EP.21
วันนี้เป็นวันว่างของผมที่ไม่ต้องเข้ามหาลัย ไม่ต้องเข้าวอร์ด แต่ผมก็ยังเลือกที่จะมาใช้เวลาในโรงพยาบาลของผมอยู่ดี ถึงแม้ไอ้อาร์ทจะชวนผมเล่นบาสกระชับมิตรระหว่างสองคณะ แต่ผมก็เลือกที่จะปฏิเสธ ผมไม่ชอบสถานที่คนเยอะและเสียงซุบซิบนินทาเท่าไหร่ อีกอย่างถึงผมไม่ไปการแข่งขันมันก็ดำเนินต่อไปได้อยู่ดี
ผมเดินเตร็ดเตร่ในโรงพยาบาลดูนั่น ดูนี่ ไปทั่วโรงพยาบาลและรวมไปถึงการจับตาดูใครบางคนที่พ่อสั่งการไว้ แต่ดูเหมือนวันนี้ยังไม่มีอะไรน่าสงสัยแถมเขายังคงตั้งใจทำงานเหมือนอย่างเช่นเคย หากมองผิวเผินและไม่ได้รับรู้ว่าเขาเป็นคนเลวแบบนั้นดูยังไงเขาก็คือ คุณหมอท่านหนึ่งที่มากประสบการณ์และเป็นที่รักของผู้ร่วมงาน จนตอนนี้ผมยังไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นแบบที่พ่อผมสงสัยเลยสักนิด
ผมอยู่มาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้เกือบเที่ยงจึงเลือกที่จะทานอาหารที่โรงพยาบาลที่นี่ไปเลย ก่อนคิดจะกลับคอนโดไปนอนให้ผ่านไปวันๆ แต่แล้วสิ่งที่ขัดความสุขของคนกำลังจะกลับไปนอนนั้น ก็ดังขึ้นมา
‘ไอ้อาร์ท’
ชื่อของสายที่โทรเข้ามาหาผมได้อย่างประจวบเหมาะเสียจริง
“ว่าไง มีธุระอะไร” ผมเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบเช่นเคย
(ไอ้เวลล์ มึงทำไรอยู่ มาแข่งบาสดีกว่ามึง)
“ไม่ไป” แน่นอนว่าผมปฏิเสธแบบไม่ต้องกลั่นความคิดใด ๆ
(มาเถอะ เพื่อนๆ อยากให้มึงมาช่วยเรียกเสียงกรี๊ดฝั่งเราหน่อย มันเล่นเอาเดือนเด่นเศรษฐศาสตร์มาลงเลยนะเว้ย)
“ไม่ไป” ผมยืนยันในความคิดของผม
(มึงนี่ก็ทำตัวให้เหมือนเขาว่าในบอร์ดเสียจริง หาตัวจับยากเนี่ย)
“เรื่องของกู”
(เอ่อแล้วแต่ล่ะกัน โอะ นั่นมันน้องแจนคนสวยนิหว่า)
“หืม....”
(น้องแจนวิศวะปีสามของกูไง)
“....” ผมเงียบขัดใจสิ่งที่ไอ้อาร์ทพูดมาก ‘ของกู’ งั้นเหรอ “ของมึงเมื่อไหร่”
(โอ้โห อาจจะไม่ใช่ของกูแล้วว่ะ)
“ทำไม”
(ไอ้หนุ่มนักบาสสุดหล่อหน้ามนเศรษฐศาสตร์ ใจกล้าไปคุยกับน้องแจนว่ะ)
“....”
(น้องแจนยิ้มหัวเราะไปกับมันด้วยดูท่า เสร็จมันแหง ๆ เศร้าจริง ไม่กวนมึงแหละไม่มาก็ไม่ต้องมา)
“เออ กูไป แค่นี้นะ”
ผมวางสายไอ้อาร์ทไป แค่ผมฟังมัน ผมก็รู้สึกหงุดหงิดแทบบ้าแล้ว เธอยิ้มให้กับคนอื่นยังนั้นเหรอ หรือว่าเธอไปติดใจไอ้หนุ่มคนใหม่แล้วสินะ เป็นผู้หญิงที่ชอบคนไปทั่วเสียจริง
ผมหงุดหงิดกับเธอตั้งแต่วันก่อนแล้ว คำที่เธอตอกย้ำว่า เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ราวกับคำนี้คือกำแพงที่ขั้นกลางระหว่างความรู้สึกเธอกับผม
เพราะก่อนคืนแรกของเรานั้น เธอเคยพูดกับผมว่าเธอไม่ได้ชอบผมในเชิงชู้สาว เพียงแต่ต้องการร่างกายของผมเท่านั้น ส่วนผมก็ตอบไปว่าไม่อยากมีพันธะใด ๆ แต่ใครจะคิดเมื่อผ่านมันไปผมและเธอก็มักจะเจอกันเรื่อยมาไม่ว่าตอนที่อยู่ในห้องของเธอ ตอนที่ผมจูบเธอ เธอก็มักมีสายตาที่โหยหาผมอย่างเห็นได้ชัด จนผมคิดว่าภายในใจของเธอก็คงมีผมในนั้น แต่เพราะมีกฎบ้าๆ ของเราทั้งสอง เธอไม่กล้ารู้สึก ผมไม่กล้าล้ำเส้น มันเลยจบด้วยคำพูดทุกครั้งที่เจอกันว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไรกัน’ ซึ่งผมเองก็พูดอะไรไม่ได้เช่นกัน หรือบางที ผมควรจะเป็นคนทำลายกำแพงนี้ไปซะ
ผมคว้ากระเป๋ากับกุญแจรถด้วยความรีบเร่ง มุ่งหน้าไปยังสนามบาส สถานที่แข่งขันกระชับมิตรระหว่างสองคณะทันที แน่นอนเมื่อผมมาถึงพวกเพื่อน ๆ พี่ ๆ คณะผมก็รีบผลักผมให้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
หลังแต่งตัวเสร็จ ผมเดินออกจากตัวอาคารไปยังสนามบาส เสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นสนาม
‘กรี๊ด..........รุ่นพี่เวลล์นินา กรี๊ด.......’ พวกเขาเหล่านั้นตะโกนชื่อผมเต็มสนาม ผมก็ไม่รู้ทำไมต้องตะโกน แต่เอาเถอะยังไงผมก็ทำหูทวนลมอยู่แล้ว ผม่ได้ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ผมแค่ต้องหาที่นั่ง และมองหาเธอในพบในฝูงชน
“ทางนี้เว้ย” ไอ้อาร์ทกวักมือเรียกผม ซึ่งตอนนี้ผมกำลังเดินดิ่งไปหามัน พร้อมกับนั่งลงข้างๆ และเสียงของมันก็ยังคงพูดกับผม “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“....” ผมไม่ได้ตอบมัน ตอนนี้ผมแค่สนใจมองหาว่าแจนอยู่ตรงไหนของสนามเท่านั้น ไอ้อาร์ทเองก็เหมือนจะดูออก
“มองอย่างนี้จะหาเจอเหรอวะ ฮ่า” ไอ้อาร์ทหันมาหัวเราะใส่ผม น่าหงุดหงิดชะมัด
“....” ผมยังคงไม่ต่อปากกับมัน เพียงแต่หันหน้าทำตาขวางเท่านั้น ก่อนที่มันจะส่ายหัวไปมาให้ผม
“กูอยู่นี่เสือกไม่ถาม หาทั้งชาติมึงก็หาน้องแจนคนสวยไม่เจอหรอกไอ้เวลล์”
“มึงรู้” ผมหันหน้าไปมองมัน
“แน่นอน ไม่งั้นจะโทรหามึงเหรอวะ” มันยักคิ้วทำหน้ากวนตีนใส่ผม มือมันยังควงบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดอย่างสบายใจ
“แล้วอยู่ตรงไหน”
“ก่อนกูจะบอกมึง มึงสัญญากับกูก่อน”
“เรื่อง?”
“เลิกการแข่งขันเย็นนี้ไปกินร้านพี่พลกันกับพวกกู”
“กูไม่ไป”
“งั้นกูก็ไม่บอกมึง เชิญมึงหาให้ตาแฉะ”
“....” ผมนั่งคิดอยู่นานเพราะช่วงนี้ผมไม่ได้ไป เพราะไปกี่ทีก็เหมือนผมไปกินเงียบๆ ผมไม่เอ็นจอยเท่าไหร่ แถมแน่นอนดูจากสภาพหลังแข่งเสร็จ พาสาวเต็มโต๊ะอีกตามเคย และพวกมันก็ชอบยัดเยียดเอาผู้หญิงมานั่งใกล้ผม พวกเธอทำผมอึดอัดบางที่ผมปฏิเสธไปพวกเธอยังดื้อดึงที่จะมาเกาะเกี่ยวจนน่ารำคาญ
แต่ถ้าผมไม่ตกลง ผมก็คงจะหาเธอไม่เจอแน่นอนดูสภาพผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ อีกมีหวังจนจบเกมผมก็หาเธอไม่เจอแน่นอน
“เออ ไปก็ไป บอกได้ยัง”
“มึงดูตรงโน้นตรงต้นไม้ใหญ่ๆ ฝั่งเศรษฐศาสตร์ หน้าต้นขะจาว คนที่เอาเสื้อแขนยาวคาดเอวตรงนั้น”
ผมมองคนที่อยู่ไกล ๆ ตามคำอธิบายของไอ้อาร์ท เพ่งมองอย่างพิจารณา ใช่เลยนั่นมันเธอจริงๆ นั่นแหละ
ผมจดจ้องสายตาตรงดิ่งไปหาเธออย่างตั้งใจ จนเมื่อเห็นว่าคนข้างกายเธอสะกิดเธอให้หันมามองที่ผม สายตาเราปะทะกันชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะลุกลี้ลุกลน หันหน้าเบี่ยงออกไปจากผม เธอปลดเสื้อแขนยาวที่คาดเอวขึ้นมาคลุมใบหน้าตัวเองราวกับต้องการหลบเลี่ยงสายตา ช่างเถอะปล่อยเธอไปก่อนแล้วกัน
(Well Part)ไม่นานนักผมก็ได้ลงสนาม ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ทำผมเหงื่อไหลด้วยสภาพอากาศ แต่เพราะผมออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว และก็มักเล่นบาสกับเพื่อนบ่อย ๆ ดังนั้นฝีมือบาสของผมเองก็ไม่เป็นสองรองใครแม้ผมจะจดจ่อกันการแข่ง แต่สายตาของผมก็มีแอบชำเลืองไปมองแจนอยู่บ้าง เธอเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่แม้แต่มองการแข่งขันนี้ด้วยซ้ำ พยายามหลบหน้าผม และอยากออกจากตรงนั้นอยู่มากแต่คงเพราะคนดูเยอะเกินไป เธอถึงต้องทนอยู่แบบนั้น ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะหลบหน้าผมในมหาลัยแห่งนี้ได้แค่ไหนกัน‘ฟิ้ว.......’ ลูกบาสที่ถูกโยนจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง แต่เพราะแรงเหวี่ยงมากเกินไป ทำให้มันพุ่งตรงอย่างแรงจนคนอีกฝังรับไม่ทันและกำลังจะพุ่งไปยังคนดูข้างสนาม ตรงนั้นคือ ‘เธอ’ ผมที่อยู่ไม่ไกลมากจึงวิ่งเข้าไปหันหลังขวางอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะโดนเธอ‘ปึก.......’“อึก” แรงลูกบาสกระแทกเข้ากับหลังผมอย่างจัง มันเจ็บจนจุก แต่ยังพออดทนได้ ผมยืนแน่นิ่ง ส่วนเธอที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ เงยหน้ามองผมผ่านดวงตาที่เล็ดลอดออกมาจากฮู้ดที่ปิดเกือบมิด เสียงรัวกล้องดังสนั่นสามร้อยหกสิบองศา และเกิดเสียงซุบซิบนินทาไปทั่ว เธอเริ่มทนไม่ไหว เอ่ยให้ผมถอยอ
