EP.16
(Well Part)
หลายชั่วโมงก่อน ผมเดินสวนกับเธอตรงหน้าลิฟท์ของคอนโด แม้เธอจะแต่งตัวมิดชิดสวมฮู้ดดำคลุมหัว สวมแมสปิดหน้า เห็นเพียงแค่ดวงตา ผมก็จำได้ว่าเป็นเธอ
แจนดูรีบเร่ง และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมองผมอย่างเห็นได้ชัด ตอนแรกผมกะตั้งใจจะรั้งเธอสักหน่อย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ทำเพราะก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แล้วมีสิทธิ์อะไรที่จะไปถามเธอแบบนั้น ในเมื่อเธอเลี่ยงที่จะไม่ให้ผมทัก ผมก็ทำเป็นไม่เห็นเธอแล้วกัน ปล่อยผ่านกลับห้องตัวเองเพื่อพักผ่อน หลังกลับจากโรงพยาบาล
22.00น.
ผมนอนไปนานอยู่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่ตะวันตกดินจนตอนนี้ค่ำมืดแสงจันทร์สาดเข้ามาในห้องที่มืดมิด ความเหนื่อยทำให้ผมหลับสนิท แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้รับสายทางไลน์จากเพื่อนผม ที่วันนี้ก่อนออกจากโรงพยาบาลมันบอกผมด้วยใบหน้าอารมณ์ดีว่าจะไปเดทกับน้องมีนของมัน เห็นว่าน้องเขางอนที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันหรือคุยกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แปลก พวกผมงานทั้งในมหาลัย และโรงพยาบาลยุ่งกันมากจริงๆ ชนิดที่เวลากินข้าว หรือแม้แต่เล่นเกมในมือถือยังไม่มีเวลาด้วยซ้ำ นี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่พวกผมและเพื่อนเรียนหมอหลายคนโสดกันซะส่วนใหญ่ หรือถ้าคนที่มีแฟนก็มักจะมีปัญหาจุกจิกตามมาไม่น้อย
(ไอ้เวลล์ น้องมีนฝากมึงไปดูน้องแจนให้หน่อยว่ากลับคอนโดรึยัง)
“ทำไมไม่ให้น้องเขาโทรหากันเอง คนจะนอน”
(น้องเขาไม่รับสาย)
“เดี๋ยวก็มาแหละ” ผมตอบไปแบบนั้นเพราะผมคิดว่าการที่เจอเธอแต่งตัวมิดชิดอย่างกับโจรก็ไม่ปาน เธอคงไม่ออกไปดื่มจนดึกดื่นที่ไหนหรอก อีกอย่างผมง่วงผมอยากนอนมันไม่ใช่เรื่องของผมสักนิด
(มึงเอาอะไรมามั่นใจ)
“ก็เดินสวนกันตอนเย็น น้องเขาใส่ชุดมิดชิดเห็นแต่ลูกตาขนาดนั้นคงไม่ออกไปดื่มที่คลับไหนหรอก” สิ้นคำผมได้ยินคำสนทนาระหว่างไอ้แม็กกับน้องมีนปลายสาย
(มีน ไอ้เวลล์บอกว่าไม่ต้องห่วงหรอกครับน้องแจนแต่งตัวมิดชิดเห็นแต่ลูกตาแต่งไงก็คงไม่ใช่ไปเที่ยว / ชุดคลุมทั้งตัวสินะคะ โอเคมีนเข้าใจแล้ว พี่บอกพี่เวลล์นอนต่อได้เลยค่ะ มีนรู้แล้วว่ายัยแจนไปไหน วันนี้มันคงกลับดึกจริง คงออกไปทำธุระ) หลังการสนทนาระหว่างสองคนนี้จบ ไอ้แม็กก็หันมาคุยกับผมต่อ (ไอ้เวลล์มึงคงได้ยินที่น้องมีนพูดแล้วสินะ มึงนอนต่อได้เลย ไม่กวนมึงล่ะ บาย)
“เดี๋ยว!!”
(ตู้ด.....ตู้ด....)
ไอ้แม็กวางสายผมไปโดยที่ผมยังถามไม่หมดเลยด้วยซ้ำ ผมแค่อยากรู้ต่อว่าเธอไปไหนหากน้องมีนรู้แล้ว แต่ช่างเถอะมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม
ผมล้มตัวนอนลงนอนอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับข่มตานอนไม่ได้ มันคาใจกับการสนทนาที่น้องมีนพูดกับไอ้แม็ก ราวกับน้องมีนรู้ดีว่าการที่แจนแต่งตัวแบบนั้นออกไปทำธุระบางอย่างราวกับเป็นเรื่องปกติของเธอ และเธอคงทำแบบนั้นบ่อยครั้ง มันน่าสงสัยไหมล่ะ แต่งตัวแบบนั้นออกไปทำธุระ มองยังไงก็เหมือนพวกมีลับลมคมนัย คงไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีขาดเงินใช้จนไปเป็นโจรนะนั่น
ผมนอนต่อไม่ได้ล่ะ ลุกขึ้นเดินไปมาสักระยะ พลางถามตัวเองว่าจะลงไปดูดีไหมว่าเธอกับมาหรือยัง แต่ผมจะไปถามในฐานะอะไร ถ้าในฐานะรุ่นพี่ก็ดูจะเกินหน้าที่ไปหน่อย จะบอกว่าผมคิดอะไรกับเธอ ตอนนี้ผมว่าผมยังไม่ได้คิดอะไรกับเธอขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่วงนี้เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมค่อนข้างสนใจ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มันพูดยาก จะว่าแฟนก็ไม่ใช่ แต่ดันมีความรู้สึกต่อกันแรงกล้า มากกว่าคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องแน่นอน หรือคำว่าคู่นอน ผมก็มองว่ามันมากกว่านั้น เพราะหลังจากคืนแรกของผมกับเธอ ผมก็ไม่เคยคิดจะมีสัมพันธ์กับผู้หญิงไหนอีกเลย ผมว่าผมเสพติดร่างกายของเธออย่างจังแล้วล่ะ แต่มันสถานะอะไรนั้นก็ช่างมันแล้วกันเพราะสุดท้าย ทั้งเธอและผมต่างก็ทิ้ง คำว่า ‘กฎ’ ไว้คั่นกลางระหว่างความสัมพันธ์ที่ห้ามล้ำเส้นกันอยู่
23.00 น.
ผมตัดสินใจลงไปรอที่ประตูหน้าห้องของแจน ผมรออยู่พักใหญ่เลยล่ะแต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าแจนจะกลับมาสักที จนผมตัดสินใจโทรไลน์หาไอ้แม็กเผื่อ น้องมีนยังคงอยู่กับมัน
“....”
(โทรมาแล้วไม่พูดล่ะครับ คุณเวลล์ มีไรครับ) เสียงไอ้แม็กอันกวนประสาท ถ้าไม่จำเป็นผมไม่อยากจะโทรหามันเท่าไหร่ เพราะบางทีก็กวนตีนจนน่ารำคาญ
“น้องมีนกลับยัง”
(เดี๋ยว! ทำไมมึงมาถามหาคนคุยกูล่ะครับ อย่าบอกนะว่า...)
“ไร้สาระ” ผมตอบตัดจบแบบดื้อๆ ถึงจะรู้ว่ามันแค่พูดกวนไปงั้น
(แล้วสาระที่มึงโทรหาคืออะไร)
“ถามน้องมีนให้หน่อยว่าติดต่อแจนได้ยัง พอดีกูลงมาดูแล้วน้องเขาก็ยังไม่กลับมา”
(ถามทำไม น้องมีนก็บอกมึงไปแล้วว่าเดี๋ยวน้องเขาก็กลับ แต่...มึงสนใจน้องเขาด้วยเหรอ)
“....”
(เงียบแบบนี้ หรือว่า...)
“พูดมาก ...” ผมสถบใส่คนปลายสาย “แค่นี้แหละ”
(อ้าว เดี๋ยวมึงกลับมาคุยกับกูก่อน)
“ตู้ด... ตู้ด...” ผมวางสายทันทีเพราะไม่ต้องการคำตอบใดๆ แล้ว ตอนนี้คนที่ผมกำลังรออยู่กำลังเดินออกมาจากลิฟท์ เธอเอาแต่ก้มหน้าเดินเซไปเซมาเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ผมถึงกลับต้องคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเธอไปทำอะไรมากันแน่ เป็นเพราะชุดของเธอมีเขม่าดินปืนอยู่ แม้จะไม่มาก แต่ผมก็ดูออกว่ามันคือสิ่งนั้นจริงๆ
ผมจับแขนเธอ แต่เซนส์ของเธอเร็วมาก เพียงผมจับแขนเธอในขณะที่เธอเอาแต่ก้มหน้าเดินเธอกับพลิกข้อมือผมพร้อมจะตวัดขาเตะผมทันที ดีที่เธอมองหน้าผมทันทำให้เธอหยุดชะงักกลางคันก่อนที่หน้าแข้งของเธอจะฟาดลงมาที่ก้านคอผม และนี่ก็ทำให้ผมรู้ว่า แจนมี ‘ศิลปการต่อสู้’ ที่ดูชำนาญไม่น้อย
ผมเอ่ยถามเรื่องเขม่าดินปืน แต่เธอตอบว่าเป็นเพียงแป้งฝุ่น แป้งฝุ่นเหี้ยอะไรครับ ผมไม่ได้โง่จนแยกไม่ออก คำตอบของเธอทำให้ผมหงุดหงิด เธอมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติได้ไง เธอไปทำอะไรมาถึงมองว่าเขม่าดินปืนบนเสื้อไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญ หรือจริงๆ เธอกำลังสั่นกลัว แต่ไม่กล้าบอกผมกันแน่
ใครๆ ก็รู้ว่าเมืองนี้เมืองเถื่อน หากต้องพบกลับอันตรายในช่วงค่ำคืนนั้นมีให้เห็นบ่อยครั้ง ในอดีตผมเองก็เคยพบเจอเข้าอย่างจังเหมือนกัน ดังนั้นตั้งแต่นั้นมาผมใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังตลอด ยุคนี้มาเฟียครองเมือง อิทธิพลของพวกมันนั้นมากเสียจนตำรวจยังตกเป็นเบี้ยล่างไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ นั่นคือเหตุผลที่ผมเกลียด ‘มาเฟีย’ เข้าไส้
แค่มองดูภาพรวม ผมก็เป็นห่วงเธอ แต่เธอก็มักจะตอบปัดออกมาเสมอว่าผมกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน ย้ำอยู่คำนี้แหละจนน่ารำคาญ เป็นใคร ใครมาเห็นว่ามีเขม่าดินปืนติดตัวก็ต้องวิตกสงสัยอยู่แล้วรึเปล่า และยิ่งเป็นคนรู้จักกันการถามไถ่มันก็เป็นเรื่องสมควรที่จะเอ่ยรึเปล่า
ผมถามด้วยความเป็นห่วงแต่กลับโดนคำแดกดันอยู่นั่น เอาสิ ผมยอมซะที่ไหนแม้ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่คนเคยเอากันมาขนาดนี้ สงสัยต้องรื้อฟื้นกันสักหน่อย อยากรู้จริงเธอจะเก่งได้สักแค่ไหน
ผมเดินกดดันแจน ไม่ต่อปากต่อคำอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าเธอจะเอะอะ โวยวาย ผมก็ไม่ปริปาก คนแบบแจนจะสยบได้ใช้วิธีปกติไม่ได้หรอก
และแน่นอนผม ‘จูบ’ เธอ ดูเหมือนมันได้ผล จากที่ผมเพียงต้องการให้เธอเงียบและคายคำพูดกลับกลายว่าที่ผมกำลังทำดันเป็นความรู้สึกตัวเองซะแบบนั้น และเธอเองก็เช่นกันจากที่ขัดขืนผลักผม ก็ตอบรับจูบผมอย่างง่ายดายเช่นกัน แต่ความสุขมันก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะไอ้มือถือเจ้ากรรมมันดังไม่หยุดหย่อนจนน่ารำคาญ ทำให้ผมชะงัก และแจนก็เหมือนได้สติกัดลิ้นผมพร้อมผลัก เพื่อให้หลุดจากพันธนาการ เธอโวยวายค้อนใส่ผมพักนึง แต่ในหัวผมตอนนี้มีแต่ความหงุดหงิด บางทีก็สงสัยผมแทบไม่เคยหัวร้อนอะไร แต่กับเธอ ผมกลับกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ รุนแรง และหยาบคายซะอย่างนั้น
มือถือก็ยังดังไม่หยุด ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูว่าใครช่างกล้าโทรย้ำมาหลายสิบครั้ง
‘วี’
ชื่อนี้ปรากฏสายที่โทรมาอยู่บนมือถือของผม ผมรับมือถือด้วยความโมโห แต่ก็ไม่นานนักสีหน้าบึงตึงของผมก็แปรเปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดทันที เพราะน้องสาวผมโทรมานั้นกลับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เกี่ยวกับพ่อแม่ของผมถูกพวกอันธพาลทำร้าย ตามที่วีเอ่ยคือสภาพรถยับเยิน ผมต้องรีบกลับแล้ว แต่คนตรงหน้านี่สิ ผมเองยังไม่ได้คำตอบเลย และผมก็คิดว่าคนหัวแข็งอย่างแจนคงไม่บอกความจริงกับผมแน่ ๆ ดังนั้นผมจึงทิ้งเรื่องของเธอไปก่อน ได้แต่มองหน้าเธออีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินออกมาเพื่อกลับบ้านผมทันที โดยไม่ได้เอ่ยอะไรกับเธอเลย
ทำไมเหรอ หรือ หมอเวลล์สนใจน้องแล้วนาาาา
EP.17(Well Part)‘บรืน....’ผมขับรถด้วยความเร็วสูง ตัวผมไม่สามารถทำใจสงบนิ่งได้จริงๆ จากที่ผมพึ่งจะหงุดหงิดเรื่องแจนจอมปากแข็งมาแล้ว ตอนนี้ต้องมาได้รับข่าวร้ายที่กระทบจิตใจผมอย่างจัง เมื่อพ่อแม่ผมนั้น ถูกพวกคนเลวทำร้าย ใครกันช่างกล้าทำร้ายคนของตระกูลผมแสดงว่าพวกมันคงมีอำนาจมากพอควรถึงกล้าลงมือขนาดนี้ หรือจะเป็นพวก ‘มาเฟีย’ แน่นอนว่าถ้าผมรู้ตัวการ ผมไม่ปล่อยพวกมันได้แน่ผมอยากกลับไปเจอพวกท่านเร็วๆ การที่วีโทรหาผมเอ่ยว่าสภาพรถยับเยินมากขนาดนั้น แต่พ่อแม่กลับไม่ได้อยู่โรงพยาบาล นั่นแสดงว่าพวกท่านยังคงปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต แม้จะโล่งใจไปหน่อย แต่ก็ยังชะล่าใจไม่ได้เมื่อผมขับรถมาถึงคฤหาสน์ บ้านตระกูลของผม และจอดเทียบโรงจอดรถแล้วนั้น รถคันหนึ่งที่คาดว่าพวกท่านขับในคืนวันนี้ สภาพบุบไปทั่วทั้งคันรถ กระจกรถรุ่นพิเศษที่หนาขนาดนั้นถึงกลับมีรอยแตกร้าวได้ ทำเอาตาผมเบิกโพรงไอ้พวกที่ทำกะเอาพ่อแม่ผมตายเลยสินะ ร่างกายจากที่พอสงบนิ่งได้บ้าง กลับกลายเป็นสั่นเทาด้วยความโกรธใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรก็ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้อีกต่อไป สองเท้าวิ่งเข้าตัวบ้านอย่างไม่รอรี“พ่อครับ แม่ครับ” ผมเรียก
สองวันผ่านมา (เช้าวันใหม่)อากาศสดใส สองวันที่ผ่านมานอนหลับเต็มอิ่มสุดๆ หรือเป็นเพราะได้รับ ‘จูบ’ จากพี่เขา ก็เลยพาลลืมเรื่องทุกอย่างที่ปวดหัวไปหมดเดี๋ยวนะ นี่ฉันคิดอะไรอยู่ ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าโถงทางเดินแม่จะจูบสูบวิญญาณคืนไปแล้วสองวันก่อนนั้น พี่เวลล์เหมือนหมาบ้าจริงๆ เขามานิ่งๆ ไม่พูดจา แต่การกระทำคือจู่โจมสุดๆ ฉันว่าทุกคำที่ฉันพูดเป็นความจริงทั้งนั้นนะ แล้วที่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน มันก็เรื่องจริงไม่ใช่เหรอ เขาเองก็เคยบอกไม่ชอบมีพันธะใด ๆ นี่ไงหลังจบคืนแรกนั้นฉันไม่เคยจะกลับไปตื้อเขาสักกะครั้งหนึ่งตามสัญญาที่พูดไว้ แล้วเขาโมโหอะไร เป็นพี่เขาเองมากกว่าที่เอาแต่ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างฉันแต่ยอมรับเรื่องเดียวที่โกหกก็คือเรื่องเขม่าดินปืน ใครจะไปตอบล่ะ ว่าฉันยิงปืนมาค่ะ ฉันสอยอันธพาลมาค่ะ ฉันเป็นมาเฟียค่ะ งี้เหรอ พูดก็โง่แล้วฉัน โมโหไปเถอะจะมาเค้นจนบีบคอก็ไม่ตอบหรอกณ. มหาวิทยาลัย(ห้องเรียนของฉัน)หลังคาบเรียนที่แสนสาหัสจบ เราจับกลุ่มกันทำโปรเจคยักษ์ใหญ่ของกลุ่มกันจนหัวหมุน กว่าจะคุยกันเสร็จก็ปาไปสองชั่วโมงเต็มๆตอนนี้เหลือเพียงฉันกับพลอย(เพื่อนวิศวะห้องเดียวกัน) ที่ยังนั่งคุยสัพเพเ
