าครัวจนจำได้หมดแล้ว"ไป๋หลันนึกถึงภาพในอดีต แม้จะผ่
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับแสงทองแรกที่สาดส่อง ทว่าความสดใสของวันใหม่กลับมิอาจนำพาความสุขมาสู่จวนของมู่หรงเยว่ สาส์นด่วนจากฮ่องเต้มาถึงในยามเช้าตรู่ สั่งให้เขาออกเดินทางไปรบ ณ ชายแดนแนวหน้าทันทีมู่หรงเยว่กำสาสน์นั้นแน่น รู้สึกราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา เขาเหลือเวลาอยู่กับไป๋หลันเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่จะต้องจากนางไปเผชิญหน้ากับความเป็นความตายในสนามรบ หัวใจของเขาปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด เขาอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับนางให้มากที่สุด แต่หน้าที่ก็ไม่อาจละเลยในที่สุดวันที่เขาต้องออกเดินทางก็มาถึง ไป๋หลันยืนรอส่งเขาอยู่หน้าจวน นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ ดั่งแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดในใจของเขา"ท่านอ๋อง โปรดดูแลตัวเองด้วย" น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง"ข้าสัญญาว่าจะกลับมาหาเจ้า ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่กระซิบข้างหูนาง "และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าอีกครั้ง"เขาจูบหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความอาลัย และคำมั่นสัญญามู่หรงเยว่ผละออกจากอ้อมกอดของไป๋หลันอย่างอ้อยอิ่ง เขาหันหลังกลับและก้าวขึ้นม้า สายตาของเขามองกลับมาที่นา
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต มู่หรงเยว่จึงตัดสินใจเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาอีกครั้ง เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าทั้งสองพระองค์ น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น"ขอฝ่าบาทและฮองเฮาทรงโปรดประทานอภัยให้กับข้าผู้โง่เขลาอีกครั้ง" มู่หรงเยว่กล่าว "ข้ารู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ แต่ข้าขาดไป๋หลันไม่ได้ ขอทรงโปรดให้โอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ"แม้ฮองเฮาจะยังทรงกริ้วที่มู่หรงเยว่ชอบทำร้ายจิตใจหลานสาวของนาง แต่ลึกๆแล้วพระนางก็ทราบดีว่าไป๋หลันยังคงมีใจให้มู่หรงเยว่อยู่ อีกทั้งเด็กในท้องก็ต้องการบิดา นางจึงให้โอกาสมู่หรงเยว่อีกครั้ง"เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง" ฮองเฮาตรัส "เราจะส่งไป๋หลันกลับไปอยู่กับเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะได้พิสูจน์ตัวเอง หากเจ้ายังไม่สามารถทำให้นางกลับมามีความสุขได้ เราจะให้เจ้าสองคนหย่าขาดจากกัน และไป๋หลันจะต้องเข้ามาอยู่ในวังหลวงกับเรา"มู่หรงเยว่รู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตาของฮองเฮาเป็นล้นพ้น เขารีบกลับไปยังจวนของตนเพื่อรอคอยการกลับมาของไป๋หลันด้วยใจจดจ่อ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวังและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาจะไ