เย่เฟยหลีเรียกคนยี่สิบคนอย่างรวดเร็วและให้พวกเขาไปกับเขาเย่เหลียนเรียกหมอหลวงคนหนึ่งมาถามเกี่ยวกับสถานการณ์การรักษา หมอหลวงอธิบายสถานการณ์อย่างละเอียด ความรู้และทักษะทางการแพทย์ของฉู่เนี่ยนซีนั้นเหนือกว่าพวกเขาจริง ๆ แม้แต่หมอเทวดาเฮ่อหลานก็ยังเชื่อฟังการเตรียมการของนางโดยไม่มีข้อตำหนิใดใดเย่เหลียนตกใจและมองไปที่แผ่นหลังของฉู่เนี่ยนซีด้วยแววตามุ่งมั่น จากนั้นจึงเดินตามเย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ ไปยกเว้นทางตอนเหนือของเมืองหนานหลิน ส่วนที่เหลือของเมืองจมอยู่ในน้ำ เย่เฟยหลีให้คนสร้างแพหลายลำเพื่อลำเลียงประชาชน“ไม่รู้ว่าน้ำลึกแค่ไหน เจ้ามานั่งบนแพนี้” เย่เหลียนคว้าแพแล้วดึงมันไปข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีเย่เฟยหลียิ้มเยาะ ดึงฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดด้วยความโกรธ “พี่รอง ท่านดูแลตัวเองให้ดีเถิด อย่ามือยื่นมือยาวนักเลย”“อย่าวุ่นวาย ยามนี้เร่งด่วน รีบไปช่วยชีวิตคนจะดีกว่า” ฉู่เนี่ยนซีหันกลับไปหาหมอเทวดาเฮ่อหลาน อวี๋ตง และเสี่ยวเถา พลางบอกพวกเขาว่า “พวกท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวที่นั่นจะมีคนที่ต้องเข้ารับการรักษามากขึ้นอีก”“ได้พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” คนอื่น ๆ เห็นด้วย แต่มีเพียงอวี๋ตงยังค
ฉู่เนี่ยนซีรีบคว้าเด็กเจ็ดหรือแปดขวบคนนั้นแล้วดึงเขาไปมาข้าง ๆ เด็กชายสำลักน้ำลาย สงบสติอารมณ์แล้วชี้ไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดว่า "แม่ของข้าอยู่ข้างใน ขาของนางไม่ดี รีบช่วยแม่ข้าที รีบช่วยแม่ข้าที…”“เหลือหนึ่งคนไว้ลากแพ ส่วนคนที่เหลือเข้าไปรับคุณหญิงซะ”ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีพูดเช่นนี้ นางก็หันกลับมาและกำลังจะวางเด็กลงบนแพ ทันใดนั้น น้ำท่วมก็ไหลมาอย่างรวดเร็ว ฉู่เนี่ยนซีถูกน้ำพัดออกไปก่อนที่จะมีเวลาตะโกนด้วยซ้ำ“ชายาหลี! รีบช่วยชายาหลีเร็วเข้า!”ได้ยินเพียงเสียงคำร้องตะโกนในระยะไกลอย่างคลุมเครือ แต่มองอะไรไม่เห็นแล้วเด็กถูกน้ำพัดไปอีกที่ทันที ฉู่เนี่ยนซีผุดศรีษะขึ้นเหนือน้ำก่อนจะว่ายไปหาเด็ก น้ำท่วมรุนแรงเกินไป มันพัดฉู่เนี่ยนซีไปด้านหน้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทหารอื่น ๆ ก็ถูกน้ำพัดไปทางอื่นเช่นกัน เมื่อเกิดน้ำท่วม เย่เฟยหลีหันหลังกลับทันทีและมุ่งตรงไปหาฉู่เนี่ยนซี ก่อนจะคว้านางขึ้นมาจากน้ำอวี๋ตงตงกระโดดลงไปในน้ำทันทีและว่ายไปทางของฉู่เนี่ยนซีอย่างเอาเป็นเอาตาย“ช่วยเด็กก่อน!”ฉู่เนี่ยนซียื่นมือออกมาอย่างยากลำบาก และในที่สุดก็เอื้อมมือไปถึงนิ้วของเด็กด้วยความพย
"ข้าอยู่นี่"เสียงที่ทำให้คนรู้สึกเบาใจดังมาจากด้านหลัง ฉู๋เนี่ยนซีหันไปทันที หลังจากเห็นใบหน้าที่เข้มงวดอย่างชัดเจน นางจึงรู้สึกโล่งใจราวกับว่ากำลังหมดเรี่ยวแรง“ท่านไปไหนมา?” ฉู๋เนี่ยนซีถามอย่างเป็นกังวลแกมตำหนิเล็กน้อยเย่เฟยหลียกเหยื่อในมือซึ่งเป็นกระต่ายสีขาวพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก "ข้าไปหาของกินมาน่ะ"“เป็นห่วงข้าขนาดนั้นเลยรึ?”เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เฟยหลีที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ฉู๋เนี่ยนซีก็ยื่นมือออกไปผลักใบหน้าของเขาออกไป และพูดด้วยความตื่นตระหนก "เพราะท่านพยามช่วยข้าไว้ หากท่านเป็นอะไรไป ข้าคงรู้สึกแย่”“เจ้ามั่นคงมาตลอด เจ้าไม่สนใจกองหญ้าที่สะอาดและกองไฟที่อยู่ข้างใต้ด้วยซ้ำ”เย่เฟยหลีหันหลังกลับเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฉู่เนี่ยนซีเห็นเลือดสดของกระต่าย“แล้วถ้ามีคนอื่นช่วยเราไว้ล่ะ?”“จะเป็นใครได้อีกล่ะ?”ฉู๋เนี่ยนซีพูดไม่ออก เลยเมินเขาก่อนจะไปตรวจชีพจรของเด็ก แม้จะไม่มีอันตรายแต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแรงมาก แถมยังมีไข้เล็กน้อยด้วย ฉู๋เนี่ยนซีใช้ประโยชน์ขณะที่เย่เฟยหลีกำลังหันหลังเพื่อฆ่ากระต่าย เข็มเงินหลายอันปรากฏขึ้นในมือของนางก่อนจะทำการฝังเข็มที่ช่วยล
ฉู่เนี่ยนซีดึงขากระต่ายออกมาแล้วยื่นให้เด็ก จากนั้นก็พยุงศรีษะของเขาเพื่อให้เขาดื่มน้ำเด็กกระหายน้ำมากจึงดื่มไปจนเกือบครึ่งในคราเดียว“เจ้าชื่ออะไร?”ฉู่เนี่ยนซีรับกาน้ำกลับมาแล้วถามเด็ก“ข้าชื่อจู้จื่อ” เด็กน้อยมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นแม่ของเขาตน น้ำตาหยดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กน้อยทันที “แม่ของข้าอยู่ที่ไหน?”“น้ำซัดพวกเรากระจายจากกันไปหมด แม่ของเจ้าก็คงปลอดภัยดี ตอนนี้เราต้องรีบคิดหาวิธีกลับไปโดยเร็วที่สุด กินข้าวก่อนเถอะ พอพวกเรามีแรงแล้วจะได้กลับไปทันที”ฉู่เนี่ยนซีไม่ค่อยเก่งในการกล่อมเด็ก ดังนั้นจึงมองไปที่เย่เฟยหลีเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็เห็นเขาส่ายหน้าด้วยสีหน้ากระอักระอ่วนหลังจากที่เย่เฟยหลีกินอิ่มแล้ว เขาก็ออกไปสำรวจเส้นทาง ฉู่เนี่ยนซีหยิบเข็มทิศออกมาและแยกทิศ คิดย้อนกลับไปในทิศทางที่ถูกพัดมา ตอนนี้น่าจะถูกพัดมาทางใต้สุดของเมืองหนานหลิน อาจจะเป็นทางใต้ หรือนอกชายแดนก็เป็นได้หลังจากที่อวี๋ตงหาฉู่เนี่ยนซีไม่พบ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่กระโดดลงไปในน้ำเขาทรุดตัวลงบนพื้น กำหมัดทั้งสองข้างแน่น และชกพื้นอย่างแรงในใจอดเสียใจไม่ได้ที่เขาไม่สามารถคว้าจับฉู่เนี่ย
การเดินทางกลับเมืองหลวงใช้เวลาหลายวัน เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอฉู่เนี่ยนซีจึงหลับบนรถม้าไปครึ่งทาง เพียงรอให้เย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ หาโรงเตี๊ยมก่อนจะลงจากรถม้าและเดินแค่ไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นไม่นาน ขบวนรถก็ค่อย ๆ มาถึงชานเมืองอาณาจักรแห่งรัตติกาลเย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีที่ง่วงงุน ร่องรอยความเจ็บปวดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้นเล็กน้อย เขาก็กล่าวขึ้นว่า“หลังจากเข้าเมืองแล้ว ไปโรงเตี๊ยมอาบน้ำสักหน่อยจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น จะได้กลับจวนวังอย่างมีชีวิตชีวา”ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้า เสี่ยวเถาเดินตามนางเข้าไปในห้อง ให้พนักงานเติมน้ำร้อนจนเต็มถังก่อนจะให้รางวัลเขา แล้วสั่งให้เขากลับออกไป “นายหญิง ข้าจะเฝ้าอยู่นอกประตู หากท่านต้องการอะไรเรียกหาข้าได้เสมอ” อวี๋ตงยังคงคอยปกป้องฉู่เนี่ยนซีเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเย่เหลียนเดินมาพร้อมกับกล่องในมือ แต่ถูกอวี๋ตงขวางไว้ และบอกเขาว่าหากมีธุระอะไรไว้ค่อยกลับมาใหม่ เย่เหลียนมองไปที่ท่านผู้ดูแลของหอการแพทย์ และคิดย้อนไปว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้านายของทุกสิ่งในหอการแพทย์ และจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัยเป็นเวลานาน“ข้าเองชักส
องค์จักรพรรดิยิ้มกว้าง จนรอยย่นที่มุมดวงตาชัดเจน เขายกย่องบุตรชายทั้งสองของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับความฉลาดและความสามารถของพวกเขา และมอบทองคำหนึ่งร้อยตำลึงและเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นรางวัล“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” ทั้งสี่คนขอบคุณจักรพรรดิพร้อมกันฉู่เนี่ยนซีสวมผ้าคลุมหน้า เป็นที่จับตามองมากในหมู่คนเหล่านี้ หลังจากที่เย่เฟยหลีอธิบายเรื่องนี้ จักรพรรดิก็ชื่นชมฉู่เนี่ยนซีและยกย่องนางสำหรับการจัดการที่ยอดเยี่ยมของนาง ครั้งนี้นายังมีส่วนร่วมอย่างมาก จึงตบรางวัลนางด้วยเงินหนึ่งพันตำลึงและผ้าทอหลายร้อยผืน“ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวอย่างสง่างามอีกครั้ง และจักรพรรดิก็ดูพอใจมากเจี่ยงจาวอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง ครั้งที่แล้วนางยืมมือใช้องค์หญิงห้าลงโทษฉู่เนี่ยนซีไม่สำเร็จ ฉู่เนี่ยนซีกลับเปล่งประกายในวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้อีก ได้ยินมาว่ามีบุคคลสำคัญระดับสูงหลายคนในเมืองหลวงที่เคยไม่ชื่นชอบฉู่เนี่ยนซี ต่างก็ชื่นชมนางไม่หยุด แถมยังเปลี่ยนทัศนคติต่อนางด้วย เจี่ยงจาวอวิ๋นกระแอมในลำคอ เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีเล็กน้อย ก่อนจะทักทายจักรพรรดิ “เสด็จพ่อเพคะ พระชายาห
หลังจากทักทายอีกรอบ ฉู่เนี่ยนซีก็เห็นว่าแม่ของนางดูอ่อนแรงและเหนื่อยล้าเพราะเป็นห่วงนาง นางจึงหยิบน้ำแร่ขึ้นมาให้เสี่ยวเถานำไปต้มชา ก่อนที่นางจะยืนนวดให้ท่านแม่อยู่ด้านข้าง“พระชายายังมีความสามารถในการนวดอีกด้วยหรือ? ได้ยินมาว่าการนวดสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ แถมยังกำจัดสารพิษได้ด้วย แค่ข้ามองดูอยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว” หลิวซื่อหัวเราะ ลังเลอยู่นานกว่าจะพูดขึ้นฉู่เนี่ยนซีได้ยินอะไรบางอย่างจากคำพูดของหลิวซื่อ เมื่อเห็นนางมีท่าทีที่ดี จึงรู้ว่าหลิวซื่อคงอยากได้รับการรักษาจากนาง จึงให้อวี๋ตงไปเตรียมของที่จำเป็น และให้คุณหญิงฉู่เตรียมห้องว่างไว้ให้เพื่อจะรักษาให้หลิวซื่อขณะนี้ในห้องมีคนอยู่เพียงสี่คนคือฮูหยินฉู่ ฉู่เนี่ยนซี หลิวซื่อและจ้าวม่อเหยียนหลิวซื่อถามว่าตัวเองเป็นโรคอะไร ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองหน้าอกของนางแล้วกล่าวว่า "ตรงนี้เจ้าค่ะ ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ แต่ตอนนี้มันแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว อาจจะต้องเอามันออกเท่านั้นถึงจะช่วยชีวิตท่านป้าไว้ได้"เมื่อหลิวซื่อได้ยินสิ่งนี้ นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ คนอื่น ๆ ต่างก็เบิกตากว้างมองไปที่ฉู่
ซ่างกวานเยียนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยเบาะขนห่านหนา ๆ ดูเหมือนนางกำลังคิดอะไรบางอย่าง มุมปากจึงเผยรอยยิ้มขึ้นอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นเย่เฟยหลี่และฉู่เนี่ยนซีมาที่ห้องโถง ซ่างกวานเยียนก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และทำความเคารพง่าย ๆ ก่อนที่ดวงตาของนางจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป“เยียนเอ๋อร์ไม่ค่อยสะดวกจึงไม่สามารถทำความเคารพแบบเป็นพิธีได้ ท่านอ๋องและพระชายาโปรดประธานอภัยให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ”เสียงที่มีเสน่ห์ของซ่างกวานเยียนทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกขนลุกเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินว่านางไม่ค่อยสะดวก รวมกับคำพูดของคนรับใช้เมื่อครู่ที่บอกว่านางมีเรื่องที่น่ายินดีจะบอก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่ง และนางก็เหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่จมลงในใจของนางอย่างควบคุมไม่ได้ นางเหลือบมองเย่เฟยหลี และเห็นว่าเขาเต็มไปด้วยสงสัยอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ ‘ตัวเองทำอะไรไว้ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ?’เมื่อเย่เฟยหลีเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีเพิกเฉยต่อเขาและนั่งลงไป เขาก็โบกเสื้อคลุมและนั่งบนที่นั่งหลัก ก่อนจะถามขึ้นมา "เกิดอะไรขึ้น?"“เยียนเอ๋อร์อาเจียนและรู้สึกอ่อนแรง จึงเชิญหมอสามท่านมาตรวจดู ทุกคนต่างก็บอกว่