“แต่ข้าก็ช่วยนางเปาและลูกชายไว้ได้ มันคงไม่ยุติธรรมที่พี่หญิงสี่จะไม่พูดเรื่องกับข้า...”ไม่รอให้เซี่ยเชียนฮวันพูดจบ เซียวหมิงหลานก็ร้องหึเบาๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไปเซี่ยเชียนฮวันยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ไม่มีทางเลย หลี่จิ้งหย่าพูดเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับนางมากเกินไปต่อหน้าเซียวหมิงหลาน ซึ่งทำให้เซียวหมิงหลานรู้สึกไม่ประทับใจในตัวนางความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารเปลี่ยนได้ในช่วงเวลาสั้นๆนางไม่สามารถบังคับคนอื่นให้มาชอบนางได้ นางทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ว่านางมีศัตรูเพิ่มอีกคนก็เท่านั้นเซียวเย่หลันยังคงปรึกษาหารือกับฮ่องเต้ในวังหลวง เซี่ยเชียนฮวันจึงไม่ได้รอเขา และกลับไปที่บ้านแม่พร้อมแม่ของนาง พักอยู่ในจวนอันติ้งโหวสักสองสามวัน เพื่ออยู่ห่างจากซูอวี้เออร์ผู้ซึ่งเย่อหยิ่งมากขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ นางจะได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองในช่วงเวลานี้ นางไม่ได้พบกับเซียวเย่หลันอีกเลยเพียงแค่ส่งไปแจ้งให้เขาทราบว่า นางจะพักอยู่ที่บ้านแม่อย่างไรก็ตาม เซียวเย่หลันไม่ได้ตอบกลับบางทีคนส่งสารอาจถูกสกัดกั้นโดยซูอวี้เออร์ หรือบางทีเขาอาจไม่ได้สนใจว่านางอาศัยอยู่ที่ไหนเซี่ยเชียนฮวันรู้
“ใช่แล้ว จ้านอ๋องเป็นคนอุ้มท่านออกไปด้วยมือของเขาเอง”เปาอิ๋งหันพยักหน้าเซี่ยเชียนฮวันจำความรู้สึกได้ว่า มีใครบางคนอุ้มนางขึ้นมาอย่างเลือนลางมือของเขาอบอุ่นมาก แตกต่างจากฝ่ามืออันเย็นเยียบของเซียวเย่หลันอย่างสิ้นเชิง เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ราวกับประคองแก้วมณีที่แตกหักง่ายในตอนแรกเซี่ยเชียนฮวันคิดว่าคนคนนั้นคงเป็นเซี่ยเหยียน หรือเจ้าหน้าที่ศาลจิตใจดีสรุปคือไม่มีวันเป็นเซียวเย่หลันแต่ตอนนี้ เปาอิ๋งหันกลับบอกนางว่า เป็นเซียวเย่หลันที่ช่วยนางออกมาจากสุสาน...ในใจของเซี่ยเชียนฮวันเกิดอารมณ์มากมายขึ้นมา ใบหน้าที่เย็นชาของชายผู้นั้นก็ปราฏขึ้นมาในหัวของนาง และสีหน้าอันดุร้ายของเขา ในขณะที่ฆ่าซืออวี้สวี่สุดท้าย นางก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “บางทีสติสัมปชัญญะของเจ้าอาจจะไม่ได้ชัดเจนนักจึงมองผิดไป ถึงแม้ว่าเซียวเย่หลันจะช่วยข้า แต่เขาจะไม่มีวันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาโดยเด็ดขาด”“เฮ้อ ถ้าพระชายาไม่เชื่อ ข้าน้อยก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าน้อยไม่คิดว่าจ้านอ๋องจะเป็นคนใจร้ายเช่นซือเสียง” เปาอิ๋งหันพูดนอกจากการแสดงออกทางสีหน้าแล้ว อารมณ์ของตัวบุคคลนั้น ยังสามารถเห็นได้จากพฤติกรรมขอ
