บทที่ 11
โทสะของพระชายาชินอ๋อง จวนชินอ๋อง พ่อบ้านหลินคือคนที่ท่านอ๋องไว้ใจให้มาดูแลจวนชินอ๋อง แม้จะอายุ 50 ปี แต่ยังดูคล่องแคล่ว แข็งแรง สมกับเป็นคนที่เซี่ยเหวินหรงไว้ใจ แต่วันนี้เขากลับอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสีย ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากชินอ๋องทรงทราบ คงได้มีใครตายเป็นแน่ หลังจากวันนั้นที่พระชายาไปเยี่ยมบ้านเดิม แล้วมีสาวใช้ลอบออกจากจวนไป ไป๋เยียนองครักษ์ ไป๋หู่ได้ลอบติดตามไปด้วย หลังจากนั้นจึงลอบสืบความจนทราบว่าพระชายาคือ หิมะสีชาด เจ้าของนามปากกาที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ เพราะหิมะสีชาดได้แต่งนิยายประโลมโลกที่มีฉากร่วมรักเร่าร้อนดุเดือดเผ็ดมัน หนังสือที่ออกมาต่างมีราคาแพงถึงเล่มละ 10 เหรียญทอง แม้แต่พระสนมในวังยังลอบให้คนออกมาซื้อ ตัวเขาที่เป็นพ่อบ้านยังแอบซื้อมาอ่านเลย ทั้งยังเคยวิจารณ์ว่าหิมะสีชาด ช่างเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมนัก แต่งหนังสือออกมาได้สนุกและตื่นเต้นเร้าใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องก็มีความหลากหลาย เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหิมะสีชาดจะคือพระชายาหยางซูมี่ หากชินอ๋องทรงทราบต้องกริ้วมากเป็นแน่ แล้วถ้าหากมีคนรู้เรื่องนี้จะต้องเสื่อมเสียมาถึงจวนชินอ๋องได้ เขาอยากจะแจ้งเรื่องนี้ให้ชินอ๋องทรงทราบ แต่เกรงว่าอาจจะทำให้กระทบต่อการรบได้ คงต้องรอให้ชินอ๋องกลับมาจัดการกับพระชายาเอาเอง ตัวเขาเป็นเพียงแค่บ่าว คงได้แต่แอบมองดูเงียบๆ แล้วให้ไป๋เยียนคอยติดตามดูเอาไว้ หยางซูมี่ไม่ได้รับรู้เลยว่าความลับของหิมะสีชาดจะมีคนล่วงรู้แล้ว นางยังคงแอบใช้เวลาว่างหลังจากตรวจบัญชีของจวนชินอ๋อง และจัดการงานในจวนที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แอบมาแต่งนิยายประโลมโลก ภาคต่อของเรื่อง ตำหนักเย็นร้อนรักเรื่องราวของสนมเอกที่ลอบมีความสัมพันธ์กับน้องชายของฮ่องเต้ แต่ละวันล้วนผ่านไปอย่างเรียบง่ายมีเพียงวันนี้ที่แม่รองกับน้องรองเดินทางมาเยี่ยมนางที่จวนชินอ๋อง โดยไม่ได้ส่งเทียบเชิญมาก่อน แม้จะไม่อยากพบหน้า แต่นางก็เกรงว่าท่านพ่ออาจจะไม่สบายใจได้ จึงได้เชิญทั้งคู่ไปที่ศาลาจวี๋ฮวา ซึ่งมีต้นจวี๋ฮวาปลูกไว้อยู่รอบๆ ศาลา "ถวายพระพรพระชายาเพคะ" ทั้งสอบยอบกายคารวะหยางซูมี่ "ลุกขึ้นเถิด แม่รองกับน้องหญิงรองมีอะไร ถึงได้มาขอพบข้า โดยไม่ส่งเทียบเชิญมาก่อนเช่นนี้" หยางซูมี่เอ่ยถาม และอดจะตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ที่ช่างไม่รู้จักมารยาทเสียบ้างเลย "ต้องขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันกับลี่เอ๋อร์นั้นร้อนใจมาก ไม่อาจรอช้าได้" "มีเรื่องอะไร" "คือว่า...มีแม่สื่อมาสู่ขอลี่เอ๋อร์เพคะ ท่านพี่ก็ตอบตกลงไปแล้ว แต่ลี่เอ๋อร์มีคนที่รักอยู่แล้วเพคะ ขอพระชายาโปรดตรัสให้ท่านพี่ยกเลิกงานแต่งด้วยเพคะ" เสิ่นอี๋นั่วกลั้นใจตอบออกไป ด้วยเพราะความรักของแม่ นางจึงยอมละทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อมาขอร้องพระชายา หวังเพียงว่าพระชายาจะช่วยออกหน้าให้นาง "บุรุษตระกูลใดที่ท่านพ่อจะให้น้องหญิงรองแต่งออกไป" "เป็นคุณชายตระกูลลู่นามว่าลู่เย่วเพคะ เป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูล แต่เป็นตระกูลสายรองเพคะ" "คุณชายหลี่เย่วก็ไม่นับว่าแย่ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองฝู อนาคตย่อมสดใส มีญาติผู้พี่เป็นถึงท่านแม่ทัพและรองแม่ทัพ อีกทั้งยังไม่ได้แต่งภรรยาเข้ามา แม่สามีก็สิ้นไปแล้ว ทั้งบนและล่างล้วนไม่ต้องเกรงใจผู้ใดมีเพียงแค่สามี นับว่าท่านพ่อเลือกคู่ครองให้น้องหญิงรองได้เหมาะสมแล้ว" หยางซูมี่นิ่งคิดไปครู่ก่อนจะนึกออกว่าลู่เย่วผู้นี้เป็นใคร นับว่าท่านพ่อเลือกคู่ครองให้กับหยางเจียลี่ได้เหมาะสมแล้ว "เป็นแค่เจ้าเมืองจะเหมาะสมกับข้าได้อย่างไรเจ้าคะ" หยางเจียลี่โพล่งออกมา นางไม่อาจทนรับได้หากจะต้องแต่งกับเจ้าเมืองที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง นางอยากเป็นพระชายาชินอ๋อง "แล้วผู้ใดถึงจะเหมาะสมกับเจ้ากันพระสวามีของข้าหรือ" หยางซูมี่เลิกคิ้วถาม ในใจเริ่มมีโทสะบ้างแล้ว "หากพระชายาทรงยินยอม หม่อมฉันก็พร้อมแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองเพคะ" หยางเจี่ยลี่ตอบอย่างใจนึก เสิ่นอี๋นั่วใบหน้าซีดเผือด ตกใจที่ลูกของนางกล้าพูดเช่นนั้นออกมา "เป็นเพียงบุตรีที่เกิดจากอนุ มีค่าอันใดถึงคู่ควรกับพระสวามีของข้า" หยางซูมี่ตอกกลับหยางเจี่ยลี่ที่ลำพองตน หากไม่ใช่ว่าเสิ่นอี๋นั่วให้กำเนิดหยางฟางหรง ท่านพ่อคงไม่ยกนางขึ้นมาเป็นฮูหยินรอง แล้วตอนนี้หยางเจี่ยลี่ยังกล้าคิดที่จะมาใช้สามีร่วมกับนางผู้เป็นพี่สาวอีกด้วย "เจ้ากลับไปเตรียมตัวแต่งงานกับคุณชายลู่ซะ หากยังดื้อดึง จากที่จะได้กลายเป็นฮูหยินเอกของท่านเจ้าเมือง เจ้าจะได้แต่งไปเป็นอนุเหมือนมารดาของเจ้า" หยางซูมี่ตวาดเสียงกร้าว ท่านพ่ออุตส่าห์เลือกคู่ครองที่ดีให้ แต่น้องรองผู้นี้กลับมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ดูกำลังและฐานะของตน หากยังดื้อดึงนางนี่แหละจะมอบบทเรียนราคาแพงให้กับน้องสาวผู้นี้เอง เสิ่นอี๋นัวรีบพาหยางเจียลี่ทูลลาพระชายา แม่ลูกทั้งสองต่างหวาดกลัวพระชายา มุมนี้ของหยางซูมี่ พวกนางแม่ลูกไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่คิดว่าการที่หยางซูมี่แต่งเข้าจวนชินอ๋อง จะได้รับอิทธิพลความน่าเกรงขามมาจากชินอ๋องมาด้วย หลังจากสองแม่ลูกกลับไปแล้ว หยางซูมี่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นางยังคงโกรธเคืองแทนท่านพ่อ ที่ความหวังดีของเขาส่งไม่ถึงสองแม่ลูก และไม่พอใจที่น้องรองมีความคิดอยากจะแต่งเข้าจวนชินอ๋อง ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าหึงหวงใช่หรือไม่ นี่นางทำไหน้ำส้มแตกเสียแล้วหรือ คนจากจวนตระกูลหยางมาส่งผงฉั่งฉิกที่หยางซูมี่สั่งไว้เมื่อคราวที่ไปเยี่ยมบ้านเดิม ตอนนี้ผ่านมา 10 วันแล้ว ผงฉั่งฉิกที่ได้มีมากถึง 1,000 ขวด ถึงแม้สมุนไพรฉั่งฉิกนางจะปลูกเอง แต่ค่าขวดหยกที่ใส่นั้นนับว่ามีราคา นางจึงเชิญพ่อบ้านหลินมาพูดคุย หลังจากนั้นสามวันเงิน 10,000 เหรียญทองก็มาอยู่ตรงหน้านาง พ่อบ้านหลินแจ้งว่าเขาได้เขียนจดหมายส่งไปทางนกพิราบ ชินอ๋องทรงเขียนจดหมายตอบกลับมาสั่งให้นำเงินมามอบให้พระชายา ทั้งยังขอให้พระชายาส่งผงฉั่งฉิก และอาหารส่งไปที่เมืองเว่ยด้วย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เบิกจากพ่อบ้านหลินได้เลย หยางซูมี่ที่ได้รับรายงานจากพ่อบ้านหลินก็อารมณ์ดียิ่งนัก นางจึงรีบเกณฑ์บ่าวรับใช้มาทำผักดอง หมูแดดเดียว และไข่เค็มดองส่งไปให้ชินอ๋องที่เมืองเว่ย หลังจากวันนั้นที่ส่งต้นฉบับเรื่องตำหนักเย็นร้อนรักไป นี่ก็ครบกำหนดที่ต้องส่งภาคต่อแล้ว หยางซูมี่ให้เจินเจินไปทำหน้าที่ส่งต้นฉบับอีกครั้ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบร้อย วันนี้หยางซูมี่รู้สึกเบื่อหน่ายจึงส่งเทียบเชิญไปให้เถาซูเม่ย หม่าฮุ่ยหลิง และจ้าวเหมยอิง มาดื่มน้ำชาที่ศาลาจวี๋ฮวา สี่โฉมงามในศาลาต่างผลัดกันถามสารทุกข์สุกดิบกัน พูดคุยเรื่องคุณหนูท่านนี้จะออกเรือน คุณชายคนนี้จะแต่งอนุ ทุกเรื่องที่เล่ามาหยางซูมี่เพียงฟังผ่านๆ เท่านั้น แต่เรื่องที่หม่าลี่เหมยโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงจะแต่งไปเป็นพระชายารองให้จวิ้นอ๋องเซี่ยเหวินหลินนั่นทำให้นางประหลาดใจมาก "พระชายาเกาซูเจินทรงยอมหรือที่จะให้จวิ้นอ๋องแต่งชายารองเข้ามา ข้าได้ยินมาว่าพระองค์ทรงหึงหวงจวิ้นอ๋องมาก ทั้งจวิ้นอ๋องก็รักใคร่พระชายาเกา ไม่มีอนุและสาวใช้อุ่นเตียงเลย" หยางซูมี่เอ่ยด้วยความสงสัย "ถึงพระชายาเกาจะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่อาจขัดขวางได้ หม่าลี่เหมยนั้น..." เถาซูเม่ยเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ ราวกับกลัวจะมีใครมาได้ยิน "เจ้ารีบพูดให้หมด อย่าลีลา" จ้าวเหมยอิงเอ่ยเร่ง "วันนั้นที่งานเลี้ยงตระกูลจาง ทุกคนต่างมาร่วมงาน แต่ข้าสังเกตเห็นว่าหม่าลี่เหมยเดินออกไปจากงาน หลังจากนั้นจวิ้นอ๋องก็ทรงเดินออกไปด้วย แล้วอีก 3 วันต่อมา จวิ้นอ๋องก็ส่งแม่สื่อมาสู่ขอหม่าลี่เหมย ข้าได้ยินมาว่าหม่าลี่เหมยได้เสียความบริสุทธิ์ให้จวิ้นอ๋องแล้ว" ทั้งสามต่างตกใจกับข่าวนี้ หม่าฮุ่ยหลิงที่เป็นญาติผู้น้องกับหม่าลี่เหมยก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย "ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย" หม่าฮุ่ยหลิงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจนัก "เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไร จวิ้นอ๋องกับรองเสนาบดีหม่าบิดาของหม่าลี่เหมย ต่างปิดข่าวเงียบ เพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ที่ข้ารู้มานั้นเพราะข้ามีข่าวจากวงใน" จ้าวเหมยอิงถึงกับหลุดหัวเราะกับท่าทางของเถาซูเม่ยที่ดูจะจริงจังนัก ทั้งสี่แลกเปลี่ยนข่าวสารกันอีกเล็กน้อย แล้วแยกกันกลับจวน แต่ก่อนที่เถาซูเม่ยจะเดินไปขึ้นรถม้า หยางซูมี่ได้รั้งแขนนางไว้ แล้วสั่งให้ซินซินมอบกล่องไม้ให้เถาซูเม่ย "มีคนฝากมาให้เจ้า" หยางซูมี่พูดเพียงแค่นั้น แล้วหันหลังเดินเข้าไปในเรือน เถาซูเม่ยที่ยืนมองกล่องไม้ในมือนั้น ยกยิ้มอ่อนหวานด้วยท่าทางเขินอาย ใบหน้าหวานซับสีแดง นางรีบเดินขึ้นรถม้าเพื่อจะรีบกลับไปเปิดกล่องไม้ใบนี้บทที่ 12ชำระหนี้แค้น จวนตระกูลเถา หลังจากลงจากรถม้า เถาซูเม่ยรีบตรงกลับไปที่เรือนนอนของนางทันที ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด สั่งให้สาวใช้ข้างกายออกไปเฝ้าหน้าห้อง ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด เมื่อในห้องปลอดคนแล้วเถาซูเม่ยจึงบรรจงหยิบกล่องไม้ออกมาค่อยๆ เปิดออกดู ภายในกล่องไม้บรรจุกำไลหยกสีเขียวกระจ่างใส 1 วง เมื่อลองเพ่งพิศจะเห็นว่าด้านในของกำไลหยกมีอักษรแกะสลักไว้อ่านว่า ‘เฟยเทียน’ นอกจากจะมีกำไลหยกยังมีกระดาษแนบมาด้วยหนึ่งแผ่น เถาซูเม่ยคลี่กระดาษเปิดอ่านดู"เพียงแรกพบสบตา ใจของข้าก็สั่นไหว เสียงสกุณณาในพงไพร ไม่อาจเทียบเสียงหัวเราะของเจ้าเลยกำไลหยกวงนี้คือตัวแทนแห่งข้า"หยางเฟยเทียนเมื่ออ่านจบในใจของเถาซูเม่ยให้รู้สึกอุ่นวาบในอก ใจของนางก็เฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้นี้มานานแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งบุรุษที่นางหลงรักจะใจตรงกับนางเช่นกันเถาซูเม่ยนั้นได้เพียงแค่แอบมองคุณชายหยางเฟยเทียนเพียงไกลๆ ไม่เคยอาจหาญไปบอกความในใจให้เขารู้ มีเพียงเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับเขาที่เหลาอาหาร ระหว่างกำล
บทที่ 13พระชายารอง เมื่อหัวหน้าเผ่าสิ้นใจไป ทำให้ภายในเผ่าหูเจี๋ยน่าระส่ำระสาย มารดาของหูเจี๋ยลี่แต่งตั้งบุตรชายบุญธรรมของนางที่อายุเพียง 12 หนาวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วันกลับถูกกองทัพของชินอ๋องยกทัพมาตีจนแตกพ่าย ความหวังที่จะเสวยสุขกับชู้รักและบุตรชายที่เกิดกับชู้รักเป็นอันต้องจบสิ้นลงเซี่ยเหวินหรงตัดสินให้ประหารครอบครัวของหัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่า จัดตั้งรองแม่ทัพลู่เหอกังขึ้นมาดูแลจัดการเป็นการชั่วคราวแทน หากใครสวามิภักดิ์เขาจะละเว้นชีวิต ส่วนคนที่ไม่ยอมจำนนจะต้องถูกสังหารทั้งหมด ส่วนธิดาเทพลี่จิ่นนั้นถูกคุมตัวอยู่ภายในวิหารเทพ วิหารเทพ เซี่ยเหวินหรงเดินทางไปที่วิหารเทพพร้อมกับไป๋ลู่ และไป๋เย่ เขาเดินหยุดไปยืนตรงหน้าของลี่จิ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นธิดาเทพ นางหันมายกยิ้มแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซี่ยเหวินหรง"ข้าได้แก้แค้นแทนท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ข้าขอมอบให้ชินอ๋อง"ลี่จิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอ่อนหวาน เดิมทีนางลอบติดต่อกับเซี่ยเหว
บทที่ 14กลับเมืองหลวง พ่อบ้านหลินเมื่อทราบข่าวจากจดหมายที่ชินอ๋องส่งมาถึงเขา ว่าชินอ๋องจะทรงรับพระชายารองเข้ามาก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จะบอกกล่าวพระชายาหยางซูมี่ก็ไม่กล้า จะไม่บอกก็ไม่ได้ เพราะชินอ๋องทรงส่งจดหมายฝากมาให้พระชายาด้วย ทั้งยังย้ำมาในจดหมายที่เขียนถึงเขาว่า อย่าได้สนใจกับข่าวลือ ให้พระชายาเชื่อมั่นในท่านอ๋องตัวเขานั้นก็เริ่มแก่จนผมสีขาวขึ้นแซมผมสีดำแล้ว ยังต้องมาวุ่นวายเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีก เขาได้แต่ถอดถอนใจ อยากจะรู้นักว่าทำไมท่านอ๋องถึงกล้ารับพระชายารองเข้ามา รู้ทั้งรู้ว่าพระชายานั้นทรงชิงชังบุรุษหลายใจ และรังเกียจการใช้สามีร่วมกับสตรีอื่นสิ่งที่พ่อบ้านหลินกังวลไม่ผิดจากที่สองสาวใช้คนสนิทของหยางซูมี่ที่กำลังกังวลอยู่ตอนนี้เลย หลังจากที่หยางซูมี่ทราบข่าวเรื่องการรับพระชายารอง นางก็เปลี่ยนไป จากปกติที่มักจะใช้เวลาว่างแต่งหนังสือ นางกลับไปนั่งที่ศาลาจวี๋ฮวา นั่งทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล เหมือนกำลังมองทะลุให้เห็นไปถึงยังชายแดนเหนือ อยากจะถามพระสวามีว่าเหตุใดถึงต้องรับชายารองเข้ามา ทำไมไม่บอกนางก่
บทที่ 15ไม่อาจยอมรับ เมื่อกลับมาถึงจวน เซี่ยเหวินหรงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แม้ว่าหยางซูมี่และบ่าวรับใช้จะมารอต้อนรับเขา แต่ทำไมบรรยากาศช่างดูห่างไกลจากความยินดีนักเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่กล่าวโทษเขามาจากทางพวกบ่าวรับใช้ แม้จะก้มหน้ามองต่ำ แต่ทุกคนต่างก็ลอบส่งสายตาผิดหวังมาให้เขา แม้แต่พ่อบ้านหลินก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่คนที่ควรจะต้องผิดหวัง เสียใจกลับเพียงหันมาสบตา แล้วยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้เขา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของมี่มี่ดูแข็งกร้าวยิ่งนัก"ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ"ทุกคนส่งเสียงกล่าวคำยินดีพร้อมกัน เซี่ยเหวินหรงพยักหน้าแล้วหันไปทางหยางซูมี่"ลำบากเจ้าแล้วมี่เอ๋อร์ เราเข้าไปข้างในกันเถิด"เซี่ยเหวินหรงกำลังจะเข้าไปประคองหยางซูมี่ แต่นางกลับขยับตัวหนี พลางหันไปสั่งความกับสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหารและน้ำอาบให้ชินอ๋อง มือหนาชะงักกลางอากาศคว้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เขากระแอมไอแก้เก้อออกมา หันไปทางไป๋เยียนองครักษ์ที่ให้คอยดูแลหยางซูมี่อย่างสงสัยกับท่าทางของนาง แต่เขาได้รับเพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนขอ
บทที่ 16เอาคืน ลี่จิ่นนั่งรออยู่บนเตียงในเรือนเหมยฮวาจนถึงยามจื่อ จนจะล่วงเข้าไปเช้าวันใหม่ของอีกวันแล้ว นางก็ไม่เห็นเงาของชินอ๋องเลย ใบหน้างามจากที่มีรอยยิ้มหวานประดับตลอดเวลา กลับเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นิ้วเรียวกำเข้าหากันอย่างคับแค้นใจชินอ๋องช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก แม้ในคืนวันแต่งงานเขาก็ไม่มาเข้าหอกับนาง การกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ดื่มสุรามงคลเขาก็ไม่ทำสักอย่าง เหมือนการที่นางแต่งเข้ามาเป็นเพียงแค่การแต่งงานในนามเท่านั้น ไฟในใจของลี่จิ่นยิ่งโหมกระพือไปด้วยเพลิงโทสะ ยิ่งเขาทำเช่นนี้นางยิ่งอยากเอาชนะ ส่วนสตรีที่เขารักมั่นจะต้องชดใช้ให้กับนางคนของจวนชินอ๋องไม่มีใครนึกยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาต่างเมินเฉยทำราวกับการแต่งพระชายารองเข้ามา เป็นเพียงการรับสตรีคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนชินอ๋องเท่านั้นเองเซี่ยเหวินหรงออกไปที่ค่ายทหารตั้งแต่เช้า คืนนี้เขาก็นอนที่ค่าย อยากจะกลับไปนอนกับหญิงคนรักก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬต่างงุนงงสงสัย เหตุใดชินอ๋องไม่ไปงานแต่งงานของตัวเอง แต่กลับมาหมกตัวยังค่ายทหาร ข่าว
บทที่ 17ค่ำคืนร้อนระอุ เซี่ยเหวินหรงเมื่อรู้อาการป่วยของลี่จิ่นเพราะนางเผลอไปกินหัวของดอกสือ ซว่านเข้า ก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นฝีมือของมี่มี่ที่เอาคืนลี่จิ่นเรื่องผงบดหนังคางคก ตอนแรกที่เขารู้เรื่องเข้าก็โกรธเคืองลี่จิ่นเป็นอย่างมากที่กล้าปองร้ายมี่มี่ของเขา เขาได้ลอบสั่งให้คนไปเสาะหาผงบดหนังคางคกเพื่อเอาคืนนาง เวลานี้ก็เหมาะสมแก่เวลาแล้วไป๋ลู่ที่ติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เพียงแค่มองตา เขาก็รู้ได้เลยว่าต้องทำเช่นไร หลังจากนั้นลี่จิ่นที่นอกจากจะมีอาการท้องเสียที่เพิ่งจะดีขึ้น บนใบหน้าและลำตัวของนางมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว ทั้งนางยังท้องเสียและอาเจียนจนลี่จิ่นทนไม่ไหวสลบไปเลยลู่เหอกังถึงกับกุมขมับหรูเหรินทรงกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม แต่กลับมาป่วยเช่นนี้ ในใจเริ่มหวั่นวิตกเข้าแล้ว หรือการที่เขาช่วยกดดันชินอ๋องจนทำให้ลี่จิ่นได้แต่งไปเป็นหรูเหรินนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด นี่เพียงผ่านไปแค่ 3 วัน นางก็โดนเล่นงานเสียแล้วเซี่ยเหวินหรงรู้ว่าลี่จิ่นมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัวจากลู่เหอกัง เขาก็แสดงสีหน้าตกใจ แล้วสั่งความให้องครักษ์ไปเชิญตัวหมอหลวงมาดูอา
บทที่ 18ทะเลสาบมรกต เช้าวันใหม่ที่สดใสของเซี่ยเหวินหรง แต่กลับกลายเป็นเช้าที่ดูหม่นหมองของหยางซูมี่ กว่าศึกเมื่อคืนระหว่างนางกับเขาจะสงบก็เป็นตอนรุ่งสางเสียแล้ว ร่างบางที่มีผ้าห่มคลุมร่างกายไว้ลืมตาขึ้นมา เพราะแสงของพระอาทิตย์ส่องมากระทบกับใบหน้างามความรู้สึกแรกคือเมื่อยขบทั้งตัว เจ็บตรงกึ่งกลางของร่างกาย ปากอิ่มบวมเจ่อ ตั้งแต่ลำคอระหง ลาดไหล่ เนินอกอิ่มล้วนเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำไปทั้งตัว นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่ง อ๋องบ้า ทำนางเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้ว พวกบ่าวไพร่คงจะรู้เรื่องเมื่อคืนทั่วจวนแล้ว เพราะตั้งแต่เซี่ยเหวินหรงเสด็จมาเยือนที่เรือนของหยางซูมี่ เขาก็ไม่ได้ก้าวขาออกไปเลย อาหารมื้อเย็นก็ไม่ได้ทาน ตอนนี้ยังมานอนยิ้มอยู่ข้างๆ นาง งานการไม่ไปทำหรืออย่างไร หยางซูมี่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เซี่ยเหวินหรงเห็นท่าทางของแมวน้อยที่ขู่ฟ่อมาทางเขา ก็ยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อคืนเขารังแกนางมากเกินไปจริงๆ ใครใช้ให้นางช่างน่ารักอ่อนหวานจนเขาอดใจไม่ไหวได้เล่า แต่เพื่อชดเชยไม่ให้มี่มี่ยิ่งขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เขาคงต้องให้รางวัลนางเสียหน่อยแล้ว“ว
บทที่ 19เจียงซูหนี่ ตำหนักหย่งเหิงที่ประทับของไทเฮา เต็มไปด้วยเหล่าคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญจากไทเฮาให้มาร่วมจิบน้ำชาและสนทนากัน แต่ทุกคนต่างรู้ว่าจุดประสงค์ของไทเฮานั้นเพื่อเฟ้นหาหญิงงามให้กับชินอ๋องหลังจากที่พระนางหมายมาดที่จะให้มู่เหลียนฮวาหลานสาวที่ทรงโปรดปรานแต่งเป็นพระชายาเอกนั้นไม่สำเร็จ แต่กลายเป็นหยางซูมี่ที่ได้สมรสพระราชทานในครั้งนั้นแทน คราแรกพระนางจะให้มู่เหลียนฮวาแต่งเป็นพระชายารอง แต่ลี่จิ่นก็กลับได้มาแต่งตัดหน้าไปเสียก่อนดังนั้นหากจะดันทุรังให้มู่เหลียนฮวาแต่งเข้าจวนชินอ๋องอีก ก็คงไม่เหมาะสมเพราะตำแหน่งที่เว้นว่างไว้จะต้องเป็นรองหยางซูมี่และลี่จิ่น ไม่สมควรกับฐานะหลานสาวของไทเฮา พระนางจึงยอมตัดใจจะให้มู่เหลียนฮวาไปร่วมคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ที่จะจัดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้แทนคุณหนูที่ไทเฮาทรงคัดเลือกมานั้นล้วนเป็นตระกูลที่เข้าฝ่ายพระนางทั้งสิ้น ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เมื่อพระนางลอบสังเกตท่าทางและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงตัดสินใจจะให้คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมโยธา ที่มีนามว่าเจียงซูหนี่ แต่งเข้าไปเป็นชายารองของ
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน