บทที่ 15
ไม่อาจยอมรับ เมื่อกลับมาถึงจวน เซี่ยเหวินหรงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แม้ว่าหยางซูมี่และบ่าวรับใช้จะมารอต้อนรับเขา แต่ทำไมบรรยากาศช่างดูห่างไกลจากความยินดีนัก เขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่กล่าวโทษเขามาจากทางพวกบ่าวรับใช้ แม้จะก้มหน้ามองต่ำ แต่ทุกคนต่างก็ลอบส่งสายตาผิดหวังมาให้เขา แม้แต่พ่อบ้านหลินก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่คนที่ควรจะต้องผิดหวัง เสียใจกลับเพียงหันมาสบตา แล้วยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้เขา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของมี่มี่ดูแข็งกร้าวยิ่งนัก "ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ" ทุกคนส่งเสียงกล่าวคำยินดีพร้อมกัน เซี่ยเหวินหรงพยักหน้าแล้วหันไปทางหยางซูมี่ "ลำบากเจ้าแล้วมี่เอ๋อร์ เราเข้าไปข้างในกันเถิด" เซี่ยเหวินหรงกำลังจะเข้าไปประคองหยางซูมี่ แต่นางกลับขยับตัวหนี พลางหันไปสั่งความกับสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหารและน้ำอาบให้ชินอ๋อง มือหนาชะงักกลางอากาศคว้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เขากระแอมไอแก้เก้อออกมา หันไปทางไป๋เยียนองครักษ์ที่ให้คอยดูแลหยางซูมี่อย่างสงสัยกับท่าทางของนาง แต่เขาได้รับเพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนของไป๋เยียน นี่สินะสิ่งที่เสด็จพี่เคยตรัสไว้กับเขา ใจสตรียากแท้หยั่งถึง บรรยากาศภายในใจเซี่ยเหวินหรงดูมืดหม่นยิ่งนัก เขาที่เป็นชินอ๋องผู้เป็นเจ้าของจวนกลับถูกหมางเมิน ส่วนพระชายากลับดูใบหน้าผ่องใส ยิ้มแย้มสดใส หัวเราะร่าเริงกับสาวใช้คนสนิท แต่แววตากลับไม่ได้มีความสุขไปด้วย พวกบ่าวรับใช้ต่างถือข้างฝ่ายพระชายา เพราะตลอดเวลาที่ชินอ๋องไปออกรบ พระชายาต่างดูแลบ่าวไพร่ด้วยใจโอบอ้อมอารี ไม่เคยสั่งลงโทษอย่างรุนแรง และไร้เหตุผลเลย หากทำผิดจะลงโทษโดยการตัดเบี้ยเลี้ยงและทำโทษโดยการตีมือ หากบ่าวรับใช้ล้มป่วย ไม่สามารถมาทำงานได้ พระชายาก็ทรงให้ตามหมอมารักษา ค่ายาค่ารักษาล้วนเบิกจากจวนชินอ๋อง อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีอาหารหน้าตาแปลกใหม่แต่รสชาติเลิศล้ำให้ได้กินกันบ่อยครั้ง เพราะเช่นนี้บ่าวรับใช้ต่างเทิดทูน รักใคร่พระชายาด้วยใจจริง ส่วนชินอ๋องผู้เป็นเจ้านายอย่างแท้จริงทุกคนต่างยังคงเคารพยำเกรงพระองค์ แต่เพราะพระองค์ทำให้พระชายาทรงเจ็บช้ำน้ำใจ โดยรับพระชายารองเข้ามาที่จวนชินอ๋อง พวกเขาจึงพากันหมางเมินพระองค์ หลังจากกินข้าวอาบน้ำแล้ว เซี่ยเหวินหรงก็เดินไปหาหยางซูมี่ที่เรือนมู่หยางเพราะตั้งแต่ที่หยางซูมี่ได้ข่าวเรื่องที่เซี่ยเหวินหรงจะรับลี่จิ่นเข้ามา หยางซูมี่ก็ได้ย้ายมาพำนักยังเรือนมู่หยางแทนเรือนหลัก ซึ่งเรือนมู่หยางนั้นอยู่ข้างๆ กับเรือนหลักไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก เซี่ยเหวินหรงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ชายแดนเหนือให้หยางซูมี่ฟัง ทุกเรื่องราวเขาเล่าอย่างไม่ปิดบังแม้เพียงครึ่งคำ หยางซูมี่รับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ได้เอ่ยขัด แต่หลังจากฟังจนจบ ร่างบางลุกขึ้นแล้วเดินวนไปวนมาภายในห้อง เรียวคิ้วขมวดกันเป็นปม ริมฝีปากอวบอิ่มขบกัดกันเบาๆ อย่างคนที่กำลังใช้ความคิด หยางซูมี่จมกับความคิดของตนเอง นางเงยหน้าหันมาสบตาคมเข้ม ร่างบางกัดปากอวบอิ่มของตนเองอย่างตัดสินใจ เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้วจึงหันมาเผชิญหน้ากับพระสวามี ยอมรับเลยว่านางเริ่มเปิดใจให้กับเขาแล้ว แต่เรื่องนี้มันเกินที่นางจะรับไหวจริงๆ หยางซูมี่เข้าใจในความจำเป็นของเซี่ยเหวินหรง แต่ทำไมบุรุษถึงมักเหมือนกันหมดชอบคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว ไม่เคยคิดที่จะปรึกษากับภรรยาข้างหมอนเช่นนางเลย เพียงฟังจากที่เขาเล่ามานางก็รู้แล้วว่าลี่จิ่นนั้นจะต้องเป็นสายสืบของใครบางคนเป็นแน่ ใครกันที่มีอำนาจถึงกับสามารถเข้ามากำหนดชีวิตของผู้อื่นได้ แล้วยังเรื่องที่เขาเกือบจะหลับนอนกับลี่จิ่นอีก นั้นคงจะเป็นวิชาสะกดจิตเป็นแน่ หากการที่ชินอ๋องรับลี่จิ่นเข้ามาในจวนจะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้นางเข้ามาทำให้แผนการสำเร็จหรอกหรือ กลยุทธ์เอาศัตรูมาไว้ใกล้ตัวนั้น นางไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง มันเสี่ยงเกินไป ระหว่างฝ่ายที่ป้องกัน กับฝ่ายที่หาโอกาสนั้นมันต่างกัน บุรุษผู้นี้ช่างโง่เง่าสิ้นดี หยางซูมี่สบถในใจอย่างหงุดหงิด “ข้าเข้าใจในความจำเป็นของชินอ๋องที่จะรับนางเข้ามา แต่ท่านคิดดีแน่แล้วหรือเจ้าคะว่าท่านจะสามารถจัดการกับนางได้ เพียงแค่ท่านโดนนางสะกดจิต ท่านก็หลงลืมตัวตนไปแล้ว หากนางตั้งใจจะสังหารข้าเล่าเจ้าคะ” หยางซูมี่เอ่ยอย่างสงสัย แต่ในแววตาคู่งามกลับไม่มีความหวาดกลัวเลย “พี่จะให้ไป๋เฟิงเข้ามาคอยปกป้องเจ้า นางเป็นองครักษ์ไป๋หู่ที่ฝีมือดี” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หยางซูมี่พยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าร่างหนา เรียวแขนโอบรอบคอหนา มองสบตาด้วยท่าทางยั่วยวน เซี่ยเหวินหรงถึงกับหายใจสะดุดกับท่าทางของหยางซูมี่ เขาก้มลงมาจุมพิตที่ปากอวบอิ่ม ลิ้นสากไล่ต้อนกวาดชิมน้ำหวาน มือหนาเลื่อนไปปลดสายคาดเอวของร่างบางออก แต่ก่อนที่เขาจะเลื่อนมือไปสัมผัสกับร่างนุ่มนิ่มนั้น หยางซูมี่ก็ผลักอกกว้างออกเดินถอยหลังห่างออกมา ร่างสูงมองอย่างสับสนงุนงง “ข้าเข้าใจในสิ่งที่ท่านทำเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่อาจจะยอมรับได้ ข้าเป็นสตรีขี้หึง และหวงของของตนเองมาก ข้ายอมให้ท่านรับนางเข้ามาที่จวนได้ แต่นับต่อจากนี้ท่านไม่อาจจะเข้ามาในเรือนมู่หยางของข้าได้อีก และห้ามมาแตะต้องตัวข้า จนกว่านางจะออกไปจากจวน ข้าถึงจะยอมร่วมหอกับท่าน” หยางซูมี่เอ่ยจบก็เรียกซินซินให้เข้ามา นางหันมาพยักหน้าไปทางประตูเป็นเชิงไล่เขากลายๆ เซี่ยเหวินหรงได้แต่ฮึดฮัดในใจ มองร่างบางที่เข้ามายั่วยวนเขาแล้วก็ถอยหนี เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วเดินออกจากเรือนมู่หยางไปด้วยความงุ่นง่าน “ทำเช่นนี้ ชินอ๋องจะไม่ทรงกริ้วพระชายาหรือเพคะ” ซินซินเอ่ยอย่างกังวล ท่าทางของชินอ๋องที่ออกจากเรือนดูไม่พอใจยิ่งนัก “ช่างเขาสิ อยากทำอะไรแล้วไม่มาถามความเห็นของข้าก่อน เหอะ คิดจะเอาอสรพิษมาไว้ในจวน ส่วนตัวเองนั้นวันๆ อยู่แต่กับค่ายทหาร คนที่ต้องรับมือกับนางก็คือข้า” ยิ่งคิดหยางซูมี่ก็ยิ่งหงุดหงิดกับคนต้นเรื่อง อีกเพียงแค่ 7 วันนางก็ต้องมาสวมหน้ากากร่วมยินดีกับภรรยาอีกคนของเขา จวนตระกูลลู่ วันนี้คือวันมงคลที่ลู่ลี่จิ่น บุตรีบุญธรรมของท่านรองแม่ทัพลู่เหอกัง และหลานสาวบุญธรรมของแม่ทัพลู่เหอหมิง จะเข้าพิธีแต่งงานกับชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง แม้จะแต่งไปเป็นพระชายารองแต่ก็ถือว่ามีเกียรตินัก การได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ที่เป็นถึงชินอ๋องของแคว้นเซี่ยนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หน้าจวนตระกูลลู่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายมงคล ฝูงชนล้วนมามุงดูงานมงคล เกี้ยวเจ้าสาวมี 6 คนหามด้วยกัน หน้าขบวนเจ้าสาวมีขันทีข้างกายของชินอ๋องมารับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว ลู่เหอกังขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เขาไม่คิดว่าชินอ๋องจะส่งเพียงขันทีมารับเจ้าสาว ส่วนลี่จิ่นนั้นนางมองไม่เห็นเพราะผ้าคลุมหน้า คิดเพียงแต่ว่าเซี่ยเหวินหรงจะทรงมารับนางด้วยพระองค์เอง แต่ท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของลู่เหอกังทำให้นางได้แต่นึกสงสัย “เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว” แม่สื่อร้องเรียก ลู่เหอกังประคองให้ลี่จิ่นขึ้นไปนั่งในเกี้ยว เพราะว่าลี่จิ่นไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย ลู่เหอกังจึงทำหน้าที่ประคองนางขึ้นเกี้ยวแทน ขบวนเจ้าสาวเดินทางไปที่จวนชินอ๋อง เมื่อมาถึงหน้าจวนแต่ขบวนเจ้าสาวก็ยังไม่หยุด แต่กลับเดินเรียบข้างกำแพงจนไปหยุดอยู่ที่ประตูข้างของจวนชินอ๋องแทน แม่สื่อทำเพียงเข้ามาประคองลี่จิ่นให้เข้าไปข้างใน แต่ภายในจวนชินอ๋องกลับดูเงียบเชียบมีเพียงผ้ามงคลสีแดงที่ผูกไว้ตามที่ต่างๆ แขกเหรื่อที่ควรจะมาร่วมกันยินดีกลับไม่มีเลย พิธีกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ลี่จิ่นทำได้เพียงกำมือแน่นจนเล็บคมยาวที่ตัดแต่งมาอย่างดีทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือของนางจนมีเลือดไหลซึมออกมา ท่านอ๋องช่างหยามเกียรตินางยิ่งนัก แม่สื่อประคองลี่จิ่นให้เข้าไปที่เรือนเหมยฮวาที่อยู่ด้านหลังของเรือนมู่หยาง ที่ห่างออกไป 1 ลี้ กว่าที่ทั้งหมดจะเดินไปถึงเรือนเหมยฮวาก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน ตลอดทางที่เดินมามีบ่าวรับใช้หยุดมองดูอย่างสนใจ แล้วกลับไปทำงานของตนเองต่อ เมื่อเข้ามานั่งที่เรือนเหมยฮวา ลี่จิ่นนั่งรอคอยในห้องหอด้วยใจที่หมายมาด อาหารมงคล และสุรามงคลวางอยู่บนโต๊ะ หลังจากทุกคนออกไปกันหมด นางเดินตรงไปที่อาหาร ใช้เข็มเงินสำหรับตรวจพิษจุ่มไปในอาหารและสุรา เมื่อไม่พบความผิดปกติจึงยกยิ้มหวานอย่างพอใจ นำขวดหยกที่แอบซ่อนไว้ในสายคาดเอวออกมา ข้างในขวดบรรจุยามนต์เสน่ห์ที่นางคิดค้นขึ้นมาเอง ตัวยามีฤทธิ์คล้ายยาปลุกกำหนดแต่มีฤทธิ์แรงยิ่งกว่า ประกอบกับมนต์สะกดของนาง ครั้งนี้ชินอ๋องไม่รอดเงื้อมมือของนางแน่บทที่ 16เอาคืน ลี่จิ่นนั่งรออยู่บนเตียงในเรือนเหมยฮวาจนถึงยามจื่อ จนจะล่วงเข้าไปเช้าวันใหม่ของอีกวันแล้ว นางก็ไม่เห็นเงาของชินอ๋องเลย ใบหน้างามจากที่มีรอยยิ้มหวานประดับตลอดเวลา กลับเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นิ้วเรียวกำเข้าหากันอย่างคับแค้นใจชินอ๋องช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก แม้ในคืนวันแต่งงานเขาก็ไม่มาเข้าหอกับนาง การกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ดื่มสุรามงคลเขาก็ไม่ทำสักอย่าง เหมือนการที่นางแต่งเข้ามาเป็นเพียงแค่การแต่งงานในนามเท่านั้น ไฟในใจของลี่จิ่นยิ่งโหมกระพือไปด้วยเพลิงโทสะ ยิ่งเขาทำเช่นนี้นางยิ่งอยากเอาชนะ ส่วนสตรีที่เขารักมั่นจะต้องชดใช้ให้กับนางคนของจวนชินอ๋องไม่มีใครนึกยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาต่างเมินเฉยทำราวกับการแต่งพระชายารองเข้ามา เป็นเพียงการรับสตรีคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนชินอ๋องเท่านั้นเองเซี่ยเหวินหรงออกไปที่ค่ายทหารตั้งแต่เช้า คืนนี้เขาก็นอนที่ค่าย อยากจะกลับไปนอนกับหญิงคนรักก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬต่างงุนงงสงสัย เหตุใดชินอ๋องไม่ไปงานแต่งงานของตัวเอง แต่กลับมาหมกตัวยังค่ายทหาร ข่าว
บทที่ 17ค่ำคืนร้อนระอุ เซี่ยเหวินหรงเมื่อรู้อาการป่วยของลี่จิ่นเพราะนางเผลอไปกินหัวของดอกสือ ซว่านเข้า ก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นฝีมือของมี่มี่ที่เอาคืนลี่จิ่นเรื่องผงบดหนังคางคก ตอนแรกที่เขารู้เรื่องเข้าก็โกรธเคืองลี่จิ่นเป็นอย่างมากที่กล้าปองร้ายมี่มี่ของเขา เขาได้ลอบสั่งให้คนไปเสาะหาผงบดหนังคางคกเพื่อเอาคืนนาง เวลานี้ก็เหมาะสมแก่เวลาแล้วไป๋ลู่ที่ติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เพียงแค่มองตา เขาก็รู้ได้เลยว่าต้องทำเช่นไร หลังจากนั้นลี่จิ่นที่นอกจากจะมีอาการท้องเสียที่เพิ่งจะดีขึ้น บนใบหน้าและลำตัวของนางมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว ทั้งนางยังท้องเสียและอาเจียนจนลี่จิ่นทนไม่ไหวสลบไปเลยลู่เหอกังถึงกับกุมขมับหรูเหรินทรงกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม แต่กลับมาป่วยเช่นนี้ ในใจเริ่มหวั่นวิตกเข้าแล้ว หรือการที่เขาช่วยกดดันชินอ๋องจนทำให้ลี่จิ่นได้แต่งไปเป็นหรูเหรินนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด นี่เพียงผ่านไปแค่ 3 วัน นางก็โดนเล่นงานเสียแล้วเซี่ยเหวินหรงรู้ว่าลี่จิ่นมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัวจากลู่เหอกัง เขาก็แสดงสีหน้าตกใจ แล้วสั่งความให้องครักษ์ไปเชิญตัวหมอหลวงมาดูอา
บทที่ 18ทะเลสาบมรกต เช้าวันใหม่ที่สดใสของเซี่ยเหวินหรง แต่กลับกลายเป็นเช้าที่ดูหม่นหมองของหยางซูมี่ กว่าศึกเมื่อคืนระหว่างนางกับเขาจะสงบก็เป็นตอนรุ่งสางเสียแล้ว ร่างบางที่มีผ้าห่มคลุมร่างกายไว้ลืมตาขึ้นมา เพราะแสงของพระอาทิตย์ส่องมากระทบกับใบหน้างามความรู้สึกแรกคือเมื่อยขบทั้งตัว เจ็บตรงกึ่งกลางของร่างกาย ปากอิ่มบวมเจ่อ ตั้งแต่ลำคอระหง ลาดไหล่ เนินอกอิ่มล้วนเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำไปทั้งตัว นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่ง อ๋องบ้า ทำนางเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้ว พวกบ่าวไพร่คงจะรู้เรื่องเมื่อคืนทั่วจวนแล้ว เพราะตั้งแต่เซี่ยเหวินหรงเสด็จมาเยือนที่เรือนของหยางซูมี่ เขาก็ไม่ได้ก้าวขาออกไปเลย อาหารมื้อเย็นก็ไม่ได้ทาน ตอนนี้ยังมานอนยิ้มอยู่ข้างๆ นาง งานการไม่ไปทำหรืออย่างไร หยางซูมี่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เซี่ยเหวินหรงเห็นท่าทางของแมวน้อยที่ขู่ฟ่อมาทางเขา ก็ยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อคืนเขารังแกนางมากเกินไปจริงๆ ใครใช้ให้นางช่างน่ารักอ่อนหวานจนเขาอดใจไม่ไหวได้เล่า แต่เพื่อชดเชยไม่ให้มี่มี่ยิ่งขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เขาคงต้องให้รางวัลนางเสียหน่อยแล้ว“ว
บทที่ 19เจียงซูหนี่ ตำหนักหย่งเหิงที่ประทับของไทเฮา เต็มไปด้วยเหล่าคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญจากไทเฮาให้มาร่วมจิบน้ำชาและสนทนากัน แต่ทุกคนต่างรู้ว่าจุดประสงค์ของไทเฮานั้นเพื่อเฟ้นหาหญิงงามให้กับชินอ๋องหลังจากที่พระนางหมายมาดที่จะให้มู่เหลียนฮวาหลานสาวที่ทรงโปรดปรานแต่งเป็นพระชายาเอกนั้นไม่สำเร็จ แต่กลายเป็นหยางซูมี่ที่ได้สมรสพระราชทานในครั้งนั้นแทน คราแรกพระนางจะให้มู่เหลียนฮวาแต่งเป็นพระชายารอง แต่ลี่จิ่นก็กลับได้มาแต่งตัดหน้าไปเสียก่อนดังนั้นหากจะดันทุรังให้มู่เหลียนฮวาแต่งเข้าจวนชินอ๋องอีก ก็คงไม่เหมาะสมเพราะตำแหน่งที่เว้นว่างไว้จะต้องเป็นรองหยางซูมี่และลี่จิ่น ไม่สมควรกับฐานะหลานสาวของไทเฮา พระนางจึงยอมตัดใจจะให้มู่เหลียนฮวาไปร่วมคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ที่จะจัดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้แทนคุณหนูที่ไทเฮาทรงคัดเลือกมานั้นล้วนเป็นตระกูลที่เข้าฝ่ายพระนางทั้งสิ้น ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เมื่อพระนางลอบสังเกตท่าทางและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงตัดสินใจจะให้คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมโยธา ที่มีนามว่าเจียงซูหนี่ แต่งเข้าไปเป็นชายารองของ
บทที่ 20 สาดโคลน เมื่อพูดคุยธุระ และตระเตรียมแผนการเสร็จสิ้นแล้ว ก็พากันเดินออกมาข้างนอก พบว่าสองคนแม่ลูกกลับไปที่เรือนของตนเองแล้วตั้งแต่ที่หยางซูมี่พูดจาข่มขู่เอาไว้ หยางซูมี่มาที่จวนวันนี้นอกจากจะมาพูดคุยธุระแล้ว นางยังอยากมาพบพี่สะใภ้อีกด้วย เพราะมีเรื่องราวมากมายจนทำให้นางไม่ค่อยได้ออกมาพบกับสหายนัก วันนี้นางยังได้ส่งเทียบเชิญไปให้หม่าฮุ่ยหลิง กับจ้าวเหมยอิงมาที่จวนตระกูลหยางด้วย หยางหมิงขอตัวไปจัดการธุระเรื่องราชการ หยางเฟยเทียนก็ขอตัวไปที่ค่ายทหาร หยางซูมี่จึงเดินไปหาเถาซูเม่ยที่ตอนนี้กลายมาเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนตระกูลหยาง “พี่สะใภ้อยู่หรือไม่” หยางซูมี่เอ่ยถามบ่าวรับใช้หน้าเรือนของหยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ย “ทูลพระชายา ฮูหยินน้อยอยู่ที่ศาลาเหลียนฮวาเพคะ คุณหนูจ้าวและคุณหนูหม่าเดินทางมาถึงแล้วเพคะ” หยางซูมี่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหมุนตัวเปลี่ยนเส้นทางไปที่ศาลาเหลียนฮวาที่ตอนนี้มีสหายของนางอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คนในศาลาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา ไ
บทที่ 21ลงดาบ การปรากฏตัวของหยางเฟยเทียนทำให้ตกใจมากพอแล้ว แต่ด้านหลังของชายหนุ่มยังมีหยางหมิง และเซี่ยเหวินหรงเดินตามเข้ามาด้วย เสิ่นอี๋นั่วอยากจะแกล้งเป็นลมเสียเดี๋ยวนี้เลย ทำไมแผนการทุกอย่างของนางจะต้องพังไม่เป็นท่าทุกที สายตาที่มองไปทางหยางซูมี่มีแต่ความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวอ้ายฉิง หรือหยางซูมี่ นางก็ไม่อาจจะก้าวข้ามทั้งสองคนไปได้เลย“ว่าอย่างไรคุณหนูเสิ่น พี่ชายของข้าบอกว่าเขาไม่เคยข่มเหงเจ้า แล้วการที่เจ้ามาประกาศร้องปาวๆ เช่นนี้ เจ้าหวังสิ่งใดกันแน่ คิดให้ดีก่อนที่จะพูด การโกหกเชื้อพระวงศ์เช่นเปิ่นหวางเฟยมีโทษรออยู่นะ”หยางซูมี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เซี่ยเหวินหรงได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างหยางซูมี่ด้วย“เปิ่นหวางก็อยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนัก หากเจ้าโกหกแม้เพียงครึ่งคำ เปิ่นหวางจะสั่งให้องครักษ์ตัดลิ้นของเจ้าเสีย”เซี่ยเหวินหรงพูดข่มขู่มาอีกคน สายตาของเขาไม่ได้มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อยเสิ่นเลี่ยงหรูหวาดกลัวจนตัวสั่น ไหนท่านน้าบอกว่าหากนางทำตามแผนการที่ท่านน้าวางไว้ให้ นางจะได้เข้าม
บทที่ 22คำสั่งห้ามของชินอ๋อง ตลอดระยะเวลากว่า 7 วันที่เซี่ยเหวินหรงเข้ามาควบคุมการฝึกของทหารใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับเขา แต่กับทหารใหม่ที่เข้ามาใหม่นั้นรู้สึกประหนึ่งร่างกายจะแหลกเหลว การฝึกของชินอ๋องช่างดุดัน เข้มงวดมากเสียจริง สมแล้วกับฉายาอ๋องทมิฬผู้กุมทหารกองทัพพยัคฆ์ทมิฬกว่าสองแสนนายทหารที่เซี่ยเหวินหรงฝึกนั้น เป็นเพียงทหารที่จะเข้ามาสังกัดในเมืองหลวงเท่านั้น หากใครดูว่ามีแววหรือเข้าตาเขาก็จะถูกโยกย้ายให้ไปประจำการยังหน่วยต่างๆ ที่เหมาะสม ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพผู้มีประสบการณ์มาหลายปี เพียงมองดูก็สามารถแยกแยะทหารใหม่ได้แล้วหลังจากการฝึกทหารใหม่ผ่านไปอย่างลุล่วงด้วยดี เขาก็รีบตรงกลับไปที่จวนชินอ๋องทันที เวลานี้เขาคิดถึงมี่มี่ของเขาเหลือเกิน ไม่ได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มพาให้ใจไม่สงบนัก ไม่อาจข่มตาหลับได้ คิดแล้วก็พาลคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อครั้นเยาว์วัยที่เขาไม่อาจข่มตานอนหลับได้เลย จะต้องนอนกอดกับแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาจนกระทั่งนางได้เสียไปเมื่อตอนที่เขาไปอยู่ยังค่ายทหารตอนอายุ 12 หนาว นับว่าเป็นเรื่องที่เขาสะเทือนใจนัก เซี่ย
บทที่ 23การปะทะกันของสาวงาม เซี่ยเหวินหลินชวนเซี่ยเหวินหรงเล่นหมากล้อม หลังจากนั้นก็ชวนกันร่ำสุรากับอาหารเลิศรสที่พ่อครัวของจวนชินอ๋องเร่งทำอย่างสุดฝีมือ เพื่อขึ้นโต๊ะเสวยของท่านอ๋องทั้งสองพระองค์ ส่วนชายารองทั้งสองคอยรินสุราใส่จอกให้พระสวามี ต่างพูดชมเยินยอกันไปมา ล้วนแต่เป็นภาษาดอกไม้ที่เหล่าสาวใช้ที่ยืนไม่ห่างออกไปได้ฟังต่างพากันงงงวย สตรีชนชั้นสูงนั้นล้วนมีฝีปากที่ลึกล้ำยิ่งนัก“ข้าได้ข่าวว่าน้องหญิงลี่จิ่นป่วยเป็นผื่นแดงขึ้นทั้งตัว คงจะไม่ได้เป็นโรคร้ายใช่หรือไม่ ผิวพรรณของสตรีอย่างเรานั้นไม่อาจมีรอยราคีได้ แต่น้องหญิงอย่าได้กังวล ฮองเฮานั้นทรงเป็นญาติผู้พี่ของข้า ข้าสามารถพูดคุยกับพระนางให้หมอหลวงจัดโอสถลดเลือนริ้วรอยได้”หม่าลี่เหมยเอ่ยไปพลางยกชายแขนเสื้อมาปิดปาก แสร้งหัวเราะอย่างขบขัน กิริยาท่าทางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของอิสตรี“พี่หญิงกล่าวหนักไปแล้ว น้องแค่แพ้ละอองเกสรของดอกไม้ มีผื่นขึ้นมาเพียงนิดเดียว ท่านพี่น่ะสิเพคะ ทรงวิตกกังวลเกินไปเกรงว่าน้องกลับมาที่จวนจะแพ้อีก จึงให้น้องพักอยู่ที่จวนตระกูลลู่ก่อน ส่วนท่านพี่ก็สั
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน