ฉู่เนี่ยนซีดึงขากระต่ายออกมาแล้วยื่นให้เด็ก จากนั้นก็พยุงศรีษะของเขาเพื่อให้เขาดื่มน้ำเด็กกระหายน้ำมากจึงดื่มไปจนเกือบครึ่งในคราเดียว“เจ้าชื่ออะไร?”ฉู่เนี่ยนซีรับกาน้ำกลับมาแล้วถามเด็ก“ข้าชื่อจู้จื่อ” เด็กน้อยมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นแม่ของเขาตน น้ำตาหยดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กน้อยทันที “แม่ของข้าอยู่ที่ไหน?”“น้ำซัดพวกเรากระจายจากกันไปหมด แม่ของเจ้าก็คงปลอดภัยดี ตอนนี้เราต้องรีบคิดหาวิธีกลับไปโดยเร็วที่สุด กินข้าวก่อนเถอะ พอพวกเรามีแรงแล้วจะได้กลับไปทันที”ฉู่เนี่ยนซีไม่ค่อยเก่งในการกล่อมเด็ก ดังนั้นจึงมองไปที่เย่เฟยหลีเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็เห็นเขาส่ายหน้าด้วยสีหน้ากระอักระอ่วนหลังจากที่เย่เฟยหลีกินอิ่มแล้ว เขาก็ออกไปสำรวจเส้นทาง ฉู่เนี่ยนซีหยิบเข็มทิศออกมาและแยกทิศ คิดย้อนกลับไปในทิศทางที่ถูกพัดมา ตอนนี้น่าจะถูกพัดมาทางใต้สุดของเมืองหนานหลิน อาจจะเป็นทางใต้ หรือนอกชายแดนก็เป็นได้หลังจากที่อวี๋ตงหาฉู่เนี่ยนซีไม่พบ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่กระโดดลงไปในน้ำเขาทรุดตัวลงบนพื้น กำหมัดทั้งสองข้างแน่น และชกพื้นอย่างแรงในใจอดเสียใจไม่ได้ที่เขาไม่สามารถคว้าจับฉู่เนี่ย
การเดินทางกลับเมืองหลวงใช้เวลาหลายวัน เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอฉู่เนี่ยนซีจึงหลับบนรถม้าไปครึ่งทาง เพียงรอให้เย่เฟยหลีและคนอื่น ๆ หาโรงเตี๊ยมก่อนจะลงจากรถม้าและเดินแค่ไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นไม่นาน ขบวนรถก็ค่อย ๆ มาถึงชานเมืองอาณาจักรแห่งรัตติกาลเย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีที่ง่วงงุน ร่องรอยความเจ็บปวดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้นเล็กน้อย เขาก็กล่าวขึ้นว่า“หลังจากเข้าเมืองแล้ว ไปโรงเตี๊ยมอาบน้ำสักหน่อยจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น จะได้กลับจวนวังอย่างมีชีวิตชีวา”ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้า เสี่ยวเถาเดินตามนางเข้าไปในห้อง ให้พนักงานเติมน้ำร้อนจนเต็มถังก่อนจะให้รางวัลเขา แล้วสั่งให้เขากลับออกไป “นายหญิง ข้าจะเฝ้าอยู่นอกประตู หากท่านต้องการอะไรเรียกหาข้าได้เสมอ” อวี๋ตงยังคงคอยปกป้องฉู่เนี่ยนซีเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเย่เหลียนเดินมาพร้อมกับกล่องในมือ แต่ถูกอวี๋ตงขวางไว้ และบอกเขาว่าหากมีธุระอะไรไว้ค่อยกลับมาใหม่ เย่เหลียนมองไปที่ท่านผู้ดูแลของหอการแพทย์ และคิดย้อนไปว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้านายของทุกสิ่งในหอการแพทย์ และจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัยเป็นเวลานาน“ข้าเองชักส
องค์จักรพรรดิยิ้มกว้าง จนรอยย่นที่มุมดวงตาชัดเจน เขายกย่องบุตรชายทั้งสองของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับความฉลาดและความสามารถของพวกเขา และมอบทองคำหนึ่งร้อยตำลึงและเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นรางวัล“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” ทั้งสี่คนขอบคุณจักรพรรดิพร้อมกันฉู่เนี่ยนซีสวมผ้าคลุมหน้า เป็นที่จับตามองมากในหมู่คนเหล่านี้ หลังจากที่เย่เฟยหลีอธิบายเรื่องนี้ จักรพรรดิก็ชื่นชมฉู่เนี่ยนซีและยกย่องนางสำหรับการจัดการที่ยอดเยี่ยมของนาง ครั้งนี้นายังมีส่วนร่วมอย่างมาก จึงตบรางวัลนางด้วยเงินหนึ่งพันตำลึงและผ้าทอหลายร้อยผืน“ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวอย่างสง่างามอีกครั้ง และจักรพรรดิก็ดูพอใจมากเจี่ยงจาวอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง ครั้งที่แล้วนางยืมมือใช้องค์หญิงห้าลงโทษฉู่เนี่ยนซีไม่สำเร็จ ฉู่เนี่ยนซีกลับเปล่งประกายในวิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้อีก ได้ยินมาว่ามีบุคคลสำคัญระดับสูงหลายคนในเมืองหลวงที่เคยไม่ชื่นชอบฉู่เนี่ยนซี ต่างก็ชื่นชมนางไม่หยุด แถมยังเปลี่ยนทัศนคติต่อนางด้วย เจี่ยงจาวอวิ๋นกระแอมในลำคอ เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีเล็กน้อย ก่อนจะทักทายจักรพรรดิ “เสด็จพ่อเพคะ พระชายาห