EP.23 ฉันที่กำลังโยกกายเคล้าเสียงเพลงเบาๆ บนเก้าอี้บาร์ที่นั่งอยู่ จู่ ๆ ก็มีมือบางวางบนไหล่ของฉัน พอเหลียวไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนเลิฟฉันเองยัยมีนหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้บาร์ข้างๆ ที่ฉันได้จองไว้ พลางถอนหายใจเสียงดัง“เฮ้อ.....เอาเหล้าแก้วหนึ่งค่ะ ของแรงๆ กินแล้วลืมทุกอย่างเลยนะคะ” ยัยมีนหันไปสั่งเหล้ากับบาร์เทนเดอร์ตรงหน้าฉันมองยัยมีนอย่างพิจารณา ใช่แล้ววันนี้มันไม่ปกติ เดิมทีเสียงต้องมาก่อนตัวนินา ทำไมมันถึงดูมืดมนราวกับโดนวิญญาณปกคลุมไปทั่วร่างแบบนี้ เหมือนไม่ใช่ยัยมีนคนที่ฉันรู้จักเลย อาการแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งหรือว่า ความรักมีปัญหาอีกแล้วงั้นเหรอ“เป็นอะไร ทำไมดูเครียดๆ” ฉันหันหน้าถามเพื่อน รอบนี้เป็นห่วงมันจริง“เรื่องมันเศร้าอ่ะ” ยัยมีนพูด พร้อมกับดื่มเหล้าไปสองอึกใหญ่ๆ ดูท่าจะเครียดจริงจัง“กูให้มึงมาเป็นเพื่อน ช่วยให้กูหายเครียด ไหงมึงมาเครียดแทนกูซะงั้นเพื่อนสาว” ฉันหันไปพูดกับเพื่อนที่ทำหน้าซังกะตาย“ก็มัน เฮ้อ.....” ยัยมีนถอนหายใจ ก้มหน้าลง ดูท่าอาการหนักกว่าฉันจริงๆ“ไหนเล่าให้กูฟังสิ” ฉันเอื้อมมือไปเกาะไหล่เพื่อน ก่อนที่มันจะเงยหน้ามองฉัน“ก็เดิม ๆ” เสี
EP.24 ฉันนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ หันหลังให้กับผู้คนในคลับ เบื้องหน้ามีเพียงบาร์เทนเนอร์ที่คุ้นเคยกันดี เขาปล่อยให้ฉันดื่มเงียบๆ ไม่ชวนคุยอะไรอย่างเคย คงเพราะเห็นใบหน้าฉันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดมากมายที่ไม่สามารถเก็บอาการได้ จึงทำได้แค่ชงเหล้าให้ฉันเงียบ ๆ “นี่มันแก้วที่เท่าไหร่แล้วนะ” ฉันพึมพำกับตัวเอง จิบเหล้าไปเรื่อย ๆ อีกมือก็กุมศีรษะเพราะตอนนี้รู้สึกหนักอึ้งไปหมด แต่ยังพอทนยืนได้แต่เซไปมา “ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ” ฉันที่ตอนนี้หัวแทบจะโขกกับเคาน์เตอร์บาร์ก็ค่อยๆ ปรือตามองผู้ชายที่ไม่เคยรู้จัก แน่นอนว่าฉันรู้สึกอยากลองประชดชีวิตดูสักครั้ง ในเมื่อเขาคนนั้นยังปล่อยให้ผู้หญิงมาเกาะแกะ ทำไมฉันจะทำบ้างไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องโมโห ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์หวงเขา แต่แกเข้าใจป่ะ ร่างกายนั่นฉันอยากครอบครองมันคนเดียว มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอยู่ภายในใจ พอเห็นเขามีผู้หญิงอื่นแบบนั้นมันก็เลยพาลโมโหแบบไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น “ดะ....โอ๊ย.....” ฉันยังไม่ทันได้ตอบตกลง กับชายคนนั้นจู่ ๆ ก็มีมือหนามือหนึ่งเข้ามาจับต้นแขนฉันกระชากจนตั
บนรถเขาประคองฉันมาจนถึงรถของเขา ก่อนที่เขาจะเปิดประตูรถด้านข้างคนขับเพื่อให้ฉันนั่ง แต่สองแขนของฉันที่มีแรงน้อยนิดก็จับตัวรถไว้ไม่ยอมเข้าไป ฉันไม่อยากนั่งข้างเขา“ฉันไม่นั่งข้างพี่ ฉันจะนั่งหลัง” ฉันหันหน้าที่แทบลืมตาไม่ขึ้นมุ่ยไปหาเขาที่อยู่ด้านหลังฉัน“อย่าดื้อ...