ฉันกับไอ้นัทเดินไปยังกลุ่มน้อง ๆ ปีหนึ่งเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่นั่งรวมตัวอยู่ใต้ต้นขะจาวข้างสนามบาส เสียงกรี๊ดในสนามยังดังไม่หยุดหย่อน อีกทั้งคนดูบางส่วนก็หันมามองฉันกันเป็นระยะ เอาเถอะมองกันให้พอตอนที่ฉันยังอารมณ์ดี“พี่นัท ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่จะพาพี่แจนมาได้” สาวคนคุยของไอ้นัทเอ่ยพรางยกมือไหว้ฉันอย่างนอบน้อม ทำไมเขาทำเหมือนฉันเป็นคนแก่ขนาดนั้น แต่ไงก็รับไว้ตามมารยาทไว้ก่อนแหละ“นี่น้องอร เอ่อ...” ไอ้นัทพูดติดขัด มันคงเขินแหละ สเปกตัวเล็ก ตาโต แก้มป่อง อย่างที่มันพูดจริงๆ ถือว่าหน้าตาใช้ได้เลย“แฟนพี่นัทค่ะ” น้องอรพูดเสียงดังฟังชัด ฉันหันไปมองไอ้นัท ที่ตอนนี้มันอ้าปากค้างไปแล้ว น้องอรนี่ชัดเจนดีแหะ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นคบใครได้ดีของไอ้นัทมันแล้วล่ะ“พี่ชื่อแจนนะคะ เพื่อนนัท ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”“พวกเรารู้จักพี่ค่ะ พี่แจน” กลุ่มหญิงสาวพูดกันอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูกไปเลย สมองเอาแต่คิดว่า รู้จักฉันเพราะอะไร ชื่อเสีย เอ้ย ชื่อเสียงฉันกระฉ่อนอะไรนะ หน้าตาอย่าง
EP.20“พะ...พี่วะ...” ฉันเกือบจะหลุดปากเรียกชื่อของเขา แต่แล้วฉันก็ต้องงับปากอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันตัวแข็งทื่อ ท่ามกลางคนหมู่มากที่กำลังหันมาจ้องสนใจเป็นจุดเดียวกันทั่วบริเวณ ทุกคนกำลังรัวกล้องมือถือสนั่น ฉันอยากออกจากตรงนี้ แต่มันทำไม่ได้ ผู้คนด้านหลังยิ่งกว่าป้อมปราการหนา แถมยังมีมาสมทบเบียดเสียดเพิ่มเข้ามาเพราะความอยากรู้อยากเห็นกับเหตุการณ์ตรงหน้า ดีนะที่ฉันยังใส่ฮู้ดคลุมอยู่สิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้ตอนนี้คือบอกคนตรงหน้าให้ถอยออกไปได้แล้ว ทำไมพี่เวลล์ถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน เขาที่ปกติแทบนิ่งหนีฝูงคนไม่ต่างจากฉันไม่สนใจสิ่งรอบข้างอะไร ถึงยังยอมยืนให้โดนรัวกล้องอยู่ได้ฉันโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกนิดกระซิบแผ่วเบาให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว“พี่จะยืนตรงนี้อีกนานไหมคะ เดี๋ยวก็เป็นข่าวชามใหญ่กับแจนหรอก”“....” เขายังเงียบ ปากนี่จะขยับให้กันบ้างไม่ได้รึไงนะฉันเงยหน้ามองเขาผ่านดวงตาที่เล็ดลอดออกจากการคลุมฮู้ดเกือบมิดหน้า นี่เขากำลัง ‘ยิ้ม’ งั้นเหรอ ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ“พี่ยิ้มทำไม ฉันหลอนนะ”“กลัวงั้นเหรอ” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ“กลัว? ฉันจะกลัวอะไร”“กลัวเป็นข่าวกับฉัน” เขาพูดด้วยเสียงราบเรียบ
EP.21วันนี้เป็นวันว่างของผมที่ไม่ต้องเข้ามหาลัย ไม่ต้องเข้าวอร์ด แต่ผมก็ยังเลือกที่จะมาใช้เวลาในโรงพยาบาลของผมอยู่ดี ถึงแม้ไอ้อาร์ทจะชวนผมเล่นบาสกระชับมิตรระหว่างสองคณะ แต่ผมก็เลือกที่จะปฏิเสธ ผมไม่ชอบสถานที่คนเยอะและเสียงซุบซิบนินทาเท่าไหร่ อีกอย่างถึงผมไม่ไปการแข่งขันมันก็ดำเนินต่อไปได้อยู่ดีผมเดินเตร็ดเตร่ในโรงพยาบาลดูนั่น ดูนี่ ไปทั่วโรงพยาบาลและรวมไปถึงการจับตาดูใครบางคนที่พ่อสั่งการไว้ แต่ดูเหมือนวันนี้ยังไม่มีอะไรน่าสงสัยแถมเขายังคงตั้งใจทำงานเหมือนอย่างเช่นเคย หากมองผิวเผินและไม่ได้รับรู้ว่าเขาเป็นคนเลวแบบนั้นดูยังไงเขาก็คือ คุณหมอท่านหนึ่งที่มากประสบการณ์และเป็นที่รักของผู้ร่วมงาน จนตอนนี้ผมยังไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นแบบที่พ่อผมสงสัยเลยสักนิดผมอยู่มาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เกือบเที่ยงจึงเลือกที่จะทานอาหารที่โรงพยาบาลที่นี่ไปเลย ก่อนคิดจะกลับคอนโดไปนอนให้ผ่านไปวันๆ แต่แล้วสิ่งที่ขัดความสุขของคนกำลังจะกลับไปนอนนั้น ก็ดังขึ้นมา‘ไอ้อาร์ท’ชื่อของสายที่โทรเข้ามาหาผมได้อย่างประจวบเหมาะเสียจริง“ว่าไง มีธุระอะไร” ผมเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบเช่นเคย(ไอ้เวลล์ มึงทำไรอยู่ มาแข่งบาสดีกว่ามึ
(Well Part)ไม่นานนักผมก็ได้ลงสนาม ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ทำผมเหงื่อไหลด้วยสภาพอากาศ แต่เพราะผมออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว และก็มักเล่นบาสกับเพื่อนบ่อย ๆ ดังนั้นฝีมือบาสของผมเองก็ไม่เป็นสองรองใครแม้ผมจะจดจ่อกันการแข่ง แต่สายตาของผมก็มีแอบชำเลืองไปมองแจนอยู่บ้าง เธอเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่แม้แต่มองการแข่งขันนี้ด้วยซ้ำ พยายามหลบหน้าผม และอยากออกจากตรงนั้นอยู่มากแต่คงเพราะคนดูเยอะเกินไป เธอถึงต้องทนอยู่แบบนั้น ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะหลบหน้าผมในมหาลัยแห่งนี้ได้แค่ไหนกัน‘ฟิ้ว.......’ ลูกบาสที่ถูกโยนจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง แต่เพราะแรงเหวี่ยงมากเกินไป ทำให้มันพุ่งตรงอย่างแรงจนคนอีกฝังรับไม่ทันและกำลังจะพุ่งไปยังคนดูข้างสนาม ตรงนั้นคือ ‘เธอ’ ผมที่อยู่ไม่ไกลมากจึงวิ่งเข้าไปหันหลังขวางอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะโดนเธอ‘ปึก.......’“อึก” แรงลูกบาสกระแทกเข้ากับหลังผมอย่างจัง มันเจ็บจนจุก แต่ยังพออดทนได้ ผมยืนแน่นิ่ง ส่วนเธอที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ เงยหน้ามองผมผ่านดวงตาที่เล็ดลอดออกมาจากฮู้ดที่ปิดเกือบมิด เสียงรัวกล้องดังสนั่นสามร้อยหกสิบองศา และเกิดเสียงซุบซิบนินทาไปทั่ว เธอเริ่มทนไม่ไหว เอ่ยให้ผมถอยอ
EP.23 ฉันที่กำลังโยกกายเคล้าเสียงเพลงเบาๆ บนเก้าอี้บาร์ที่นั่งอยู่ จู่ ๆ ก็มีมือบางวางบนไหล่ของฉัน พอเหลียวไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนเลิฟฉันเองยัยมีนหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้บาร์ข้างๆ ที่ฉันได้จองไว้ พลางถอนหายใจเสียงดัง“เฮ้อ.....เอาเหล้าแก้วหนึ่งค่ะ ของแรงๆ กินแล้วลืมทุกอย่างเลยนะคะ” ยัยมีนหันไปสั่งเหล้ากับบาร์เทนเดอร์ตรงหน้าฉันมองยัยมีนอย่างพิจารณา ใช่แล้ววันนี้มันไม่ปกติ เดิมทีเสียงต้องมาก่อนตัวนินา ทำไมมันถึงดูมืดมนราวกับโดนวิญญาณปกคลุมไปทั่วร่างแบบนี้ เหมือนไม่ใช่ยัยมีนคนที่ฉันรู้จักเลย อาการแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งหรือว่า ความรักมีปัญหาอีกแล้วงั้นเหรอ“เป็นอะไร ทำไมดูเครียดๆ” ฉันหันหน้าถามเพื่อน รอบนี้เป็นห่วงมันจริง“เรื่องมันเศร้าอ่ะ” ยัยมีนพูด พร้อมกับดื่มเหล้าไปสองอึกใหญ่ๆ ดูท่าจะเครียดจริงจัง“กูให้มึงมาเป็นเพื่อน ช่วยให้กูหายเครียด ไหงมึงมาเครียดแทนกูซะงั้นเพื่อนสาว” ฉันหันไปพูดกับเพื่อนที่ทำหน้าซังกะตาย“ก็มัน เฮ้อ.....” ยัยมีนถอนหายใจ ก้มหน้าลง ดูท่าอาการหนักกว่าฉันจริงๆ“ไหนเล่าให้กูฟังสิ” ฉันเอื้อมมือไปเกาะไหล่เพื่อน ก่อนที่มันจะเงยหน้ามองฉัน“ก็เดิม ๆ” เสี
EP.24 ฉันนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ หันหลังให้กับผู้คนในคลับ เบื้องหน้ามีเพียงบาร์เทนเนอร์ที่คุ้นเคยกันดี เขาปล่อยให้ฉันดื่มเงียบๆ ไม่ชวนคุยอะไรอย่างเคย คงเพราะเห็นใบหน้าฉันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดมากมายที่ไม่สามารถเก็บอาการได้ จึงทำได้แค่ชงเหล้าให้ฉันเงียบ ๆ “นี่มันแก้วที่เท่าไหร่แล้วนะ” ฉันพึมพำกับตัวเอง จิบเหล้าไปเรื่อย ๆ อีกมือก็กุมศีรษะเพราะตอนนี้รู้สึกหนักอึ้งไปหมด แต่ยังพอทนยืนได้แต่เซไปมา “ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ” ฉันที่ตอนนี้หัวแทบจะโขกกับเคาน์เตอร์บาร์ก็ค่อยๆ ปรือตามองผู้ชายที่ไม่เคยรู้จัก แน่นอนว่าฉันรู้สึกอยากลองประชดชีวิตดูสักครั้ง ในเมื่อเขาคนนั้นยังปล่อยให้ผู้หญิงมาเกาะแกะ ทำไมฉันจะทำบ้างไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องโมโห ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์หวงเขา แต่แกเข้าใจป่ะ ร่างกายนั่นฉันอยากครอบครองมันคนเดียว มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอยู่ภายในใจ พอเห็นเขามีผู้หญิงอื่นแบบนั้นมันก็เลยพาลโมโหแบบไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น “ดะ....โอ๊ย.....” ฉันยังไม่ทันได้ตอบตกลง กับชายคนนั้นจู่ ๆ ก็มีมือหนามือหนึ่งเข้ามาจับต้นแขนฉันกระชากจนตั
EP.34“พี่เวลล์ นี่มันก็ดึกมากแล้ว กลับกันเถอะค่ะ” ฉันเอ่ยบอกเขาเมื่อเห็นหน้าจอมือถือบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งแล้ว “พรุ่งนี้แจนมีเรียนเช้านะคะ”พี่เวลล์ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเขาก่อนที่จะพยักหน้ารับ แล้วเรียกพนักงานเช็คบิลทันที เขาเดินนำออกไปก่อน ส่วนฉันก็เดินตามหลังเขา เป็นครั้งแรกในชีวิตถ้าไม่นับพ่อของตัวเอง ที่ฉันเดินตามคน ๆ หนึ่ง มองแผ่นหลังของเขา ราวกับตอนนี้ฉันเองได้เป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องบ้าง จากที่ปกติ ฉันมักจะยืนอยู่ข้างหน้าคนอื่นเสมออาจเป็นเพราะฉันเหม่ออยู่ในภวังค์จิตใจล่องลอยพอพี่เวลล์หยุดเดิน ฉันก็เป็นฝ่ายเดินชนหลังเขาอย่างจัง ใบหน้ากระแทกหลังเขา ทำเอาเจ็บไม่น้อย“ขอโทษค่ะ แจนไม่ทันระวัง” ฉันยกมือจับจมูกตัวเองบีบมันเบาๆ ให้หายหน่วง“ระวังด้วยสิ จับมือพี่ไว้” เขาเหลียวมองดูฉัน สายตาเขาไม่ดุสักนิด พร้อมยื่นมือหนาของเขาออกมาตรงหน้าฉัน แน่นอนว่าฉันไม่รอช้ายื่นมือเรียวบางของตัวเองจับมือเขาทันที ฉันรู้สึกได้นะความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในมือข้างนั้นของเขา เขากระชับมือฉันแน่นจากนั้นจึงเดินเคียงข้างกันออกจากร้านอาหารไปยังรถที่จอดอยู่เขาเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่ง ก่อนที่เข
EP.33ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะ ยืนมอง พี่เวลล์ที่นั่งทำท่ากอดอก มองฉันด้วยสายตาดุราวกับผู้ปกครอง เหอะ ปล่อยให้รู้สึกหงุดหงิดบ้างแบบนี้แหละแฟร์ดีจะตายฉันหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ สะบัดความรู้สึกทุกอย่างทิ้งไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ทำไมพี่ยังไม่ทานข้าวละคะ หิวไม่ใช่เหรอ”“รอคน” เขาทำหน้าบึ้งตึง กอดอกมาทางฉันอย่างเห็นได้ชัด ฉันจึงได้แต่ทำหน้ายิ้มเจื่อน“ปวดหนักเข้าห้องน้ำไงคะ ขอโทษทีค่ะ นี่ก็มาแล้วไง ทานกันเถอะ” ฉันรีบนั่ง ตัดบทสนทนา แต่ดูเหมือนพี่เวลล์จะไม่ยอมจบ“โกรธอะไรพี่อีกรึเปล่า หรือเพราะเมื่อกี้” เขามองฉันด้วยสายตาเค้นหาคำตอบบ้าง“จะโกรธพี่ได้ไงละคะ แจนจะมีสิทธิ์อะไรมางอนแบบนั้น ถึงพี่จะดูรูปสาว แจนจะห้ามอะไรได้”“ดูรูปสาว?”“ทานข้าวกันดีกว่าค่ะพี่ อ่ะนี่ น่าอร่อยเนาะ” ฉันตักปลาหมึกทอดกระเทียมให้เขา จากนั้นฉันก็ทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าเอาแต่กินไม่พูดไม่จา เขาตักอะไรให้ฉัน ฉันก็ทานมันทุกคำ ก็เป็นซะแบบนี้โกรธง่ายหายเร็วเพียงเพราะเขาดีต่อฉัน“ร้านนี้อร่อยอย่างที่พี่บอกเลย” ฉันยิ้มพลางตบพุงท่าทางอิ่มแปล้ไร้ซึ่งภาพลักษณ์กุลสตรีใดๆ ส่วนพี่เวลล์ก็ทานไปเยอะเหมือนกัน คงหิวอย่างที่เจ้าตัวพูดจร
EP.32พี่เวลล์พาฉันเข้าไปยังโต๊ะที่จองไว้ เป็นโต๊ะหลบในมุมมีความเป็นส่วนตัว ติดแม่น้ำสายหลักของตัวเมือง สามารถทอดสายตามองตัวเมืองฝั่งตรงข้ามแม่น้ำได้ร้อยแปดสิบองศา บรรยากาศดี ลมโชยเย็นพอเหมาะ อากาศก็บริสุทธิ์ แสงสว่างนวลตา ทำให้รู้สึกได้ถึงความโรแมนติกหน่อย ๆ เลยแหะพี่เวลล์ที่เดินนำมาก่อน เลื่อนเก้าอี้ พลางใช้สายตาบ่งบอกว่าให้ฉันนั่งตรงนั้น ฉันที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก เพราะการได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนพิเศษแบบนี้ มันไม่ผิดไปใช่ไหมถ้าจะคิดเข้าข้างตัวเองไปทั้งแบบนั้นฉันนั่งลงเก้าอี้ที่พี่เวลล์เลื่อนให้ ก่อนที่เขาจะนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับฉัน พอได้เห็นเขาอยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะเท้าคางจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ เขาที่เห็นฉันจ้องจนตาเยิ้ม ก็เท้าคางมองฉันกลับ ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงฟุตประสานกันอย่างช่วยไม่ได้“พี่จะมองฉันอีกนานไหมคะ” ฉันเอ่ย“ใครกันที่มองพี่ก่อน” เขาเอ่ยตอบฉัน “ฮึ.....เอาเถอะ ยอมแล้วค่ะ เป็นแจนเองที่มองพี่ก่อน ก็มันอดมองไม่ได้” ฉันยืดตัว เบือนหน้าทอดสายตามองไปยังแม่น้ำสายหลักที่ผืนน้ำระยิบระยับท่ามกลางแสงไฟสลัว ส่วนเขาก็หันไปสนใจพนักงานร้านที่เดินนำเมนูมาวาง
ณ.คอนโดฉันกับพลอยเดินขึ้นมายังห้องของฉัน แต่แล้วเบื้องหน้ากลับปรากฏชายหนุ่มที่ฉันคุ้นเคยดี จนพลอยเพื่อนฉันต้องสะกิดให้ฉันรู้ตัว“แจน นั่นมันพี่เวลล์นินา เขามารอใครรึเปล่า”“....” ฉันไม่พูดอะไรลากพลอยเดินตรงดิ่งไปที่พี่เวลล์ยืนอยู่ ซึ่งก็คือหน้าประตูห้องฉัน ก่อนจะเปิดประตู แล้วหันไปเอ่ยกับเธอ“พลอยแกเข้าห้องไปก่อน ฉันขอคุยกับพี่เวลล์สักครู่เดี๋ยวตามเข้าไป” พลอยที่เริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ ก็ทำตามอย่างว่าง่าย หันหลังเดินเข้าห้องฉันไป จากนั้นฉันก็เอื้อมมือปิดประตู ค่อย ๆ หันหน้าไปหาพี่เวลล์จากใบหน้าเรียบนิ่งก็คลี่ยิ้มกว้างเป็นอีกคน“พี่เวลล์ มาหาแจนถึงหน้าห้องแบบนี้คิดถึงกันเหรอคะ” ฉันยิ้มมองจะกุมมือพี่เขาแต่เขาดันยกมือหนีพลางกอดอกหันหลังไปพิงกำแพง จ้องมองฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง เอ๊ะฉันว่าฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ“ไปไหนมา” เขาถาม“หลังออกจากมอ ก็ไปส่งพลอยที่บ้าน แล้วก็พาพลอยมาที่คอนโดเนี้ยแหละค่ะ”“พี่โทรหาตั้งหลายสายทำไมไม่รับ”“เอ๊ะ....โทรมาเหรอ แจนไม่ได้ยินนะ” ฉันล้วงกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมา พบว่ามีสายไม่ได้รับ เกือบยี่สิบสาย ใบหน้าฉันยิ้มเจื่อนก่อนจะเงยหน้ามองพี่เขาอย่างรู้สึกผิด “ลืมเปิ
ภายในรถเงียบสงัดพลอยเอาแต่หันมองไปตามข้างทางอย่างเลื่อนลอย เสียงสะอึกยังพอมีให้ได้ยิน ราวกับตอนนี้เธอกำลังข่มความรู้สึกเสียใจอยู่เต็มอก ส่วนฉันขับรถไปตามเส้นทางอย่างไร้จุดหมาย ‘ตู้ด...............ตู้ด..............’ เสียงมือถือของฉันดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ทิมโทรมา ฉันจึงหยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาสวมใส่ด้วยใบหน้าจริงจัง พลอยที่เอาแต่เหม่อมองไปข้างทาง ก็หันมามองฉัน ซึ่งฉันก็ทำได้เพียงยักคิ้วให้ก่อนจะสนใจกับคนปลายสาย “ว่าไงคะ พี่ทิม” (คุณหนูครับ เกิดเรื่องใหญ่ครับ) เสียงพี่ทิมหนักแน่นจริงจัง กว่าปกติ จนทำให้ฉันต้องจอดรถข้างทางเพื่อคุยก่อน “มีเรื่องด่วนอะไรคะ”(เมื่อคืนวาน เกิดเหตุปะทะกัน ของมาเฟียสองกลุ่มอิทธิพลเขตเหนือครับ คนบาดเจ็บล้มตายกันเยอะเลยครับ)“แล้วสถานการณ์ตอนนี้ล่ะ”(ดีขึ้นแล้วครับ แต่เพราะว่าเหตุการณ์รุนแรง ตอนนี้กลุ่มมาเฟียทั้งสองกลุ่มแตกแขนงหลบหนีกันวุ่น เห็นว่าบางส่วน หลบหนีเข้ามาเขตเรา แล้วก็......) ฉันที่มองเห็นว่ายังมีพลอยอยู่ตรงนี้ จึงไม่อยากคุยรายละเอียดมากนักจึงตัดบทการสนทนากับพี่ทิมไป“พี่ทิม เดี๋ยวแจนเข้า
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมทุกคน พลอยไม่ไหวแล้ว” พลอยหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและเหนื่อยล้า ฉันเงยหน้ามองทุกคนในกลุ่มก็พบว่าสีหน้าแต่ล่ะคนไม่ต่างจากพลอยเลย“ก็ดีเหมือนกัน นี่ก็เย็นมากแล้ว พอกันเถอะ” ฉันหันไปพูดกับทุกคน ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยเราทุกคนช่วยกันเก็บเอกสารที่กองเป็นตั้งตรงหน้าก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ตอนนี้เหลือเพียงฉันกับพลอย ที่กำลังออกจากตึกคณะ บรรยากาศภายนอกตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วนะสิ พลอยที่มักจะกลับด้วยรถเมล์ คงไม่มีรถให้ขึ้นแล้วมั้ง“พลอย มันเย็นขนาดนี้แล้ว ให้ฉันไปส่ง” ฉันหันหน้าไปหาพลอยเพื่อนร่วมสาขา“พลอยกลับเองได้”“แต่รถเมล์ที่ผ่านหน้าบ้านแกมันไม่มีแล้วไม่ใช่รึไง” ฉันเอียงคอถามนาง จากที่นางเดินอยู่ก็หยุดชะงัก“จะ..จริงด้วย ลืมเผื่อเวลากลับบ้านเลย ทำไงดี”“ก็นี่ไง ฉันจะไปส่ง ฉันพอมีเวลา” ฉันไม่พูดเฉย ๆ แต่ดึงพลอยโดยไม่ต้องให้นางคิด เอาจริง เราเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมา แม้ไม่ได้สนิทปานจะกลืนกินเหมือนยัยมีน กับ กุ้ก แต่พลอยก็นับว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดในคณะแล้ว พลอยเป็นคนเงียบ ไม่สุงสิง พูดจากับใคร แต่เธอเป็นคนขยัน และพูดจาไพเราะ ทำให้ฉันก็ต้อง
09.00 น .ฉันตื่นนอนขึ้นมา เพราะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เอื้อมมือหยิบมือถือก่อนจะกดหยุดมัน ยกแขนยืดตัวไปมาให้รู้สึกยืดเส้น ในเวลาสาย ๆ ของวันแบบนี้ พลางขยี้ตาเบา ๆ ให้รู้สึกตื่น ก่อนจะหันไปมองที่นอนข้าง ๆ จากใบหน้าที่สดชื่น ก็รู้สึกหม่นลงทันที“เขากลับไปแล้วเหรอ หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าฉันโกรธกันนะ เลยไม่กล้ามองหน้ากัน” พอคิดแบบนั้นก็ทำเอาอารมณ์หงุดหงิดแต่เช้า “ไม่ตามมาง้อกันหน่อยรึไง”ฉันที่ไม่สบอารมณ์แต่เช้าลุกขึ้นมาล้างหน้าแปลงฟัน ก่อนจะออกจากห้องนอนตัวเอง“ฮืม.....กลิ่นหอมนี่มัน” ฉันมองซ้ายมองขวา ก็ไม่เห็นใครภายในห้องโถง ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะอาหารที่มีชามข้าววางอยู่“โจ๊กงั้นเหรอ” ฉันเหลือบมองเห็นกระดาษข้อความที่วางอยู่ข้าง ๆ ชามโจ๊ก หยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ(พี่เห็นว่าแจนนอนหลับสบาย เลยไม่อยากปลุก พี่ทำโจ๊กใส่ไข่ พิเศษใส่ใจ ไว้ให้แล้วอย่าลืมทานให้หมดก่อนไปเรียนล่ะ)“ไอ้พี่บ้าเอ้ย ... ยิ่งทำให้หลงเข้าไปอีก” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าฉันยิ้มบานเท่าจานดาวเทียมแค่ไหน พวกแกอิจฉาฉันอ่ะเด่.... ไม่มีพี่เวลล์เป็นของตัวเองสิท่าฉันทานมันจนเกลี้ยงชามไม่เหลือ แม้จะเป็นแค่โจ๊ก แต่มันก็เป็
EP.27 (Well Part) ‘ปัง....’ แจนปิดประตูห้องนอนตัวเองดังสนั่น ดูเหมือนเธอจะหงุดหงิดที่ผมเอ่ยถามว่าชุดที่เธอยื่นให้ผมนี้ เป็นของผู้ชายคนอื่นรึเปล่า ผมเพียงแต่ถาม...เฉย ๆ ไง ตอนแรกก็รู้สึกไม่เข้าใจทำไมเธอถึงต้องโมโห แต่เมื่อแจนเอ่ยว่า ผมเป็น ‘คนแรก’ ที่เธอชวนเข้ามาห้องนี้ ใจผมก็เข้าใจถึงความรู้สึกโมโหของเธออย่างแจ่มแจ้ง เฮ้อ... ผมผิดเองที่พูดแบบนั้นไป แต่ก็ปากไวไปแล้วก็คงต้องมาหาวิธีขอโทษเอาก็แล้วกัน ผมเดินไปห้องของแจน แม้เธอจะปิดประตู แต่เธอก็ไม่ได้ล็อค ดังนั้นผมถือวิสาสะว่าเธอไม่ได้ห้ามผมเข้ามาในห้องนี้ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ดูเหมือนเธอจะหลับไปแล้ว จ้องมองใบหน้าเธอ ดูสิแม้จะหลับคิ้วของเธอยังขมวดให้ได้เห็น บ่งบอกว่าเธอคงโกรธมาก ผมบรรจงจูบเบาๆ บนหว่างคิ้วของเธอ หว่างคิ้วเธอค่อยๆ คลายมัน กลายเป็นใบหน้าที่ไม่ได้ดูโกรธอะไรแล้วเฮ้อ... ยิ่งมองหน้าแจนนานๆ ยิ่งรู้สึกว่าเธอ ‘สวย’ แถมนิสัยต่อหน้าผมเธอดูเป็นคนน่ารัก ตรงไปตรงมา ที่สำคัญเธอเป็นคนเอาแต่ใจหน่อยๆ ไม่เห็นเหมือนในบอร์ดที่ผมลองไปตามอ่านดู หลายค
EP.26ณ.คอนโดฉันกับพี่เวลล์มาถึงคอนโด เราเงียบกันทั้งคู่หลังเราได้ทำกิจกรรมบนรถอย่างหนักหน่วง (แม้จะเป็นฝ่ายฉันทำก็เถอะ) ตอนนี้ อาการมึนเมาหายไปเหลือเพียงอาการวิงเวียนศีรษะเข้ามาแทน ฉันเดินนำหน้าเขา ไม่สิต้องเรียกว่าอยากรีบเดินให้ถึงห้องตัวเอง ฉันไม่กล้ามองหน้าเขา ฉันทั้งเขินสุด ๆ คำนั้นที่ออกจากปากเขายังก้องอยู่ในหูอยู่ตลอด นี่ฉันหลอนไปแล้วแน่ ๆพี่เวลล์เขาฉลาดเขารู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังเคลิ้มลอย แต่ก็ยังมีอาการเมาค้างจากการดื่มหนัก เขาจึงไม่เข้ามาตอแยฉัน เอาแต่เดินตามหลังคอยดูท่าทีที่เหมือนจะล้มเป็นพัก ๆของฉันอย่างเงียบๆเราสองอยู่ภายในลิฟท์สองคน ก็ยังไม่มีใครปริปากเอ่ยออกมาทำลายความเงียบงัน‘ติง.....’ เสียงลิฟท์ดังขึ้น บ่งบอกว่าถึงชั้นคอนโดของฉันแล้ว ฉันเดินออกจากลิฟท์ไม่ได้หันกลับไปมองที่เขา เดินเซไป เซมา เกาะขอบผนังไปตามทาง แต่ฉันยังรับรู้ได้นะว่าเขายังตามส่งฉันมาถึงหน้าห้องฉันเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปด้านใน แต่ก่อนที่จะปิดประตู เขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้องไม่ได้เข้ามา เอ่ยเพียงเสียงสุขุมนุ่มนวล ฟังแล้วอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน“พักผ่อนนะ ฝันดี” เขาขยี้ผมฉันเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป แ