บทที่ 5
งานมงคล
นับจากพบหน้ากันครั้งนั้น หยางซูมี่ก็ไม่ได้พบเซี่ยเหวินหรงอีกเลย นางเพียงใช้ชีวิตไปอย่างปกติที่เพิ่มขึ้นมาคงจะมีเพียงการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเท่านั้น
ฮ่องเต้ทรงส่งหมัวมามาให้มาอบรมมารยาท และแจ้งลำดับขั้นตอนพิธีการแก่นาง ส่วนเรื่องพิธีการต่างๆ นั้น จะมีขันทีจากในวังมากำกับดูแลอีกที เรื่องสินสอด สินเจ้าสาวนั้นท่านพ่อให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการแทนฮูหยินรองทั้งหมด โดยทุกเรื่องจะต้องแจ้งให้หยางหมิงทราบก่อน นี่คงเป็นโชคดีของร่างนี้ที่มีท่านพ่อและพี่ชายที่รักใคร่อย่างใจจริง
จวนชินอ๋อง
ไป๋เย่องครักษ์คนสนิทของเซี่ยเหวินหรงเดินถือม้วนกระดาษเข้ามาในห้องหนังสือ โดยไม่รอให้เจ้าของห้องรอนาน เขารีบยื่นม้วนกระดาษให้ทันที แล้วเดินถอยหลังเพื่อรอคอยคำสั่งต่อไป เซี่ยเหวินหรงนั่งอ่านอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้าออกมาจากม้วนกระดาษ ในใจให้ขบคิดสงสัยถึงสิ่งที่เขียนอยู่ในนี้
"ไป๋เย่ บุรุษที่ถอนหมั้นหวางเฟยของข้า มันมาจากตระกูลใด" เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามปลายเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย
"คุณชายใหญ่เสิ่นอวี้เหยาขอรับ"
"ตระกูลของฮูหยินรองหรือ" คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ
"ขอรับ คุณชายใหญ่เสิ่นอวี้เหยาเป็นบุตรชายของเสนาบดีกรมโยธาเสิ่นอวี๋ ฮูหยินเอกตระกูลเสิ่นเป็นสหายสนิทของจ้าวฮูหยิน สองครอบครัวจึงได้หมั้นหมายกันไว้แต่เล็ก แต่ครั้นเสิ่นอวี้เหยาไปทำธุระที่ต่างแดน ได้ช่วยเหลือคุณหนูเจียงลี่เอาไว้ ทำให้ทั้งคู่เกิดผูกสมัครรักใคร่กัน
คุณชายใหญ่เสิ่นจึงขอยกเลิกงานหมั้นหมาย คุณหนูหยางซูมี่ทราบเข้าจึงเสียใจมาก นางถึงกับคิดสั้นกระโดดน้ำหวังปลิดชีพตนเอง โชคดีที่คุณชายใหญ่หยางเฟยเทียนกลับมาช่วยไว้ได้ทัน นางจึงรอดมาได้ เรื่องนี้ทำให้ท่านเสนาบดีหยางโกรธมาก ถึงขั้นตัดขาดจากตระกูลเสิ่น ส่วนฮูหยินรองเสิ่นอี๋นั่วเป็นบุตรสาวของนายท่านรองจากตระกูลเสิ่นสายรองขอรับ"
"ตระกูลเสิ่นช่างอบรมลูกหลานมาได้ดีจริงๆ"
ไป๋เย่ถึงกับขนลุกซู่ ทำไมท่านอ๋องถึงได้ยิ้มน่ากลัวเช่นนี้ ยิ้มเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะมีคนตายอย่างนั้นหรือ เขาได้แต่ไว้อาลัยให้กับตระกูลเสิ่นที่ดันไปหาเรื่องว่าที่หวางเฟยเข้า
"สั่งการลงไปองครักษ์ไป๋หู่ 10 นายจงไปคุ้มครองว่าที่หวางเฟยอย่าให้นางรู้ตัว"
"ขอรับ"
ไป๋เย่รีบออกไปทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง น้ำหนักในใจของว่าที่หวางเฟยคงจะมีมากจริงๆ ถึงขนาดมีคำสั่งส่งองครักษ์ไป๋หู่ให้ไปคอยอารักขา ไม่ได้ส่งไปแค่หนึ่งแต่ส่งไปถึงสิบ เขาต้องรีบไปแจ้งข่าวให้คนในหน่วยทราบถึงความสำคัญของว่าที่หวางเฟยเสียแล้ว
จวนตระกูลหยาง
หยางซูมี่ถูกเหล่าสาวใช้เข้ามารุมล้อมตั้งแต่เช้า วันนี้คือวันแต่งงานของนางกับชินอ๋อง นางจึงต้องตื่นตั้งแต่ยามอิ๋นมานั่งในอ่างอาบน้ำ ให้เหล่าสาวใช้เข้ามาอาบน้ำ ขัดตัว ขัดผิวจนผิวของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไปทั้งตัวแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จก็มาวุ่นวายกับการแต่งกายต่อ ซินซินกับเจินเจินช่วยสวมชุดคลุมตัวในสีแดงสด ตามด้วยชุดคลุมสีแดงยาวที่เดินดิ้นทองเป็นลายหงส์สยายปีก ดูงดงามสูงค่าตระการตา ชุดแต่งงานนี้ทางจวนอ๋องส่งมาให้ ทราบว่าใช้ช่างปักเย็บถึง 10 คนด้วยกัน
มงกุฎหงส์สีทองอร่ามที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ ประดับด้วยอัญมณีสีแดงเลือดนกน้ำงามถูกส่งมาให้ว่าที่หวางเฟยสวมใส่ในวันแต่งงาน มงกุฎหงส์อันนี้เป็นของรักของหวงของพระสนมเอกเว่ยกุ้ยเฟยพระมารดาชินอ๋อง ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าชินอ๋องนั้นทรงโปรดปรานว่าที่หวางเฟยผู้นี้มากเพียงใด ถึงขนาดนำของรักของพระมารดามามอบให้ในวันแต่งงาน
วันนี้หยางซูมี่ให้ซินซินเป็นคนแต่งหน้าให้ นางไม่อยากให้ใครมาแต่งหน้าให้เหมือนผีหรอกนะ เดิมทีเจ้าสาวต้องผลัดหน้าขาวผ่อง เขียนคิ้วเส้นเล็กโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ปัดแก้มสีแดงก่ำ ตบท้ายด้วยทาปากสีแดง นางเคยไปร่วมงานแต่งของสหาย จึงตั้งมั่นว่าจะไม่แต่งหน้าเช่นนั้นเด็ดขาด
ซินซินได้เรียนรู้การแต่งหน้าแบบธรรมชาติมาจากนายหญิง นางจึงสามารถเนรมิตให้นายสาวงดงามแบบธรรมชาติ ผลัดแป้งให้หน้าขาวนวลเนียนเผยผิวที่ไร้ราคี เขียนคิ้วตามรูปทรงของคิ้วเป็นเส้นเรียงกันสวย ทาเปลือกตาด้วยผงวิเศษของนายสาว เขียนปลายหางตาให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ปัดแก้มสีชมพูอย่างดอกเหลียนฮวา ทาปากสีแดงดั่งผลอิงเถา เมื่อหยางซูมี่ลืมตาขึ้นมองตนเองในคันฉ่อง นางยกยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วตกรางวัลให้ซินซิน สาวใช้ของนางผู้นี้มีฝีมือแต่งหน้าที่ไม่ธรรมดาเลย
"งามมากเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นเจ้าสาวที่แต่งหน้าได้งดงามเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ"
เจินเจินพูดออกอย่างที่คิด คุณหนูของนางปกติก็งามมากอยู่แล้ว ยิ่งได้ซินซินแต่งหน้าให้เช่นนี้ ยิ่งงดงามมากขึ้นไปอีก
เสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าห้องมาพร้อมกับการปรากฏกายของฮูหยินรองหม่าอี่นั่วกับหยางเจียลี่ นางนั้นเป็นถึงนายหญิงของจวนนี้ แต่กลับไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายงานแต่งของลูกเลี้ยงคนนี้ได้เลย ทั้งสินสอด และสินเจ้าสาวสามีของนางก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการทั้งหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจนัก เมื่อเดินเข้ามาเพื่อที่จะมาดูหน้าเจ้าสาว บ่าวรับใช้หน้าห้องก็ขวางทางนางไว้ กว่านางจะเข้ามาได้ก็กินเวลาไปนาน พอมาเห็นใบหน้างามของหยางซูมี่ที่ถอดแบบมาจากจ้าวอ้ายฉิงที่เสียไปแล้ว นางยิ่งริษยาจนแทบกระอักเลือดออกมา
"มี่เอ๋อร์ของเรางดงามจริงๆ แต่การแต่งหน้าเช่นนี้จะไม่ผิดธรรมเนียมไปหรือ"
เสิ่นอี๋นั่วจีบปากจีบคอพูด เดินมาหยุดตรงหน้าเจ้าสาวจากนั้นยื่นของขวัญส่งให้ หยางซูมี่ยื่นมือออกไปรับแล้วส่งต่อให้เจินเจินทันที ไม่ได้เปิดออกดูแม้เพียงนิด
"แม่รองสบายใจได้ ข้าถามหมัวมามาแล้วเจ้าค่ะ"
หยางซูมี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ หยางเจียลี่ยื่นกล่องของขวัญของตนให้เจ้าสาวบ้าง
"ของขวัญชิ้นนี้ ข้าตั้งใจเลือกมาให้พี่หญิงใหญ่เลยนะเจ้าคะ"
"ขอบใจเจ้ามาก"
"นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว แม่รองจะหวีผมให้เจ้าเอง" เสิ่นอี๋นั่วเดินไปหยิบหวี แต่ก่อนที่นางจะหวีผมให้เจ้าสาวก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมาก่อน
"ไม่รบกวนฮูหยินรอง หน้าที่หวีผมเจ้าสาวท่านยายของข้าจะเป็นผู้หวีเอง"
จ้าวเหมยอิงญาติผู้พี่ของหยางซูมี่เอ่ยขัดขึ้นมา นางเดินพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่าจ้าว เสิ่นอี๋นั่วได้แต่กัดฟันเดินหลีกทางให้ นางไม่อาจทำให้ตระกูลจ้าวขุ่นเคืองใจได้
หยางซูมี่หันมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าจ้าว และฮูหยินจ้าวท่านป้าสะใภ้ของนาง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวหยิบหวีในถาดมาหวีผมให้หยางซูมี่ พร้อมกล่าวคำอวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวปลาบปลื้มใจแทนบุตรสาวของนางที่เสียไปก่อน ถ้าบุตรสาวของนางยังอยู่คงจะดีใจมากที่หยางซูมี่ได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีพร้อมเช่นนี้ คิดแล้วน้ำตาพานจะไหลออกมา
"ท่านแม่ วันนี้เป็นวันดีของมี่เอ๋อร์ ท่านจะร้องไห้ไม่ได้นะเจ้าคะ"
จ้าวฮูหยินกล่าวเตือนแม่สามี ก่อนจะหันไปหาหยางซูมี่ "ป้าดีใจกับเจ้าด้วยมี่เอ๋อร์ นับจากนี้คงต้องเรียกพระชายาแล้วล่ะสิ"
จ้าวฮูหยินเอ่ยสัพยอกว่าที่พระชายา แล้วหันไปหาบุตรสาวของตน "อิงเอ๋อร์เข้ามามอบของขวัญให้น้องเร็ว"
"ดีใจกับเจ้าด้วย มี่เอ๋อร์"
จ้าวเหมยอิงยื่นกล่องของขวัญให้หยางซูมี่ พลางขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์ "เจ้าต้องเปิดตอนอยู่คนเดียวนะ สิ่งนี้ข้าเสียเงินไปถึง 100 ตำลึงทองเชียว"
จ้าวเหมยอิงแอบกระซิบบอกตอนทุกคนเผลอ หยางซูมี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
เมื่อผู้ใหญ่ออกไปข้างนอกแล้ว สหายสนิทอย่างหม่าฮุ่ยหลิงกับเถาซูเม่ยเดินเข้ามามอบของขวัญให้เจ้าสาว พูดคุยกันได้เล็กน้อย แม่สื่อก็เดินเข้ามาสวมมงกุฎหงส์ แล้วจึงนำผ้าสีแดงมาคลุมหน้าเจ้าสาว เพื่อพาเจ้าสาวออกไปขึ้นเกี้ยว
หน้าจวนตระกูลหยางเต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมงานแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม และคนที่มามุงดูขบวนเจ้าสาว ขบวนเจ้าบ่าวนั้นชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงเดิมทีสวมแต่ชุดสีดำปักลายพยัคฆ์ แต่วันนี้สวมชุดสีแดง ดูหล่อเหลาสง่างามเป็นอย่างมาก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความชื่นมื่น
เซี่ยเหวินหรงขี่ม้าอาชาโลหิตสีดำนิล เกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามล้วนเป็นองครักษ์ไป๋หู่ที่ท่านอ๋องคัดเลือกด้วยตนเอง ตลอดทางล้วนโปรยขนมมงคล กลีบดอกไม้ และยังมีตำลึงเงินด้วย ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงล้วนยินดีกันถ้วนหน้า
เจ้าสาวเดินออกมาโดยการประคองของแม่สื่อ ก่อนจะส่งมือเจ้าสาวมอบให้ท่านเสนาบดีหยางหมิงกับคุณชายใหญ่หยางเฟยเทียนประคองไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว
"พ่อดีใจกับเจ้าด้วย แม้ว่าเจ้าจะแต่งออกไปแล้ว แต่อย่าได้ลืมว่าเจ้ายังเป็นคนตระกูลหยาง" ปรายหางตาหยางหมิงมีน้ำตาซึมออกมา
"หากชินอ๋องรังแกเจ้า เจ้าจงมาบอกพี่"
หยางเฟยเทียนพูดอย่างหนักแน่นมั่นคง หากชินอ๋องรังแกหยางซูมี่เขาก็พร้อมจะเข้าไปช่วยน้องสาวอย่างไม่ห่วงชีวิตของตนเอง
"ขอบคุณท่านพ่อและพี่ใหญ่เจ้าค่ะ มี่เอ๋อร์จะจดจำไว้"
หยางซูมี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มทั้งใบหน้า ตื้นตันใจในความรัก ความหวังดีของทั้งสองคนที่มีให้ต่อนางด้วยใจจริง
บทที่ 6คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง หยางหมิงประคองหยางซูมี่ให้ขึ้นขี่หลังหยางเฟยเทียนด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว หยางเฟยเทียนจึงลุกขึ้นเต็มความสูงของตนเอง แล้วเดินแบกหยางซูมี่เพื่อขึ้นไปนั่งที่เกี้ยว เซี่ยเหวินหรงลงมาจากหลังม้าเข้ามาเพื่อช่วยประคองหยางซูมี่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เมื่อเจ้าสาวเข้าไปนั่งในเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว ขบวนเจ้าสาวก็ออกเดินทางเพื่อไปยังจวนชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงขี่ม้านำขบวน ตามด้วยเกี้ยวเจ้าสาวที่มี 8 คนหาม นอกจากนี้ยังมีทหารจากกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ 1,000 นายคอยอารักขาขบวนเจ้าสาว สินสอดที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาวนั้นมีมากถึง 50 หีบท่านเสนาบดีหยางมอบให้หยางซูมี่ทั้งหมด รวมกับสินเดิมที่ท่านเสนาบดีหยางหมิงจัดเตรียมมาให้ด้วยนั้น อีก 50 หีบ รวมกันมากถึง 100 หีบ สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ที่พบเห็น ตระกูลหยางนั้นให้ความสำคัญกับบุตรีผู้นี้จริงๆสองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยฝูงชนที่มารอดูขบวนเจ้าสาว กว่าที่จะเดินทางมาถึงจวนชินอ๋องต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามเมื่อถึงหน้าจวนชินอ๋อง เซี่ยเหวินหรงกระโดดลงมาจากหลังม้า
บทที่ 7มู่เหลียนฮวา "อื้อ หนักจัง ต้าปิงเจ้าแมวอ้วนลุกออกไปจากท้องเลยนะ"หยางซูมี่พึมพำอย่างงัวเงีย คิ้วเรียวขมวดเพราะความอึดอัดที่ช่วงท้อง รู้สึกเหมือนมีอะไรทับ คิดว่าเป็นต้าปิงแมวอ้วนแสนรัก เอ๊ะ! แต่ต้าปิงไม่ได้ย้อนกลับมานี่น่าแล้วนางก็คือหยางซูมี่ไม่ใช่ไผ่หลิว แล้วอะไรทับท้องนัยน์ตากลมโตค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แม้จะยังง่วงงุนอยู่มากแต่สิ่งที่เห็นก็คือแขนผู้ชายที่มาทับท้อง เมื่อเลื่อนสายตาไปพบหน้าอกแกร่ง ไล่ลงไปเป็นคอ ถัดไปเป็นปลายคาง ปากหยักหนา จมูกโด่งเป็นสัน และสายตาคมที่กำลังมองลงมา"ชินอ๋อง!"หยางซูมี่อุทานด้วยความตกใจจึงรีบลุกขึ้นนั่ง แต่ติดที่แขนแกร่งไม่ยอมปล่อยเอวคอดของนาง"เรียกท่านพี่"เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงเข้มเล็กน้อยที่ร่างบางเรียกยังเขาว่าชินอ๋อง"มี่มี่ลุกไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะต้องเข้าวังไปพบเสด็จพี่กับเสด็จแม่"เซี่ยเหวินหรงลุกขึ้นไปเรียกสาวใช้หน้าห้องให้มาปรนนิบัติ แล้วเดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่ออาบน้ำหยางซูมี่ได้แต่มองตามเซี่ยเหวินหรงที่เดินหายเข้าไปหลังฉ
บทที่ 8พบหน้าไทเฮา เซี่ยเหวินหรงและหยางซูมี่เดินทางมาถึงตำหนักหย่งเหิงของไทเฮา เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบได้ ทั้งสองถวายความเคารพไทเฮาอย่างเต็มพิธีการ ฉีกงกงขันทีข้างกายของไทเฮาเดินถือถาดที่มีถ้วยน้ำชา 2 ใบ ยื่นให้ชินอ๋องกับพระชายาเซี่ยเหวินหรงกำลังยื่นถ้วยน้ำชาให้ไทเฮา แต่หันไปเห็นหยางซูมี่ถือถ้วยน้ำชาด้วยมืออันสั่นเทา อีกทั้งยังมีควันลอยกรุ่นออกมาจากถ้วยน้ำชา เห็นได้ชัดว่าถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่นั้นร้อนมากเซี่ยเหวินหรงใช้มืออีกข้างหยิบถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่ แล้วจงใจวางลงในถาดที่ฉีกงกงถือไว้อย่างแรง จนทำให้น้ำชาที่ร้อนนั้นกระเด็นไปโดนมือของฉีกงกง จนเผลอปล่อยถาดร่วงตกลงมา น้ำชาร้อนหกรดลวกขาฉีกงกงเซี่ยเหวินหรงเพียงปรายตามองฉีกงกงด้วยรอยยิ้ม บังอาจนักกล้ามาแตะต้องมี่มี่ของเขา“ลูกต้องขอประทานอภัยเสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ น้ำชาในถ้วยของหวางเฟยนั้นร้อนมาก ฉีกงกงคงชราเกินไปจนไม่ทันได้ตรวจดูให้ดีก่อน หวางเฟยของลูกมีความอดทนจึงไม่ทำให้น้ำชาร้อนพลาดไปหกใส่เสด็จแม่มิเช่นนั้นคงอาจจะทำให้ผิวของเสด็จแม่มีรอยแผลเป็นได้”เซี
บทที่ 9กลับบ้านเดิม สามวันหลังแต่งงาน หนึ่งวันก่อนออกเดินทางไปชายแดนเหนือเซี่ยเหวินหรงพาหยางซูมี่มาเยี่ยมบ้านเดิมหลังจากแต่งงานได้สามวัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม ทั้งสองเดินทางมาถึงจวนตระกูลหยางตั้งแต่ยามเฉิน ทุกคนในจวนตระกูลหยางต่างออกมารอต้อนรับชินอ๋องกับพระชายาหยางหมิงยืนอยู่ด้านหน้า ถัดมาเป็นหยางเฟยเทียน เสิ่นอี๋นั่ว หยางฟางหรง หยางเจียลี่ และบรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหมด เมื่อทั้งสองลงมาจากรถม้า ทุกคนต่างยอบกายถวายความเคารพตามบรรดาศักดิ์ฐานะหยางซูมี่รีบเข้าไปประคองท่านพ่อและพี่ชายให้รีบลุกขึ้น นางไม่ชินกับการที่ทุกคนต้องมาถวายความเคารพเช่นนี้เลยแม้จะทำตามตำแหน่งฐานะพระชายาชินอ๋องก็ตาม“เชิญเสด็จเข้าไปด้านในดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”หยางหมิงเสนอให้ทั้งสองเข้าไปด้านในจะดีกว่า เพราะในเวลานี้ที่ด้านนอกจวนล้วนมีชาวบ้านที่มามุงดูกันหลายคนนัก เซี่ยเหวินหรงตรงเข้าไปจูงมือหยางซูมี่เดินเข้าไปในเรือนหลักคล้อยหลังทั้งสองคนเดินจากไป มีสายตาริษยาที่มองมาด้วยความร้อนรุ่ม ย
บทที่ 10ธิดาเทพลี่จิน วันออกเดินทางของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ แม่ทัพใหญ่ผู้นำทัพในครั้งนี้คือชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง ฉายาอ๋องทมิฬ ตัวตนในเมืองหลวงของเขานั้นเปรียบดั่งคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อเขาสวมเกราะสีดำเงาวาว ขี่อาชาโลหิตสีนิลนั้น รูปลักษณ์ช่างดูน่าเกรงขาม ประกอบกับหน้ากากสีดำปีกนกอินทรีสยายปีก ปิดเพียงครึ่งหน้าบนเผยให้เห็นปากหยักหนาที่ออกคำสั่งเคลื่อนทัพหยางซูมี่มองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ ห่างไกลไปจากสายตา นางนึกถึงร่างสูงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ที่เข้ามาออดอ้อนให้นางสวมชุดเกราะให้ ก่อนจะลาจากกัน ยังมารังแกกันอีก ริมฝีปากหยักหนาที่ฉกมาขโมยจูบหอมหวานจากนางราวกับจะกลืนกินดวงวิญญาณของนางให้ออกจากร่างไป รสสัมผัสจากคราแรกอ่อนโยนดั่งปีกผีเสื้อกลับร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเมื่อเห็นว่านางหายใจไม่ออก เขาถึงได้ผละออกมา แล้ววนกลับมาจูบอีกครั้งจนปากของนางบวมเจ่อ แดงก่ำไปหมดแล้ว ฮือออ ท่านอ๋องบ้า“พี่จะรีบไปรีบกลับ หลังจากเสร็จศึกนี้ พี่จะมารับรางวัลจากเจ้านะมี่มี่” เซี่ยเหวินหรงยิ้มกริ่ม ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้หยางซูมี่ นางถึงกับวางหน
บทที่ 11โทสะของพระชายาชินอ๋อง จวนชินอ๋อง พ่อบ้านหลินคือคนที่ท่านอ๋องไว้ใจให้มาดูแลจวนชินอ๋อง แม้จะอายุ 50 ปี แต่ยังดูคล่องแคล่ว แข็งแรง สมกับเป็นคนที่เซี่ยเหวินหรงไว้ใจ แต่วันนี้เขากลับอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสีย ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากชินอ๋องทรงทราบ คงได้มีใครตายเป็นแน่หลังจากวันนั้นที่พระชายาไปเยี่ยมบ้านเดิม แล้วมีสาวใช้ลอบออกจากจวนไป ไป๋เยียนองครักษ์ ไป๋หู่ได้ลอบติดตามไปด้วย หลังจากนั้นจึงลอบสืบความจนทราบว่าพระชายาคือ หิมะสีชาด เจ้าของนามปากกาที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ เพราะหิมะสีชาดได้แต่งนิยายประโลมโลกที่มีฉากร่วมรักเร่าร้อนดุเดือดเผ็ดมัน หนังสือที่ออกมาต่างมีราคาแพงถึงเล่มละ 10 เหรียญทองแม้แต่พระสนมในวังยังลอบให้คนออกมาซื้อ ตัวเขาที่เป็นพ่อบ้านยังแอบซื้อมาอ่านเลย ทั้งยังเคยวิจารณ์ว่าหิมะสีชาด ช่างเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมนัก แต่งหนังสือออกมาได้สนุกและตื่นเต้นเร้าใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องก็มีความหลากหลาย เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหิมะสีชาดจะคือพระชายาหยางซูมี่ หากชินอ๋องทรงทราบต้องกริ้วมากเป็นแน่ แล้วถ้าหากม
