อาหลิงมองดูบาดแผลบนร่างกายของนายหญิงด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลอาบแก้ม บ่าวรับใช้ผู้นี้อยู่รับใช้ไป๋หลันมาตั้งแต่เด็ก เห็นทั้งความอ่อนโยนและความอดทนของนางมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ไป๋หลันจะต้องแบกรับความทุกข์ทรมานไว้มากมายเพียงใด
"พระชายา..." อาหลิงสะอื้นไห้ "บ่าวจะไปส่งข่าวให้ท่านเสนาบดีเดี๋ยวนี้เพคะ"
เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันจับมืออาหลิงไว้ "ไม่ต้องหรอกอาหลิง" นางพูดเสียงแผ่ว "ท่านพ่อคงไม่มาหรอก"
อาหลิงมองไป๋หลันด้วยความประหลาดใจ "ทำไมพระชายาถึงตรัสเช่นนั้นเพคะ? ท่านเสนาบดีรักพระชายามากนะเพคะ"
ไป๋หลันส่ายหน้า "อาหลิง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นเพียงบุตรสาวคนเล็กที่ท่านพ่อลืมเลือนไปแล้ว" นางถอนหายใจ "ท่านพ่อไม่เคยสนใจใยดีข้าเลย นับตั้งแต่แม่ของข้าสิ้นใจ ท่านก็แต่งภรรยาใหม่และมีลูกใหม่ ข้าเป็นเพียงส่วนเกินในครอบครัวเท่านั้น"
"ใช่แล้ว" ไป๋หลันพยักหน้า "ถ้าไม่มีฮองเฮา ข้าคงถูกเฟยหยางและพวกนางรังแกจนตายไปนานแล้ว"
อาหลิงก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย นางรู้สึกสงสารไป๋หลันจับใจ นางลืมไปได้อย่างไรว่านายหญิงของนางต้องทนอยู่กับชีวิตที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างเช่นนี้
มู่หรงเยว่รู้สึกผิดและเสียใจอย่างสุดซึ้งเมื่อได้เห็นสภาพของไป๋หลัน ร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำจากการถูกทารุณกรรมอย่างโหดร้าย เขาไม่เคยคิดว่าเฟยหยางจะกล้าทำร้ายไป๋หลันได้ถึงเพียงนี้ ความโกรธและความรู้สึกผิดผสมปนเปกันอยู่ในใจของเขา เขาจึงตัดสินใจที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยไป๋หลันให้หายดี
มู่หรงเยว่สั่งให้คนไปตามหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงมาดูอาการของไป๋หลัน เขาหวังว่าหมอเทวดาจะสามารถรักษาไป๋หลันให้หายเป็นปกติได้
เมื่อหมอเทวดามาถึงและตรวจอาการของไป๋หลัน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องมองไป๋หลันอย่างลึกล้ำ ราวกับกำลังมองทะลุผ่านร่างกายของนางไปยังจิตวิญญาณภายใน
"ท่านหมอ อาการของพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง" มู่หรงเยว่ถามด้วยความร้อนใจ
หมอเทวดาส่ายหน้าเล็กน้อย "อาการของพระชายาไม่ใช่เกิดจากเพียงแค่พิษหรือบาดแผลภายนอก แต่เป็นเพราะจิตวิญญาณของนางอ่อนแอลงอย่างมาก"
มู่หรงเยว่มองหมอเทวดาด้วยความสับสน "จิตวิญญาณอ่อนแอ?"