กับพี่” เสียงของเขาเปล่งออกมาราวกับคำสั่ง แม้สมองฉันไม่อยากทำตาม แต่ร่างกายของฉันดันตอบรับอัตโนมัติ เข้าไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดีเขาที่กำลังขับรถไปตามถนน ส่วนฉันหันหน้าออกไปทางกระจกด้านข้างทอดมองข้างทางอย่างเลื่อนลอย ฉันอยากจะหลับอยู่ทนโถ่ เพราะตอนนี้ฤทธิ์แอล ก็ลดลงไปบ้างแล้ว แต่กลับมีบางสิ่งให้คิดก็พลอยทำให้ร่างกายยังฝืนไม่หลับสักที หนักหัวมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำดูเหมือนพี่เวลล์จะมองฉันออก อาจเพราะฉันมักแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าออกมาหมด เก็บไม่เคยมิด“เป็นอะไร” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เปล่า” ฉันตอบเสียงนิ่งเช่นกัน แม้แต่หันหน้าไปมองเขาก็ยังไม่มอง“....” เขาเงียบไม่ตอบ แต่กลับหยุดรถข้างทางทันที ฉันที่เห็นท่าทีของเขาก็หันควับไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ“พี่จอดรถทำไม” ฉันถามพลางขมวดคิ้วสงสัย“พี่ถามว่าเป็นอะไร” เขาหันมาถามฉั
EP.26ณ.คอนโดฉันกับพี่เวลล์มาถึงคอนโด เราเงียบกันทั้งคู่หลังเราได้ทำกิจกรรมบนรถอย่างหนักหน่วง (แม้จะเป็นฝ่ายฉันทำก็เถอะ) ตอนนี้ อาการมึนเมาหายไปเหลือเพียงอาการวิงเวียนศีรษะเข้ามาแทน ฉันเดินนำหน้าเขา ไม่สิต้องเรียกว่าอยากรีบเดินให้ถึงห้องตัวเอง ฉันไม่กล้ามองหน้าเขา ฉันทั้งเขินสุด ๆ คำนั้นที่ออกจากปากเขายังก้องอยู่ในหูอยู่ตลอด นี่ฉันหลอนไปแล้วแน่ ๆพี่เวลล์เขาฉลาดเขารู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังเคลิ้มลอย แต่ก็ยังมีอาการเมาค้างจากการดื่มหนัก เขาจึงไม่เข้ามาตอแยฉัน เอาแต่เดินตามหลังคอยดูท่าทีที่เหมือนจะล้มเป็นพัก ๆของฉันอย่างเงียบๆเราสองอยู่ภายในลิฟท์สองคน ก็ยังไม่มีใครปริปากเอ่ยออกมาทำลายความเงียบงัน‘ติง.....’ เสียงลิฟท์ดังขึ้น บ่งบอกว่าถึงชั้นคอนโดของฉันแล้ว ฉันเดินออกจากลิฟท์ไม่ได้หันกลับไปมองที่เขา เดินเซไป เซมา เกาะขอบผนังไปตามทาง แต่ฉันยังรับรู้ได้นะว่าเขายังตามส่งฉันมาถึงหน้าห้องฉันเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปด้านใน แต่ก่อนที่จะปิดประตู เขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้องไม่ได้เข้ามา เอ่ยเพียงเสียงสุขุมนุ่มนวล ฟังแล้วอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน“พักผ่อนนะ ฝันดี” เขาขยี้ผมฉันเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป แ
EP.27 (Well Part) ‘ปัง....’ แจนปิดประตูห้องนอนตัวเองดังสนั่น ดูเหมือนเธอจะหงุดหงิดที่ผมเอ่ยถามว่าชุดที่เธอยื่นให้ผมนี้ เป็นของผู้ชายคนอื่นรึเปล่า ผมเพียงแต่ถาม...เฉย ๆ ไง ตอนแรกก็รู้สึกไม่เข้าใจทำไมเธอถึงต้องโมโห แต่เมื่อแจนเอ่ยว่า ผมเป็น ‘คนแรก’ ที่เธอชวนเข้ามาห้องนี้ ใจผมก็เข้าใจถึงความรู้สึกโมโหของเธออย่างแจ่มแจ้ง เฮ้อ... ผมผิดเองที่พูดแบบนั้นไป แต่ก็ปากไวไปแล้วก็คงต้องมาหาวิธีขอโทษเอาก็แล้วกัน ผมเดินไปห้องของแจน แม้เธอจะปิดประตู แต่เธอก็ไม่ได้ล็อค ดังนั้นผมถือวิสาสะว่าเธอไม่ได้ห้ามผมเข้ามาในห้องนี้ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ดูเหมือนเธอจะหลับไปแล้ว จ้องมองใบหน้าเธอ ดูสิแม้จะหลับคิ้วของเธอยังขมวดให้ได้เห็น บ่งบอกว่าเธอคงโกรธมาก ผมบรรจงจูบเบาๆ บนหว่างคิ้วของเธอ หว่างคิ้วเธอค่อยๆ คลายมัน กลายเป็นใบหน้าที่ไม่ได้ดูโกรธอะไรแล้วเฮ้อ... ยิ่งมองหน้าแจนนานๆ ยิ่งรู้สึกว่าเธอ ‘สวย’ แถมนิสัยต่อหน้าผมเธอดูเป็นคนน่ารัก ตรงไปตรงมา ที่สำคัญเธอเป็นคนเอาแต่ใจหน่อยๆ ไม่เห็นเหมือนในบอร์ดที่ผมลองไปตามอ่านดู หลายค
