ฉู่เนี่ยนซีเปิดกล่องยา หยิบพู่กันกับกระดาษออกมา แล้วจดความคิดในใจของนางอย่างรวดเร็ว โดยมีเฮ่อหลานคอยพูดคุยเรื่องปริมาณยากับนางบ้างเป็นครั้งคราวแสงเทียนสลัวกระทบใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าคลุมหน้าของนาง จนเปล่งรัศมีออกมา เสียงที่เด็ดเดี่ยวและไม่แยแสทำให้บรรยากาศห้องรู้สึกว่างเปล่าเป็นอย่างมากหลังจากนั้นไม่นานก็เขียนใบสั่งยาเทียบยาใหม่เสร็จสิ้น เฮ่อหลานก็เดินออกมาจากห้องแล้วยื่นให้เสี่ยวเถา เขาอธิบายรายละเอียดอย่างรอบคอบและขอให้นางพาคนไปต้มยามาเพิ่ม ซึ่งจะช่วยให้นางหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าขยะแขยงเหล่านั้นได้ด้วยได้ยินเสียง “ซี๊ด” ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะได้รับบาดแผลเพิ่มฉู่เนี่ยนซีมองตามเสียงไป คนคนนั้นเห็นพระชายาผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ ไม่รังเกียจพวกเขาที่ใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและสกปรก อีกทั้งยังพยายามอย่างดีที่สุดและมีความสามารถแท้จริง ทำให้เขารู้สึกประทับใจมาก จึงพลิกตัวเผยให้เห็นบาดแผลที่หลังของเขาบาดแผลที่หลังมีขนาดประมาณห้าถึงหกนิ้ว เนื่องจากแช่น้ำสกปรกแล้วติดเชื้อ ชิ้นเนื้อทั้งสองข้างถูกเปิดออกไปด้านข้าง ดูเหมือนแผลจะไม่ตื้นนักแต่ยาสมุนไพรนั้นให้ผลลัพธ์ช้า ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ
เสี่ยวเถานำยาน้ำสองชามไปให้ฉู่เนี่ยนซี เมื่อเห็นใครบางคนเดินมาข้างหน้านางนางก็เหล่ตามองใกล้ ๆ แต่มันมืดเกินกว่าจะมองเห็นได้ชัด นางจึงเข้าไปส่งยาในห้องก่อน“พระชายา ดูเหมือนว่าท่านอ๋องหลีจะมาถึงแล้ว”เสี่ยวเถายื่นยาให้ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง เอียงศีรษะแล้วพูดกับฉู่เนี่ยนซีอย่างลังเลฉู่เนี่ยนซีกำลังจัดกล่องยา เมื่อได้ยินเสี่ยวเถาพูดเช่นนั้นนางก็มองไปที่ประตู สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่อ๋องหลีแต่กลับเป็นอ๋องเหลียน“ข้าเป็นห่วงที่เจ้าต้องรักษาคนมากมาย ดังนั้นหลังจากปิดกั้นน้ำท่วมเสร็จก็เลยรีบมาเพื่อดูว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”อ๋องเหลียนมองฉู่เหนียนซีที่กำลังยุ่งและเหงื่อออก ดวงตาสีเหลืองอำพันของเขายังคงสดใสจนน่าทึ่งภายใต้แสงเทียน เขาลืมแม้กระทั่งรอยแผลเป็นที่ปกปิดผ้าคลุมหน้าของฉู่เนี่ยนซีเสี่ยวเถาขมวดคิ้วและทำหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ‘นี่คือพระชายาหลีนะ คนที่เป็นห่วงควรจะเป็นท่านอ๋องหลีสิ’ฉู่เนี่ยนซียังคงก้มหน้าเก็บยา พลางตอบโดยไม่แสดงอารมณ์ใดใดในใจออกมาทางสีหน้า “ท่านอ๋องเหลียนกังวลว่าจะทำให้ผู้ลี้ภัยติดเชื้อ เนี่ยนซีขอขอบพระทัยท่านอ๋องเหลียนแทนพวกเขาด้วยเพคะ”เย่เหลียนตกตะ
เย่เฟยหลีเรียกคนยี่สิบคนอย่างรวดเร็วและให้พวกเขาไปกับเขาเย่เหลียนเรียกหมอหลวงคนหนึ่งมาถามเกี่ยวกับสถานการณ์การรักษา หมอหลวงอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด ความรู้และทักษะทางการแพทย์ของฉู่เนี่ยนซีนั้นเหนือกว่าพวกเขาจริง ๆ แม้แต่หมอเทวดาเฮ่อหลานก็ยังเชื่อฟังการเตรียมการของนางโดยไม่มีข้อตำหนิใดใดเย่เหลียนตกใจและมองไปที่แผ่นหลังของฉู่เนี่ยนซีด้วยแววตามุ่งมั่น จากนั้นจึงเดินตามเย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ ไปยกเว้นทางตอนเหนือของเมืองหนานหลิน ส่วนที่เหลือของเมืองจมอยู่ในน้ำ เย่เฟยหลีให้คนสร้างแพหลายลำเพื่อลำเลียงประชาชน“ไม่รู้ว่าน้ำลึกแค่ไหน เจ้ามานั่งบนแพนี้” เย่เหลียนคว้าแพแล้วดึงมันไปข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีเย่เฟยหลียิ้มเยาะ ดึงฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดด้วยความโกรธ “พี่รอง ท่านดูแลตัวเองให้ดีเถิด อย่ามือยื่นมือยาวนักเลย”“อย่าวุ่นวาย ยามนี้เร่งด่วน รีบไปช่วยชีวิตคนจะดีกว่า” ฉู่เนี่ยนซีหันกลับไปหาหมอเทวดาเฮ่อหลาน อวี๋ตง และเสี่ยวเถา พลางบอกพวกเขาว่า “พวกท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวที่นั่นจะมีคนที่ต้องเข้ารับการรักษามากขึ้นอีก”“ได้พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” คนอื่น ๆ เห็นด้วย แต่มีเพียงอวี๋ตงยังค
ฉู่เนี่ยนซีรีบคว้าเด็กเจ็ดหรือแปดขวบคนนั้นแล้วดึงเขาไปมาข้าง ๆ เด็กชายสำลักน้ำลาย สงบสติอารมณ์แล้วชี้ไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดว่า "แม่ของข้าอยู่ข้างใน ขาของนางไม่ดี รีบช่วยแม่ข้าที รีบช่วยแม่ข้าที…”“เหลือหนึ่งคนไว้ลากแพ ส่วนคนที่เหลือเข้าไปรับคุณหญิงซะ”ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีพูดเช่นนี้ นางก็หันกลับมาและกำลังจะวางเด็กลงบนแพ ทันใดนั้น น้ำท่วมก็ไหลมาอย่างรวดเร็ว ฉู่เนี่ยนซีถูกน้ำพัดออกไปก่อนที่จะมีเวลาตะโกนด้วยซ้ำ“ชายาหลี! รีบช่วยชายาหลีเร็วเข้า!”ได้ยินเพียงเสียงคำร้องตะโกนในระยะไกลอย่างคลุมเครือ แต่มองอะไรไม่เห็นแล้วเด็กถูกน้ำพัดไปอีกที่ทันที ฉู่เนี่ยนซีผุดศรีษะขึ้นเหนือน้ำก่อนจะว่ายไปหาเด็ก น้ำท่วมรุนแรงเกินไป มันพัดฉู่เนี่ยนซีไปด้านหน้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทหารอื่น ๆ ก็ถูกน้ำพัดไปทางอื่นเช่นกัน เมื่อเกิดน้ำท่วม เย่เฟยหลีหันหลังกลับทันทีและมุ่งตรงไปหาฉู่เนี่ยนซี ก่อนจะคว้านางขึ้นมาจากน้ำอวี๋ตงตงกระโดดลงไปในน้ำทันทีและว่ายไปทางของฉู่เนี่ยนซีอย่างเอาเป็นเอาตาย“ช่วยเด็กก่อน!”ฉู่เนี่ยนซียื่นมือออกมาอย่างยากลำบาก และในที่สุดก็เอื้อมมือไปถึงนิ้วของเด็กด้วยความพย
"ข้าอยู่นี่"เสียงที่ทำให้คนรู้สึกเบาใจดังมาจากด้านหลัง ฉู๋เนี่ยนซีหันไปทันที หลังจากเห็นใบหน้าที่เข้มงวดอย่างชัดเจน นางจึงรู้สึกโล่งใจราวกับว่ากำลังหมดเรี่ยวแรง“ท่านไปไหนมา?” ฉู๋เนี่ยนซีถามอย่างเป็นกังวลแกมตำหนิเล็กน้อยเย่เฟยหลียกเหยื่อในมือซึ่งเป็นกระต่ายสีขาวพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก "ข้าไปหาของกินมาน่ะ"“เป็นห่วงข้าขนาดนั้นเลยรึ?”เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เฟยหลีที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ฉู๋เนี่ยนซีก็ยื่นมือออกไปผลักใบหน้าของเขาออกไป และพูดด้วยความตื่นตระหนก "เพราะท่านพยามช่วยข้าไว้ หากท่านเป็นอะไรไป ข้าคงรู้สึกแย่”“เจ้ามั่นคงมาตลอด เจ้าไม่สนใจกองหญ้าที่สะอาดและกองไฟที่อยู่ข้างใต้ด้วยซ้ำ”เย่เฟยหลีหันหลังกลับเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฉู่เนี่ยนซีเห็นเลือดสดของกระต่าย“แล้วถ้ามีคนอื่นช่วยเราไว้ล่ะ?”“จะเป็นใครได้อีกล่ะ?”ฉู๋เนี่ยนซีพูดไม่ออก เลยเมินเขาก่อนจะไปตรวจชีพจรของเด็ก แม้จะไม่มีอันตรายแต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแรงมาก แถมยังมีไข้เล็กน้อยด้วย ฉู๋เนี่ยนซีใช้ประโยชน์ขณะที่เย่เฟยหลีกำลังหันหลังเพื่อฆ่ากระต่าย เข็มเงินหลายอันปรากฏขึ้นในมือของนางก่อนจะทำการฝังเข็มที่ช่วยล
ฉู่เนี่ยนซีดึงขากระต่ายออกมาแล้วยื่นให้เด็ก จากนั้นก็พยุงศรีษะของเขาเพื่อให้เขาดื่มน้ำเด็กกระหายน้ำมากจึงดื่มไปจนเกือบครึ่งในคราเดียว“เจ้าชื่ออะไร?”ฉู่เนี่ยนซีรับกาน้ำกลับมาแล้วถามเด็ก“ข้าชื่อจู้จื่อ” เด็กน้อยมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นแม่ของเขาตน น้ำตาหยดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กน้อยทันที “แม่ของข้าอยู่ที่ไหน?”“น้ำซัดพวกเรากระจายจากกันไปหมด แม่ของเจ้าก็คงปลอดภัยดี ตอนนี้เราต้องรีบคิดหาวิธีกลับไปโดยเร็วที่สุด กินข้าวก่อนเถอะ พอพวกเรามีแรงแล้วจะได้กลับไปทันที”ฉู่เนี่ยนซีไม่ค่อยเก่งในการกล่อมเด็ก ดังนั้นจึงมองไปที่เย่เฟยหลีเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็เห็นเขาส่ายหน้าด้วยสีหน้ากระอักระอ่วนหลังจากที่เย่เฟยหลีกินอิ่มแล้ว เขาก็ออกไปสำรวจเส้นทาง ฉู่เนี่ยนซีหยิบเข็มทิศออกมาและแยกทิศ คิดย้อนกลับไปในทิศทางที่ถูกพัดมา ตอนนี้น่าจะถูกพัดมาทางใต้สุดของเมืองหนานหลิน อาจจะเป็นทางใต้ หรือนอกชายแดนก็เป็นได้หลังจากที่อวี๋ตงหาฉู่เนี่ยนซีไม่พบ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่กระโดดลงไปในน้ำเขาทรุดตัวลงบนพื้น กำหมัดทั้งสองข้างแน่น และชกพื้นอย่างแรงในใจอดเสียใจไม่ได้ที่เขาไม่สามารถคว้าจับฉู่เนี่ย
การเดินทางกลับเมืองหลวงใช้เวลาหลายวัน เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอฉู่เนี่ยนซีจึงหลับบนรถม้าไปครึ่งทาง เพียงรอให้เย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ หาโรงเตี๊ยมก่อนจะลงจากรถม้าและเดินแค่ไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นไม่นาน ขบวนรถก็ค่อย ๆ มาถึงชานเมืองอาณาจักรแห่งรัตติกาลเย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีที่ง่วงงุน ร่องรอยความเจ็บปวดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้นเล็กน้อย เขาก็กล่าวขึ้นว่า“หลังจากเข้าเมืองแล้ว ไปโรงเตี๊ยมอาบน้ำสักหน่อยจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น จะได้กลับจวนวังอย่างมีชีวิตชีวา”ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้า เสี่ยวเถาเดินตามนางเข้าไปในห้อง ให้พนักงานเติมน้ำร้อนจนเต็มถังก่อนจะให้รางวัลเขา แล้วสั่งให้เขากลับออกไป “นายหญิง ข้าจะเฝ้าอยู่นอกประตู หากท่านต้องการอะไรเรียกหาข้าได้เสมอ” อวี๋ตงยังคงคอยปกป้องฉู่เนี่ยนซีเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเย่เหลียนเดินมาพร้อมกับกล่องในมือ แต่ถูกอวี๋ตงขวางไว้ และบอกเขาว่าหากมีธุระอะไรไว้ค่อยกลับมาใหม่ เย่เหลียนมองไปที่ท่านผู้ดูแลของหอการแพทย์ และคิดย้อนไปว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้านายของทุกสิ่งในหอการแพทย์ และจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัยเป็นเวลานาน“ข้าเองชักส
องค์จักรพรรดิยิ้มกว้าง จนรอยย่นที่มุมดวงตาชัดเจน เขายกย่องบุตรชายทั้งสองของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับความฉลาดและความสามารถของพวกเขา และมอบทองคำหนึ่งร้อยตำลึงและเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นรางวัล“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” ทั้งสี่คนขอบคุณจักรพรรดิพร้อมกันฉู่เนี่ยนซีสวมผ้าคลุมหน้า เป็นที่จับตามองมากในหมู่คนเหล่านี้ หลังจากที่เย่เฟยหลีอธิบายเรื่องนี้ จักรพรรดิก็ชื่นชมฉู่เนี่ยนซีและยกย่องนางสำหรับการจัดการที่ยอดเยี่ยมของนาง ครั้งนี้นายังมีส่วนร่วมอย่างมาก จึงตบรางวัลนางด้วยเงินหนึ่งพันตำลึงและผ้าทอหลายร้อยผืน“ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวอย่างสง่างามอีกครั้ง และจักรพรรดิก็ดูพอใจมากเจี่ยงจาวอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง ครั้งที่แล้วนางยืมมือใช้องค์หญิงห้าลงโทษฉู่เนี่ยนซีไม่สำเร็จ ฉู่เนี่ยนซีกลับเปล่งประกายในวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้อีก ได้ยินมาว่ามีบุคคลสำคัญระดับสูงหลายคนในเมืองหลวงที่เคยไม่ชื่นชอบฉู่เนี่ยนซี ต่างก็ชื่นชมนางไม่หยุด แถมยังเปลี่ยนทัศนคติต่อนางด้วย เจี่ยงจาวอวิ๋นกระแอมในลำคอ เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีเล็กน้อย ก่อนจะทักทายจักรพรรดิ “เสด็จพ่อเพคะ พระชายาห
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย