เวลาดึกขนาดนี้แอบย่องเข้ามาในห้องของผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง แถมยังนั่งลงบนเตียงโดยไม่สนใจใยดีตัวเองมาส่งให้ถึงที่ ในฐานะผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะทั่วไป จะไม่คิดซี้ซั้วได้อย่างไร“เอาเป็นว่าขอโทษที่มารบกวนคุณดึกขนาดนี้แล้ว”อวี๋จื่อเสวียนปรับสีหน้าของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นเธอมองไปทางหลินเฟิง และพูดอย่างจริงจัง:“คุณชื่อหลินเฟิงใช่ไหม? ที่ฉันมาหาคุณดึกขนาดนี้ อันที่จริงเพราะมีเรื่องจะขอร้อง”“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”หลินเฟิงก็ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อย เขาโบกมือพูด: “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร?”“วันนี้ฉันเห็นคุณต่อสู้เก่งมาก คุณบอกฉันได้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร? คุณมีพลังพิเศษบางอย่างเหรอ?”อวี๋จื่อเสวียนสายตาเผยความแปลกประหลาดออกมา“พลังพิเศษบ้าบออะไรกัน...”หลินเฟิงพูดอย่างจนใจ: “ฉันเป็นนักบู๊ นักบู๊ที่ฝึกฝนกำลังภายในและศิลปะการต่อสู้”“ความสามารถของฉันแข็งแกร่งมากพอ อย่าว่าแต่เรื่องในวันนี้ ต่อให้มีคนมากขึ้นอีกหลายร้อยคนฉันก็ไม่แพ้”“ชิ...”อวี๋จื่อเสวียนเบะปาก คิดแค่ว่าหลินเฟิงกำลังคุยโวโอ้อวด เธอพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อถือ: “คุณนี่ขี้โม้จริง ๆ เลยนะ! คุณช่วยเก็บอาการนิสัยแย่ ๆ ของตัวเ
“ฮะ?”อวี๋จื่อเสวียนเกาศีรษะ จากนั้นก็ถามหลินเฟิงว่า: “งั้นคุณช่วยฉันดูหน่อยสิ ถ้าหากฉันเป็นสุดยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศล่ะ?”“อาจจะไม่เยอะมาก”หลินเฟิงส่ายหน้าพูดว่า: “ยื่นมือออกมา”“อ่อ”อวี๋จื่อเสวียนยื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย“ฟังให้ดีนะ ฉันจะปล่อยพลังชี่แท้เข้าสู่ร่างกายของเธอ ถ้าหากเธอสามารถสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของพลังชี่แท้ เช่นนั้นก็หมายความว่าเธอมีใบผ่านในการเข้าสู่ทางบู๊ ไม่อย่างนั้น ความพยายามทุกอย่างก็ไม่มีประโยชน์”หลินเฟิงพูดด้วยความจริงจัง“เดี๋ยวก่อน คำพูดนี้ของนายทำไมถึงไม่น่าเชื่อถือแบบนี้ คุณคงไม่ได้อยากจะเอาเปรียบฉันหรอกนะ?”อวี๋จื่อเสวียนดึงมือกลับทันที และมองหลินเฟิงด้วยใบหน้าระแวงนี่จึงทำให้สีหน้าของหลินเฟิงแข็งทื่อทันที“เธอไม่อยากเรียนก็ช่างเถอะ”หลินเฟิงก็กลัดกลุ้มใจ ในหัวของเด็กคนนี้หุนหันพลันแล่นคิดแต่เรื่องอะไรน่ะ ดึก ๆ ดื่น ๆ เขาไม่มีอารมณ์มาเล่นกับยัยเด็กคนนี้หรอก“เอ่อ...”เห็นสีหน้าจนใจของหลินเฟิง ความสงสัยในสายตาของอวี๋จื่อเสวียนก็ค่อย ๆ หายไป เธอยื่นมือออกมาช้า ๆ แล้วพูดว่า: “เอาล่ะเอาล่ะ ฉันล้อเล่น”“ตาลุงอย่างคุณ ทำไมถึงทนต่อการล้อ
ตราประทับบู๊นี้แข็งแรงเป็นอย่างมาก แม้แต่หลินเฟิงก็ไม่สามารถโยกย้ายได้อย่งง่ายดายเพียงแต่ตราประทับนี้ไม่ใช่ของไม่ดีอะไรหลังจากหลินเฟิงตรวจสอบดูก็ได้ข้อสรุปว่า เป็นเพียงแค่ตราประทับป้องกันเท่านั้น ไม่ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายมีข้อเสียเพียงหนึ่งเดียว อาจจะทำให้คนที่มีตราประทับไม่สามารถรวบรวมกำลังภายในภายในจุดตันเถียนได้เพราะว่าเมื่อกำลังภายในปรากฏภายในตัวของเธอ ตราประทับนี้ก็จะทำงาน จากนั้นจะสลายพลังชี่แท้ในทันทีดูท่าเส้นทางนักบู๊ของอวี๋จื่อเสวียนยังไม่เริ่มต้นก็เดินไปจนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เพราะว่าตราประทับบู๊นี้ เธอไม่มีทางกลายเป็นนักบู๊ได้แต่ว่าจุดสำคัญอยู่ที่ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถสร้างตราประทับภายในร่างกายคนได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้แข็งแกร่งแดนแปรภาพขั้นสูงสุดอีกทั้งยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากแท้จริงแล้วอวี๋จื่อเสวียนมีคุณค่าขนาดไหนกัน ถึงได้ทำให้ยอดฝีมือแดนแปรภาพเปลืองแรงสร้างตราประทับให้กับเธอ?อีกทั้งตราประทับนี้ยังไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก หากไม่ระวังจะส่งผลย้อนกลับไปที่เจ้าของ อันตรายอย่างมากหรือว่าเบื้องหลังอวี๋จื่อเสวียนมียอดฝีมืออยู่?และผู้มีฝีมือสูงส่งคนนี้อย่า
หลินเฟิงไม่มีคำพูดที่ไร้สาระใด ๆ“โรงบู๊เลี่ยหยางในเขตเมืองใต้”“รอผม”“อ่อใช่ ท่านหลิน”ในตอนที่หลินเฟิงจะวางสายโทรศัพท์ ตู้ไหวลังเลแล้วพูดว่า: “หัวหน้าแก๊งดูไม่พอใจอย่างมาก คุณจะต้องระวังตัวด้วยนะครับ”“อืม ผมทราบแล้ว”หลินเฟิงล้างหน้าแปรงฟันผ่าน ๆ และออกไปข้างนอก จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่ที่ข้างทาง บอกสถานที่กับโชเฟอร์หัวหน้าแก๊งของแก๊งเลี่ยหยางจะยอมแพ้ ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งที่ตัวเองพยายามมาหลายปีง่าย ๆ ได้อย่างไร?หลินเฟิงไม่รู้สึกแปลกใจอยู่แล้ววันนี้เช้าสายโทรศัพท์ที่ตู้ไหวโทรมา ความเป็นจริงก็คืองานต้อนรับสังหารแขกยิ่งไม่ต้องพูดว่าสถานที่ก็คือโรงบู๊แห่งหนึ่งแค่มองชื่อก็รู้แล้วว่าโรงบู๊นี้จะต้องเป็นหนึ่งในกองทัพของแก๊งเลี่ยหยางอย่างแน่นอนสิบนาทีต่อมา หลินเฟิงก็มาถึงโรงบู๊เลี่ยหยางตู้ไหวที่ขอบตาดำคล้ำแสยะยิ้ม พาคนเข้ามาต้อนรับ“ท่านหลิน คุณจะต้องระวังให้มากนะครับ หัวหน้าแก๊งไม่เพียงเรียกสี่เทพผู้พิทักษ์ใหญ่มา ถึงขั้นที่ยังเรียกผู้แข็งแกร่งแทบทุกคนของแก๊งเลี่ยหยางของพวกผมมาด้วย”หลินเฟิงมองดูตู้ไหวด้วยสีหน้าจริงจัง และหลุดขำเสียงแหบออกมา“ดูท่ารองหัวหน้าตู้อยากจะเลื่