09.00 น .ฉันตื่นนอนขึ้นมา เพราะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เอื้อมมือหยิบมือถือก่อนจะกดหยุดมัน ยกแขนยืดตัวไปมาให้รู้สึกยืดเส้น ในเวลาสาย ๆ ของวันแบบนี้ พลางขยี้ตาเบา ๆ ให้รู้สึกตื่น ก่อนจะหันไปมองที่นอนข้าง ๆ จากใบหน้าที่สดชื่น ก็รู้สึกหม่นลงทันที“เขากลับไปแล้วเหรอ หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าฉันโกรธกันนะ เลยไม่กล้ามองหน้ากัน” พอคิดแบบนั้นก็ทำเอาอารมณ์หงุดหงิดแต่เช้า “ไม่ตามมาง้อกันหน่อยรึไง”ฉันที่ไม่สบอารมณ์แต่เช้าลุกขึ้นมาล้างหน้าแปลงฟัน ก่อนจะออกจากห้องนอนตัวเอง“ฮืม.....กลิ่นหอมนี่มัน” ฉันมองซ้ายมองขวา ก็ไม่เห็นใครภายในห้องโถง ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะอาหารที่มีชามข้าววางอยู่“โจ๊กงั้นเหรอ” ฉันเหลือบมองเห็นกระดาษข้อความที่วางอยู่ข้าง ๆ ชามโจ๊ก หยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ(พี่เห็นว่าแจนนอนหลับสบาย เลยไม่อยากปลุก พี่ทำโจ๊กใส่ไข่ พิเศษใส่ใจ ไว้ให้แล้วอย่าลืมทานให้หมดก่อนไปเรียนล่ะ)“ไอ้พี่บ้าเอ้ย ... ยิ่งทำให้หลงเข้าไปอีก” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าฉันยิ้มบานเท่าจานดาวเทียมแค่ไหน พวกแกอิจฉาฉันอ่ะเด่.... ไม่มีพี่เวลล์เป็นของตัวเองสิท่าฉันทานมันจนเกลี้ยงชามไม่เหลือ แม้จะเป็นแค่โจ๊ก แต่มันก็เป็
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมทุกคน พลอยไม่ไหวแล้ว” พลอยหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและเหนื่อยล้า ฉันเงยหน้ามองทุกคนในกลุ่มก็พบว่าสีหน้าแต่ล่ะคนไม่ต่างจากพลอยเลย“ก็ดีเหมือนกัน นี่ก็เย็นมากแล้ว พอกันเถอะ” ฉันหันไปพูดกับทุกคน ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยเราทุกคนช่วยกันเก็บเอกสารที่กองเป็นตั้งตรงหน้าก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ตอนนี้เหลือเพียงฉันกับพลอย ที่กำลังออกจากตึกคณะ บรรยากาศภายนอกตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วนะสิ พลอยที่มักจะกลับด้วยรถเมล์ คงไม่มีรถให้ขึ้นแล้วมั้ง“พลอย มันเย็นขนาดนี้แล้ว ให้ฉันไปส่ง” ฉันหันหน้าไปหาพลอยเพื่อนร่วมสาขา“พลอยกลับเองได้”“แต่รถเมล์ที่ผ่านหน้าบ้านแกมันไม่มีแล้วไม่ใช่รึไง” ฉันเอียงคอถามนาง จากที่นางเดินอยู่ก็หยุดชะงัก“จะ..จริงด้วย ลืมเผื่อเวลากลับบ้านเลย ทำไงดี”“ก็นี่ไง ฉันจะไปส่ง ฉันพอมีเวลา” ฉันไม่พูดเฉย ๆ แต่ดึงพลอยโดยไม่ต้องให้นางคิด เอาจริง เราเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมา แม้ไม่ได้สนิทปานจะกลืนกินเหมือนยัยมีน กับ กุ้ก แต่พลอยก็นับว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดในคณะแล้ว พลอยเป็นคนเงียบ ไม่สุงสิง พูดจากับใคร แต่เธอเป็นคนขยัน และพูดจาไพเราะ ทำให้ฉันก็ต้อง
EP.34“พี่เวลล์ นี่มันก็ดึกมากแล้ว กลับกันเถอะค่ะ” ฉันเอ่ยบอกเขาเมื่อเห็นหน้าจอมือถือบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งแล้ว “พรุ่งนี้แจนมีเรียนเช้านะคะ”พี่เวลล์ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเขาก่อนที่จะพยักหน้ารับ แล้วเรียกพนักงานเช็คบิลทันที เขาเดินนำออกไปก่อน ส่วนฉันก็เดินตามหลังเขา เป็นครั้งแรกในชีวิตถ้าไม่นับพ่อของตัวเอง ที่ฉันเดินตามคน ๆ หนึ่ง มองแผ่นหลังของเขา ราวกับตอนนี้ฉันเองได้เป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องบ้าง จากที่ปกติ ฉันมักจะยืนอยู่ข้างหน้าคนอื่นเสมออาจเป็นเพราะฉันเหม่ออยู่ในภวังค์จิตใจล่องลอยพอพี่เวลล์หยุดเดิน ฉันก็เป็นฝ่ายเดินชนหลังเขาอย่างจัง ใบหน้ากระแทกหลังเขา ทำเอาเจ็บไม่น้อย“ขอโทษค่ะ แจนไม่ทันระวัง” ฉันยกมือจับจมูกตัวเองบีบมันเบาๆ ให้หายหน่วง“ระวังด้วยสิ จับมือพี่ไว้” เขาเหลียวมองดูฉัน สายตาเขาไม่ดุสักนิด พร้อมยื่นมือหนาของเขาออกมาตรงหน้าฉัน แน่นอนว่าฉันไม่รอช้ายื่นมือเรียวบางของตัวเองจับมือเขาทันที ฉันรู้สึกได้นะความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในมือข้างนั้นของเขา เขากระชับมือฉันแน่นจากนั้นจึงเดินเคียงข้างกันออกจากร้านอาหารไปยังรถที่จอดอยู่เขาเปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่ง ก่อนที่เข