“เจ้าเป็นใคร?”เซี่ยเชียนฮวันหันหน้ามาสังเกตคนที่เรียกนางเอาไว้สาวใช้ที่แปลกหน้าคนหนึ่งสวมใส่แต่งตัวได้วิจิตรตระการตามาก ไม่ค่อยเหมือนว่าเป็นคนใช้ของตระกูลขุนนางเลย แต่ก็ไม่เหมือนว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาเช่นกันด้วยสาวใช้คนนั้นเดินมาที่ด้านหน้าของเซี่ยเชียนฮวัน คารวะอย่างอ่อนช้อยแล้วกล่าวว่า: “คารวะพระชายา บ่าวมีนามว่าซิ่วเซียง เป็นคนที่ปรนนิบัติข้างกายของคุณชายซังฉู่ซวินเซี่ยเชียนฮวันตะลึงงันที่แท้เป็นคนของอุทยานหลีนางไม่ได้คิดอะไรไปมาก ก็เลยปฏิเสธคำเชื้อเชิญออกมาตรงๆ “ข้าไม่ได้มีความสนิทสนมกับคุณชายซังเป็นการส่วนตัว พบกันโดยไม่มีเหตุผลใดๆก็เหมือนว่าจะไม่สมเหตุสมผล หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าจะไม่น่าฟังต่อชื่อเสียงของพวกเราได้ ชั่งมันจะดีกว่าเถอะ”สาวใช้ชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนฮวันจะปฏิเสธออกมาอย่างสิ้นเชิงนั่นเป็นถึงซังฉู่ซวินเชียวนะ......บุคคลที่โดดเด่นอันดับหนึ่งแห่งเจียงเป่ย มีคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์มากแค่ไหนที่ร้องขอก็ยังไม่ได้มาด้วยตาปริบๆเลยนะเซี่ยเชียนฮวันปฏิเสธเสร็จก็จากไปเลยนางจำได้ว่าองค์ชายห้าเซียวจ้านเคยเตือนนางที่สวนบ๊วยมาก่อน ซังฉู่ซว
“เจ้ามีเรื่องขอร้องข้า?”เซี่ยเชียนฮวันเลิกคิ้วซังฉู่ซวินพักหน้าไปมา “หากพระชายายินดีที่จะช่วย ปลอกมีดพวกนี้ก็จะเป็นสิ่งตอบแทน พระชายาคิดเห็นอย่างไร”“งั้นเจ้าต้องบอกเรื่องที่ต้องการจะไหว้วานให้ชัดเจนก่อน ข้าจึงจะทราบว่าจะช่วยได้หรือไม่”แน่นอนว่าเซี่ยเชียนฮวันก็คงจะไม่รับปากอย่างโง่เขลาหรอกซังฉู่ซวินหัวเราะขึ้นมาครู่หนึ่ง “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พระชายาก็ทราบดีว่าข้าเป็นเพียงแค่คนแสดงละครคนหนึ่ง พวกคนสูงศักดิ์ชอบฟัง ข้าก็เลยมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดปรานจากฝ่าบาท อีกสองสามวันก็ยังต้องเข้าวังไปแสดงลูกคอให้ฝ่าบาทรับฟังอีก”คำพูดนี้ฟังไปแล้วไม่ว่ามากหรือน้อยก็ค่อนข้างอวดอยู่บ้างแต่ซังฉู่ซวินพูดได้ธรรมดามาก ราวกับว่าก็ไม่ได้เห็นแก่ชื่อเสียงเลยหัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังเผยให้เห็นความกลัดกลุ้มจางๆออกมาด้วย “ประมาณว่าหลายวันนี้ร้องมากติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ข้ารู้สึกว่าสภาวะของเสียงนับวันจะยิ่งแย่ หากถึงตอนนั้นเอ่ยปากไม่ออกต่อหน้าฝ่าบาท ก็ไม่เท่ากับว่าจะยั่วความซวยเข้าตัวหรอกหรือ?”“ได้ยินว่าพระชายาวิชาแพทย์เกินคน วันนี้ข้าก็บากหน้ามา
หลังจากเขียนใบสั่งยาเสร็จ เซี่ยเชียนฮวันก็หยิบปอกมีด 2-3 อันเป็นค่าตอบแทนไป แล้วรีบออกไปนางไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เป็นวิชาสะกดจิตหรือเปล่าแม้ว่าจะเป็นการสะกดจิต อย่างน้อยก็น่าจะมีภาษาในการชักจูง ชี้นำทางจิตใจ ทำไมเพียงแค่ผ่านการสบตาก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดการสะกดจิตขึ้นมาได้?งั้นก็น่าอัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ!เซี่ยเชียนฮวันคิดไม่ตกเลย นางเพียงแต่รู้ว่าที่เซียวจ้านพูดเป็นเรื่องที่ถูก ดีที่สุดอย่าได้เข้าใกล้ตัวละครแซ่ซังผู้นี้มากเกินไป!ในตอนนี้เองซังฉู่ซวินยืนอยู่ด้านหน้ารั้วบันได มองตามเซี่ยเชียนฮวันที่เดินทะลุถนนใหญ่ไป มุมปากยกขึ้นมาจางๆ “ซิ่วเซียง เจ้าเอาสำรับยาใบนี้ไปซื้อยาที่ร้านขายยา”สาวใช้เดินขึ้นมาด้านหน้า หลังจากรับเอาใบตำรับยาไปแล้วก็เห็นสีหน้าของซังฉู่ซวิน แต่กลับเผยสีหน้าท่าทางแห่งความประหลาดใจออกมา“คุณชาย เมื่อครู่ท่านได้ใช้วิชาสะกดจิตกับพระชายาจ้านอ๋องแล้วงั้นหรือ?”อาทิตย์อัสดงสาดส่องมาบนใบหน้าที่หล่อเหลาของซังฉู่ซวิน ส่องออกมาเป็นสีรูม่านตาของเขาที่บางเบามาก ราวกับจอมมารก็ไม่ปานเขาค่อนข้างมีความสนใจขึ้นมา “ใช้ไปแล้ว”“น่าแปลก ในเมื่อท่านใช้วิชาสะกดจิตกับนางแล
“แม้ว่าเซียวเย่หลันจะไม่ได้เรื่อง ก็ไม่ใช่สิทธิ์ของชายเทียมที่แม้แต่ใบหน้าก็ไม่กล้าเผยออกมาให้เห็น!”เซี่ยเชียนฮวันออกแรงถีบไปหนึ่งที!ชายคลุมหน้ารีบปล่อยนางออกแล้วถอยหลังไปทันที หลบกาณโจมตีที่เอาชีวิตนี้ไปได้เชาส่ายศีรษะไปมา “เสี่ยวฮวันวฮวัน จ้ายังไม่เคยลองดูเลย ทำไมถึงได้รู้ว่าข้าไม่เหมาะสมกับเจ้า”“หึ ข้าชอบผู้ชายที่สง่าผ่าเผย”เซี่ยเชียนฮวันหลังพิงกำแพงเอาไว้ ค่อยๆเคลื่อนตัวไปทางด้านทางแยกช้าๆชายคลุมหน้ากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างลึกซึ้งว่า: “ไม่เป็นไร ต้องมีสักวันที่เจ้าจะสามารถเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของข้าได้ ถึงตอนนั้นเซียวเย่หลันก็คงจะไม่คู่ควรกับเจ้าแล้ว”“คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอะไร”เซี่ยเชียนฮวันขมวดคิ้วจู่ๆนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายคลุมหน้าเคยกล่าวเอาไว้ว่าทุกคนที่เหยียดหยามราชวงศ์ ต่างก็เป็นศัตรูของเขาทั้งนั้น!คำพูดนี้สามารถมีสองนัยได้อย่างแรกเขาต้องการจะเข้ายึดครองตำแหน่งอย่างที่สอง เขาเป็นคนของฝ่าบาท ช่วยฮ่องเต้ที่มากความสงสัยท่านนั้นขจัดอุปสรรคให้เกลี้ยงอยู่ในที่ลับเมื่อมองจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว อย่างแรกกับอย่างหลังมีความเป็นไปได้พอสมควรฮ่องเต้ฉีอู่ท
"เพราะเหตุใด?"เซี่ยเชียนฮวันจ้องเขาตาเขม็งเอะอะทำสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งนี้ก็ไม่ได้ เขาจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว!เซียวเย่หลันเดินตรงเข้ามาสองก้าว เขากระซิบขึ้นว่า "เจ้ากลับไปบ้างเป็นครั้งคราข้าไม่ว่า แต่บัดนี้เจ้ากลับไปอาศัยอยู่เนิ่นนานหลายวัน หากคนนอกรู้เข้า คงคิดว่าข้าให้เจ้ากินเจ้าอยู่ไม่ดีพอ""อ้อ ใช่ๆ ๆ เจ้าให้ข้ากินอยู่อย่างดี เพียงแต่ของดีทุกอย่างล้วนต้องส่งไปที่เรือนจิ่นซิ่วก่อน รอเมื่อพระชายารองซูเลือกเรียบร้อยแล้ว จึงจะตกถึงมือข้าที่เป็นพระชายาหลวง”เซี่ยเชียนฮวันหัวเราะเยาะเย้ยเซียวเย่หลันชะงักลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเผยถึงความเหนื่อยหน่าย "เจ้ามาจากตระกูลของไทเฮา ทั้งเป็นบุตรสาวของท่านโหวเจ้าได้กินดีอยู่ดีมาตั้งแต่เล็ก ชื่อเล่นนางร้ายไม่เหมือนกันกับเจ้า...""เจ้าคิดว่านางอ่อนแอบอบบาง ดังนั้นข้าจึงควรสละให้นางทุกอย่างหรือ?"ตรรกะที่ว่าใครอ่อนแอกว่าก็ควรได้รับ เซี่ยเชียนฮวันไม่อาจเข้าใจได้!อีกอย่าง ในตอนนั้นนางร้ายเป็นยอดคณิกาแห่งเมืองหลวง นางใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งท่ามกลางแก้วแหวนเงินทองมาเช่นกันอีกอย่างด้วยนิสัยไม่รับสินบนของเซียวเย่หลัน คาดว่าแม้แต่ของขวัญที่ขุนนางและเ
"ไม่มีอะไร หาใช่ของสำคัญ"ใบหน้าของเซี่ยเชียนฮวันแดงเรื่อสถานการณ์ซึ่งนางทะเลาะเบาะแว้งกับเซียวเย่หลันอยู่ตอนนี้ แน่นอนนางคงไม่กล้าเอ่ยว่าฝักดาบเล่มนั้นนางตั้งใจเสาะหาเพื่อมอบให้เขาเป็นของขวัญโชคดีที่รอบข้างค่อนข้างมืดไม่มีแสงไฟ เขาน่าจะมองได้ไม่ชัดเจนทันใดนั้นเอง เย่ซิ่นก็จูงรถม้าเดินตรงเข้ามา นางจึงรีบเอ่ยขึ้น "ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้ากลับไปนักหนา เช่นนั้นก็รีบขึ้นรถม้ากันเถิด"เซียวเย่หลันหรี่ตาลงด้วยความเย็นชา แฝงไปด้วยความสงสัยแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากพูด ได้แต่อุ้มเซี่ยเชียนฮวันเข้าไปในรถม้าจากนั้นเขาเดินลงมาหยิบสิ่งของที่หญิงสาวทำร่วงหล่นลงพื้นเมื่อครู่เป็นฝักดาบหรือนี่?แววตาแห่งความสงสัยของเซียวเย่หลันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณนางไม่เป็นวิทยายุทธ์ เหตุใดจึงต้องมีของสิ่งนี้ติดตัว?น่าสงสัยเหลือเกิน!เซียวเย่หลันหยิบฝักดาบเล่มนั้นขึ้นมาดมใต้จมูก ก่อนที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจะดูมืดมนลง แววตาเยือกเย็นไร้ความรู้สึกเขาสะบัดชายชุดก้าวขึ้นรถม้าแล้วนั่งข้างกายเซี่ยเชียนฮวัน หยิบฝักดาบในมือขึ้นมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า "นี่คืออะไร?""แค่กๆ ...เจ้ามีตาก็ดูเอาเองสิ เหตุใดต