“หึหึ...”เซวียผานเหลือบมองหลินเฟิง จากนั้นแสยะยิ้มพูดว่า: “ตัวเลือกหัวหน้าแก๊งเลี่ยหยาง มีสิทธิ์ให้คนอกคนหนึ่งมาชี้โบ๊ชี้เบ๊ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”“เห็นว่าฉันเซวียผานเป็นคนอ่อนแองั้นเหรอ? เลือกใครมาก็ได้ตามใจชอบก็จะสามารถจัดการได้?”“ตู้ไหว นายอยากเป็นหัวหน้าแก๊งก็ได้! ฉันไม่มีอะไรจะพูด!”เซวียผานจ้องมองหลินเฟิง และพูดด้วยความน่าหวาดกลัว: “แต่นายน่าจะเตรียมตัวรับกับผลที่ไม่สามารถแย่งตำแหน่งหัวหน้าแก๊งไปจากฉันเอาไว้แล้วสินะ?”ได้ยินคำพูดข่มขู่ของเซวียผานแบบนี้ ตู้ไหวหนังหน้ากระตุกเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นหลินเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้า ก็เดินเข้าไปพูดด้วยความมั่นใจ: “เตรียมตัวไว้แน่นอนอยู่แล้ว!”“แต่นายเซวียผาน ก็ควรเตรียมตัวกับจุดจบของนายหลังจากที่เสียตำแหน่งหัวหน้าแก๊งไปแล้วว่าเป็นแบบไหน!“ฮ่าฮ่าฮ่า...เรื่องนั้นไม่รบกวนให้นายเป็นกังวลแล้ว!”เซวียผานพูดยิ้มเยาะ: “เพราะว่าวันนี้ นายพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”สี่เทพผู้พิทักษ์ก็คือที่มาความมั่นใจของเซวียผานสี่คนนี้คือยอดฝีมือที่แก๊งเลี่ยหยางของพวกเขาทุ่มเทแรงใจอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่ละคนเป็นยอดฝีมือเซียนเทียน วิชากังฟูทั้งตัวสา
หลินเฟิงมองไปทางตู้ไหว และแปลกใจว่าทำไมสีหน้าของเขาถึงเป็นแบบนี้ส่วนตู้ไหวก็ขยับไปข้างหูของหลินเฟิงและพูดเสียงเบา: “ท่านหลิน มีบางเรื่องที่คุณน่าจะไม่รู้ จีอวิ๋นเจี๋ยเป็นคนของตระกูลจีแห่งเมืองจิง เป็นคุณชายรองของสายเลือดโดยตรงของตระกูลจี และก็เป็นคนที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเซวียผาน!”“ตระกูลจี เก่งมากเหรอ?”เมื่อได้ยินว่าหลินเฟิงถามออกมาแบบนี้ ตู้ไหวก็เผยสายตาที่จนปัญญาออกมาในทันที และพูดว่า:“ตระกูลจีอยู่รองจากแค่สี่ตระกูลใหญ่ของเมืองจิง เป็นเพราะการเสื่อมลงของตระกูลหลิน ช่วงนี้ตระกูลจีกำลังพยายามที่จะแทนที่ตำแหน่งของตระกูลหลิน”“อ่อ...ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”หลินเฟิงลูบคาง และเผยสีหน้าเข้าใจออกมาทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นว่า ในตอนนี้เซวียผานพาขนขยับเข้าไปใกล้ ๆ ตั้งนานแล้ว และยิ้มพูด: “หึหึ คิดไม่ถึงว่าคุณชายจีจะมาด้วยตัวเอง เซวียผานรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก”ขณะพูด เขาเหลือบตามองใบหน้าของตู้ไหวเมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวของตู้ไหว เขาก็เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมามีจีอวิ๋นเจี๋ยเฝ้าดูอยู่ ใครจะกล้าให้เขาสละตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง?“หึหึ ผมเพียงแค่ได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้ ไม่มีอะไรทำ
เซวียผานเจ้าแผนการสั่งให้ลูกน้องไปเอาเก้าอี้มาสองสามตัวเพื่อให้จีอวิ๋นเจี๋ยและคนอื่น ๆ นั่งลงมีจีอวิ๋นเจี๋ยอยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีใครกล้าให้เขาที่เป็นหัวหน้าแก๊งสละตำแหน่งการมาถึงของจีอวิ๋นเจี๋ย ทำให้สภาพจิตใจของเซวียผานเกิดการเปลี่ยนแปลงเซวียผานเปลี่ยนไปกำเริบเสิบสานขึ้นมาเขาอยากจะแสดงฝีมือต่อหน้าจีอวิ๋นเจี๋ยสักหน่อยเซวียผานพูดด้วยสีหน้าลำพองใจ:“ในเมื่อพ่อหนุ่มคนนี้มีความกล้าขนาดนี้ เช่นนั้นคนของแก๊งเลี่ยหยางของฉันที่อยู่ที่นี่ต่างเป็นพยานได้”“ถ้าหากหมอนี่สามารถเอาชนะสี่เทพผู้พิทักษ์ใต้บัญชาของเราได้ งั้นฉันเซวียผานก็จะสละตำแหน่งหัวหน้าแก๊งของฉันให้ตู้ไหว”ได้ยินคำพูดของเซวียผาน คนของแก๊งเลี่ยหยางที่อยู่รอบ ๆ พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง“หึ”หลินเฟิงรับกับเสียงเยาะหยันและทอดถอนใจที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวทีประลองของโรงฝึกบู๊ช้า ๆ และบิดคอของตัวเองไปมา“พวกคุณสี่คนขึ้นไปเถอะ จำเอาไว้นะ จะต้องสู้อย่างน่าเกรงขามต่อหน้าคุณชายจี!”“ถ้าหากแพ้ ก็อย่าโทษที่ผมโกรธจนไม่ยอมรับความสัมพันธ์!”ก่อนที่จะขึ้นเวที เซวียผานพูดสั่งสี่เทพผู้พิทักษ์“ครับ!”ชายหัวล้านที่ร่างกาย
แต่พวกเขาก็พูดไว้ไม่ผิดสี่เทพผู้พิทักษ์นี้มีชื่อเสียงอย่างมาก หลินเฟิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้จริง ๆ เหรอ?”เรื่องมาจนถึงตอนนี้แล้ว ตู้ไหวก็ตกอยู่ในในความลังเลอีกครั้งต่อให้หลินเฟิงเอาชนะเซวียผานได้แล้ว แต่มีจีอวิ๋นเจี๋ยนั่งจับตาดูอยู่ตรงนี้ เขาจะชิงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งไปได้อย่างไร?แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว......บนเวทีประลองในตอนนี้ สี่เทพผู้พิทักษ์เผชิญหน้าอยู่กับหลินเฟิงแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของสี่เทพผู้พิทักษ์นี้แฝงไปด้วยความเหยียดหยามนักบู๊ของเมืองจิงพวกเขายังพอรู้จักอยู่บ้าง แต่หน้าตาของหลินเฟิง และก็ชื่อหลินหว่านนี้ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนนั่นก็หมายความว่าเขาเป็นคนต่างถิ่นมาที่เมืองจิงก็ถือว่าเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาพของเมืองจิงนั้นเป็นอย่างไรความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือของเมืองจิง เพียงแค่ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขาสี่คนก็สามารถกระทืบอีกฝ่ายจนเละได้อย่างง่ายดายเห็นอีกฝ่ายอายุน้อยขนาดนี้ คิดว่าวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยากเย็นอะไร“พวกคุณสี่คนเข้ามาพร้อมกันเถอะ”เมื่อเผชิญหน้ากับการเหยียดหยามของสี่เทพผู้พิทักษ์ หลินเฟิงก็ก้าวเดินมาข้าง
เห็นภาพนี้ หลินเฟิงแอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้เด็กโง่คนนี้ เป็นคนที่มีคุณสมบัติเรียนวิชาเวทมนต์จริงๆ เหรอ?“น่าโมโหชะมัด ตาแก่หนังเหนียวสองคนนี้ทำไมถึงได้ไร้ยางอายแบบนี้ ในอนาคตฉันจะต้องขุดหลุมศพของพวกเขา ลากพวกเขาออกมาจากโลงศพและทิ้งไปในบ่อขี้...”ไม่นานนัก ฟ่านหลิงเยว่ที่ท้องว่างสมองกลวงออกจากวัดบนเขาที่ทรุดโทรมกับหลินเฟิงส่วนรถที่หลินเฟิงขับมาถูกชายชราสองคนนั้นขับไปตั้งนานแล้วเมื่อเห็นภาพนี้ ฟ่านหลิงเยว่โมโหจนกระทืบเท้าและด่าทอเสียงดัง คำพูดในภาพทำได้แค่กลั่นกรองถึงจะฟังเข้าหูได้หลินเฟิงก็จนปัญญาอย่างมากทำได้แค่เดินเท้ากลับเข้าไปในตัวเมืองเจิ้งเต๋อด้วยกันกับฟ่านหลิงเยว่เมื่อเดินแบบนี้ก็เดินอยู่ครึ่งวันรอให้พวกเขาไปเห็นโชว์รูมขายรถแห่งหนึ่ง เป็นเพราะการเร่งเดินทางที่มีฝุ่นตลอดทาง ภาพลักษณ์ของทั้งสองคนก็ดูแย่เล็กน้อยตอนนี้ภายในโชว์รูมรถ“ยอดขายในเดือนนี้ หวังลี่ลี่ เธอเป็นที่โหล่อีกแล้ว”ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ภายในห้องกระจกฝ้ามีสีหน้าโกรธเคืองเขายื่นนิ้วออกมา ชี้หน้าพนักงานขายหญิงสาววัยรุ่นคนนั้น และพูดตวาดว่า:“ถ้าเธอแสร้งทำเป็นเย็นชา สงบเสงี่ยม งั้นวันนี้เธอก็
มันชัดเจนอยู่แล้วแม้ว่าฟ่านหลิงเยว่จะสาปแช่งมากแค่ไหน ชายชราหน้ากากเหล็กก็ไม่เปลี่ยนหนทางของตัวเองถ้าจะพูดตรง ๆหลินเฟิงก็รู้สึกสับสนอย่างมากชายชราคนนี้มีพลังมากมายมหาศาล และจากสิ่งที่ฟ่านหลิงเยว่อธิบายไปเมื่อกี้ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักทักษะการทำนายดวงชะตาบางประเภทด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมากหลินเฟิงไม่อยากจะไปล่วงเกินคนประเภทนี้มากที่สุดแม้ว่าหลินเฟิงจะสามารถต่อสู้กับเขาได้ แต่หากเขาไปโจมตีคนรอบตัวของคุณ คุณจะทำอย่างไร?หรือว่าต้องฟังการจัดเตรียมของเขาแล้วอยู่กับฟ่านหลิงเยว่จริง ๆ....หลินเฟิงหันหน้าไปมองฟ่านหลิงเยว่ แล้วหางตาก็กระตุกถึงแม้ว่าฟ่านหลิงเยว่จะสาปแช่งอย่างรุนแรง แต่กลับมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอยู่บนใบหน้าของเธอ“เอ่อ...อาจารย์หลิน คุณดูสิ เรื่องมันก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราก็......”ฟ่านหลิงเยว่มองมาทางหลินเฟิง ราวกับกำลังหยั่งเชิงท่าทางของหลินเฟิงเธอถึงขั้นใจร้อนขึ้นมาเล็กน้อย“หยุด!”หลินเฟิงยื่นมือไปห้ามพร้อมกับพูดว่า :“วางใจเถอะ ฉันจะหาวิธีที่ทำให้คุณปู่ของเธอเลิกความคิดนี้ให้ได้ภายในหนึ่งปี”“ชู่ว”เมื่อได้ยินความคิดเห็นที่ต
“ทำนายผิดงั้นเหรอ? เป็นแบบนี้ได้ยังไง?”“ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าผมยกชีพจรมังกรไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนงั้นเหรอ? คุณลักพาตัวคนของผมแล้วยังหลอกล่อผมให้เข้ามาที่นี่อีก หรือว่ามันก็เพื่อเรื่องนี้งั้นเหรอ?”ความหงุดหงิดปรากฏบนใบหน้าของหลินเฟิง“คนของนายงั้นเหรอ?”ชายชราในหน้ากากเหล็กหัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า :“ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำนักโม่ซวีของฉัน ไปเป็นคนของนายตั้งแต่เมื่อไร?“ผู้อาวุโสสูงสุด คุณอย่าพูดไร้สาระ!”ฟ่านหลิวเยว่ที่ถูกมัดอยู่ข้าง ๆก็ตะโกนขึ้นมาว่า :“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเหรอว่าได้หักหลังสำนักโม่ซวีนะ? และตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่คนของสำนักโม่ซวีของพวกคุณแล้วด้วย!” “เหอะ สำนักโม่ซวีเป็นสถานที่เธออยากเข้าก็เข้า อยากจะออกก็ออกได้งั้นเหรอ?”“จะออก จะออก แบร่!”ฟ่านหลิงเยว่แลบลิ้นล้อเลียนใส่ชายชราหน้ากากเหล็ก“......”ชายชราหน้ากากเหล็กหายใจแรงเล็กน้อย แล้วหลินเฟิงก็ยังมองเห็นหางตาของเขากระตุกขึ้นอย่างชัดเจน“โอ๊ย ผู้อาวุโสสูงสุด คุณไม่ต้องไปโต้เถียงกับสาวน้อยคนนี้หรอก”ฟ่านอู๋จี๋ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นก็มองไปทางหลินเฟิงและพูดขึ้นว่า :“น้องชาย...คนนั้น ไ
“พี่ใหญ่ มีคนมาแล้ว!”อันธพาลที่สวมเสื้อกั๊กมองเห็นรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีดำขับที่เข้ามาหาก็รีบหันกลับมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปในวัดบนเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะไปรายงานพี่ใหญ่ของตัวเอง“เชี่ยเอ้ย! ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ต่อรอง คนนี้มันรวยจริง ๆเลย!”อันธพาลนั้น มีรวม ๆทั้งหมดสิบกว่าคนอีกทั้งในกลุ่มอันธพาลก็ถือว่าไม่ได้มีหน้ามีตามากที่สุดในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ อันธพาลคนนี้จึงมีสีผมหลากหลายมากกว่าลูกน้องของตัวเองที่มีเพียงไม่กี่สี ดูเหมือนว่าอายุก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ และน่าจะมีอายุประมาณเพียงยี่สิบปีกันทั้งหมดหลินเฟิงลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ หัวหน้าแก๊งอันธพาลก็เลยยกไม้เบสบอลโลหะที่อยู่ในมือขึ้นมา แล้วชี้ไปที่หลินเฟิงด้วยความอวดดี ก่อนจะพูดขึ้นว่า :“แกยืนอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องเข้ามา!”“ได้ ได้ ได้”หลินเฟิงยกมือยอมแพ้ พร้อมทั้งลอบมองไปโดยรอบ เพื่อหาชายชราที่สวมหน้ากากเหล็ก“เงินล่ะ?”หัวหน้าแก๊งอันธพาลมองไปทางหลินเฟิงแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น“พี่ใหญ่ บนรถไม่มีอะไรเลย!”อันธพาลรีบพุ่งเข้าไปดูรถที่หลินเฟิงขับมา ก่อนจะพบว่าไม่มีกระเป๋าเอกสารหรือสิ่งที่คล้ายกันอยู่บนรถเลยแม้แต่น้อย“เชี่ย
จ้าวหลิงเยว่ท่าทางทะเล้นเหมือนอย่างเคย“หึ เธอไม่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เจอเรื่องอะไรที่จัดการเองไม่ได้?”หลินเฟิงยังรู้สึกชอบเด็กสาวที่สดใสคนนี้อย่างมาก“อ๊ะ…ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์หลิน”จ้าวหลิงเยว่หัวเราะคิกคัก จากนั้นพูดอย่างมีลับลมคมใน: “คือว่า อาจารย์หลิน ปู่ของฉันตาแก่หนังเหนียวคนนั้นถูกคนจับตัวไปแล้วใช่ไหมล่ะ?”เรียกปู่ของตัวเองว่าตาแก่หนังเหนียว หลินเฟิงฟังแล้วหน้าบึ้งตึง“ฉันได้สืบจากหลายๆ ฝ่ายในที่สุดก็หาจุดที่ปู่ของฉันถูกจับไว้ได้แล้ว”“จากนั้น หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว ฉันก็สร้างแผนอัจฉริยะขึ้นมา สุดท้าย ฉันก็สามารถบุกเข้าไปในค่ายฐานที่คุณปุ่ถูกคุมขังได้!”ได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นของเด็กคนนี้ หลินเฟิงรีบถามขึ้นว่า:“เป็นยังไง? ช่วยปู่ของเธอออกมาได้ไหม?”“ไม่ได้”จ้าวหลิงเยว่กระแอมด้วยความเขินอาย และพูดอย่างมีเหตุมีผล:“ผลปรากฏว่าฉันก็ถูกพวกเขาจับได้”“เธอ…”หลินเฟิงถูกประโยคนี้ของจ้าวหลิงเยว่ทำให้โมโหจนหัวเราะในตอนนี้เอง โทรศัพท์ถูกผู้ชายที่อยู่ข้างๆ แย่งไป ผู้ชายคนนี้พูดจาโผงผาง เห็นได้ชัดว่าเป็นกิริยาของพวกอันธพาล“ฮัลโหล นายก็คืออาจารย์ของเด็ก
หลินเฟิงไม่ได้หยุดอยู่ที่ตระกูลเฝิงนานนักเขาบำรุงรักษาร่างกายให้หยินหลิง จากนั้นนำยาอมตะเลือดราชันย์เกือบทั้งหมดที่มีอยู่บนตัวมอบให้เธอ และกำชับเธอให้รักษาความปลอดภัยจึงได้ออกจากตระกูลเฝิงก่อนจากไป หลินเฟิงไม่เพียงเห็นผู้คุ้มกันสองคนก่อนหน้านี้คุกเข่าเลียนแบบสุนัขเห่าอยู่ที่หน้าประตูแถมยังถูกเฝิงอวี้ที่ฟื้นคืนสติ ค้ำไม้เท้า เดินออกมาส่งด้วยสีหน้าหดหู่“ผมได้ทราบความเป็นไปเป็นมาของเรื่องราวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือความสามารถของหมอเทวดาหลิน ไม่ใช่คนที่ผมเฝิงอวี้อู่จะเทียบได้”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือจิตใจหรือเปล่าหรือเป็นเพราะหมดสติเดือนกว่าๆ จึงทำให้เขาดูขาดชี่และเลือดตอนนี้เขาสีหน้าซีดเซียว ในดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด“คุณเป็นคนแรกที่ผมเฝิงอวี้อู่เลื่อมใสจากใจ จุดนี้ เกรงว่าจอมมารคนนั้นของสำนักหลงผานก็ยังทำไม่ได้”“รอให้บาดแผลหายดี ผมจะต้องไปเยี่ยมเยือนถึงที่ ขอคำชี้แนะจากคุณ”เฝิงอวี้อู่แพ้เป็น และก็ปล่อยวางได้เขาไม่เคยคิดว่าหลินเฟิง ศัตรูที่เขาเคยดูถูกและใส่ร้ายในอดีต จะมาช่วยเขาโดยไม่สนใจความแค้นในอดีตถึงแม้จะเป็นเพราะหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรแ
หลินเฟิงเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน“แต่ว่า....พวกเราหมั้นกันแล้วนะ....นี่ จะไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้หรือเปล่า?”“อุ๊ปส์ พี่หลินเฟิง พี่จะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้วนะ สิ่งที่เด็ก ๆพูดจะถือว่าเป็นการหมั้นหมายก็ได้เหรอ?”“ทำได้แน่นอน ฉันหลินเฟิง พูดคำไหนคำนั้น!”......หลังจากนั้นไม่นาน หลินเฟิงก็ขับรถกลับมาตามเส้นทางเดิมเมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลเฝิงอีกครั้ง เขาก็เอาเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่มาให้กับเฝิงหลีที่ถูกแขวนไว้อย่างอนาถที่หน้าประตูศีรษะของชายชราที่สวมชุดคลุมสีดำเมื่อศีรษะที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น ถูกโยนไปที่หน้าประตูจวนตระกูลเฝิง เฝิงหลีก็ลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวดเขาจ้องศีรษะที่หลินเฟิงโยนเข้ามาด้วยความหวาดกลัว แล้วตะโกนออกมาเสียงดังลั่นว่า :“หลินเฟิง แกต้องตายแน่.....แกต้องตายอย่างแน่นอน!”“แกกล้าฆ่าผู้อาวุโสของสำนักร้อยพิษ หลินเฟิง ใครก็ช่วยแกไม่ได้แล้ว!”“ฉันได้เริ่มใช้งานยาเลือดตะขาบแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน!”“เหอะ...”หลินเฟิงไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยเฝิงหลีก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีเวลาเหลือมากนัก จึงได้สาปแช่งและเยาะเย้ยอย่างบ้าคลั่งส่วนเลือดที่เฝิงหลีบอกมานั้นหลินเฟิ
คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยคนนี้จะจำเรื่องราวที่สำนักเสินฉือได้ด้วยขณะนี้หลินเฟิงที่กำลังขับรถหรูของเฝิงหลีด้วยความรู้สึกเขินอายหยินหลิงที่นั่งเงียบ ๆตรงเบาะผู้โดยสาร ก็เผยรอยยิ้มที่ไม่ใส่ใจออกมา“พี่หลินเฟิง ฉันรู้ว่าพี่ชอบพี่ฮุ่ยหรานกับพี่ถังหว่าน ฉันก็พอมองเรื่องนั้นออก ดังนั้นก็เลยไม่อยากจะรบกวนพวกพี่”หยินหลิงที่กำลังเล่นผมของตัวเองอยู่ที่ตรงที่นั่งข้างคนขับ พร้อมกับพูดเบา ๆว่า :“ฉันก็อยากจะใช้เรื่องของกลุ่มพันธมิตรบู๊มาโดยตลอด เพื่อให้ฉันไม่ว่างคิดอะไรเพ้อเจ้อ แต่ทุกครั้งที่เจอพี่....”หยินหลิงชะงักไปชั่วครู่ และก้มหน้าลงพร้อมกับพึมพำว่า :“มันก็ทำให้สภาพจิตใจที่ฉันจัดการเรียบร้อยแล้วมันยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีก”“พี่หลินเฟิง พี่วางใจเถอะ หลังจากนี้ฉันจะพยายามไม่มาเจอพวกพี่อีกแล้ว พี่ก็ไม่ต้องเก็บฉันไปใส่ใจหรอก...”“แค่จากนี้ไปพี่จะต้องระวังให้มากขึ้นก็เท่านั้น”“กองกำลังภายในประเทศมังกรสลับซับซ้อนอย่างมาก หากก้าวพลาดก็จะตกลงไปในเหวลึก ถึงแม้ตอนนี้พี่จะแข็งแกร่งพอแล้ว แต่หมัดสองหมัดก็ไม่สามารถชนะสี่มือได้...”เมื่อได้ยินหยินหลิงพูดเบา ๆอยู่ด้านข้างในใจของหลินเฟิงก็เกิดความรู้ส
เมื่อพูดคำเหล่านี้ออกมา มันก็ใช้ได้ผลอย่างมากสีหน้าของลูกศิษย์ตระกูลเฝิงทั้งหมดต่างก็แสดงความหวาดกลัวออกมานิสัยของผู้นำ พวกเขารู้ดีที่สุดหากทำให้ผู้นำสามารถพูดแบบนี้ออกมาได้ งั้นก็แสดงว่าความแข็งแกร่งของหลินเฟิงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอนเมื่อนึกถึงการท้าทายแบบเด็ก ๆก่อนหน้านี้ที่พวกเขาล้อมหลินเฟิงเอาไว้ ทั้งยังท้าทายเขา หลาย ๆคนก็ถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว“ไปกันเถอะ พาเฝิงหลีกลับไป”“ครับ”ในที่สุดเหล่าลูกศิษย์ตระกูลเฝิงก็ยอมรับ พวกเขาจึงตระหนักได้ในตอนนี้ว่า หลินเฟิงมีความหมายต่อตระกูลเฝิงของพวกเขามากแค่ไหน......“หยินหลิง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”ลูกศิษย์ตระกูลเฝิงจะคิดยังไง หลินเฟิงก็ไม่ได้สนใจตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสนใจ ก็คือ หยินหลิงเมื่อหยินหลิงเห็นหลินเฟิงหันกลับมา พร้อมกับพูดด้วยท่าทางที่ซับซ้อนเล็กน้อยว่า : “พี่หลินเฟิง ฉันขโมยชีพจรมังกรของพี่หรานฮุ่ยกับพี่ถังหว่านมา พี่ไม่ตำหนิฉันใช่ไหม?”“เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?”หลินเฟิงกอดเธอไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับพูดขึ้นเบา ๆว่า :“สาวน้อยอย่างเธอเอาชีพจรมังกรมาล่อพลังงานให้ฉัน แล้วฉันจะไม่รู้ได