แก้มหอมสาวน้อยอายุสิบแปดปี เธอเป็นเด็กสาวกำพร้า ไม่มีพ่อแม่และญาติพี่น้องที่ไหน ก่อนที่พ่อและแม่ของเธอจะเสียชีวิต ท่านได้ทิ้งเงินไว้ให้เธอหนึ่งก้อนจากประกันชีวิตที่ท่านได้ทำไว้ให้เธอ และยังทิ้งบ้านหนึ่งหลังที่ไม่ใหญ่มาก แต่เธอก็ไม่ต้องเช่าบ้านให้เสียเงิน เธอได้ออกมาทำงานและส่งตัวเองเรียน จึงทำให้เธอมีจิตใจที่เข้มแข็งกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก เธอเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยร่าเริงและขี้เล่น เธอเป็นที่รักของเพื่อนๆ ในชั้นเรียน แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ชอบเธอเช่นกัน ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หลังเลิกเรียนเธอจะต้องออกไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อจนถึงเที่ยงคืน และวันเสาร์อาทิตย์ เธอทำงานในร้านขายเครื่องหอม เธอไม่มีเวลาให้เที่ยวเล่นแบบเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่เธอมีหน้าตาที่น่ารักจึงมักมีชายหนุ่มเข้ามาวนเวียนรอบๆ ตัวเธออยู่เสมอ
จึงมีเพื่อนหลายคนที่ไม่ชอบที่เธอหน้าตาดี และจะคอยหาเรื่องแกล้งเธอ แต่ก็ไม่ได้แกล้งแบบรุนแรงมากนัก เธอจึงไม่ได้เอาเรื่องไปฟ้องกับอาจารย์ เพราะเธอคิดว่าอีกไม่กี่เดือนเธอก็จะเรียนจบแล้ว เธอเองก็มีความฝันเหมือนกัน เธออยากเปิดร้านค้าเป็นของตัวเองสักหนึ่งร้าน เธอชอบน้ำหอมและเครื่องหอมที่เธอได้ทำงานอยู่ เธออยากมีร้านค้าแบบนี้บ้าง ช่วงเวลาว่างเธอก็จะทดลองหรือคิดค้นน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ก็มีบางวันที่เธอรู้สึกท้ออยู่เหมือนกัน อย่างเช่นวันนี้ที่เธอถูกเพื่อนสนิทกล่าวหาว่าเธอแย่งผู้ชายที่เพื่อนสนิทชอบไปทั้งๆ ที่เธอไม่เคยรู้จักกับผู้ชายคนนั้นเลยด้วยซ้ำ เธอพูดไปเยอะแค่ไหน อธิบายไปมากเท่าไหร่ เพื่อนของเธอก็ไม่เชื่อเธอเลย เธอจึงเลือกที่จะเงียบ และให้เธอเป็นคนผิดเอง ที่เธอยอมก็เพราะเธอใกล้ที่จะเรียนจบแล้ว เธอจึงไม่อยากให้มีปัญหาก็แค่นั้น เธอเดินเข้ามาในบ้านที่เคยอบอุ่น เคยมีพ่อและแม่รอเธอกลับมาที่บ้านอยู่เสมอ แต่ตอนนี้บ้านหลังน้อยมันช่างดูกว้างและเงียบเหงามากเหลือเกิน เธอมองไปที่รูปถ่ายของครอบครัว ‘ตอนนี้แก้มหอมใกล้ที่จะเรียนจบแล้ว แก้มหอมเก่งใช่ไหมค่ะ พ่อและแม่ไม่ต้องเป็นห่วงแก้มหอมแล้ว ตอนนี้แก้มหอมดูแลตัวเองได้แล้วนะคะ’ น้อยครั้งที่เธอจะร้องไห้ออกมา เพราะเธอพยายามทำตัวให้เข้มแข็งอยู่เสมอ แต่วันนี้เธอทำไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุกครั้งที่เธอเหนื่อยล้าหรือรู้สึกอ่อนแอ เธอก็จะมาระบายความในใจให้กับรูปของพ่อและแม่ฟัง อย่างน้อยก็ยังมีรูปท่านที่คอยรับฟังเธอ ถึงท่านทั้งสองคนจะไม่อยู่กับเธอแล้วก็ตาม ‘เอาน่าต้นหอมเธอมันเข้มแข็งอยู่แล้ว หยุดร้องได้แล้วอีกแค่เดือนเดียวเราก็จะเรียนจบแล้ว สู้ๆ’ เธอให้กำลังใจกับตัวเองและเลิกร้องให้ เธอเป็นคนที่ให้กำลังใจตัวเองเก่งมาก ทุกครั้งที่เธอเศร้า เธอก็จะไม่เสียใจนานมากนัก และวันนี้ก็มาถึง วันที่เธอจบการศึกษา เธอมาเรียนวันสุดท้ายและเข้ารับใบเรียนจบพร้อมกับเพื่อนๆ วันนี้เธอไม่ได้ไปทำงาน เธอขอลาหยุดเพื่อที่จะได้ฉลองเรียนจบกับเพื่อนๆ ด้วยเช่นกัน “นี่ยัยนา เธอไม่ชวนเพื่อนรักเธอไปฉลองเรียนจบด้วยหรือไง เห็นว่าสนิทกัน” “ใครบอกแกว่าฉันสนิทกับยัยแก้มหอมกัน ฉันก็แค่เป็นเพื่อนด้วยเพราะเห็นว่าน่าสงสารหรอก และนางก็หน้าตาดีผู้ชายมองเยอะ ฉันก็เลยลองคบหาดูก็แค่นั้น” “อ๋อเหรอ ฉันเห็นแกทะเลาะกันเรื่องผู้ชายอยู่ไม่ใช่หรือไง” นาได้ฟังที่เพื่อนเธอพูด เธอรู้สึกโกรธมาก ที่เธอเป็นเพื่อนกับแก้มหอม ตลอดเวลาเธอก็มีความอิจฉาที่แก้มหอมได้ดีกว่าเธอในหลายๆ อย่าง เธอมองไปที่แก้มหอมและคิดแผนการร้ายๆ บางอย่าง แก้มหอมเธอตั้งใจหยุดงานในวันนี้ เพราะเธออยากที่จะคืนดีกับเพื่อนสาวของเธอ เธอเห็นนาเพื่อนของเธอหันมาพอดี เธอจึงหันไปยิ้มให้ แต่เพื่อนเธอกลับทำเป็นมองไม่เห็น ทำให้เธอรู้สึกหน้าเสียอยู่บ้าง เธอรอจนกิจกรรมจบก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้ามาชวนเธอไปฉลองเลยสักคน มีแค่เพื่อนผู้ชายที่เดินเข้ามาพูดคุยและชวนเธอไปฉลองด้วยกัน แต่เธอก็ไม่ได้ไปด้วย ตอนนี้เป็นเวลา หกโมงเย็นแล้ว เธอเดินมาที่ป้ายรถเมล์ เพื่อรอรถกลับบ้าน สุดท้ายเธอก็ยังคงอยู่คนเดียวเหมือนเดิม เธอได้ยินเสียงฟ้าร้อง และฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ดีที่ตัวเธอเองพกร่มไว้ตลอด เพราะช่วงนี้เป็นหน้าฝน นาที่เดินตามหลังแก้มหอมออกมาโดยที่ไม่ให้แก้มหอมรู้ตัว ที่จริงเธออยากจะให้ผู้ชายมาฉุดยัยแก้มหอมไปซะ ตอนนี้จิตใจของเธอมีแต่ความอิจฉา และหงุดหงิดทุกครั้งที่มองเพื่อนสาวคนนี้ เธอเดินมาอยู่ด้านหลังแก้มหอมที่กำลังยืนรอรถเมล์อยู่พอดี เธอเห็นว่ามีรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว โดยที่เธอไม่ทันคิด เธอได้ยื่นมือผลักไปที่หลังของแก้มหอม ทำให้เธอล้มลงไปบนถนน แล้วตัวของเธอก็รีบวิ่งหนีไปทันที โดยที่ไม่ได้หันกลับมามองตรงที่แก้มหอมล้มลงไปอีกเลย แก้มหอมที่ยืนรอรถเมล์อยู่คนเดียวตรงป้ายรอรถ เธอรู้สึกว่ามีคนผลักเธอจากด้านหลัง ทำให้เธอล้มลงไปบนถนน เธอหันไปมองคนที่ผลักเธอล้มลง ก็เห็นหลังของคนนั้น เธอก็รู้แล้วว่าใครที่เป็นคนทำร้ายเธอ คนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อน คนที่เธอไว้ใจ เธอได้ยินเสียงเบรกของรถและแสงไฟของหน้ารถที่พุ่งเข้ามาชนไปที่ตัวเธอ สิ่งนั้นคือความจำครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้ “แก้มหอม ตื่นได้แล้วลูก” “แม่ แม่เหรอคะ” เธอได้ยินเสียงปลุกที่คุ้นเคยที่เคยปลุกเธอทุกครั้ง “ใช่แล้วนี่แม่เอง ลูกรีบตื่นได้แล้ว แม่และพ่อดีใจกับลูกด้วยที่ลูกเรียนจบแล้ว วันนี้เราจะมาฉลองกัน” แก้มหอมขยี้ไปที่ตา เพื่อเช็กว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไป เป็นพ่อและแม่ของเธอจริงๆ เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดท่านทั้งสองด้วยความคิดถึง “หนูคิดถึงพ่อกับแม่นะคะ พ่อกับแม่กลับมาอยู่กับแก้มหอมแล้วใช่ไหม เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่จากกันอีกแล้วใช่หรือเปล่าคะ” “นี่พ่อกับแม่เอง พ่อกับแม่จะอยู่กับลูกเสมอนะพวกเราคอยมองลูกอยู่ตลอดเวลา” แก้มหอมดีใจมากจนลืมฟังสิ่งที่พ่อและแม่ของเธอพูด “แล้ววันนี้เราจะทำอะไรกินกันดีค่ะ เราฉลองวันที่หนูเรียนจบใช่ไหม” “ใช่แล้ว วันนี้พ่อและแม่เตรียมของกินและของขวัญไว้ให้ลูกสาวของแม่ด้วย มีแต่ของที่ลูกชอบทั้งนั้นเลย รีบลุกขึ้นมากินข้าวได้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นแม่จะเสียใจเอานะ” แก้มหอมรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน เธอวิ่งเข้าไปอาบน้ำและลงไปกินข้าวพร้อมกับครอบครัว “นี่ของขวัญวันเรียนจบของลูก พ่อกับแม่ตั้งใจเลือกมาเป็นพิเศษเพื่อลูกเลย” เธอยื่นมือไปรับของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษลายสวยงามสีชมพู “หนูเปิดเลยนะคะ” เธออดใจรอที่จะเปิดของขวัญชิ้นนี้ดูไม่ไหว เธอเปิดออกมาก็เห็นเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นที่เธออยากได้มานาน “พ่อกับแม่ให้โทรศัพท์กับแก้มหอมจริงๆ เหรอคะ โทรศัพท์เครื่องนี้มันแพงมากเลย” “ถึงจะแพงแค่ไหน พ่อและแม่ก็สามารถซื้อให้ลูกสาวคนเดียวของแม่ได้ ลูกอยากได้โทรศัพท์เครื่องนี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกดีใจหรือเปล่า” “หนูดีใจมากเลยค่ะ ตั้งแต่เกิดมาหนูไม่เคยได้ของขวัญที่ดีขนาดนี้มาก่อนเลย ขอบคุณมากนะคะ” เธอกอดพ่อและแม่พร้อมกัน “พ่อก็รักลูก ลูกเป็นเด็กดีมาก เหนื่อยมากเลยใช่ไหมลูกทำได้ดีมากเลยนะครับ” เธอได้ฟังที่พ่อเธอถามมันทำให้เธอน้ำตาไหลออกมา “หนูไม่เหนื่อยเลยค่ะ หนูแค่เหงามาก แต่ตอนนี้พ่อกับแม่มาอยู่กับแก้มหอมแล้ว แก้มหอมก็จะมีความสุขทุกวันเลยค่ะ ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนแก้มหอมก็ทนได้เสมอ” “เด็กดีของแม่ เข้มแข็งเหมือนแม่เลย” วันนี้เธอมีความสุขมาก เธอได้ของขวัญเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่เธออยากได้มานาน