หลังจากทักทายอีกรอบ ฉู่เนี่ยนซีก็เห็นว่าแม่ของนางดูอ่อนแรงและเหนื่อยล้าเพราะเป็นห่วงนาง นางจึงหยิบน้ำแร่ขึ้นมาให้เสี่ยวเถานำไปต้มชา ก่อนที่นางจะยืนนวดให้ท่านแม่อยู่ด้านข้าง“พระชายายังมีความสามารถในการนวดอีกด้วยหรือ? ได้ยินมาว่าการนวดสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ แถมยังกำจัดสารพิษได้ด้วย แค่ข้ามองดูอยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว” หลิวซื่อหัวเราะ ลังเลอยู่นานกว่าจะพูดขึ้นฉู่เนี่ยนซีได้ยินอะไรบางอย่างจากคำพูดของหลิวซื่อ เมื่อเห็นนางมีท่าทีที่ดี จึงรู้ว่าหลิวซื่อคงอยากได้รับการรักษาจากนาง จึงให้อวี๋ตงไปเตรียมของที่จำเป็น และให้คุณหญิงฉู่เตรียมห้องว่างไว้ให้เพื่อจะรักษาให้หลิวซื่อขณะนี้ในห้องมีคนอยู่เพียงสี่คนคือฮูหยินฉู่ ฉู่เนี่ยนซี หลิวซื่อและจ้าวม่อเหยียนหลิวซื่อถามว่าตัวเองเป็นโรคอะไร ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองหน้าอกของนางแล้วกล่าวว่า "ตรงนี้เจ้าค่ะ ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ แต่ตอนนี้มันแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว อาจจะต้องเอามันออกเท่านั้นถึงจะช่วยชีวิตท่านป้าไว้ได้"เมื่อหลิวซื่อได้ยินสิ่งนี้ นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ คนอื่น ๆ ต่างก็เบิกตากว้างมองไปที่ฉู่
ซ่างกวานเยียนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยเบาะขนห่านหนา ๆ ดูเหมือนนางกำลังคิดอะไรบางอย่าง มุมปากจึงเผยรอยยิ้มขึ้นอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นเย่เฟยหลี่และฉู่เนี่ยนซีมาที่ห้องโถง ซ่างกวานเยียนก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และทำความเคารพง่าย ๆ ก่อนที่ดวงตาของนางจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป“เยียนเอ๋อร์ไม่ค่อยสะดวกจึงไม่สามารถทำความเคารพแบบเป็นพิธีได้ ท่านอ๋องและพระชายาโปรดประธานอภัยให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ”เสียงที่มีเสน่ห์ของซ่างกวานเยียนทำให้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกขนลุกเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินว่านางไม่ค่อยสะดวก รวมกับคำพูดของคนรับใช้เมื่อครู่ที่บอกว่านางมีเรื่องที่น่ายินดีจะบอก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่ง และนางก็เหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่จมลงในใจของนางอย่างควบคุมไม่ได้ นางเหลือบมองเย่เฟยหลี และเห็นว่าเขาเต็มไปด้วยสงสัยอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ ‘ตัวเองทำอะไรไว้ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ?’เมื่อเย่เฟยหลีเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีเพิกเฉยต่อเขาและนั่งลงไป เขาก็โบกเสื้อคลุมและนั่งบนที่นั่งหลัก ก่อนจะถามขึ้นมา "เกิดอะไรขึ้น?"“เยียนเอ๋อร์อาเจียนและรู้สึกอ่อนแรง จึงเชิญหมอสามท่านมาตรวจดู ทุกคนต่างก็บอกว่
อีกด้านหนึ่ง ซ่างกวานเยียนยิ้มขึ้นช้า ๆ เมื่อเห็นว่าเย่เฟยหลีไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ นางจึงค่อย ๆ เดินไปด้านข้างของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของเย่เฟยหลีโดยตั้งใจที่จะให้เขาสัมผัสท้องของนางนางเห็นความเยือกเย็นบนใบหน้าที่ไม่แยแสของเย่เฟยหลี และทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย และยิ่งไม่เข้าใจ ‘นี่คือลูกของเขานะ แถมยังเป็นลูกคนแรกของเขาเสียด้วย เหตุใดเขาจึงดูไม่มีความสุขเลยเล่า?’“ท่านอ๋อง ตกใจเกินไปหรือเปล่าเพคะ? เยียนเอ๋อร์เองก็ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จในคราวเดียวเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะพระเจ้าสวรรค์ทรงโปรดปราน ดังนั้นจึงมอบของขวัญชิ้นนี้ให้แก่เราน่ะเพคะ”ซ่างกวานเยียนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยปิติความสุข นางเพียงเดาว่าเย่เฟยหลีคงแค่ตกใจและยังปรับอารมณ์ไม่ได้เท่านั้นเย่เฟยหลียกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงมันออกไปอย่างแรง เขาหรี่ตาลงแล้วมองไปที่ซ่างกวานเยียน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เปิดริมฝีปากบาง ๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า "ข้ากับเจ้าไม่เคยมีอะไรเกินเลยกัน แล้วเจ้าไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน?"เมื่อซ่างกวานเยียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางก็รู้สึกราวกับว่ามีอ่างน้ำเย็นไหลลงมาบนหน้า ซึ่งทำใ
ซ่างกวานเยียนร้องไห้อย่างหนัก นางถอยกลับไปหนึ่งก้าว ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยกำลังทั้งหมด จนเกิดเสียงดัง คราบเลือดเปรอะบนกระเบื้องปูพื้นเย่เฟยหลีก็กลัวว่านางจะตายที่นี่ ดังนั้นเขาจึงรีบคว้านางเอาไว้ซ่างกวานเยียนคิดว่าเย่เฟยหลีกำลังจะยกโทษให้ตน ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของนางก็สว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว นางมองไปที่เย่เฟยหลีอย่างคาดหวัง มีทั้งความสุข ความหวาดกลัว และความหวัง วินาทีต่อมานางนึกอยากจะขอบคุณเย่เฟยหลีที่ไม่สืบสาวเอาความ“เจ้าไม่เพียงทรยศข้า แต่ยังนำความอัปยศมาสู่ราชวงศ์อีก เพียงแต่เจ้าเคยช่วยข้าไว้ เห็นแก่ที่เจ้าเคยมีบุญคุณต่อข้า ข้าจะให้สองทางเลือกกับเจ้า จะปลงผมบวชชีหรือจะหย่า?" เย่เฟยหลีมองซ่างกวานเยียนอย่างเย็นชา ราวกับกำลังมองวัชพืช ปราศจากความแยแสนางตาโต อ้าปากค้างมองเย่เฟยหลีอย่างพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวนางรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่างกาย และคำพูดของเย่เฟยหลีไม่ต่างไปจากมีดคม ๆ ที่แทงเข้ามาในหัวใจของนาง“เย่เฟยหลี พระองค์จะทำเช่นนี้กับหม่อมฉันไม่ได้! พระองค์ลืมความรักระหว่างเราไปแล้วหรือเพคะ?” เสียงของซ่างกวานเยียนเปลี่ยนน้ำเสียงทำให้มันฟังดูเจ็บปวดยิ่งขึ้น ท่ามกลางห้องโถงท
“ท่านอ๋อง เราจะไปจวนมหาเสนาบดีกันไหมพ่ะย่ะค่ะ?”"ช้าก่อน"เย่เฟยหลีเงยหน้าขึ้นมองตะขอเงินที่แขวนอยู่ แสงที่เล็ดลอดออกมาดูราวกับฉู่เนี่ยนซีผู้แสนเย็นชาและยากจะเข้าใจเมื่อฉู่เนี่ยนซีกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีก็ต้องเผชิญกับการสอบถามจากเสนาบดีฉู่และภรรยา นางบอกเพียงว่าคิดถึงท่านพ่อท่านแม่มากจึงอยากกลับมาอยู่สักสองวันแน่นอนว่าเสนาบดีฉู่และภรรยาไม่ได้ว่าอะไร และให้ฉู่เนี่ยนซีอาศัยอยู่ในห้องเดิมต่อซ่างกวานเยียนเดินโซเซกลับถึงเรือนตัวเอง และเรียกฝูหรงมา สั่งให้นางคิดให้ดีว่าเดือนที่แล้ว มีใครบ้างโดยเฉพาะบุรุษเคยมาที่เรือนของนางฝูหรงคิดอยู่ครู่หนึ่งและทันใดนั้นก็ตระหนักได้ "ลูกพี่ลูกน้องของนายหญิง ซ่างกวานชางเพคะ! บ่าวบังเอิญพบเขาในตอนนั้น แถมยังกล่าวทักทายเขาด้วยเพคะ"ซ่างกวานเยียนสั่งให้ฝูหรงกลับไปก่อน ทั้งร่างกายของนางเย็นชาและโกรธกริ้ว นิ้วของนางที่กำชุดอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงทันทีเรื่องคืนนี้ทำเอาคนนอนไม่หลับในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีที่นอนไม่หลับทั้งคืน นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสั่นเทาของจ้าวม่อเหยียนดังมาจากด้านนอก "น้อง