"ถูกต้อง" หมอเทวดาพยักหน้า "ดูเหมือนว่าพระชายาจะประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนจิตวิญญาณของนางเกือบจะแตกสลาย"
มู่หรงเยว่รู้สึกเจ็บปวดในอก เขาไม่เคยคิดว่าไป๋หลันจะต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเพียงใด เขาโทษตัวเองที่ไม่เคยใส่ใจนาง ไม่เคยรับรู้ถึงความเจ็บปวดของนาง มู่หรงเยว่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะอยู่ดูแลนางจนกว่าจะหายดีเป็นปกติ
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอีกครั้ง
"ท่านอ๋อง" หลี่ซิน องครักษ์คนสนิทของเขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "มีราชโองการด่วนจากฮ่องเต้ให้ท่านอ๋องเข้าเฝ้าโดยทันทีพ่ะย่ะค่ะ"
มู่หรงเยว่ขมวดคิ้ว เขาไม่อยากจากไป๋หลันไปในตอนนี้ แต่ราชโองการจากฮ่องเต้ก็ไม่อาจละเลยได้ เขาต้องทำหน้าที่ของตนในฐานะชินอ๋อง
"ข้าจะไปเตรียมตัว" มู่หรงเยว่ถอนหายใจ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องของไป๋หลันอย่างรวดเร็ว
หมอเทวดามองไป๋หลันด้วยสายตาที่อ่อนโยน "พระชายา" เขาพูดกับเหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลัน "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ไป๋หลัน แต่เป็นจิตวิญญาณอื่นที่มาเข้าร่างของนาง"
เหม่ยหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางไม่คิดว่าหมอเทวดาจะรู้ความลับของนาง
"เจ้าไม่ต้องกลัว" หมอเทวดายิ้มให้เหม่ยหลิง "ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร"
เหม่ยหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
"แต่เจ้าต้องยอมรับชะตากรรมของเจ้าให้ได้" หมอเทวดาพูดต่อ "เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนวันตายของเจ้า ไม่มีโอกาสที่จะกลับยังโลกเดิมของเจ้าอีกแล้ว"
เหม่ยหลิงในร่างนี้พยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย นางรู้ว่านางไม่มีทางเลือกอื่น
"แต่ข้าจะช่วยเจ้า" หมอเทวดาพูด "ข้าจะสอนวิธีที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตรอดในโลกใบนี้"
หมอเทวดาอธิบายให้เหม่ยหลิงฟังว่านางต้องใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่นางมีจากโลกเดิมมาปรับใช้ในโลกนี้ นางต้องใช้ทักษะการแสดงที่สั่งสมมาเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของนาง และนางต้องใช้ฝีมือการทำอาหารเพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้าง
"อาหารเป็นยา" หมอเทวดากล่าว "เจ้าสามารถใช้อาหารเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บและเสริมสร้างสุขภาพให้กับผู้คนได้"
หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางชอบทำอาหาร และนางก็มีความสามารถในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยม และคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนางที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกใบนี้
หมอเทวดายื่นขวดยาเล็กๆ ให้เหม่ยหลิง "นี่คือยาวิเศษแก้พิษ เพียงแค่สูดดมเข้าไป ก็จะแก้พิษทุกชนิดได้"
เหม่ยหลิงรับขวดยามาด้วยความขอบคุณ
"และนี่คือตำราอาหารเป็นยาที่ข้าเขียนขึ้นเอง" หมอเทวดายื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้เหม่ยหลิง "มันจะช่วยเจ้าได้มากในวันหน้า"
เหม่ยหลิงรับหนังสือมาด้วยความตื่นเต้น นางเปิดหนังสือดูและพบว่ามันเต็มไปด้วยสูตรอาหารที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์
"ขอบพระคุณท่านหมอมากเพคะ" เหม่ยหลิงกล่าวอย่างจริงใจ "ท่านช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้"
"ไม่เป็นไร" หมอเทวดายิ้ม "ข้าเห็นแววตาของเจ้าแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี เจ้าจะทำสิ่งที่ดีให้กับโลกใบนี้ได้อย่างแน่นอน"
เหม่ยหลิงคุกเข่าลงและคารวะหมอเทวดา "หม่อมฉันขอคารวะท่านหมอ และขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน"
หมอเทวดายิ้มและพยักหน้า "ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์"
