บทที่ 6
คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง หยางหมิงประคองหยางซูมี่ให้ขึ้นขี่หลังหยางเฟยเทียนด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว หยางเฟยเทียนจึงลุกขึ้นเต็มความสูงของตนเอง แล้วเดินแบกหยางซูมี่เพื่อขึ้นไปนั่งที่เกี้ยว เซี่ยเหวินหรงลงมาจากหลังม้าเข้ามาเพื่อช่วยประคองหยางซูมี่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เมื่อเจ้าสาวเข้าไปนั่งในเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว ขบวนเจ้าสาวก็ออกเดินทางเพื่อไปยังจวนชินอ๋อง เซี่ยเหวินหรงขี่ม้านำขบวน ตามด้วยเกี้ยวเจ้าสาวที่มี 8 คนหาม นอกจากนี้ยังมีทหารจากกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ 1,000 นายคอยอารักขาขบวนเจ้าสาว สินสอดที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาวนั้นมีมากถึง 50 หีบ ท่านเสนาบดีหยางมอบให้หยางซูมี่ทั้งหมด รวมกับสินเดิมที่ท่านเสนาบดีหยางหมิงจัดเตรียมมาให้ด้วยนั้น อีก 50 หีบ รวมกันมากถึง 100 หีบ สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ที่พบเห็น ตระกูลหยางนั้นให้ความสำคัญกับบุตรีผู้นี้จริงๆ สองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยฝูงชนที่มารอดูขบวนเจ้าสาว กว่าที่จะเดินทางมาถึงจวนชินอ๋องต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยาม เมื่อถึงหน้าจวนชินอ๋อง เซี่ยเหวินหรงกระโดดลงมาจากหลังม้า เดินเข้าไปประคองหยางซูมี่ลงมาจากเกี้ยว ตลอดทางเดินเข้าจวน เขาจับมือของนางตลอดเวลา เพราะมีผ้าคลุมหน้าทำให้นางมองอะไรไม่ชัดเจนนัก สะดุดก็ตั้งหลายครั้งเซี่ยเหวินหรงจึงอุ้มหยางซูมี่เข้ามายังโถงที่ทำพิธีเลย เมื่อวางเจ้าสาวลงยืนแล้วทั้งสองยืนเคียงคู่กัน ทุกคนในงานที่เห็นต่างอดจะชื่นชมไม่ได้ แม้มีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแต่ก็รู้ว่าต้องเป็นโฉมสะคราญอย่างแน่นอน หนึ่งสตรี หนึ่งบุรุษยืนเคียงคู่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก "หนึ่งคำนับ...ฟ้าดิน สอง...คำนับพ่อแม่ สาม...คำนับกันและกัน ส่งตัวเข้าห้องหอได้" หยางซูมี่ถูกพามาตัวมาส่งยังห้องหอ ส่วนเซี่ยเหวินหรงนั้นถูกแขกฝ่ายบุรุษพากันไปร่ำสุราอย่างครื้นเครง แม้เซี่ยเหวินหรงจะขึ้นชื่อว่าเป็นอ๋องทมิฬ แต่วันนี้เป็นวันมงคลบนใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่มุมปากให้เห็นตลอดทั้งงาน ทำให้มีคนใจกล้ามาขอยกจอกสุราด้วย เมื่อมีหนึ่งคน คนต่อๆ ไปก็พากันมายกจอกสุราบ้าง ในห้องหอเหลือเพียงหยางซูมี่ กับสาวใช้เพียงสองคนเจินเจินและซินซิน เจินเจินแอบนำขนมที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อหยิบมาให้นายสาวทานรองท้อง หยางซูมี่หยิบมากินเพียง 1 ชิ้น นางก็รู้สึกตื้อขึ้นมาจนกินอะไรไม่ลง มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้น และประหม่าจนรู้สึกมวนท้องทำให้กินอะไรไม่ลง "ซินซิน เจ้ามาช่วยข้าปลดมงกุฎหงส์และปิ่นหน่อย ข้าปวดคอจะแย่แล้ว" "จะดีหรือเจ้าคะ คุณหนูต้องให้ชินอ๋องมาถอดผ้าคลุมหน้าก่อนสิเจ้าคะ" "ช่างพิธีการนั้นเถิด ชินอ๋องไม่ว่าอะไรหรอก" ซินซินไม่กล้าเข้ามาเพราะยังคงลังเลอยู่ หยางซูมี่จึงปลดผ้าคลุมหน้าออกเอง กำลังจะหยิบมงกุฎหงส์ออก ซินซินก็รีบลุกมาช่วยคุณหนูเอาออกให้ หากให้คุณหนูถอดเอง เกรงว่าผมจะไปเกี่ยวกับมงกุฎหงส์ และปิ่นเข้าจนพันกันยุ่งเหยิงไปหมด หลังจากถอดเครื่องหัวออก นางก็รู้สึกโล่งหัวขึ้นมาทันที อาการปวดคอดูเหมือนจะดีขึ้นมาก "พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะข้าจะนอนพักสักหน่อย หากชินอ๋องเสด็จมารีบเข้ามารายงานข้า" หยางซูมี่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าทำให้เวลานี้หนังตาของนางจะปิดลงมาอยู่แล้ว เมื่อสาวใช้ออกไปในห้องจึงเหลือเพียงแค่หยางซูมี่ นางเดินตรงเข้าไปยังเตียงกว้างที่ประดับด้วยม่านโปร่งสีแดงมงคล บนเตียงกว้างมีหมอนคู่สีแดงสองใบวางไว้เคียงคู่กัน หยางซูมี่ปีนขึ้นไปบนเตียงเลือกนอนมุมเตียงด้านใน เพียงชั่วลมหายใจหยางซูมี่ก็หลับไปทันที หลับไปถึง 1 ชั่วยาม ตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกสดชื่นขึ้น ชินอ๋องก็ยังไม่เสด็จกลับมา นางเหนียวตัวจะแย่แล้ว หยางซูมี่จึงเรียกเจินเจินให้เข้ามาเตรียมน้ำอาบ หลังจากอาบน้ำเสร็จ หยางซูมี่ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะใช้ตะเกียบคีบอาหารมงคลทั้ง 10 อย่าง ชิมทีละจานอย่างช้าๆ จนครบหมดทุกจาน จึงได้วางตะเกียบลง หยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วยให้ตนเอง เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำนอกจากนั่งรอ หยางซูมี่จึงหันไปหยิบดูกล่องของขวัญที่ใส่ไว้ในหีบที่วางอยู่ข้างตู้ ของขวัญมากมายถูกเปิดออกดู ส่วนมากล้วนเป็นเครื่องประดับมีราคาแพง พลันสายตาก็ไปเห็นกล่องสุดท้าย จำได้ว่าเป็นกล่องของจ้าวเหมยอิง ประกอบกับคำพูดที่ทิ้งท้ายไว้จึงรีบหยิบขึ้นมาเปิดออกดู เมื่อเปิดกล่องออกมาพบเพียงหนังสือเล่มบางปกสีแดงไม่มีตัวอักษรเขียนไว้ ด้วยความอยากรู้นางจึงลองเปิดดู แต่ภาพที่ปรากฏออกมาทำให้นางตกใจ มือบางถึงกับชะงัก หนังสือเล่มนี้คือหนังสือภาพวังวสันต์ ทุกหน้าล้วนเต็มไปด้วยท่วงท่าร่วมรักของบุรุษและสตรี "อะแฮ่ม" หยางซูมี่สะดุ้งกับเสียงข้างหลัง ด้วยอารามตกใจทำให้หนังสือตกลงไปเปิดหน้าการร่วมรักแบบพิสดาร หากเป็นในยุคของไผ่หลิวก็ต้องเรียกท่านี้ว่าท่าหกเก้า ใบหน้างามแดงก่ำเมื่อเห็นว่าชินอ๋องเข้ามาอยู่ด้านหลังของนางอย่างเงียบๆ ภายในห้องเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน นางรีบก้มไปเก็บหนังสือภาพวังสันต์ แต่ก่อนที่จะหยิบขึ้นมา ชินอ๋องกลับแย่งมาถือไว้ในมือ เปิดออกดูทีละหน้าๆ หยางซูมี่ถึงกับมุมปากกระตุก ใบหน้าแดงซ่านรู้สึกเหมือนเด็กที่กระทำผิดแล้วโดนผู้ปกครองจับได้ มือไม้รู้สึกเกะกะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี "ไม่คิดว่า มี่มี่ของข้าจะมีหนังสือล้ำค่าเช่นนี้ด้วย" อะไรคือเรียกนางว่ามี่มี่ อะไรคือหนังสือล้ำค่า ชินอ๋องผู้นี้ชอบทำให้นางอับอายใช่หรือไม่ หยางซูมี่ไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของนางที่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา และแก้มที่พองลมออกมานั้น ดูน่ารักน่าเอ็นดูและน่าแกล้งเป็นที่สุด "ชินอ๋องโปรดเรียกหม่อมฉันว่ามี่เอ๋อร์เถอะเพคะ แล้วคืนหนังสือให้หม่อมฉันด้วย" "ในเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว คำเรียกขานก็ควรมีแค่เราสองที่เรียกสิ พี่ไม่ชอบเรียกตามอย่างผู้อื่น เมื่ออยู่กันตามลำพังไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์หรอก" "เจ้าค่ะ" "มี่มี่จะเรียกท่านพี่ หรือจะเรียกว่าเหวินหรงก็ได้พี่อนุญาต" "เจ้าค่ะ ท่านพี่" นางยอมเรียกท่านพี่แทนชื่อของเขาออกมาตรงๆ การเรียกชื่อนั้นดูเหมือนจะไม่ให้เกียรติสักเท่าไหร่ ส่วนการเรียกท่านพี่ล้วนเรียกกันตามปกติของสามีภรรยาอยู่แล้ว เซี่ยเหวินหรงเพียงยกยิ้มมุมปากที่นางเรียกท่านพี่แทนชื่อเขา "เรามาดื่มสุรามงคลกันเถอะ" ทั้งสองเดินไปนั่งที่โต๊ะ หยางซูมี่หยิบสุราขึ้นมารินใส่จอกแล้วส่งให้เซี่ยเหวินหรง ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน คล้องแขนแล้วดื่มสุราจนหมดจอก เมื่อวางจอกสุราลงบนโต๊ะหยางซูมี่ก็เดินกลับไปนั่งบนเตียงกว้าง นางไม่สนใจที่จะเอาหนังสือภาพวังวสันต์คืนแล้ว หากเขาอยากได้ก็เอาไปเถอะ เซี่ยเหวินหรงมองออกว่าหยางซูมี่กำลังแง่งอนเขาอยู่ คงเป็นเพราะเขาไม่ยอมคืนหนังสือภาพวังวสันต์ให้นาง "พี่ไปอาบน้ำก่อนนะน้องหญิง" เซี่ยเหวินหรงเอ่ยอย่างยั่วเย้า แล้วเดินไปหลังฉากกั้น ถอดชุดแต่งงานออก ลงเดินไปถังอาบน้ำ เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกัน เสียงน้ำกระฉอกออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ แล้วยังเงาที่สะท้อนมาจากฉากกั้นอีก หยางซูมี่ได้แต่นั่งบนเตียงข่มกลั้นความรู้สึกร้อนรุ่มของตนเอง