เธอเป็นเด็กสาวที่ชอบของพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่เพราะเงินของเธอไม่ได้มีเยอะ และเธอต้องเตรียมเงินไว้เรียนต่อมหาลัย เธอจึงตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป “พ่อกับแม่รู้ได้ยังไงค่ะ ว่าแก้มหอมอยากได้โทรศัพท์เครื่องนี้อยู่พอดี” “อะไรที่ลูกอยากได้ ทำไมพ่อคนนี้ถึงจะไม่รู้ละ พ่อกับแม่คอยเฝ้าดูลูกอยู่เสมอเลย รีบนอนได้แล้ว” “วันนี้พ่อกับแม่จะนอนกับแก้มหอมใช่ไหมค่ะ ถ้าแก้มหอมตื่นขึ้นมาพ่อกับแม่ก็จะยังคงอยู่กับแก้มหอมใช่ไหม?” “พ่อกับแม่อยู่กับลูกเสมอ อยู่ในนี้ไง” แม่เธอเอามือมาทาบไว้ที่หัวใจของเธอ แก้มหอมน้ำตาไหล เธอนึกออกแล้ว พ่อกับแม่จากเธอไปตั้งนานแล้วตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่กับเธออีกแล้ว “ถ้าแก้มหอมนอน และตื่นขึ้นมา แก้มหอมจะไม่เจอพ่อกับแม่แล้วใช่ไหมคะ” เธอพูดไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเศร้าเสียใจ “แม่ขอโทษ..พวกเราไม่สามารถอยู่กับลูกได้อีกแล้ว แต่ลูกจะเจอคนที่รักลูกอย่างแน่นอน ดูแลตัวเองดีๆ ลูกสาวคนสวยของแม่เก่งอยู่แล้ว แม่รักลูกมากนะ” “พ่อก็รักลูกเหมือนกัน พ่อจะคอยดูลูกอยู่ตลอดเวลา นางฟ้าตัวน้อยของพ่อ” หลังจากคำพูดที่พ่อของเธอพูดจบไป หนังตาของเธอก็รู้สึกหนักขึ้นมา และเธอก็หลับไปในที่สุดเธอตื่นมาในช่วงสายของอีกวันใต้ต้นเหมยฮวา เธอกะพริบตาเพื่อปรับภาพให้มองชัดขึ้น สิ่งที่เธอเห็นนั้นก็คือทุ่งดอกไม้ และเธอก็นอนอยู่ใต้ต้นไม้ เธอมองดูชุดที่ใส่ก็เป็นชุดวันที่เธอเรียนจบ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน เธอจำได้ว่าตัวเองถูกรถชนหลังจากที่เธอถูกเพื่อนผลักล้มลงบนถนน ในขณะที่เธอกำลังมึนงง อยู่นั้นก็ได้มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาดูน่ากลัวมาก มีหนวดเคราเต็มไปทั่วใบหน้ากำลังมองมาที่เธอ เธอจะต้องทำยังไงในตอนนี้ ในหัวของเธอสับสนไปหมดแล้วอี้เฉิงมองไปทางหญิงสาวที่ใส่ชุดไม่เหมือนกับคนอื่น ชุดแบบนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เพราะที่แห่งนี้ผู้หญิงจะไม่แต่งตัวที่เปิดให้เห็นมากนัก เขามองจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน และมาหยุดมองใบหน้าที่มีหน้าตาน่ารัก เธอเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักมาก เธออาจจะหนีออกมาจากหอนางโลมหรือเปล่า?แก้มหอมมองตามสายตาของชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ เขามองอะไร เธอนั่งลงเพื่อปิดบังขาของเธอ เพราะชุดที่เธอใส่อยู่นั้น เป็นชุดกระโปรงนักเรียนในวันที่เธอเรียนจบ “นายมองอะไรไม่ทราบ” เธอตกใจตัวเองเพราะคำพูดที่เธอได้พูดออกไปเป็นภาษาจีนเธอไม่เคยเรียนภาษาจีนมาก่อนเลยด้วยซ้ำทำไมเธอถึงพูดมันได้“ก็ไ
“ฉันบอกนายตามตรง ฉันสูญเสียความทรงจำ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากที่ไหนเลยด้วยซ้ำ แล้วนายจะทิ้งฉันไว้ในที่ ที่ฉันไม่รู้จัก ฉันขออยู่กับนายจนกว่าฉันจะรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และฉันเอาตัวรอดได้ ฉันก็จะไปจากนายทันทีเลย ฉันสัญญาฉันจะไม่ทำอันตรายนายอย่างแน่นอน” “ข้านี่นะ จะกลัวเจ้าทำร้าย เจ้ามาอยู่กับข้า เจ้าไม่กลัวข้าหรือไง ใครๆ เขาก็กลัวข้ากันทั้งนั้น แต่ถ้าเจ้าจะอยู่กับข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงคำพูดที่เจ้าใช้พูด และชุดที่เจ้าใส่มันแปลกเกินไป เจ้ามีชุดอื่นเปลี่ยนอีกหรือไม่” “ข้าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ข้าจะหาชุดมาจากไหน เงินข้าก็ไม่มีสักหยวน เราอยู่ด้วยกันแค่เป็นเพื่อนกันเท่านั้น นายห้ามคิดไม่ดีกับฉันเด็ดขาด แต่ฉันสามารถช่วยนายทำงานบ้านและทำกับข้าวให้นายกินได้ นายคิดว่าดีหรือเปล่า หรือนายมีภรรยาอยู่ที่บ้านแล้ว” “ข้าเป็นชายโสด ข้าไม่รู้ว่าจะเผลอล่วงเกินเจ้าหรือไม่ ก็เจ้าทั้งขาวและน่ารักแบบนี้” เขาแกล้งมองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาหื่นกระหาย“นายไม่ทำฉันหรอก ใช่ไหม” เธอทำใจกล้าถามออกไป“ไม่รู้สิ ต้องดูก่อนว่าเจ้าทำตัวดีแค่ไหน ข้าอาจจะสงสารเจ้าบ้างก็ได้” “แสดงว่านายให้ฉันอยู่ด้วยได้ใช่ไหม” ผู้
เธอและเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกระหว่างทางที่เกวียนวิ่งไปเรื่อยๆ มีแค่เธอที่มองสองข้างทางอย่างสนอกสนใจ ที่นี่สองข้างทางมีแค่ป่า ทางที่เอาไว้สำหรับใช้เดินทางก็เป็นทางง่ายๆ มีหลุมตลอดทาง เวลาเกวียนวิ่งไปทำให้เธอรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เกวียนวิ่งผ่านหลุมเหล่านั้น เธอคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงเสียทีอี้เฉิงมองไปที่หญิงสาวที่มองดูตลอดสองข้างทาง เหมือนคนไม่เคยเห็น และทำหน้าเจ็บปวดทุกครั้งที่เกวียนวัวคันนี้ขับลงหลุมที่มีอยู่ตลอดเส้นทาง เขามองนางและคิดว่านางคงไม่เคยพบเจอกับความลำบากมาก่อนหรือเปล่า เขาคิดอะไรเพลินๆ ก็ถึงประตูเข้าเมือง เขาจ่ายค่าผ่านทางและบอกให้คนขับเกวียนขับไปที่ร้านอาหารตระกูลฉิ่น“ถึงร้านอาหารตระกูลฉิ่นแล้ว” อี้เฉิงเดินลงมาจากรถเกวียนวัว ลูกจ้างที่กำลังทำความสะอาดอยู่หน้าร้านก็วิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ออกมา เพราะร้านอาหารตระกูลฉิ่นกับอี้เฉิงซื้อขายกันบ่อยครั้ง“หลงจู๊ขอรับ นายพรานอี้เฉิงมาหาขอรับ” “นายพรานอี้เฉิงมาหรือ เจ้าเรียกเขาเข้ามาข้างในร้านเลย” “ได้ขอรับ” ลูกจ้างเดินออกไปเรียกอี้เฉิงให้เข้ามาคุยภายในร้าน แต่อี้เฉิงบอกว่ามีสินค้าชิ้นใหญ่นำมาขายเอาออกมาวางข้างนอกไม่ได้
เธอนั่งเกวียนมาอีกสักพักก็ถึงร้านผ้าแห่งหนึ่ง ตอนนี้ใกล้มืดแล้วร้านค้าเก็บของกันไปหมด มีเหลือไม่กี่ร้านเท่านั้น เธอได้สังเกตภายในเมืองแต่ก็มองไม่ค่อยเห็นมากนักเพราะแสงไฟในเมืองไม่ค่อยมี เอาไว้คราวหน้าถ้าเข้ามาในเมืองแห่งนี้อีกเธอจะต้องเดินดูสิ่งของภายในตลาดแห่งนี้บ้างแล้ว“เจ้าเข้าไปเลือกสิ่งของที่เจ้าต้องใช้มาเถอะ ที่บ้านของข้านั้นมีของใช้แค่ชุดเดียวเท่านั้น” ตัวเธอมาแค่ตัวเปล่าๆ ไม่มีสิ่งของอะไรติดตัวมาด้วย มีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอยืมเงินท่านซื้อของพวกนี้ไปก่อน รอข้าหาเงินได้ ข้าจะนำมาคืนท่าน” “เจ้าคิดว่าข้าหน้าเงินมากหรือไรของพวกนี้ข้าให้เจ้า เพราะเจ้าต้องช่วยงานข้า” เธอคิดว่ามันสมเหตุผลแล้ว จึงตกลงและเดินเข้าไปเลือกซื้อสินค้าภายในร้านผ้า ร้านผ้าแห่งนี้เป็นร้านผ้าไม่ใหญ่มากนัก และเป็นร้านผ้าร้านเดียวที่ยังเปิดขายอยู่“ร้านผ้าซิ่วอิง ยินดีต้อนรับ ท่านต้องการซื้อสิ่งใดสอบถามกับข้าได้” เธอเดินเข้ามาในร้านผ้า ก็พบเข้ากับเจ้าของร้าน เป็นผู้หญิงอายุน่าจะสี่สิบกว่าแล้ว แต่นางยังดูสวยอยู่ แต่งตัวสะอาดหน้าตาดูใจดี “อยากดูผ้าห่มสำเร็จรูป และเสื้อผ้า”
เธอเข้ามาในห้องนอน ก็เห็นว่าเป็นเตียงเตาที่มีขนาดใหญ่สามารถนอนได้สองคน และรอบๆ ห้องก็ไม่มีสิ่งของอะไรอีก พอตกช่วงกลางคืนอากาศก็จะเริ่มหนาวแล้ว เธอที่อยู่เมืองร้อนมาตลอดไม่ค่อยคุ้นชินกับอากาศที่หนาวเท่าไหร่ เขาจะนอนด้านในหรือด้านนอกกันนะ เธอไม่ถือหรอกถ้าจะนอนเตียงเดียวกัน เธอเป็นหญิงยุคใหม่ และยอมรับอะไรได้ง่ายๆ แค่เขาไม่เข้ามาวุ่นวายกับเธอก็พอแล้ว เธอปูผ้าไปก็หาวิธีหาเงินไปด้วย เธอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องก็เป็นเขานั้นเอง“นั่นท่านจะทำอะไร ท่านต้องไปอาบน้ำก่อน ข้าจะไม่ยอมนอนกับคนที่ไม่อาบน้ำ” “เรื่องของเจ้าแต่ข้าจะนอน ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เขากำลังล้มตัวนอน ก็มีแรงดึงมาที่แขน เป็นนางที่พยายามดึงเขา เพื่อให้เขาออกไปอาบน้ำ ที่จริงตัวเขาก็เป็นคนที่รักความสะอาด แต่วันนี้เขาเหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้ว เขาอยากจะนอน แต่นางก็ดึงแขนเขาไม่หยุด เขาจึงต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ เขาจะได้เริ่มนอนเสียทีเธอดึงแขนเขาจนเมื่อยแขนไปหมด คนอะไรตัวแข็งขนาดนี้กัน จนสุดท้ายเขาก็ยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำ เธอเดินตามออกไป เธออยากรู้ว่าเขาเอาน้ำที่ไหนอาบ“อยากออกมาดูข้าอาบน้ำก็ไม่บอก เจ้ามาอาบน้ำกับข้าก็ได้ ข้าไม่ว่าเ