EP.33ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะ ยืนมอง พี่เวลล์ที่นั่งทำท่ากอดอก มองฉันด้วยสายตาดุราวกับผู้ปกครอง เหอะ ปล่อยให้รู้สึกหงุดหงิดบ้างแบบนี้แหละแฟร์ดีจะตายฉันหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ สะบัดความรู้สึกทุกอย่างทิ้งไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ทำไมพี่ยังไม่ทานข้าวละคะ หิวไม่ใช่เหรอ”“รอคน” เขาทำหน้าบึ้งตึง กอดอกมาทางฉันอย่างเห็นได้ชัด ฉันจึงได้แต่ทำหน้ายิ้มเจื่อน“ปวดหนักเข้าห้องน้ำไงคะ ขอโทษทีค่ะ นี่ก็มาแล้วไง ทานกันเถอะ” ฉันรีบนั่ง ตัดบทสนทนา แต่ดูเหมือนพี่เวลล์จะไม่ยอมจบ“โกรธอะไรพี่อีกรึเปล่า หรือเพราะเมื่อกี้” เขามองฉันด้วยสายตาเค้นหาคำตอบบ้าง“จะโกรธพี่ได้ไงละคะ แจนจะมีสิทธิ์อะไรมางอนแบบนั้น ถึงพี่จะดูรูปสาว แจนจะห้ามอะไรได้”“ดูรูปสาว?”“ทานข้าวกันดีกว่าค่ะพี่ อ่ะนี่ น่าอร่อยเนาะ” ฉันตักปลาหมึกทอดกระเทียมให้เขา จากนั้นฉันก็ทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าเอาแต่กินไม่พูดไม่จา เขาตักอะไรให้ฉัน ฉันก็ทานมันทุกคำ ก็เป็นซะแบบนี้โกรธง่ายหายเร็วเพียงเพราะเขาดีต่อฉัน“ร้านนี้อร่อยอย่างที่พี่บอกเลย” ฉันยิ้มพลางตบพุงท่าทางอิ่มแปล้ไร้ซึ่งภาพลักษณ์กุลสตรีใดๆ ส่วนพี่เวลล์ก็ทานไปเยอะเหมือนกัน คงหิวอย่างที่เจ้าตัวพูดจร
EP.32พี่เวลล์พาฉันเข้าไปยังโต๊ะที่จองไว้ เป็นโต๊ะหลบในมุมมีความเป็นส่วนตัว ติดแม่น้ำสายหลักของตัวเมือง สามารถทอดสายตามองตัวเมืองฝั่งตรงข้ามแม่น้ำได้ร้อยแปดสิบองศา บรรยากาศดี ลมโชยเย็นพอเหมาะ อากาศก็บริสุทธิ์ แสงสว่างนวลตา ทำให้รู้สึกได้ถึงความโรแมนติกหน่อย ๆ เลยแหะพี่เวลล์ที่เดินนำมาก่อน เลื่อนเก้าอี้ พลางใช้สายตาบ่งบอกว่าให้ฉันนั่งตรงนั้น ฉันที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก เพราะการได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนพิเศษแบบนี้ มันไม่ผิดไปใช่ไหมถ้าจะคิดเข้าข้างตัวเองไปทั้งแบบนั้นฉันนั่งลงเก้าอี้ที่พี่เวลล์เลื่อนให้ ก่อนที่เขาจะนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับฉัน พอได้เห็นเขาอยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะเท้าคางจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ เขาที่เห็นฉันจ้องจนตาเยิ้ม ก็เท้าคางมองฉันกลับ ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงฟุตประสานกันอย่างช่วยไม่ได้“พี่จะมองฉันอีกนานไหมคะ” ฉันเอ่ย“ใครกันที่มองพี่ก่อน” เขาเอ่ยตอบฉัน “ฮึ.....เอาเถอะ ยอมแล้วค่ะ เป็นแจนเองที่มองพี่ก่อน ก็มันอดมองไม่ได้” ฉันยืดตัว เบือนหน้าทอดสายตามองไปยังแม่น้ำสายหลักที่ผืนน้ำระยิบระยับท่ามกลางแสงไฟสลัว ส่วนเขาก็หันไปสนใจพนักงานร้านที่เดินนำเมนูมาวาง
ณ.คอนโดฉันกับพลอยเดินขึ้นมายังห้องของฉัน แต่แล้วเบื้องหน้ากลับปรากฏชายหนุ่มที่ฉันคุ้นเคยดี จนพลอยเพื่อนฉันต้องสะกิดให้ฉันรู้ตัว“แจน นั่นมันพี่เวลล์นินา เขามารอใครรึเปล่า”“....” ฉันไม่พูดอะไรลากพลอยเดินตรงดิ่งไปที่พี่เวลล์ยืนอยู่ ซึ่งก็คือหน้าประตูห้องฉัน ก่อนจะเปิดประตู แล้วหันไปเอ่ยกับเธอ“พลอยแกเข้าห้องไปก่อน ฉันขอคุยกับพี่เวลล์สักครู่เดี๋ยวตามเข้าไป” พลอยที่เริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ ก็ทำตามอย่างว่าง่าย หันหลังเดินเข้าห้องฉันไป จากนั้นฉันก็เอื้อมมือปิดประตู ค่อย ๆ หันหน้าไปหาพี่เวลล์จากใบหน้าเรียบนิ่งก็คลี่ยิ้มกว้างเป็นอีกคน“พี่เวลล์ มาหาแจนถึงหน้าห้องแบบนี้คิดถึงกันเหรอคะ” ฉันยิ้มมองจะกุมมือพี่เขาแต่เขาดันยกมือหนีพลางกอดอกหันหลังไปพิงกำแพง จ้องมองฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง เอ๊ะฉันว่าฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ“ไปไหนมา” เขาถาม“หลังออกจากมอ ก็ไปส่งพลอยที่บ้าน แล้วก็พาพลอยมาที่คอนโดเนี้ยแหละค่ะ”“พี่โทรหาตั้งหลายสายทำไมไม่รับ”“เอ๊ะ....โทรมาเหรอ แจนไม่ได้ยินนะ” ฉันล้วงกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมา พบว่ามีสายไม่ได้รับ เกือบยี่สิบสาย ใบหน้าฉันยิ้มเจื่อนก่อนจะเงยหน้ามองพี่เขาอย่างรู้สึกผิด “ลืมเปิ
ภายในรถเงียบสงัดพลอยเอาแต่หันมองไปตามข้างทางอย่างเลื่อนลอย เสียงสะอึกยังพอมีให้ได้ยิน ราวกับตอนนี้เธอกำลังข่มความรู้สึกเสียใจอยู่เต็มอก ส่วนฉันขับรถไปตามเส้นทางอย่างไร้จุดหมาย ‘ตู้ด...............ตู้ด..............’ เสียงมือถือของฉันดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ทิมโทรมา ฉันจึงหยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาสวมใส่ด้วยใบหน้าจริงจัง พลอยที่เอาแต่เหม่อมองไปข้างทาง ก็หันมามองฉัน ซึ่งฉันก็ทำได้เพียงยักคิ้วให้ก่อนจะสนใจกับคนปลายสาย “ว่าไงคะ พี่ทิม” (คุณหนูครับ เกิดเรื่องใหญ่ครับ) เสียงพี่ทิมหนักแน่นจริงจัง กว่าปกติ จนทำให้ฉันต้องจอดรถข้างทางเพื่อคุยก่อน “มีเรื่องด่วนอะไรคะ”(เมื่อคืนวาน เกิดเหตุปะทะกัน ของมาเฟียสองกลุ่มอิทธิพลเขตเหนือครับ คนบาดเจ็บล้มตายกันเยอะเลยครับ)“แล้วสถานการณ์ตอนนี้ล่ะ”(ดีขึ้นแล้วครับ แต่เพราะว่าเหตุการณ์รุนแรง ตอนนี้กลุ่มมาเฟียทั้งสองกลุ่มแตกแขนงหลบหนีกันวุ่น เห็นว่าบางส่วน หลบหนีเข้ามาเขตเรา แล้วก็......) ฉันที่มองเห็นว่ายังมีพลอยอยู่ตรงนี้ จึงไม่อยากคุยรายละเอียดมากนักจึงตัดบทการสนทนากับพี่ทิมไป“พี่ทิม เดี๋ยวแจนเข้า
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมทุกคน พลอยไม่ไหวแล้ว” พลอยหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและเหนื่อยล้า ฉันเงยหน้ามองทุกคนในกลุ่มก็พบว่าสีหน้าแต่ล่ะคนไม่ต่างจากพลอยเลย“ก็ดีเหมือนกัน นี่ก็เย็นมากแล้ว พอกันเถอะ” ฉันหันไปพูดกับทุกคน ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยเราทุกคนช่วยกันเก็บเอกสารที่กองเป็นตั้งตรงหน้าก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ตอนนี้เหลือเพียงฉันกับพลอย ที่กำลังออกจากตึกคณะ บรรยากาศภายนอกตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วนะสิ พลอยที่มักจะกลับด้วยรถเมล์ คงไม่มีรถให้ขึ้นแล้วมั้ง“พลอย มันเย็นขนาดนี้แล้ว ให้ฉันไปส่ง” ฉันหันหน้าไปหาพลอยเพื่อนร่วมสาขา“พลอยกลับเองได้”“แต่รถเมล์ที่ผ่านหน้าบ้านแกมันไม่มีแล้วไม่ใช่รึไง” ฉันเอียงคอถามนาง จากที่นางเดินอยู่ก็หยุดชะงัก“จะ..จริงด้วย ลืมเผื่อเวลากลับบ้านเลย ทำไงดี”“ก็นี่ไง ฉันจะไปส่ง ฉันพอมีเวลา” ฉันไม่พูดเฉย ๆ แต่ดึงพลอยโดยไม่ต้องให้นางคิด เอาจริง เราเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมา แม้ไม่ได้สนิทปานจะกลืนกินเหมือนยัยมีน กับ กุ้ก แต่พลอยก็นับว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดในคณะแล้ว พลอยเป็นคนเงียบ ไม่สุงสิง พูดจากับใคร แต่เธอเป็นคนขยัน และพูดจาไพเราะ ทำให้ฉันก็ต้อง