แม้ว่านางจะมาจากอีกยุคแต่นางไม่เคยมีคนรักมาก่อน มุ่งมั่นแต่การทำงาน ถึงอย่างนั้นเรื่องชายหญิงนางก็เคยศึกษามาบ้าง แค่กๆ! เคยผ่านตามาเท่านั้น บุรุษที่เดินออกมาจากฉากกั้น สวมชุดนอนตัวบางสีขาว ผูกไม่เรียบร้อยเผยให้เห็นมัดกล้ามเป็นลอนสวย ที่มีหยดน้ำเกาะพราว ผมสีดำยาวเปียกชื้น ระกับใบหน้าคมเข้ม หยางซูมี่หันไปเห็นแทบจะกลั้นหายใจ หัวใจนางพลันเต้นแรงจนแทบจะดังออกมาให้ได้ยินแล้ว บอกได้คำเดียวว่า ‘หุ่นแซ่บมาก’ "ข้าเช็ดผมให้เจ้าค่ะ" หยางซูมี่เดินไปหยิบผ้ามาเช็ดผมให้เขา เช็ดอยู่นานกว่าผมจะแห้งสนิท หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พากันปีนขึ้นไปนอนที่เตียง เดิมทีภรรยาต้องนอนข้างนอกเพราะจะต้องตื่นก่อนสามีเพื่อมารอปรนนิบัติสามีในยามเช้า แต่เขากลับให้นางนอนด้านใน ประหนึ่งจะกักขังนางไม่ให้หลบหนี เซี่ยเหวินหรงใช้ลมปราณดับเทียนในห้อง ในห้องจึงมีเพียงแสงของดวงจันทร์ที่ลอดเข้ามาพอให้เห็นเป็นเงารางเลือน "นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่กับเสด็จพี่" เอ่ยจบเซี่ยเหวินหรงก็หลับตาลง เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับไปแล้ว หยางซูมี่รู้สึกฉงนใจ คืนนี้เป็นคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง แต่ชินอ๋องกลับเลือกที่จะนอนเสียอย่างนั้น นางรึก็อุตส่าห์เตรียมตัว เตรียมใจแล้วนะ หึ เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน นอนก็นอน ไม่นานหยางซูมี่ก็ผล็อยหลับไปอีกคน เซี่ยเหวินหรงลืมตาขึ้นมามองเมื่อแน่ใจว่าหยางซูมี่นั้นหลับไปแล้ว ร่างสูงชันตัวลุกขึ้นใบหน้าคมประดับรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้มหน้าลงไปจุมพิตที่หน้าผากกลมมนของหยางซูมี่ จากนั้นจึงได้ล้มตัวลงนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนบทที่ 7มู่เหลียนฮวา "อื้อ หนักจัง ต้าปิงเจ้าแมวอ้วนลุกออกไปจากท้องเลยนะ"หยางซูมี่พึมพำอย่างงัวเงีย คิ้วเรียวขมวดเพราะความอึดอัดที่ช่วงท้อง รู้สึกเหมือนมีอะไรทับ คิดว่าเป็นต้าปิงแมวอ้วนแสนรัก เอ๊ะ! แต่ต้าปิงไม่ได้ย้อนกลับมานี่น่าแล้วนางก็คือหยางซูมี่ไม่ใช่ไผ่หลิว แล้วอะไรทับท้องนัยน์ตากลมโตค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แม้จะยังง่วงงุนอยู่มากแต่สิ่งที่เห็นก็คือแขนผู้ชายที่มาทับท้อง เมื่อเลื่อนสายตาไปพบหน้าอกแกร่ง ไล่ลงไปเป็นคอ ถัดไปเป็นปลายคาง ปากหยักหนา จมูกโด่งเป็นสัน และสายตาคมที่กำลังมองลงมา"ชินอ๋อง!"หยางซูมี่อุทานด้วยความตกใจจึงรีบลุกขึ้นนั่ง แต่ติดที่แขนแกร่งไม่ยอมปล่อยเอวคอดของนาง"เรียกท่านพี่"เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงเข้มเล็กน้อยที่ร่างบางเรียกยังเขาว่าชินอ๋อง"มี่มี่ลุกไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะต้องเข้าวังไปพบเสด็จพี่กับเสด็จแม่"เซี่ยเหวินหรงลุกขึ้นไปเรียกสาวใช้หน้าห้องให้มาปรนนิบัติ แล้วเดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่ออาบน้ำหยางซูมี่ได้แต่มองตามเซี่ยเหวินหรงที่เดินหายเข้าไปหลังฉ
บทที่ 8พบหน้าไทเฮา เซี่ยเหวินหรงและหยางซูมี่เดินทางมาถึงตำหนักหย่งเหิงของไทเฮา เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบได้ ทั้งสองถวายความเคารพไทเฮาอย่างเต็มพิธีการ ฉีกงกงขันทีข้างกายของไทเฮาเดินถือถาดที่มีถ้วยน้ำชา 2 ใบ ยื่นให้ชินอ๋องกับพระชายาเซี่ยเหวินหรงกำลังยื่นถ้วยน้ำชาให้ไทเฮา แต่หันไปเห็นหยางซูมี่ถือถ้วยน้ำชาด้วยมืออันสั่นเทา อีกทั้งยังมีควันลอยกรุ่นออกมาจากถ้วยน้ำชา เห็นได้ชัดว่าถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่นั้นร้อนมากเซี่ยเหวินหรงใช้มืออีกข้างหยิบถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่ แล้วจงใจวางลงในถาดที่ฉีกงกงถือไว้อย่างแรง จนทำให้น้ำชาที่ร้อนนั้นกระเด็นไปโดนมือของฉีกงกง จนเผลอปล่อยถาดร่วงตกลงมา น้ำชาร้อนหกรดลวกขาฉีกงกงเซี่ยเหวินหรงเพียงปรายตามองฉีกงกงด้วยรอยยิ้ม บังอาจนักกล้ามาแตะต้องมี่มี่ของเขา“ลูกต้องขอประทานอภัยเสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ น้ำชาในถ้วยของหวางเฟยนั้นร้อนมาก ฉีกงกงคงชราเกินไปจนไม่ทันได้ตรวจดูให้ดีก่อน หวางเฟยของลูกมีความอดทนจึงไม่ทำให้น้ำชาร้อนพลาดไปหกใส่เสด็จแม่มิเช่นนั้นคงอาจจะทำให้ผิวของเสด็จแม่มีรอยแผลเป็นได้”เซี
บทที่ 9กลับบ้านเดิม สามวันหลังแต่งงาน หนึ่งวันก่อนออกเดินทางไปชายแดนเหนือเซี่ยเหวินหรงพาหยางซูมี่มาเยี่ยมบ้านเดิมหลังจากแต่งงานได้สามวัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม ทั้งสองเดินทางมาถึงจวนตระกูลหยางตั้งแต่ยามเฉิน ทุกคนในจวนตระกูลหยางต่างออกมารอต้อนรับชินอ๋องกับพระชายาหยางหมิงยืนอยู่ด้านหน้า ถัดมาเป็นหยางเฟยเทียน เสิ่นอี๋นั่ว หยางฟางหรง หยางเจียลี่ และบรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหมด เมื่อทั้งสองลงมาจากรถม้า ทุกคนต่างยอบกายถวายความเคารพตามบรรดาศักดิ์ฐานะหยางซูมี่รีบเข้าไปประคองท่านพ่อและพี่ชายให้รีบลุกขึ้น นางไม่ชินกับการที่ทุกคนต้องมาถวายความเคารพเช่นนี้เลยแม้จะทำตามตำแหน่งฐานะพระชายาชินอ๋องก็ตาม“เชิญเสด็จเข้าไปด้านในดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”หยางหมิงเสนอให้ทั้งสองเข้าไปด้านในจะดีกว่า เพราะในเวลานี้ที่ด้านนอกจวนล้วนมีชาวบ้านที่มามุงดูกันหลายคนนัก เซี่ยเหวินหรงตรงเข้าไปจูงมือหยางซูมี่เดินเข้าไปในเรือนหลักคล้อยหลังทั้งสองคนเดินจากไป มีสายตาริษยาที่มองมาด้วยความร้อนรุ่ม ย
บทที่ 10ธิดาเทพลี่จิน วันออกเดินทางของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ แม่ทัพใหญ่ผู้นำทัพในครั้งนี้คือชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง ฉายาอ๋องทมิฬ ตัวตนในเมืองหลวงของเขานั้นเปรียบดั่งคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อเขาสวมเกราะสีดำเงาวาว ขี่อาชาโลหิตสีนิลนั้น รูปลักษณ์ช่างดูน่าเกรงขาม ประกอบกับหน้ากากสีดำปีกนกอินทรีสยายปีก ปิดเพียงครึ่งหน้าบนเผยให้เห็นปากหยักหนาที่ออกคำสั่งเคลื่อนทัพหยางซูมี่มองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ ห่างไกลไปจากสายตา นางนึกถึงร่างสูงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ที่เข้ามาออดอ้อนให้นางสวมชุดเกราะให้ ก่อนจะลาจากกัน ยังมารังแกกันอีก ริมฝีปากหยักหนาที่ฉกมาขโมยจูบหอมหวานจากนางราวกับจะกลืนกินดวงวิญญาณของนางให้ออกจากร่างไป รสสัมผัสจากคราแรกอ่อนโยนดั่งปีกผีเสื้อกลับร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเมื่อเห็นว่านางหายใจไม่ออก เขาถึงได้ผละออกมา แล้ววนกลับมาจูบอีกครั้งจนปากของนางบวมเจ่อ แดงก่ำไปหมดแล้ว ฮือออ ท่านอ๋องบ้า“พี่จะรีบไปรีบกลับ หลังจากเสร็จศึกนี้ พี่จะมารับรางวัลจากเจ้านะมี่มี่” เซี่ยเหวินหรงยิ้มกริ่ม ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้หยางซูมี่ นางถึงกับวางหน
บทที่ 11โทสะของพระชายาชินอ๋อง จวนชินอ๋อง พ่อบ้านหลินคือคนที่ท่านอ๋องไว้ใจให้มาดูแลจวนชินอ๋อง แม้จะอายุ 50 ปี แต่ยังดูคล่องแคล่ว แข็งแรง สมกับเป็นคนที่เซี่ยเหวินหรงไว้ใจ แต่วันนี้เขากลับอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสีย ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากชินอ๋องทรงทราบ คงได้มีใครตายเป็นแน่หลังจากวันนั้นที่พระชายาไปเยี่ยมบ้านเดิม แล้วมีสาวใช้ลอบออกจากจวนไป ไป๋เยียนองครักษ์ ไป๋หู่ได้ลอบติดตามไปด้วย หลังจากนั้นจึงลอบสืบความจนทราบว่าพระชายาคือ หิมะสีชาด เจ้าของนามปากกาที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ เพราะหิมะสีชาดได้แต่งนิยายประโลมโลกที่มีฉากร่วมรักเร่าร้อนดุเดือดเผ็ดมัน หนังสือที่ออกมาต่างมีราคาแพงถึงเล่มละ 10 เหรียญทองแม้แต่พระสนมในวังยังลอบให้คนออกมาซื้อ ตัวเขาที่เป็นพ่อบ้านยังแอบซื้อมาอ่านเลย ทั้งยังเคยวิจารณ์ว่าหิมะสีชาด ช่างเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมนัก แต่งหนังสือออกมาได้สนุกและตื่นเต้นเร้าใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องก็มีความหลากหลาย เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหิมะสีชาดจะคือพระชายาหยางซูมี่ หากชินอ๋องทรงทราบต้องกริ้วมากเป็นแน่ แล้วถ้าหากม
บทที่ 12ชำระหนี้แค้น จวนตระกูลเถา หลังจากลงจากรถม้า เถาซูเม่ยรีบตรงกลับไปที่เรือนนอนของนางทันที ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด สั่งให้สาวใช้ข้างกายออกไปเฝ้าหน้าห้อง ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด เมื่อในห้องปลอดคนแล้วเถาซูเม่ยจึงบรรจงหยิบกล่องไม้ออกมาค่อยๆ เปิดออกดู ภายในกล่องไม้บรรจุกำไลหยกสีเขียวกระจ่างใส 1 วง เมื่อลองเพ่งพิศจะเห็นว่าด้านในของกำไลหยกมีอักษรแกะสลักไว้อ่านว่า ‘เฟยเทียน’ นอกจากจะมีกำไลหยกยังมีกระดาษแนบมาด้วยหนึ่งแผ่น เถาซูเม่ยคลี่กระดาษเปิดอ่านดู"เพียงแรกพบสบตา ใจของข้าก็สั่นไหว เสียงสกุณณาในพงไพร ไม่อาจเทียบเสียงหัวเราะของเจ้าเลยกำไลหยกวงนี้คือตัวแทนแห่งข้า"หยางเฟยเทียนเมื่ออ่านจบในใจของเถาซูเม่ยให้รู้สึกอุ่นวาบในอก ใจของนางก็เฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้นี้มานานแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งบุรุษที่นางหลงรักจะใจตรงกับนางเช่นกันเถาซูเม่ยนั้นได้เพียงแค่แอบมองคุณชายหยางเฟยเทียนเพียงไกลๆ ไม่เคยอาจหาญไปบอกความในใจให้เขารู้ มีเพียงเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับเขาที่เหลาอาหาร ระหว่างกำล
บทที่ 13พระชายารอง เมื่อหัวหน้าเผ่าสิ้นใจไป ทำให้ภายในเผ่าหูเจี๋ยน่าระส่ำระสาย มารดาของหูเจี๋ยลี่แต่งตั้งบุตรชายบุญธรรมของนางที่อายุเพียง 12 หนาวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วันกลับถูกกองทัพของชินอ๋องยกทัพมาตีจนแตกพ่าย ความหวังที่จะเสวยสุขกับชู้รักและบุตรชายที่เกิดกับชู้รักเป็นอันต้องจบสิ้นลงเซี่ยเหวินหรงตัดสินให้ประหารครอบครัวของหัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่า จัดตั้งรองแม่ทัพลู่เหอกังขึ้นมาดูแลจัดการเป็นการชั่วคราวแทน หากใครสวามิภักดิ์เขาจะละเว้นชีวิต ส่วนคนที่ไม่ยอมจำนนจะต้องถูกสังหารทั้งหมด ส่วนธิดาเทพลี่จิ่นนั้นถูกคุมตัวอยู่ภายในวิหารเทพ วิหารเทพ เซี่ยเหวินหรงเดินทางไปที่วิหารเทพพร้อมกับไป๋ลู่ และไป๋เย่ เขาเดินหยุดไปยืนตรงหน้าของลี่จิ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นธิดาเทพ นางหันมายกยิ้มแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซี่ยเหวินหรง"ข้าได้แก้แค้นแทนท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ข้าขอมอบให้ชินอ๋อง"ลี่จิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอ่อนหวาน เดิมทีนางลอบติดต่อกับเซี่ยเหว
บทที่ 14กลับเมืองหลวง พ่อบ้านหลินเมื่อทราบข่าวจากจดหมายที่ชินอ๋องส่งมาถึงเขา ว่าชินอ๋องจะทรงรับพระชายารองเข้ามาก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จะบอกกล่าวพระชายาหยางซูมี่ก็ไม่กล้า จะไม่บอกก็ไม่ได้ เพราะชินอ๋องทรงส่งจดหมายฝากมาให้พระชายาด้วย ทั้งยังย้ำมาในจดหมายที่เขียนถึงเขาว่า อย่าได้สนใจกับข่าวลือ ให้พระชายาเชื่อมั่นในท่านอ๋องตัวเขานั้นก็เริ่มแก่จนผมสีขาวขึ้นแซมผมสีดำแล้ว ยังต้องมาวุ่นวายเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีก เขาได้แต่ถอดถอนใจ อยากจะรู้นักว่าทำไมท่านอ๋องถึงกล้ารับพระชายารองเข้ามา รู้ทั้งรู้ว่าพระชายานั้นทรงชิงชังบุรุษหลายใจ และรังเกียจการใช้สามีร่วมกับสตรีอื่นสิ่งที่พ่อบ้านหลินกังวลไม่ผิดจากที่สองสาวใช้คนสนิทของหยางซูมี่ที่กำลังกังวลอยู่ตอนนี้เลย หลังจากที่หยางซูมี่ทราบข่าวเรื่องการรับพระชายารอง นางก็เปลี่ยนไป จากปกติที่มักจะใช้เวลาว่างแต่งหนังสือ นางกลับไปนั่งที่ศาลาจวี๋ฮวา นั่งทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล เหมือนกำลังมองทะลุให้เห็นไปถึงยังชายแดนเหนือ อยากจะถามพระสวามีว่าเหตุใดถึงต้องรับชายารองเข้ามา ทำไมไม่บอกนางก่
ตอนพิเศษ 4 (ตอนปลาย) “คุณหนูกู่เกรงใจเกินไปแล้ว ในฐานะตัวแทนของฝ่าบาทพวกข้าต้องมาร่วมยินดีอยู่แล้ว”หยางซูมี่เดินเข้างานไปเลย ไม่ได้สนใจสตรีนางนี้มากนัก ทำเพียงเหมือนกับว่านางไม่คู่ควรที่จะให้พระชายาเช่นนางต้องมาเสวนาด้วย กู่เจียอีได้แต่ลอบกำมือแน่น คอยดูเถอะวันนี้ข้าจะเหยียบหน้าจมให้จมดิน และจะกลายมาเป็นพระชายาของชินอ๋องให้จงได้“เจ้าอยากเล่นกับนางหรือไม่” เซี่ยเหวินหรงหันมาเอ่ยถามภรรยาคนงาม“ให้บทเรียนกับนางเบาๆ ก็พอเจ้าค่ะ” หยางซูมี่หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พระสวามีงานเลี้ยงในจวนเจ้าเมืองวันนี้ กลับพบว่าขณะที่ทั้งหมดกำลังสนุกสนานกันภายในงานเลี้ยงนั้น กลับพบว่าคุณหนูกู่เจียอีผลัดตกลงไปในสระน้ำ แต่โชคดีที่มีคุณชายท่านหนึ่งช่วยเอาไว้ได้ แต่เพราะตอนเปียกน้ำทำให้ทั้งสองได้แนบชิดกัน และด้วยอาภรณ์ของกู่เจียอีนั้นที่เป็นสีขาว ทำให้มองเห็นเรือนร่างของนาง จนมองเห็นไปถึงเอี๊ยมตัวใน และคุณชายผู้นี้ก็ได้แตะต้องนางไปแล้วแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ด้วยเหตุนี้ในหนึ่งเดือนต่อมาจึงได้เกิดงานมงคลขึ้นกู่เจียอีได้แต่งเข้าไปเป็นฮูหยินรอง เน
ตอนพิเศษ 4 (ตอนต้น) หลังจากงานแต่งผ่านไปได้หนึ่งเดือน คนในตระกูลหยางนำโดยท่านเสนาบดีหยางหมิงได้เดินทางกลับเมืองหลวง พวกเขานั้นได้จากเมืองหลวงมานานมากแล้ว สมควรต้องไปจัดการงานที่ค้างคาเอาไว้ แม้จะเสียดายที่หยางซูมี่กับเซี่ยเหวินหรงไม่ได้กลับไปด้วยก็ตาม“ท่านพ่อเดินทางกลับดีๆ นะเจ้าคะ อีก 3 เดือนลูกจะกลับเมืองหลวงพร้อมท่านอ๋องเจ้าค่ะ”“ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยมี่เอ๋อร์ ข้าน้อยขอฝากบุตรสาวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ประโยคท้ายหยางหมิงหันไปเอ่ยกับเซี่ยเหวินหรง“ท่านพ่อตาอย่าได้เป็นห่วง มี่เอ๋อร์อยู่กับข้าย่อมต้องปลอดภัย”เซี่ยเหวินหรงให้คำมั่น ทั้งสองยืนส่งจนขบวนรถม้าเคลื่อนตัวห่างไปเรื่อยๆ“พี่ต้องกลับไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพบหน้ากับเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าอยู่ที่นี่ดีๆ แล้วพี่จะรีบกลับมา” เซี่ยเหวินหรงลูบหัวหยางซูมี่ด้วยความเอ็นดู“เจ้าค่ะท่านพี่”หยางซูมี่พยักหน้ารับ แล้วเขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปจูบแก้มสาก จนใบหูของเขาขึ้นสีแดงก่ำ“รีบกลับมานะเจ้าคะ ข้าจะรออาบน้ำพร้อมกับท่านพี่”หยางซูมี่ขยิบตาใส่เซี่ยเหวินหรง
ตอนพิเศษ 3 (ตอนปลาย) เซี่ยเหวินหรงเองก็รีบปลดอาภรณ์ของเขาออกเช่นกัน ร่างกายสูงใหญ่ไร้อาภรณ์ปกปิดกาย มองเห็นกล้ามหน้าท้องหนั่นแน่นที่เป็นลอนสวยอย่างคนที่ออกกำลังกาย ตรงกึ่งกลางเห็นแท่งหยกที่เริ่มจะขยายตัวอวดความศักดิ์ดาของตน หยางซูมี่ลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นแท่งหยกของเขาหยางซูมี่เนื้อตัวแดงก่ำด้วยความเขินอาย แม้จะเคยร่วมรักกับเขามาหลายครั้ง แต่นางกับเขาก็ห่างหายกันไป 2 ปีกว่า นางจึงรู้สึกประหม่ามากนัก แต่เพราะไม่อยากจะให้เขารู้ว่านางนั้นเขินอายมากเพียงใด จึงทำใจกล้าเงยหน้ามองร่างสูง ยกยิ้มอ่อนหวานแล้วเอื้อมมือไปปลดสายผูกเอี๊ยมออก ทำให้ปราการชิ้นสุดท้ายหลุดร่วงลงมา มองเห็นก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสองก้อนและเม็ดทับทิมสีชมพูระเรื่อเซี่ยเหวินหรงไม่อาจจะอดใจได้อีกต่อไป เขาช้อนร่างบางของหยางซูมี่อุ้มลงไปในถังอาบน้ำด้วยกัน เขานั่งพิงขอบอ่างให้หยางซูมี่นั่งบนตักแกร่ง มือข้างหนึ่งบีบสะโพกกลมกลึง อีกข้างก็ยื่นไปข้างหน้ากอบกุมก้อนเต้าหู้บีบคลึงอย่างอ่อนโยน นิ้วชี้เขี่ยเม็ดทับทิมสีชมพูจนตั้งช่อชูชันขึ้นมา“อ๊าาาา ท่านพี่”เซี่ยเหวินหรงจับร่างบางหั
ตอนพิเศษ 3 (ตอนต้น) ขบวนเจ้าบ่าวนำโดยชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง พระองค์ขี่อาชาโลหิตสีขาวนำขบวนสินสอดมากกว่า 100 หีบ โดยมีทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬคอยดูแล แม้ว่าหยางซูมี่จะเอ่ยว่าต้องการจัดงานแต่งงานแบบเรียบง่ายแต่เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงทรงทราบก็รีบส่งม้าเร็วนำราชโองการสมรสพระราชทานมามอบให้ ทั้งยังระบุว่าชินอ๋องจะมีหยางซูมี่เป็นพระชายาแต่เพียงผู้เดียวจวบจนทั้งคู่สิ้นอายุขัยข่าวการแต่งงานครั้งที่สองของทั้งคู่แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นเซี่ย บางคนต่างก็ยินดีที่ทั้งสองกลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน แต่บางคนก็ค่อนขอดที่ทั้งสองเลิกรากันไปแล้วแต่ยังกลับมาแต่งงานกันอีกครั้ง ไม่ว่าผู้คนจะพูดกันอย่างไร แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็หาได้สนใจไม่ เพราะทั้งคู่ได้ตกลงใจที่จะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง คำพูดของผู้อื่นหาได้สลักสำคัญกับพวกเขาทั้งสองคนไม่เซี่ยเหวินหรงขี่ม้ามาหยุดที่หน้าประตูบ้านพักของหยางซูมี่ เมื่อเขาเดินเข้าไปยังห้องโถงหลักก็พบว่าหยางซูมี่นั้นยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว วันนี้นางสวมชุดสีแดงมงคลปักลายหงส์สยายปีก และมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสวมทับเอาไว้ที่ศีรษะ ทำให้เขาไม่
ตอนพิเศษ 2 ริมชายหาดแห่งหมู่บ้านผิงอัน มีสตรีร่างบอบบาง กับบุรุษร่างสูงใหญ่นั่งอิงแอบกันอยู่ใต้ต้นมะพร้าว สายตาทั้งคู่ทอดมองออกไปยังน้ำทะเลใสสีเขียวมรกต หาดทรายสีขาวละเอียด ลมทะเลพัดมาเป็นระยะๆ คล้ายกับกำลังปลอบประโลมคนทั้งคู่ ทั้งสองปล่อยให้จิตใจได้ซึมซับกับธรรมชาติที่สวยงามนี้“เจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด” เซี่ยเหวินหรงหันมาเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย“ข้ามาถึงเมื่อสามวันก่อนเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจมาทำให้ท่านแปลกใจเล่น” หยางซูมี่เอ่ยพลางหัวเราะ นัยน์ตาพราวระยับดั่งดวงดารา“รู้หรือไม่ว่าทำข้าเป็นห่วง ตอนที่ข้ารู้ว่าเจ้าหายตัวไป”เซี่ยเหวินหรงเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งรั้นอย่างมันเขี้ยว“ข้าเจ็บนะเหวินหรง”หยางซูมี่หันมาดุเขาอย่างไม่จริงจังนัก เซี่ยเหวินหรงเอื้อมมือไปกอบกุมที่มือขาวบางอย่างทะนุถนอม“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าเร็วถึงเพียงนี้ ที่นี่มีเรื่องให้ข้าจัดการมากมายนัก ข้ายังคิดว่าอย่างเร็วก็คงอีกสักปีสองปีถึงจะกลับไปหาเจ้าที่เมืองหลวงได้”“ข้ารู้ว่าท่านทำงานหนักมากเพียงได ดูสิชินอ๋องผู้สง่างามกลายร่
ตอนพิเศษ 1 2 ปีต่อมาชายแดนใต้ของแคว้นเซี่ยที่ติดกับทะเล เมื่อ 2 ปีก่อนมีการค้าเกลือเถื่อนเกิดขึ้น เซี่ยเหวินหลินที่ได้ออกมาจัดการนั้น กลับจัดการแบบปล่อยผ่าน อนึ่งเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกับพ่อค้าที่ค้าเกลือเถื่อนแต่หลังจากที่ชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงจัดการปราบปรามกบฏได้หมดสิ้น จึงได้ทูลขอฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงมาปราบปรามการค้าเกลือเถื่อน และมาจัดระบบการปกครองใหม่ของชายแดนใต้ ซึ่งฮ่องเต้ก็ได้ออกพระราชโองการมอบอำนาจทุกอย่างให้ชินอ๋องเป็นผู้จัดการทั้งหมดตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมานี้เซี่ยเหวินหรงออกรบไปปราบปรามโจรสลัดทั้งในน่านน้ำ และบนเรือ โจรสลัดนั้นชอบขึ้นมาดักปล้นฆ่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง แต่หลังจากที่ชินอ๋องมาโจรสลัดก็หนีหายไปหมดด้วยหวาดเกรงชินอ๋องนอกจากจะปราบโจรสลัดแล้ว เซี่ยเหวินหรงยังต้องเข้ามาปราบปรามพ่อค้าเกลือเถื่อน และยังต้องมาจัดระเบียบเมืองหนานผิงใหม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเจ้าเมืองหนานผิงปกครองเมืองชายแดนใต้อย่างไร้ความยุติธรรม กดขี่ข่มเหงชาวเมืองหนานผิง ทหารประจำเมืองก็ชอบรีดไถจากชาวบ้าน เรียกร้องค่าคุ้มครอง หากครอบค
บทที่ 67 จุดจบ (ตอนปลาย) “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คงเป็นผู้ที่นำแท่งเหล็กรูปพระอาทิตย์ที่เป็นเครื่องหมายประจำเผ่าหูเจี๋ยน่ามอบให้ไทเฮาเช่นนั้นสินะ”“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง นางอยากจะทำให้ร่างกายของเจ้ามีมลทิน ข้าเลยเสนอวิธีนี้และมอบแท่งเหล็กร้อนนั้นให้กับนางเอง ฮ่าฮ่าฮ่า”เซี่ยเฟยหงหัวเราะออกมาด้วยความสาสมใจ ชินอ๋องที่แกร่งกล้ากลับมีตราประทับอยู่บนร่างกาย ช่างน่าอดสู่ยิ่งนัก“ส่วนท่านก็เป็นคนคอยชื่นชมข้า เพื่อหวังให้ไทเฮาหวาดระแวงข้าใช่หรือไม่” เซี่ยเหวินหรงหันไปถามไป๋วั่งซู“ทุกแผนการต้องมีผู้เสียสละเสมอพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋วั่งซูเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะอีกไม่นานศีรษะของเขาก็จะไม่อยู่บนบ่าแล้ว“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้หมดความสงสัยเสียที ทหาร! นำเข้ามา”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยสั่งเสียงเหี้ยม ไม่นานก็มีทหารกว่า 10 นายเดินเข้ามา มีหนึ่งนายถือกระถางไฟ และอีกหนึ่งนายถือแท่งเหล็กที่ตรงปลายหล่อหลอมเป็นรูปพระอาทิตย์เฉกเช่นดั่งรอยแผลเป็นของเซี่ยเหวินหรง“จัดการซะ” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงเหี้ยม“พ่ะย่ะค่ะ
บทที่ 66จุดจบ (ตอนต้น) เหตุการณ์ในท้องพระโรงในวันนี้ ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างในหมู่ครอบครัวของขุนนาง เรื่องราวในครั้งนี้หนักหนายิ่งนัก นอกจากจะเป็นเรื่องของกบฏ ยังมีเรื่องการปรากฏตัวของเซี่ยเฟยหงและไป๋วั่งซู เรื่องของไทเฮาสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง และยังเคยเป็นมารดาของแผ่นดิน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นถึงไทเฮาพระมารดาของฮ่องเต้ แต่กลับทำตัวเฉกเช่นหญิงแพศยา สวมหมวกเขียวให้พระสวามี จนถึงขนาดวางยาฆ่าพระสวามีของตนเองผู้เป็นถึงฮ่องเต้เรื่องราวครั้งนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเป็นอย่างมาก ลุกลามใหญ่โตจนกระทั่งล่วงรู้ไปถึงราษฎรแห่งแคว้นเซี่ย มีบัณฑิตร่วมออกมาประท้วงเขียนฎีกาเพื่อขอให้ฮ่องเต้ลงโทษไทเฮา จวนตระกูลมู่ตอนนี้ถูกปิดตายไปแล้ว แต่กลับถูกเหล่าชาวบ้านพากันมาโยนก้อนหินและเศษผักเน่าเข้ามาในจวน จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเช่นเดียวกับที่ชายแดนที่คนของตระกูลมู่เองก็ถูกเหล่าทหารและผู้คุมคอยกลั่นแกล้ง ด้วยรังเกียจคนตระกูลมู่ จนกระทั่งมีอดีตเจ้านายหลายคนทนความอัปยศไม่ไหว ตัดสินใจผูกคอฆ่าตัวตายไป รวมถึงมู่เจ๋อจ้านและเจียงเจี๋ยอีมู
บทที่ 65 อดีตขององค์ชายผู้สาบสูญ (ตอนปลาย) แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีก็มีข่าวออกมาว่าลี่เหมยผูกคอตายที่ตำหนักเย็น เขาเสียใจเป็นอย่างมากด้วยความมึนเมาในฤทธิ์สุราจึงลอบเข้ามาหามู่อิงฮวา เขาเข้ามาตัดพ้อต่อว่ามู่อิงฮวา แต่เพราะความเมาจึงทำให้เขาได้มีความสัมพันธ์กับมู่อิงฮวา นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงได้ลอบเสพสังวาสกับมู่อิงฮวาเรื่อยมา ส่วนหนึ่งก็เพื่อแก้แค้นเสด็จพี่ของเขา ลอบสวมหมวกเขียวให้พี่ชายของตนเองหลังจากที่ลี่เหมยตายไป จึงได้กลับไปหานายท่านตระกูลกู้ บอกเพียงว่าตระกูลของเขาได้ตายกันไปหมดแล้ว จึงกลับมาขอนายท่านกู้ทำงาน นายท่านกู้นั้นเห็นว่าเขาฉายแววฉลาดเฉลียวจึงสอนงานทุกอย่างให้แก่เขา เพียงไม่นานก็ได้ขึ้นมาเป็นมือขวาของนายท่านกู้ด้วยรูปโฉมหล่อเหลา และความสุภาพของเขานั้น จึงสามารถทำให้บุตรสาวของนายท่านกู้ ผู้มีนามว่าเฉินเย่วเล่อหลงรักได้ เหตุที่เฉินเย่วเล่อไม่ได้ใช้แซ่กู้เพราะว่ามารดาของนางได้ขอไว้ ด้วยความรักที่นายท่านกู้มีต่อภรรยา เขาจึงได้ยินยอมให้บุตรสาวใช้แซ่ 'เฉิน' ในที่สุดเขาจึงได้แต่งงานกับเฉินเย่วเล่อ มีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนนามว่า กู