เธอรีบทำอาหารที่พอทำได้ ดีที่ห้องครัวนี้มีสองเตา เธอจึงใช้หนึ่งเตาหุงข้าวขาวที่มีอยู่เต็มถัง ตอนเด็กเธอเคยอยู่กับยาย ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเธอก็เคยหุงข้าวบนเตาถ่านแบบนี้อยู่บ้างไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมน้ำข้าวที่ได้ ก็มีประโยชน์อีกด้วย ตอนเช้าเธอหุงข้าว และทำกับข้าวสองอย่าง เธอจุดไฟอีกเตา เธอใช้กระทะแบบมีหูจับสองข้าง เธอหันไปเห็นผักกาดดอง และมีไข่อยู่พอดี เครื่องปรุงของที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเกลือและน้ำตาล มีน้ำมันอยู่เต็มถัง เขาเป็นนายพรานสิ่งที่ไม่ขาดแคลนก็คือเนื้อ เธอยังเห็นเนื้อตากแห้ง เธอจึงเริ่มทำผัดผักกาด เธอเอาน้ำมันเทไปบนกระทะ และผัดไข่กับผักกาดปรุงรสแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็ยกลงจากเตา อย่างที่สองเธอนำไข่ที่ตีจนเข้ากันแล้ว นำไปทอดในกระทะให้มีสีเหลืองกรอบดูน่ากินและตักออก เธอยกกระทะลง เธอเอาหม้อที่มีอยู่ในบ้านต้มน้ำใส่เกลือนิดหน่อยปรุงรส เธอใส่เนื้อตากแห้งเคี่ยวจนได้ที่แล้ว ก็เอาไข่ที่ทอดไว้มาหั่นเป็นสี่เหลี่ยม ใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝาหม้อและก็เบาไฟลง พร้อมกับข้าวที่สุกพร้อมทานพอดี เธอมองทุกอย่างที่พร้อมแล้ว เธอก็เข้าไปล้างหน้าและเรียกอี้เฉิงให้มากินข้าวพร้อมกัน แต่ที่แห่งนี้ไม่มีแปรงส
เธอตกใจกับค่าแต้มที่ได้มาก ค่าแต้มเสน่หาเธอจะไปทำกับใคร จะไปกอดหรือจูบกับนายพรานหน้าโหดอี้เฉิงนั่นหรือ เธอเปิดดูราคาสินค้าที่เธอต้องการซื้อในตอนนี้ก่อน นั่นคือแปรงสีฟัน เธอทนไม่ได้กับกลิ่นปากของตัวเอง ไม่ใช่เธอมีกลิ่นปากที่เหม็นแต่เธอไม่ชิน ราคาแปรงสีฟันอยู่ที่สามสิบแต้ม และยาสีฟันห้าสิบแต้ม สบู่ห้าสิบแต้ม เธอพักเรื่องการหาแต้มไว้ก่อน เอาไว้เธอจะลองคิดเรื่องนี้อีกที เธอหันไปเห็นอี้เฉิงกำลังเดินมาทางที่เธอนั่งอยู่ เธอรีบเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมด้วยการพูดคำว่าเก็บ โทรศัพท์ก็หายไปทันที“ทำไมเจ้าถึงเดินออกมาไกลเช่นนี้ เราต้องไปพบกับผู้ใหญ่บ้านกันแล้ว เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะไปรอที่บ้าน” เธอไม่ได้ตอบอะไรเขาไป เธอมัวแต่มองหน้าของเขาอยู่ ถ้าอี้เฉิงโกนหนวดออกไป เขาก็จะเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเลย ถ้าเขาทำผมให้มันดีๆ ก็คงมีสาวหลายคนยอมที่จะเป็นภรรยาให้เขาแน่อี้เฉิงมองท่าทางเหม่อลอยของเหมยฮวา จึงเรียกเธออีกครั้ง “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า เจ้าเป็นอะไรกันไม่สบายใช่หรือไม่” เขาเอามือไปจับที่หน้าผากของเหมยฮวาเพื่อวัดไข้ของตัวนาง เพราะเมื่อคืนนางอาบน้ำเย็น นางอาจจะไม่สบายได้เหมยฮวา
“ความจำของข้ากลับมาบ้างแล้ว ตอนข้าไปขายสัตว์ที่ล่าได้ภายในเมือง ข้าเจอเข้ากับภรรยาที่กำลังตามหาข้าอยู่โดยบังเอิญ ข้าจึงพาภรรยาของข้ามาอยู่ด้วย ท่านคงไม่ว่าอะไร” “ข้าจะไปว่าอะไรท่านได้ ข้าดีใจที่ท่านความจำกลับมาบ้างแล้ว แล้วภรรยาของท่านชื่ออะไร” “ข้าชื่อเหมยฮวา ต้องรบกวนเวลาของท่านเสียแล้ว” “พวกเราก็เป็นคนกันเองกันทั้งนั้น มีอะไรช่วยได้ ข้าก็ช่วย วันนี้ข้าว่างอยู่พอดี จะเข้าเมืองเอาชื่อภรรยาของท่านไปลงไว้ที่อำเภอให้” “ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านมากขอรับ นี่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวกลับบ้านก่อน” “น้ำใจอะไร คนกันเองทั้งนั้น” ผู้ใหญ่บ้านจับน้ำหนักของถุงที่ใส่เงิน ก็มีสีหน้าพึงพอใจ เขามองตามหลังของนายพรานอี้เฉิงที่เดินออกจากประตูบ้านไป น่าเสียดายจริงๆ เขาวางแผนไว้ว่าจะให้ลูกสาวคนโตแต่งงานกับนายพรานอี้เฉิง เขาจะได้มีเงินใช้จ่ายไม่ขาดมือ และยังมีเนื้อกินอีกด้วย“ท่านพ่อ นายพรานเขามีภรรยาแล้ว แล้วตัวข้าละ ข้ารอนายพรานอี้เฉิงมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านไม่สงสารลูกคนนี้ของท่านบ้างหรือ” หลีถิงพูดเสร็จก็เข้าห้องนอนของเธอไป เธอนั่งร้องให้ เสียใจที่นายพรานที่เธอแอบมีใจให้มีภรรย
“ความจำของข้ากลับมาบ้างแล้ว ตอนข้าไปขายสัตว์ที่ล่าได้ภายในเมือง ข้าเจอเข้ากับภรรยาที่กำลังตามหาข้าอยู่โดยบังเอิญ ข้าจึงพาภรรยาของข้ามาอยู่ด้วย ท่านคงไม่ว่าอะไร” “ข้าจะไปว่าอะไรท่านได้ ข้าดีใจที่ท่านความจำกลับมาบ้างแล้ว แล้วภรรยาของท่านชื่ออะไร” “ข้าชื่อเหมยฮวา ต้องรบกวนเวลาของท่านเสียแล้ว” “พวกเราก็เป็นคนกันเองกันทั้งนั้น มีอะไรช่วยได้ ข้าก็ช่วย วันนี้ข้าว่างอยู่พอดี จะเข้าเมืองเอาชื่อภรรยาของท่านไปลงไว้ที่อำเภอให้” “ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านมากขอรับ นี่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวกลับบ้านก่อน” “น้ำใจอะไร คนกันเองทั้งนั้น” ผู้ใหญ่บ้านจับน้ำหนักของถุงที่ใส่เงิน ก็มีสีหน้าพึงพอใจ เขามองตามหลังของนายพรานอี้เฉิงที่เดินออกจากประตูบ้านไป น่าเสียดายจริงๆ เขาวางแผนไว้ว่าจะให้ลูกสาวคนโตแต่งงานกับนายพรานอี้เฉิง เขาจะได้มีเงินใช้จ่ายไม่ขาดมือ และยังมีเนื้อกินอีกด้วย“ท่านพ่อ นายพรานเขามีภรรยาแล้ว แล้วตัวข้าละ ข้ารอนายพรานอี้เฉิงมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านไม่สงสารลูกคนนี้ของท่านบ้างหรือ” หลีถิงพูดเสร็จก็เข้าห้องนอนของเธอไป เธอนั่งร้องให้ เสียใจที่นายพรานที่เธอแอบมีใจให้มีภรรย
เธอตกใจกับค่าแต้มที่ได้มาก ค่าแต้มเสน่หาเธอจะไปทำกับใคร จะไปกอดหรือจูบกับนายพรานหน้าโหดอี้เฉิงนั่นหรือ เธอเปิดดูราคาสินค้าที่เธอต้องการซื้อในตอนนี้ก่อน นั่นคือแปรงสีฟัน เธอทนไม่ได้กับกลิ่นปากของตัวเอง ไม่ใช่เธอมีกลิ่นปากที่เหม็นแต่เธอไม่ชิน ราคาแปรงสีฟันอยู่ที่สามสิบแต้ม และยาสีฟันห้าสิบแต้ม สบู่ห้าสิบแต้ม เธอพักเรื่องการหาแต้มไว้ก่อน เอาไว้เธอจะลองคิดเรื่องนี้อีกที เธอหันไปเห็นอี้เฉิงกำลังเดินมาทางที่เธอนั่งอยู่ เธอรีบเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมด้วยการพูดคำว่าเก็บ โทรศัพท์ก็หายไปทันที“ทำไมเจ้าถึงเดินออกมาไกลเช่นนี้ เราต้องไปพบกับผู้ใหญ่บ้านกันแล้ว เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะไปรอที่บ้าน” เธอไม่ได้ตอบอะไรเขาไป เธอมัวแต่มองหน้าของเขาอยู่ ถ้าอี้เฉิงโกนหนวดออกไป เขาก็จะเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเลย ถ้าเขาทำผมให้มันดีๆ ก็คงมีสาวหลายคนยอมที่จะเป็นภรรยาให้เขาแน่อี้เฉิงมองท่าทางเหม่อลอยของเหมยฮวา จึงเรียกเธออีกครั้ง “เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า เจ้าเป็นอะไรกันไม่สบายใช่หรือไม่” เขาเอามือไปจับที่หน้าผากของเหมยฮวาเพื่อวัดไข้ของตัวนาง เพราะเมื่อคืนนางอาบน้ำเย็น นางอาจจะไม่สบายได้เหมยฮวา
เธอรีบทำอาหารที่พอทำได้ ดีที่ห้องครัวนี้มีสองเตา เธอจึงใช้หนึ่งเตาหุงข้าวขาวที่มีอยู่เต็มถัง ตอนเด็กเธอเคยอยู่กับยาย ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเธอก็เคยหุงข้าวบนเตาถ่านแบบนี้อยู่บ้างไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมน้ำข้าวที่ได้ ก็มีประโยชน์อีกด้วย ตอนเช้าเธอหุงข้าว และทำกับข้าวสองอย่าง เธอจุดไฟอีกเตา เธอใช้กระทะแบบมีหูจับสองข้าง เธอหันไปเห็นผักกาดดอง และมีไข่อยู่พอดี เครื่องปรุงของที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเกลือและน้ำตาล มีน้ำมันอยู่เต็มถัง เขาเป็นนายพรานสิ่งที่ไม่ขาดแคลนก็คือเนื้อ เธอยังเห็นเนื้อตากแห้ง เธอจึงเริ่มทำผัดผักกาด เธอเอาน้ำมันเทไปบนกระทะ และผัดไข่กับผักกาดปรุงรสแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็ยกลงจากเตา อย่างที่สองเธอนำไข่ที่ตีจนเข้ากันแล้ว นำไปทอดในกระทะให้มีสีเหลืองกรอบดูน่ากินและตักออก เธอยกกระทะลง เธอเอาหม้อที่มีอยู่ในบ้านต้มน้ำใส่เกลือนิดหน่อยปรุงรส เธอใส่เนื้อตากแห้งเคี่ยวจนได้ที่แล้ว ก็เอาไข่ที่ทอดไว้มาหั่นเป็นสี่เหลี่ยม ใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝาหม้อและก็เบาไฟลง พร้อมกับข้าวที่สุกพร้อมทานพอดี เธอมองทุกอย่างที่พร้อมแล้ว เธอก็เข้าไปล้างหน้าและเรียกอี้เฉิงให้มากินข้าวพร้อมกัน แต่ที่แห่งนี้ไม่มีแปรงส
เธอเข้ามาในห้องนอน ก็เห็นว่าเป็นเตียงเตาที่มีขนาดใหญ่สามารถนอนได้สองคน และรอบๆ ห้องก็ไม่มีสิ่งของอะไรอีก พอตกช่วงกลางคืนอากาศก็จะเริ่มหนาวแล้ว เธอที่อยู่เมืองร้อนมาตลอดไม่ค่อยคุ้นชินกับอากาศที่หนาวเท่าไหร่ เขาจะนอนด้านในหรือด้านนอกกันนะ เธอไม่ถือหรอกถ้าจะนอนเตียงเดียวกัน เธอเป็นหญิงยุคใหม่ และยอมรับอะไรได้ง่ายๆ แค่เขาไม่เข้ามาวุ่นวายกับเธอก็พอแล้ว เธอปูผ้าไปก็หาวิธีหาเงินไปด้วย เธอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องก็เป็นเขานั้นเอง“นั่นท่านจะทำอะไร ท่านต้องไปอาบน้ำก่อน ข้าจะไม่ยอมนอนกับคนที่ไม่อาบน้ำ” “เรื่องของเจ้าแต่ข้าจะนอน ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เขากำลังล้มตัวนอน ก็มีแรงดึงมาที่แขน เป็นนางที่พยายามดึงเขา เพื่อให้เขาออกไปอาบน้ำ ที่จริงตัวเขาก็เป็นคนที่รักความสะอาด แต่วันนี้เขาเหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้ว เขาอยากจะนอน แต่นางก็ดึงแขนเขาไม่หยุด เขาจึงต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ เขาจะได้เริ่มนอนเสียทีเธอดึงแขนเขาจนเมื่อยแขนไปหมด คนอะไรตัวแข็งขนาดนี้กัน จนสุดท้ายเขาก็ยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำ เธอเดินตามออกไป เธออยากรู้ว่าเขาเอาน้ำที่ไหนอาบ“อยากออกมาดูข้าอาบน้ำก็ไม่บอก เจ้ามาอาบน้ำกับข้าก็ได้ ข้าไม่ว่าเ
เธอนั่งเกวียนมาอีกสักพักก็ถึงร้านผ้าแห่งหนึ่ง ตอนนี้ใกล้มืดแล้วร้านค้าเก็บของกันไปหมด มีเหลือไม่กี่ร้านเท่านั้น เธอได้สังเกตภายในเมืองแต่ก็มองไม่ค่อยเห็นมากนักเพราะแสงไฟในเมืองไม่ค่อยมี เอาไว้คราวหน้าถ้าเข้ามาในเมืองแห่งนี้อีกเธอจะต้องเดินดูสิ่งของภายในตลาดแห่งนี้บ้างแล้ว“เจ้าเข้าไปเลือกสิ่งของที่เจ้าต้องใช้มาเถอะ ที่บ้านของข้านั้นมีของใช้แค่ชุดเดียวเท่านั้น” ตัวเธอมาแค่ตัวเปล่าๆ ไม่มีสิ่งของอะไรติดตัวมาด้วย มีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอยืมเงินท่านซื้อของพวกนี้ไปก่อน รอข้าหาเงินได้ ข้าจะนำมาคืนท่าน” “เจ้าคิดว่าข้าหน้าเงินมากหรือไรของพวกนี้ข้าให้เจ้า เพราะเจ้าต้องช่วยงานข้า” เธอคิดว่ามันสมเหตุผลแล้ว จึงตกลงและเดินเข้าไปเลือกซื้อสินค้าภายในร้านผ้า ร้านผ้าแห่งนี้เป็นร้านผ้าไม่ใหญ่มากนัก และเป็นร้านผ้าร้านเดียวที่ยังเปิดขายอยู่“ร้านผ้าซิ่วอิง ยินดีต้อนรับ ท่านต้องการซื้อสิ่งใดสอบถามกับข้าได้” เธอเดินเข้ามาในร้านผ้า ก็พบเข้ากับเจ้าของร้าน เป็นผู้หญิงอายุน่าจะสี่สิบกว่าแล้ว แต่นางยังดูสวยอยู่ แต่งตัวสะอาดหน้าตาดูใจดี “อยากดูผ้าห่มสำเร็จรูป และเสื้อผ้า”
เธอและเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกระหว่างทางที่เกวียนวิ่งไปเรื่อยๆ มีแค่เธอที่มองสองข้างทางอย่างสนอกสนใจ ที่นี่สองข้างทางมีแค่ป่า ทางที่เอาไว้สำหรับใช้เดินทางก็เป็นทางง่ายๆ มีหลุมตลอดทาง เวลาเกวียนวิ่งไปทำให้เธอรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เกวียนวิ่งผ่านหลุมเหล่านั้น เธอคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงเสียทีอี้เฉิงมองไปที่หญิงสาวที่มองดูตลอดสองข้างทาง เหมือนคนไม่เคยเห็น และทำหน้าเจ็บปวดทุกครั้งที่เกวียนวัวคันนี้ขับลงหลุมที่มีอยู่ตลอดเส้นทาง เขามองนางและคิดว่านางคงไม่เคยพบเจอกับความลำบากมาก่อนหรือเปล่า เขาคิดอะไรเพลินๆ ก็ถึงประตูเข้าเมือง เขาจ่ายค่าผ่านทางและบอกให้คนขับเกวียนขับไปที่ร้านอาหารตระกูลฉิ่น“ถึงร้านอาหารตระกูลฉิ่นแล้ว” อี้เฉิงเดินลงมาจากรถเกวียนวัว ลูกจ้างที่กำลังทำความสะอาดอยู่หน้าร้านก็วิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ออกมา เพราะร้านอาหารตระกูลฉิ่นกับอี้เฉิงซื้อขายกันบ่อยครั้ง“หลงจู๊ขอรับ นายพรานอี้เฉิงมาหาขอรับ” “นายพรานอี้เฉิงมาหรือ เจ้าเรียกเขาเข้ามาข้างในร้านเลย” “ได้ขอรับ” ลูกจ้างเดินออกไปเรียกอี้เฉิงให้เข้ามาคุยภายในร้าน แต่อี้เฉิงบอกว่ามีสินค้าชิ้นใหญ่นำมาขายเอาออกมาวางข้างนอกไม่ได้