เหม่ยหลิงรู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางมีครูบาอาจารย์ที่ดี และนางก็มีโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ และจะไม่ทำให้หมอเทวดาผู้นี้ผิดหวัง
หลังจากที่หมอเทวดาจากไป ทิ้งไว้เพียงตำราอาหารเป็นยาและคำแนะนำอันทรงคุณค่า ไป๋หลันก็เริ่มต้นศึกษาตำราเล่มนั้นอย่างมุ่งมั่น นางพลิกอ่านแต่ละหน้าด้วยความสนใจ ตัวอักษรโบราณที่แรกเริ่มดูยากลำบาก ค่อยๆ กลายเป็นความรู้ที่ซึมซับเข้าสู่ความเข้าใจของหญิงสาว
แต่ละสูตรอาหารไม่ใช่เพียงแค่การปรุงรสชาติ แต่เป็นการผสมผสานวัตถุดิบต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์เป็นยารักษาโรค ด้วยความรู้และประสบการณ์การทำอาหารจากโลกเดิม ไป๋หลันเริ่มทดลองทำอาหารตามสูตรในตำราอย่างพิถีพิถัน นางเลือกสรรวัตถุดิบอย่างใส่ใจ คำนวณสัดส่วนอย่างแม่นยำ และปรุงแต่งด้วยเทคนิคที่ละเอียดอ่อน
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก อาหารที่นางทำไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยล้ำ แต่ยังมีสรรพคุณทางยาที่แท้จริง
ข่าวลือเรื่องพระชายาเอกไป๋หลันผู้มีฝีมือในการปรุงอาหารเป็นยาแพร่สะพัดไปทั่วจวนอ๋อง ชาวบ้านที่ยากไร้และเจ็บป่วยต่างพากันมาขอความช่วยเหลือจากนาง ไป๋หลันไม่เคยปฏิเสธใคร นางต้อนรับทุกคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและเต็มใจช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ
วันหนึ่ง หญิงชราคนหนึ่งชื่อว่าป้าหลี่ มาหาไป๋หลันด้วยสีหน้ากังวล ป้าหลี่มีอาการไอเรื้อรังมานานหลายเดือนแล้ว ลองรักษากับหมอหลายคนก็ไม่หายขาด
"พระชายา" ป้าหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์สามารถรักษาโรคด้วยอาหารได้ หม่อมฉันจึงมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์"
ไป๋หลันพยักหน้ารับ "ป้าหลี่ เชิญนั่งก่อนเถิด เล่าอาการให้ข้าฟังหน่อย"
ป้าหลี่เล่าว่านางมีอาการไอแห้งๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะในตอนกลางคืน ทำให้นอนไม่หลับและร่างกายอ่อนเพลีย นางยังมีอาการเจ็บคอและหายใจไม่สะดวกอีกด้วย
ไป๋หลันฟังอาการของป้าหลี่อย่างตั้งใจ จากนั้นนางก็พิจารณาตำราอาหารเป็นยาของหมอเทวดาอย่างละเอียด ในที่สุด นางก็พบสูตรอาหารที่เหมาะสมสำหรับป้าหลี่
"ป้าหลี่" ไป๋หลันกล่าว "อาการของท่านเกิดจากปอดและหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ข้าจะทำอาหารบำรุงปอดและขับเสมหะให้ท่าน"
ไป๋หลันเข้าครัวและเริ่มลงมือทำอาหารด้วยความชำนาญ นางใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น รากบัวแห้ง เก๋ากี้ พุทราจีน และลูกแพร์ นำมาตุ๋นรวมกันจนได้น้ำน้ำแกงที่มีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม
เมื่ออาหารเสร็จ ไป๋หลันก็ยกมาให้ป้าหลี่ด้วยตัวเอง
"ป้าหลี่ ลองชิมดูนะเจ้าคะ" ไป๋หลันกล่าว
ป้าหลี่รับชามน้ำแกงมาและค่อยๆ จิบ นางรู้สึกประหลาดใจกับรสชาติที่อร่อยและกลมกล่อมของน้ำแกง
"อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ พระชายา" ป้าหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไป๋หลันยิ้มตอบ "ป้าหลี่ ทานให้หมดนะเจ้าคะ แล้วอาการไอของท่านจะดีขึ้น"
ป้าหลี่ทานน้ำแกงจนหมดชาม นางรู้สึกอุ่นวาบทั่วร่างกายและรู้สึกว่าอาการไอดีขึ้นเล็กน้อย
"ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ" ป้าหลี่กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
ไป๋หลันบอกให้ป้าหลี่กลับมาทานน้ำแกงนี้อีกทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ นางยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการรับประทานอาหารที่เหมาะสมแก่ป้าหลี่อีกด้วย
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ป้าหลี่กลับมาหาไป๋หลันอีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อาการไอของนางหายเป็นปลิดทิ้ง นางรู้สึกแข็งแรงและมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
"พระชายา หม่อมฉันหายแล้วเจ้าค่ะ!" ป้าหลี่กล่าวด้วยความดีใจ "ขอบพระทัยพระชายาเป็นอย่างสูงเพคะ"
ไป๋หลันยิ้มอย่างอบอุ่น "ป้าหลี่ ข้าดีใจที่ท่านหายดีแล้ว ขอให้ท่านรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนะเจ้าคะ"
ข่าวเรื่องป้าหลี่ที่หายจากอาการไอเรื้อรังด้วยอาหารของไป๋หลันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนต่างพากันมาหาไป๋หลันเพื่อขอความช่วยเหลือ นางไม่เคยปฏิเสธใคร นางรักษาผู้คนด้วยอาหารเป็นยาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยชื่อเสียงของ "พระชายาหมอเทวดา" โด่งดังไปทั่วแคว้น ผู้คนต่างพากันรักและเคารพนาง ไป๋หลันไม่เพียงแต่รักษาโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนเท่านั้น แต่นางยังมอบความหวังและกำลังใจให้กับพวกเขาอีกด้วยในที่สุด มู่หรงเยว่ก็ใช้ตำแหน่งและอิทธิพลของเขา จนนำเฟยหยางกลับออกมาจากคุกหลวงได้สำเร็จ แม้จะต้องแลกกับการเผชิญหน้ากับความไม่พอพระทัยของฮองเฮาก็ตามเฟยหยางเป็นผู้ที่แสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจนที่สุด นางกระโดดเข้าสวมกอดมู่หรงเยว่ทันทีที่เห็นเขา นัยน์ตาของเฟยหยางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ"ท่านอ๋อง ขอบพระทัยเพคะที่ช่วยหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย" เฟยหยางพูดเสียงสั่นเครือมู่หรงเยว่ลูบผมนางเบาๆ "ไม่เป็นไร ข้าดีใจที่เจ้าปลอดภัย"แต่สิ่งที่ทำให้เฟยหยางดีใจยิ่งกว่าการได้กลับมาสู่อ้อมกอดของมู่หรงเยว่ คือการที่ไป๋หลันหายจากอาการป่วยแล้ว"พระชายาหายดีแล้วหรือเพคะ?" เฟยหยางถามมู่หรงเยว่ด้วยน้ำเสีย
มู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาในห้องของไป๋หลันในจังหวะที่เฟยหยางกำลังล้มลงไปกองกับพื้น เสียงร้องของเฟยหยางดังสะท้อนไปทั่วห้อง ทำให้เขารีบสาวเท้าเข้าไปดูด้วยความตกใจ"เกิดอะไรขึ้น!" มู่หรงเยว่ถามเสียงเข้ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ไป๋หลันอย่างตำหนิไป๋หลันมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย "หม่อมฉันแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเพคะ"เฟยหยางรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ "ท่านพี่" นางร้องไห้สะอึกสะอื้น "พี่หญิงทำร้ายหม่อมฉัน"มู่หรงเยว่ขมวดคิ้ว "ไป๋หลัน เจ้าทำอะไรเฟยหยาง?""หม่อมฉันแค่ป้องกันตัว" ไป๋หลันย้ำอีกครั้ง "นางจะทำร้ายหม่อมฉันก่อน"เฟยหยางรีบพูดแทรกขึ้น "ไม่จริงเพคะท่านพี่ หม่อมฉันแค่เข้ามาคุยกับพี่หญิงดีๆ แต่พี่หญิงกลับ..." นางเว้นวรรคไว้ ก่อนจะสะอื้นไห้ต่อ "พี่หญิงกลับทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันเจ็บ..."มู่หรงเยว่มองไป๋หลันด้วยสายตาตำหนิ เขาไม่คิดว่านางจะกล้าทำร้ายเฟยหยาง แม้ว่าเฟยหยางจะทำผิดมาก่อน แต่นางก็เป็นอนุภรรยาของเขา และตอนนี้เฟยหยางที่เพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุกหลวงก็กำลังอ่อนแอเป็นอย่างมาก"ไป๋หลัน เจ้า..." เขาเริ่มจะต่อว่านาง แต่เฟยหยางก็รีบพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง"ช่างเถอะเพคะท่านพี่" เฟยหยางพูดเสียงอ่อน "เรื่องมันผ่านไ
ยามราตรีแผ่ปกคลุมจวนหลังใหญ่ของอ๋องชิน ความเงียบสงัดเข้าครอบงำทุกห้องหับ ในขณะที่ไป๋หลันเข้าไปพักผ่อนในห้องนอนของนางเรียบร้อยแล้ว มู่หรงเยว่กลับยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ภาพของไป๋หลันที่ถูกทำร้ายร่างกายและคำสารภาพของเฟยหยางยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วง มู่หรงเยว่ตัดสินใจเดินไปเยี่ยมเยียนไป๋หลันที่ห้องนอน เขาเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอาหลิงกำลังบรรจงทายาให้ไป๋หลันที่นอนหลับอยู่บนเตียง"ท่านอ๋อง!" อาหลิงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่หรงเยว่อย่างกะทันหันมู่หรงเยว่ยกมือขึ้นห้ามอาหลิงส่งเสียง "อย่าปลุกนาง" เขาพูดเสียงเบาอาหลิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ"ให้ข้าทำเองเถิด" มู่หรงเยว่พูดต่ออาหลิงลังเลเล็กน้อย แต่มู่หรงเยว่ยืนกรานว่าจะเป็นคนทายารักษาแผลเป็นให้ร่างบางด้วยตัวเอง นางจึงจำต้องถอยออกมามู่หรงเยว่นั่งลงข้างเตียง มองใบหน้าสงบนิ่งของไป๋หลัน แม้ในยามหลับ นางก็ยังคงดูงดงามและอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มนางอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลของผิวเขาเริ่มทายาให้ไป๋หลันอย่างเบามือที่สุด พยายามไม่ให้นางรู้สึกตัว แต่บาดแผลบนร่างกาย
หลังจากมู่หรงเยว่ออกจากห้องไป ไป๋หลันเรียกอาหลิงเข้ามาพบทันที หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะใหญ่และจรดพู่กันลงบนกระดาษอย่างตั้งใจ"อาหลิง" ไป๋หลันเอ่ยเรียก "เจ้าช่วยนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้เฉินกั๋วกงแทนข้าที"อาหลิงรับจดหมายมาด้วยความสงสัย นางทราบดีว่าเฉินอี้เทียน หรือ เฉินกั๋วกง คือสหายในวัยเด็กและยังเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไป๋หลันแอบหลงรัก แต่ไม่เคยเห็นนางส่งจดหมายถึงเขาเลยตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าอยู่ในจวนอ๋อง"ได้เพคะ พระชายา" อาหลิงรับคำ นางมองไป๋หลันด้วยแววตาเป็นกังวล นางพอจะเดาได้ว่านายหญิงคิดจะทำอะไร และก็รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้"พระชายา..." อาหลิงเอ่ยอย่างลังเล "ท่านแน่ใจแล้วหรือเพคะ?"ไป๋หลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น "ข้าแน่ใจแล้วอาหลิง" นางพูดเสียงหนักแน่น "ข้าจะไม่ทนอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไป ข้าจะไม่ยอมเป็นหมากในเกมการเมืองของใครอีกแล้ว"อาหลิงถอนหายใจ นางรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจไป๋หลันได้ นางทำได้เพียงแค่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของนายหญิง"บ่าวจะไปส่งจดหมายให้เฉินกั๋วกงเดี๋ยวนี้เพคะ" อาหลิงกล่าว"ขอบใจเจ้ามากอาหลิง" ไป๋หลันยิ้มให้อาหลิงอย่างอบอุ่น "เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้า"อาหลิงโค้งคำนับแล้วรีบออกจา
เฟยหยางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความมืดมิด ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยังไม่จางหายไปไหน ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับถมอยู่ พิษของเห็ดเมาที่หลอกหลอนนางมาตลอดทั้งคืนเริ่มจางลง ทิ้งไว้เพียงความทรงจำเลือนรางของเหตุการณ์เมื่อคืนที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น"ข้าเสียรู้ให้ไป๋หลัน!" เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ความโกรธเกรี้ยวและความอัปยศอดสูรวมตัวกันเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาภายในอก นางจำได้ลางๆ ถึงภาพของไป๋หลันที่หลอกล่อนางให้กินอาหารที่ป้ายด้วยเห็ดเมา แล้วหลังจากนั้น... ความทรงจำก็ขาดหายไป"พระชายา" เสียงของเปาหม่าดังขึ้นข้างเตียง นางประคองถ้วยยาส่งให้เฟยหยาง "นี่คือยาบำรุงร่างกาย ท่านรีบดื่มเถิดเพคะ"เฟยหยางรับถ้วยยา ดื่มมันจนหมดโดยไม่ปริปากบ่น ร่างกายของนางยังคงอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มด้วยความแค้น"เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง" นางถามเสียงแหบพร่าเปาหม่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล "หลังจากที่ท่านสลบไป ท่านอ๋องก็รีบไปหาพระชายาเอกที่เรือนทันที พระองค์ไม่ได้อยู่ดูแลท่านเลยแม้แต่น้อย และอยู่กับพระชายาเอกตลอดค่อนคืนเจ้าค่ะ"คำพูดของเปาหม่าราวกับ
ยังไม่ทันที่เฟยหยางจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องครัว เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำสนิทก้าวเข้ามาในครัวที่ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง มู่หรงเยว่ ชินอ๋องแห่งแคว้น มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก"เฟยหยาง!" เสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง "เจ้าทำอะไรลงไป"เฟยหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มบัดนี้เหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าและเจ็บปวดในแววตา"หม่อมฉัน..." นางพยายามจะพูด แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอมู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้น แววตาของเขาจ้องมองนางอย่างตำหนิ "เจ้าทำเกินกว่าเหตุอีกแล้วเฟยหยาง""หม่อมฉันแค่..." เฟยหยางพยายามจะอธิบาย แต่ก็ถูกเขาขัดขึ้น"เจ้าแค่หึงหวงไป๋หลัน เจ้าแค่ทนไม่ได้ที่ข้าไปหาเขา เจ้าแค่..." มู่หรงเยว่เว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น "เจ้าแค่เห็นแก่ตัว!"คำพูดของเขาเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในใจของเฟยหยาง นางกำมือแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้"หม่อมฉันขอโทษ" นางพูดเสียงแผ่วเบา"ขอโทษ?" มู่หรงเยว่หัวเราะในลำคอ "เจ้าคิดว่าคำขอโทษของเจ้าจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อได้หรือ"เขาหันไปหาเป่ากงกงที่ยื
กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดของไป๋หลันโชยอบอวล ไทเฮาทรงยกช้อนเงินบริสุทธิ์ชิมอาหารแต่ละจานด้วยความตื่นเต้น พระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมบัดนี้กลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ"อร่อยนัก! รสชาติอาหารของเจ้าช่างละมุนละไมและกลมกล่อมยิ่งนัก ไป๋หลัน" ไทเฮาตรัสชมไป๋หลันยิ้มรับคำชมอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงโปรดอาหารทั้งสามชนิดนี้""เจ้าช่างมีฝีมือในการทำอาหารยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นสะใภ้เอกของข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยเมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไทเฮาก็ทรงหยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากข้างพระวรกาย"ไป๋หลัน นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้า" ไทเฮาทรงตรัสพลางเปิดกล่องออก ภายในบรรจุกำไลหยกสีเขียวมรกต คู่หนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับราวกับหยดน้ำค้าง"กำไลหยกน้ำค้าง!" ไป๋หลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง "นี่มัน...""กำไลหยกน้ำค้างนี้มีเพียงคู่เดียวในใต้หล้า" ไทเฮาทรงตรัส "ข้าตั้งใจจะมอบมันให้กับสะใภ้คนโปรดของข้า"ไป๋หลันรีบคุกเข่าลง "ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล "ล
เมื่อกลับถึงจวน ความเงียบสงัดของยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหล่าบ่าวไพร่ต่างเข้านอนหลับใหล เหลือเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องสว่างอยู่ตามทางเดินภายในห้องหนังสือของมู่หรงเยว่ กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าของเรือนนั่งอยู่เพียงลำพัง ความเมาคืบคลานเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก ใบหน้าที่เคยสุขุมเยือกเย็นบัดนี้แดงก่ำ ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ภาพของไป๋หลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด รอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยนที่นางมอบให้ ทุกอย่างล้วนตอกย้ำความผิดพลาดของเขาในที่สุด ความเมาและความเจ็บปวดก็ทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ มู่หรงเยว่ลุกขึ้นเดินโซเซไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องของไป๋หลัน หัวใจเต้นระรัว ความรู้สึกผิดและความปรารถนาตีกันวุ่นวายอยู่ในอกเมื่อไปถึงหน้าห้อง เขาผลักประตูเข้าไป..สตรีผู้งดงามราวกับเทพธิดาบัดนี้กำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเตียง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะๆ บรรยากาศโดยรอบสงบสุข จนกระทั่ง...เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางเดิน ทำให้ไป๋หลันเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองไปทางประตูด้วยความสงสัย ใครกันที่มาในยามวิกาลเช่นนี้?"แอ๊