09.00 น .ฉันตื่นนอนขึ้นมา เพราะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เอื้อมมือหยิบมือถือก่อนจะกดหยุดมัน ยกแขนยืดตัวไปมาให้รู้สึกยืดเส้น ในเวลาสาย ๆ ของวันแบบนี้ พลางขยี้ตาเบา ๆ ให้รู้สึกตื่น ก่อนจะหันไปมองที่นอนข้าง ๆ จากใบหน้าที่สดชื่น ก็รู้สึกหม่นลงทันที“เขากลับไปแล้วเหรอ หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าฉันโกรธกันนะ เลยไม่กล้ามองหน้ากัน” พอคิดแบบนั้นก็ทำเอาอารมณ์หงุดหงิดแต่เช้า “ไม่ตามมาง้อกันหน่อยรึไง”ฉันที่ไม่สบอารมณ์แต่เช้าลุกขึ้นมาล้างหน้าแปลงฟัน ก่อนจะออกจากห้องนอนตัวเอง“ฮืม.....กลิ่นหอมนี่มัน” ฉันมองซ้ายมองขวา ก็ไม่เห็นใครภายในห้องโถง ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะอาหารที่มีชามข้าววางอยู่“โจ๊กงั้นเหรอ” ฉันเหลือบมองเห็นกระดาษข้อความที่วางอยู่ข้าง ๆ ชามโจ๊ก หยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ(พี่เห็นว่าแจนนอนหลับสบาย เลยไม่อยากปลุก พี่ทำโจ๊กใส่ไข่ พิเศษใส่ใจ ไว้ให้แล้วอย่าลืมทานให้หมดก่อนไปเรียนล่ะ)“ไอ้พี่บ้าเอ้ย ... ยิ่งทำให้หลงเข้าไปอีก” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าฉันยิ้มบานเท่าจานดาวเทียมแค่ไหน พวกแกอิจฉาฉันอ่ะเด่.... ไม่มีพี่เวลล์เป็นของตัวเองสิท่าฉันทานมันจนเกลี้ยงชามไม่เหลือ แม้จะเป็นแค่โจ๊ก แต่มันก็เป็
EP.27 (Well Part) ‘ปัง....’ แจนปิดประตูห้องนอนตัวเองดังสนั่น ดูเหมือนเธอจะหงุดหงิดที่ผมเอ่ยถามว่าชุดที่เธอยื่นให้ผมนี้ เป็นของผู้ชายคนอื่นรึเปล่า ผมเพียงแต่ถาม...เฉย ๆ ไง ตอนแรกก็รู้สึกไม่เข้าใจทำไมเธอถึงต้องโมโห แต่เมื่อแจนเอ่ยว่า ผมเป็น ‘คนแรก’ ที่เธอชวนเข้ามาห้องนี้ ใจผมก็เข้าใจถึงความรู้สึกโมโหของเธออย่างแจ่มแจ้ง เฮ้อ... ผมผิดเองที่พูดแบบนั้นไป แต่ก็ปากไวไปแล้วก็คงต้องมาหาวิธีขอโทษเอาก็แล้วกัน ผมเดินไปห้องของแจน แม้เธอจะปิดประตู แต่เธอก็ไม่ได้ล็อค ดังนั้นผมถือวิสาสะว่าเธอไม่ได้ห้ามผมเข้ามาในห้องนี้ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ดูเหมือนเธอจะหลับไปแล้ว จ้องมองใบหน้าเธอ ดูสิแม้จะหลับคิ้วของเธอยังขมวดให้ได้เห็น บ่งบอกว่าเธอคงโกรธมาก ผมบรรจงจูบเบาๆ บนหว่างคิ้วของเธอ หว่างคิ้วเธอค่อยๆ คลายมัน กลายเป็นใบหน้าที่ไม่ได้ดูโกรธอะไรแล้วเฮ้อ... ยิ่งมองหน้าแจนนานๆ ยิ่งรู้สึกว่าเธอ ‘สวย’ แถมนิสัยต่อหน้าผมเธอดูเป็นคนน่ารัก ตรงไปตรงมา ที่สำคัญเธอเป็นคนเอาแต่ใจหน่อยๆ ไม่เห็นเหมือนในบอร์ดที่ผมลองไปตามอ่านดู หลายค
EP.26ณ.คอนโดฉันกับพี่เวลล์มาถึงคอนโด เราเงียบกันทั้งคู่หลังเราได้ทำกิจกรรมบนรถอย่างหนักหน่วง (แม้จะเป็นฝ่ายฉันทำก็เถอะ) ตอนนี้ อาการมึนเมาหายไปเหลือเพียงอาการวิงเวียนศีรษะเข้ามาแทน ฉันเดินนำหน้าเขา ไม่สิต้องเรียกว่าอยากรีบเดินให้ถึงห้องตัวเอง ฉันไม่กล้ามองหน้าเขา ฉันทั้งเขินสุด ๆ คำนั้นที่ออกจากปากเขายังก้องอยู่ในหูอยู่ตลอด นี่ฉันหลอนไปแล้วแน่ ๆพี่เวลล์เขาฉลาดเขารู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังเคลิ้มลอย แต่ก็ยังมีอาการเมาค้างจากการดื่มหนัก เขาจึงไม่เข้ามาตอแยฉัน เอาแต่เดินตามหลังคอยดูท่าทีที่เหมือนจะล้มเป็นพัก ๆของฉันอย่างเงียบๆเราสองอยู่ภายในลิฟท์สองคน ก็ยังไม่มีใครปริปากเอ่ยออกมาทำลายความเงียบงัน‘ติง.....’ เสียงลิฟท์ดังขึ้น บ่งบอกว่าถึงชั้นคอนโดของฉันแล้ว ฉันเดินออกจากลิฟท์ไม่ได้หันกลับไปมองที่เขา เดินเซไป เซมา เกาะขอบผนังไปตามทาง แต่ฉันยังรับรู้ได้นะว่าเขายังตามส่งฉันมาถึงหน้าห้องฉันเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปด้านใน แต่ก่อนที่จะปิดประตู เขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้องไม่ได้เข้ามา เอ่ยเพียงเสียงสุขุมนุ่มนวล ฟังแล้วอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน“พักผ่อนนะ ฝันดี” เขาขยี้ผมฉันเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป แ