“ฉันบอกนายตามตรง ฉันสูญเสียความทรงจำ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากที่ไหนเลยด้วยซ้ำ แล้วนายจะทิ้งฉันไว้ในที่ ที่ฉันไม่รู้จัก ฉันขออยู่กับนายจนกว่าฉันจะรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และฉันเอาตัวรอดได้ ฉันก็จะไปจากนายทันทีเลย ฉันสัญญาฉันจะไม่ทำอันตรายนายอย่างแน่นอน” “ข้านี่นะ จะกลัวเจ้าทำร้าย เจ้ามาอยู่กับข้า เจ้าไม่กลัวข้าหรือไง ใครๆ เขาก็กลัวข้ากันทั้งนั้น แต่ถ้าเจ้าจะอยู่กับข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงคำพูดที่เจ้าใช้พูด และชุดที่เจ้าใส่มันแปลกเกินไป เจ้ามีชุดอื่นเปลี่ยนอีกหรือไม่” “ข้าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ข้าจะหาชุดมาจากไหน เงินข้าก็ไม่มีสักหยวน เราอยู่ด้วยกันแค่เป็นเพื่อนกันเท่านั้น นายห้ามคิดไม่ดีกับฉันเด็ดขาด แต่ฉันสามารถช่วยนายทำงานบ้านและทำกับข้าวให้นายกินได้ นายคิดว่าดีหรือเปล่า หรือนายมีภรรยาอยู่ที่บ้านแล้ว” “ข้าเป็นชายโสด ข้าไม่รู้ว่าจะเผลอล่วงเกินเจ้าหรือไม่ ก็เจ้าทั้งขาวและน่ารักแบบนี้” เขาแกล้งมองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาหื่นกระหาย“นายไม่ทำฉันหรอก ใช่ไหม” เธอทำใจกล้าถามออกไป“ไม่รู้สิ ต้องดูก่อนว่าเจ้าทำตัวดีแค่ไหน ข้าอาจจะสงสารเจ้าบ้างก็ได้” “แสดงว่านายให้ฉันอยู่ด้วยได้ใช่ไหม” ผู้
เธอตื่นมาในช่วงสายของอีกวันใต้ต้นเหมยฮวา เธอกะพริบตาเพื่อปรับภาพให้มองชัดขึ้น สิ่งที่เธอเห็นนั้นก็คือทุ่งดอกไม้ และเธอก็นอนอยู่ใต้ต้นไม้ เธอมองดูชุดที่ใส่ก็เป็นชุดวันที่เธอเรียนจบ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน เธอจำได้ว่าตัวเองถูกรถชนหลังจากที่เธอถูกเพื่อนผลักล้มลงบนถนน ในขณะที่เธอกำลังมึนงง อยู่นั้นก็ได้มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาดูน่ากลัวมาก มีหนวดเคราเต็มไปทั่วใบหน้ากำลังมองมาที่เธอ เธอจะต้องทำยังไงในตอนนี้ ในหัวของเธอสับสนไปหมดแล้วอี้เฉิงมองไปทางหญิงสาวที่ใส่ชุดไม่เหมือนกับคนอื่น ชุดแบบนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เพราะที่แห่งนี้ผู้หญิงจะไม่แต่งตัวที่เปิดให้เห็นมากนัก เขามองจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน และมาหยุดมองใบหน้าที่มีหน้าตาน่ารัก เธอเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักมาก เธออาจจะหนีออกมาจากหอนางโลมหรือเปล่า?แก้มหอมมองตามสายตาของชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ เขามองอะไร เธอนั่งลงเพื่อปิดบังขาของเธอ เพราะชุดที่เธอใส่อยู่นั้น เป็นชุดกระโปรงนักเรียนในวันที่เธอเรียนจบ “นายมองอะไรไม่ทราบ” เธอตกใจตัวเองเพราะคำพูดที่เธอได้พูดออกไปเป็นภาษาจีนเธอไม่เคยเรียนภาษาจีนมาก่อนเลยด้วยซ้ำทำไมเธอถึงพูดมันได้“ก็ไ
แก้มหอมสาวน้อยอายุสิบแปดปี เธอเป็นเด็กสาวกำพร้า ไม่มีพ่อแม่และญาติพี่น้องที่ไหน ก่อนที่พ่อและแม่ของเธอจะเสียชีวิต ท่านได้ทิ้งเงินไว้ให้เธอหนึ่งก้อนจากประกันชีวิตที่ท่านได้ทำไว้ให้เธอ และยังทิ้งบ้านหนึ่งหลังที่ไม่ใหญ่มาก แต่เธอก็ไม่ต้องเช่าบ้านให้เสียเงิน เธอได้ออกมาทำงานและส่งตัวเองเรียน จึงทำให้เธอมีจิตใจที่เข้มแข็งกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก เธอเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยร่าเริงและขี้เล่น เธอเป็นที่รักของเพื่อนๆ ในชั้นเรียน แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ชอบเธอเช่นกัน ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หลังเลิกเรียนเธอจะต้องออกไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อจนถึงเที่ยงคืน และวันเสาร์อาทิตย์ เธอทำงานในร้านขายเครื่องหอม เธอไม่มีเวลาให้เที่ยวเล่นแบบเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่เธอมีหน้าตาที่น่ารักจึงมักมีชายหนุ่มเข้ามาวนเวียนรอบๆ ตัวเธออยู่เสมอจึงมีเพื่อนหลายคนที่ไม่ชอบที่เธอหน้าตาดี และจะคอยหาเรื่องแกล้งเธอ แต่ก็ไม่ได้แกล้งแบบรุนแรงมากนัก เธอจึงไม่ได้เอาเรื่องไปฟ้องกับอาจารย์ เพราะเธอคิดว่าอีกไม่กี่เดือนเธอก็จะเรียนจบแล้ว เธอเองก็มีความฝันเหมือนกัน เธออยากเปิดร้านค้าเป็นของตัวเองสักหนึ่งร้าน เธอชอบน้ำหอมและเครื่องหอมที่เธอได้ทำงา