บทที่ 12ชำระหนี้แค้น จวนตระกูลเถา หลังจากลงจากรถม้า เถาซูเม่ยรีบตรงกลับไปที่เรือนนอนของนางทันที ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด สั่งให้สาวใช้ข้างกายออกไปเฝ้าหน้าห้อง ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด เมื่อในห้องปลอดคนแล้วเถาซูเม่ยจึงบรรจงหยิบกล่องไม้ออกมาค่อยๆ เปิดออกดู ภายในกล่องไม้บรรจุกำไลหยกสีเขียวกระจ่างใส 1 วง เมื่อลองเพ่งพิศจะเห็นว่าด้านในของกำไลหยกมีอักษรแกะสลักไว้อ่านว่า ‘เฟยเทียน’ นอกจากจะมีกำไลหยกยังมีกระดาษแนบมาด้วยหนึ่งแผ่น เถาซูเม่ยคลี่กระดาษเปิดอ่านดู"เพียงแรกพบสบตา ใจของข้าก็สั่นไหว เสียงสกุณณาในพงไพร ไม่อาจเทียบเสียงหัวเราะของเจ้าเลยกำไลหยกวงนี้คือตัวแทนแห่งข้า"หยางเฟยเทียนเมื่ออ่านจบในใจของเถาซูเม่ยให้รู้สึกอุ่นวาบในอก ใจของนางก็เฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้นี้มานานแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งบุรุษที่นางหลงรักจะใจตรงกับนางเช่นกันเถาซูเม่ยนั้นได้เพียงแค่แอบมองคุณชายหยางเฟยเทียนเพียงไกลๆ ไม่เคยอาจหาญไปบอกความในใจให้เขารู้ มีเพียงเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับเขาที่เหลาอาหาร ระหว่างกำล
บทที่ 13พระชายารอง เมื่อหัวหน้าเผ่าสิ้นใจไป ทำให้ภายในเผ่าหูเจี๋ยน่าระส่ำระสาย มารดาของหูเจี๋ยลี่แต่งตั้งบุตรชายบุญธรรมของนางที่อายุเพียง 12 หนาวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วันกลับถูกกองทัพของชินอ๋องยกทัพมาตีจนแตกพ่าย ความหวังที่จะเสวยสุขกับชู้รักและบุตรชายที่เกิดกับชู้รักเป็นอันต้องจบสิ้นลงเซี่ยเหวินหรงตัดสินให้ประหารครอบครัวของหัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่า จัดตั้งรองแม่ทัพลู่เหอกังขึ้นมาดูแลจัดการเป็นการชั่วคราวแทน หากใครสวามิภักดิ์เขาจะละเว้นชีวิต ส่วนคนที่ไม่ยอมจำนนจะต้องถูกสังหารทั้งหมด ส่วนธิดาเทพลี่จิ่นนั้นถูกคุมตัวอยู่ภายในวิหารเทพ วิหารเทพ เซี่ยเหวินหรงเดินทางไปที่วิหารเทพพร้อมกับไป๋ลู่ และไป๋เย่ เขาเดินหยุดไปยืนตรงหน้าของลี่จิ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นธิดาเทพ นางหันมายกยิ้มแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซี่ยเหวินหรง"ข้าได้แก้แค้นแทนท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ข้าขอมอบให้ชินอ๋อง"ลี่จิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอ่อนหวาน เดิมทีนางลอบติดต่อกับเซี่ยเหว
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน