บทที่ 15
ไม่อาจยอมรับ เมื่อกลับมาถึงจวน เซี่ยเหวินหรงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แม้ว่าหยางซูมี่และบ่าวรับใช้จะมารอต้อนรับเขา แต่ทำไมบรรยากาศช่างดูห่างไกลจากความยินดีนัก เขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่กล่าวโทษเขามาจากทางพวกบ่าวรับใช้ แม้จะก้มหน้ามองต่ำ แต่ทุกคนต่างก็ลอบส่งสายตาผิดหวังมาให้เขา แม้แต่พ่อบ้านหลินก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่คนที่ควรจะต้องผิดหวัง เสียใจกลับเพียงหันมาสบตา แล้วยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้เขา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของมี่มี่ดูแข็งกร้าวยิ่งนัก "ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ" ทุกคนส่งเสียงกล่าวคำยินดีพร้อมกัน เซี่ยเหวินหรงพยักหน้าแล้วหันไปทางหยางซูมี่ "ลำบากเจ้าแล้วมี่เอ๋อร์ เราเข้าไปข้างในกันเถิด" เซี่ยเหวินหรงกำลังจะเข้าไปประคองหยางซูมี่ แต่นางกลับขยับตัวหนี พลางหันไปสั่งความกับสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหารและน้ำอาบให้ชินอ๋อง มือหนาชะงักกลางอากาศคว้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เขากระแอมไอแก้เก้อออกมา หันไปทางไป๋เยียนองครักษ์ที่ให้คอยดูแลหยางซูมี่อย่างสงสัยกับท่าทางของนาง แต่เขาได้รับเพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนของไป๋เยียน นี่สินะสิ่งที่เสด็จพี่เคยตรัสไว้กับเขา ใจสตรียากแท้หยั่งถึง บรรยากาศภายในใจเซี่ยเหวินหรงดูมืดหม่นยิ่งนัก เขาที่เป็นชินอ๋องผู้เป็นเจ้าของจวนกลับถูกหมางเมิน ส่วนพระชายากลับดูใบหน้าผ่องใส ยิ้มแย้มสดใส หัวเราะร่าเริงกับสาวใช้คนสนิท แต่แววตากลับไม่ได้มีความสุขไปด้วย พวกบ่าวรับใช้ต่างถือข้างฝ่ายพระชายา เพราะตลอดเวลาที่ชินอ๋องไปออกรบ พระชายาต่างดูแลบ่าวไพร่ด้วยใจโอบอ้อมอารี ไม่เคยสั่งลงโทษอย่างรุนแรง และไร้เหตุผลเลย หากทำผิดจะลงโทษโดยการตัดเบี้ยเลี้ยงและทำโทษโดยการตีมือ หากบ่าวรับใช้ล้มป่วย ไม่สามารถมาทำงานได้ พระชายาก็ทรงให้ตามหมอมารักษา ค่ายาค่ารักษาล้วนเบิกจากจวนชินอ๋อง อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีอาหารหน้าตาแปลกใหม่แต่รสชาติเลิศล้ำให้ได้กินกันบ่อยครั้ง เพราะเช่นนี้บ่าวรับใช้ต่างเทิดทูน รักใคร่พระชายาด้วยใจจริง ส่วนชินอ๋องผู้เป็นเจ้านายอย่างแท้จริงทุกคนต่างยังคงเคารพยำเกรงพระองค์ แต่เพราะพระองค์ทำให้พระชายาทรงเจ็บช้ำน้ำใจ โดยรับพระชายารองเข้ามาที่จวนชินอ๋อง พวกเขาจึงพากันหมางเมินพระองค์ หลังจากกินข้าวอาบน้ำแล้ว เซี่ยเหวินหรงก็เดินไปหาหยางซูมี่ที่เรือนมู่หยางเพราะตั้งแต่ที่หยางซูมี่ได้ข่าวเรื่องที่เซี่ยเหวินหรงจะรับลี่จิ่นเข้ามา หยางซูมี่ก็ได้ย้ายมาพำนักยังเรือนมู่หยางแทนเรือนหลัก ซึ่งเรือนมู่หยางนั้นอยู่ข้างๆ กับเรือนหลักไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก เซี่ยเหวินหรงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ชายแดนเหนือให้หยางซูมี่ฟัง ทุกเรื่องราวเขาเล่าอย่างไม่ปิดบังแม้เพียงครึ่งคำ หยางซูมี่รับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ได้เอ่ยขัด แต่หลังจากฟังจนจบ ร่างบางลุกขึ้นแล้วเดินวนไปวนมาภายในห้อง เรียวคิ้วขมวดกันเป็นปม ริมฝีปากอวบอิ่มขบกัดกันเบาๆ อย่างคนที่กำลังใช้ความคิด หยางซูมี่จมกับความคิดของตนเอง นางเงยหน้าหันมาสบตาคมเข้ม ร่างบางกัดปากอวบอิ่มของตนเองอย่างตัดสินใจ เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้วจึงหันมาเผชิญหน้ากับพระสวามี ยอมรับเลยว่านางเริ่มเปิดใจให้กับเขาแล้ว แต่เรื่องนี้มันเกินที่นางจะรับไหวจริงๆ หยางซูมี่เข้าใจในความจำเป็นของเซี่ยเหวินหรง แต่ทำไมบุรุษถึงมักเหมือนกันหมดชอบคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว ไม่เคยคิดที่จะปรึกษากับภรรยาข้างหมอนเช่นนางเลย เพียงฟังจากที่เขาเล่ามานางก็รู้แล้วว่าลี่จิ่นนั้นจะต้องเป็นสายสืบของใครบางคนเป็นแน่ ใครกันที่มีอำนาจถึงกับสามารถเข้ามากำหนดชีวิตของผู้อื่นได้ แล้วยังเรื่องที่เขาเกือบจะหลับนอนกับลี่จิ่นอีก นั้นคงจะเป็นวิชาสะกดจิตเป็นแน่ หากการที่ชินอ๋องรับลี่จิ่นเข้ามาในจวนจะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้นางเข้ามาทำให้แผนการสำเร็จหรอกหรือ กลยุทธ์เอาศัตรูมาไว้ใกล้ตัวนั้น นางไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง มันเสี่ยงเกินไป ระหว่างฝ่ายที่ป้องกัน กับฝ่ายที่หาโอกาสนั้นมันต่างกัน บุรุษผู้นี้ช่างโง่เง่าสิ้นดี หยางซูมี่สบถในใจอย่างหงุดหงิด “ข้าเข้าใจในความจำเป็นของชินอ๋องที่จะรับนางเข้ามา แต่ท่านคิดดีแน่แล้วหรือเจ้าคะว่าท่านจะสามารถจัดการกับนางได้ เพียงแค่ท่านโดนนางสะกดจิต ท่านก็หลงลืมตัวตนไปแล้ว หากนางตั้งใจจะสังหารข้าเล่าเจ้าคะ” หยางซูมี่เอ่ยอย่างสงสัย แต่ในแววตาคู่งามกลับไม่มีความหวาดกลัวเลย “พี่จะให้ไป๋เฟิงเข้ามาคอยปกป้องเจ้า นางเป็นองครักษ์ไป๋หู่ที่ฝีมือดี” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หยางซูมี่พยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าร่างหนา เรียวแขนโอบรอบคอหนา มองสบตาด้วยท่าทางยั่วยวน เซี่ยเหวินหรงถึงกับหายใจสะดุดกับท่าทางของหยางซูมี่ เขาก้มลงมาจุมพิตที่ปากอวบอิ่ม ลิ้นสากไล่ต้อนกวาดชิมน้ำหวาน มือหนาเลื่อนไปปลดสายคาดเอวของร่างบางออก แต่ก่อนที่เขาจะเลื่อนมือไปสัมผัสกับร่างนุ่มนิ่มนั้น หยางซูมี่ก็ผลักอกกว้างออกเดินถอยหลังห่างออกมา ร่างสูงมองอย่างสับสนงุนงง “ข้าเข้าใจในสิ่งที่ท่านทำเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่อาจจะยอมรับได้ ข้าเป็นสตรีขี้หึง และหวงของของตนเองมาก ข้ายอมให้ท่านรับนางเข้ามาที่จวนได้ แต่นับต่อจากนี้ท่านไม่อาจจะเข้ามาในเรือนมู่หยางของข้าได้อีก และห้ามมาแตะต้องตัวข้า จนกว่านางจะออกไปจากจวน ข้าถึงจะยอมร่วมหอกับท่าน” หยางซูมี่เอ่ยจบก็เรียกซินซินให้เข้ามา นางหันมาพยักหน้าไปทางประตูเป็นเชิงไล่เขากลายๆ เซี่ยเหวินหรงได้แต่ฮึดฮัดในใจ มองร่างบางที่เข้ามายั่วยวนเขาแล้วก็ถอยหนี เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วเดินออกจากเรือนมู่หยางไปด้วยความงุ่นง่าน “ทำเช่นนี้ ชินอ๋องจะไม่ทรงกริ้วพระชายาหรือเพคะ” ซินซินเอ่ยอย่างกังวล ท่าทางของชินอ๋องที่ออกจากเรือนดูไม่พอใจยิ่งนัก “ช่างเขาสิ อยากทำอะไรแล้วไม่มาถามความเห็นของข้าก่อน เหอะ คิดจะเอาอสรพิษมาไว้ในจวน ส่วนตัวเองนั้นวันๆ อยู่แต่กับค่ายทหาร คนที่ต้องรับมือกับนางก็คือข้า” ยิ่งคิดหยางซูมี่ก็ยิ่งหงุดหงิดกับคนต้นเรื่อง อีกเพียงแค่ 7 วันนางก็ต้องมาสวมหน้ากากร่วมยินดีกับภรรยาอีกคนของเขา จวนตระกูลลู่ วันนี้คือวันมงคลที่ลู่ลี่จิ่น บุตรีบุญธรรมของท่านรองแม่ทัพลู่เหอกัง และหลานสาวบุญธรรมของแม่ทัพลู่เหอหมิง จะเข้าพิธีแต่งงานกับชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง แม้จะแต่งไปเป็นพระชายารองแต่ก็ถือว่ามีเกียรตินัก การได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ที่เป็นถึงชินอ๋องของแคว้นเซี่ยนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หน้าจวนตระกูลลู่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายมงคล ฝูงชนล้วนมามุงดูงานมงคล เกี้ยวเจ้าสาวมี 6 คนหามด้วยกัน หน้าขบวนเจ้าสาวมีขันทีข้างกายของชินอ๋องมารับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว ลู่เหอกังขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เขาไม่คิดว่าชินอ๋องจะส่งเพียงขันทีมารับเจ้าสาว ส่วนลี่จิ่นนั้นนางมองไม่เห็นเพราะผ้าคลุมหน้า คิดเพียงแต่ว่าเซี่ยเหวินหรงจะทรงมารับนางด้วยพระองค์เอง แต่ท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของลู่เหอกังทำให้นางได้แต่นึกสงสัย “เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว” แม่สื่อร้องเรียก ลู่เหอกังประคองให้ลี่จิ่นขึ้นไปนั่งในเกี้ยว เพราะว่าลี่จิ่นไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย ลู่เหอกังจึงทำหน้าที่ประคองนางขึ้นเกี้ยวแทน ขบวนเจ้าสาวเดินทางไปที่จวนชินอ๋อง เมื่อมาถึงหน้าจวนแต่ขบวนเจ้าสาวก็ยังไม่หยุด แต่กลับเดินเรียบข้างกำแพงจนไปหยุดอยู่ที่ประตูข้างของจวนชินอ๋องแทน แม่สื่อทำเพียงเข้ามาประคองลี่จิ่นให้เข้าไปข้างใน แต่ภายในจวนชินอ๋องกลับดูเงียบเชียบมีเพียงผ้ามงคลสีแดงที่ผูกไว้ตามที่ต่างๆ แขกเหรื่อที่ควรจะมาร่วมกันยินดีกลับไม่มีเลย พิธีกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ลี่จิ่นทำได้เพียงกำมือแน่นจนเล็บคมยาวที่ตัดแต่งมาอย่างดีทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือของนางจนมีเลือดไหลซึมออกมา ท่านอ๋องช่างหยามเกียรตินางยิ่งนัก แม่สื่อประคองลี่จิ่นให้เข้าไปที่เรือนเหมยฮวาที่อยู่ด้านหลังของเรือนมู่หยาง ที่ห่างออกไป 1 ลี้ กว่าที่ทั้งหมดจะเดินไปถึงเรือนเหมยฮวาก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน ตลอดทางที่เดินมามีบ่าวรับใช้หยุดมองดูอย่างสนใจ แล้วกลับไปทำงานของตนเองต่อ เมื่อเข้ามานั่งที่เรือนเหมยฮวา ลี่จิ่นนั่งรอคอยในห้องหอด้วยใจที่หมายมาด อาหารมงคล และสุรามงคลวางอยู่บนโต๊ะ หลังจากทุกคนออกไปกันหมด นางเดินตรงไปที่อาหาร ใช้เข็มเงินสำหรับตรวจพิษจุ่มไปในอาหารและสุรา เมื่อไม่พบความผิดปกติจึงยกยิ้มหวานอย่างพอใจ นำขวดหยกที่แอบซ่อนไว้ในสายคาดเอวออกมา ข้างในขวดบรรจุยามนต์เสน่ห์ที่นางคิดค้นขึ้นมาเอง ตัวยามีฤทธิ์คล้ายยาปลุกกำหนดแต่มีฤทธิ์แรงยิ่งกว่า ประกอบกับมนต์สะกดของนาง ครั้งนี้ชินอ๋องไม่รอดเงื้อมมือของนางแน่บทที่ 16เอาคืน ลี่จิ่นนั่งรออยู่บนเตียงในเรือนเหมยฮวาจนถึงยามจื่อ จนจะล่วงเข้าไปเช้าวันใหม่ของอีกวันแล้ว นางก็ไม่เห็นเงาของชินอ๋องเลย ใบหน้างามจากที่มีรอยยิ้มหวานประดับตลอดเวลา กลับเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นิ้วเรียวกำเข้าหากันอย่างคับแค้นใจชินอ๋องช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก แม้ในคืนวันแต่งงานเขาก็ไม่มาเข้าหอกับนาง การกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ดื่มสุรามงคลเขาก็ไม่ทำสักอย่าง เหมือนการที่นางแต่งเข้ามาเป็นเพียงแค่การแต่งงานในนามเท่านั้น ไฟในใจของลี่จิ่นยิ่งโหมกระพือไปด้วยเพลิงโทสะ ยิ่งเขาทำเช่นนี้นางยิ่งอยากเอาชนะ ส่วนสตรีที่เขารักมั่นจะต้องชดใช้ให้กับนางคนของจวนชินอ๋องไม่มีใครนึกยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาต่างเมินเฉยทำราวกับการแต่งพระชายารองเข้ามา เป็นเพียงการรับสตรีคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนชินอ๋องเท่านั้นเองเซี่ยเหวินหรงออกไปที่ค่ายทหารตั้งแต่เช้า คืนนี้เขาก็นอนที่ค่าย อยากจะกลับไปนอนกับหญิงคนรักก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬต่างงุนงงสงสัย เหตุใดชินอ๋องไม่ไปงานแต่งงานของตัวเอง แต่กลับมาหมกตัวยังค่ายทหาร ข่าว
บทที่ 17ค่ำคืนร้อนระอุ เซี่ยเหวินหรงเมื่อรู้อาการป่วยของลี่จิ่นเพราะนางเผลอไปกินหัวของดอกสือ ซว่านเข้า ก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นฝีมือของมี่มี่ที่เอาคืนลี่จิ่นเรื่องผงบดหนังคางคก ตอนแรกที่เขารู้เรื่องเข้าก็โกรธเคืองลี่จิ่นเป็นอย่างมากที่กล้าปองร้ายมี่มี่ของเขา เขาได้ลอบสั่งให้คนไปเสาะหาผงบดหนังคางคกเพื่อเอาคืนนาง เวลานี้ก็เหมาะสมแก่เวลาแล้วไป๋ลู่ที่ติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เพียงแค่มองตา เขาก็รู้ได้เลยว่าต้องทำเช่นไร หลังจากนั้นลี่จิ่นที่นอกจากจะมีอาการท้องเสียที่เพิ่งจะดีขึ้น บนใบหน้าและลำตัวของนางมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว ทั้งนางยังท้องเสียและอาเจียนจนลี่จิ่นทนไม่ไหวสลบไปเลยลู่เหอกังถึงกับกุมขมับหรูเหรินทรงกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม แต่กลับมาป่วยเช่นนี้ ในใจเริ่มหวั่นวิตกเข้าแล้ว หรือการที่เขาช่วยกดดันชินอ๋องจนทำให้ลี่จิ่นได้แต่งไปเป็นหรูเหรินนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด นี่เพียงผ่านไปแค่ 3 วัน นางก็โดนเล่นงานเสียแล้วเซี่ยเหวินหรงรู้ว่าลี่จิ่นมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัวจากลู่เหอกัง เขาก็แสดงสีหน้าตกใจ แล้วสั่งความให้องครักษ์ไปเชิญตัวหมอหลวงมาดูอา
บทที่ 18ทะเลสาบมรกต เช้าวันใหม่ที่สดใสของเซี่ยเหวินหรง แต่กลับกลายเป็นเช้าที่ดูหม่นหมองของหยางซูมี่ กว่าศึกเมื่อคืนระหว่างนางกับเขาจะสงบก็เป็นตอนรุ่งสางเสียแล้ว ร่างบางที่มีผ้าห่มคลุมร่างกายไว้ลืมตาขึ้นมา เพราะแสงของพระอาทิตย์ส่องมากระทบกับใบหน้างามความรู้สึกแรกคือเมื่อยขบทั้งตัว เจ็บตรงกึ่งกลางของร่างกาย ปากอิ่มบวมเจ่อ ตั้งแต่ลำคอระหง ลาดไหล่ เนินอกอิ่มล้วนเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำไปทั้งตัว นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่ง อ๋องบ้า ทำนางเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้ว พวกบ่าวไพร่คงจะรู้เรื่องเมื่อคืนทั่วจวนแล้ว เพราะตั้งแต่เซี่ยเหวินหรงเสด็จมาเยือนที่เรือนของหยางซูมี่ เขาก็ไม่ได้ก้าวขาออกไปเลย อาหารมื้อเย็นก็ไม่ได้ทาน ตอนนี้ยังมานอนยิ้มอยู่ข้างๆ นาง งานการไม่ไปทำหรืออย่างไร หยางซูมี่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เซี่ยเหวินหรงเห็นท่าทางของแมวน้อยที่ขู่ฟ่อมาทางเขา ก็ยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อคืนเขารังแกนางมากเกินไปจริงๆ ใครใช้ให้นางช่างน่ารักอ่อนหวานจนเขาอดใจไม่ไหวได้เล่า แต่เพื่อชดเชยไม่ให้มี่มี่ยิ่งขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เขาคงต้องให้รางวัลนางเสียหน่อยแล้ว“ว
บทที่ 19เจียงซูหนี่ ตำหนักหย่งเหิงที่ประทับของไทเฮา เต็มไปด้วยเหล่าคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญจากไทเฮาให้มาร่วมจิบน้ำชาและสนทนากัน แต่ทุกคนต่างรู้ว่าจุดประสงค์ของไทเฮานั้นเพื่อเฟ้นหาหญิงงามให้กับชินอ๋องหลังจากที่พระนางหมายมาดที่จะให้มู่เหลียนฮวาหลานสาวที่ทรงโปรดปรานแต่งเป็นพระชายาเอกนั้นไม่สำเร็จ แต่กลายเป็นหยางซูมี่ที่ได้สมรสพระราชทานในครั้งนั้นแทน คราแรกพระนางจะให้มู่เหลียนฮวาแต่งเป็นพระชายารอง แต่ลี่จิ่นก็กลับได้มาแต่งตัดหน้าไปเสียก่อนดังนั้นหากจะดันทุรังให้มู่เหลียนฮวาแต่งเข้าจวนชินอ๋องอีก ก็คงไม่เหมาะสมเพราะตำแหน่งที่เว้นว่างไว้จะต้องเป็นรองหยางซูมี่และลี่จิ่น ไม่สมควรกับฐานะหลานสาวของไทเฮา พระนางจึงยอมตัดใจจะให้มู่เหลียนฮวาไปร่วมคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ที่จะจัดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้แทนคุณหนูที่ไทเฮาทรงคัดเลือกมานั้นล้วนเป็นตระกูลที่เข้าฝ่ายพระนางทั้งสิ้น ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เมื่อพระนางลอบสังเกตท่าทางและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงตัดสินใจจะให้คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมโยธา ที่มีนามว่าเจียงซูหนี่ แต่งเข้าไปเป็นชายารองของ
บทที่ 20 สาดโคลน เมื่อพูดคุยธุระ และตระเตรียมแผนการเสร็จสิ้นแล้ว ก็พากันเดินออกมาข้างนอก พบว่าสองคนแม่ลูกกลับไปที่เรือนของตนเองแล้วตั้งแต่ที่หยางซูมี่พูดจาข่มขู่เอาไว้ หยางซูมี่มาที่จวนวันนี้นอกจากจะมาพูดคุยธุระแล้ว นางยังอยากมาพบพี่สะใภ้อีกด้วย เพราะมีเรื่องราวมากมายจนทำให้นางไม่ค่อยได้ออกมาพบกับสหายนัก วันนี้นางยังได้ส่งเทียบเชิญไปให้หม่าฮุ่ยหลิง กับจ้าวเหมยอิงมาที่จวนตระกูลหยางด้วย หยางหมิงขอตัวไปจัดการธุระเรื่องราชการ หยางเฟยเทียนก็ขอตัวไปที่ค่ายทหาร หยางซูมี่จึงเดินไปหาเถาซูเม่ยที่ตอนนี้กลายมาเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนตระกูลหยาง “พี่สะใภ้อยู่หรือไม่” หยางซูมี่เอ่ยถามบ่าวรับใช้หน้าเรือนของหยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ย “ทูลพระชายา ฮูหยินน้อยอยู่ที่ศาลาเหลียนฮวาเพคะ คุณหนูจ้าวและคุณหนูหม่าเดินทางมาถึงแล้วเพคะ” หยางซูมี่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหมุนตัวเปลี่ยนเส้นทางไปที่ศาลาเหลียนฮวาที่ตอนนี้มีสหายของนางอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คนในศาลาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา ไ
บทที่ 21ลงดาบ การปรากฏตัวของหยางเฟยเทียนทำให้ตกใจมากพอแล้ว แต่ด้านหลังของชายหนุ่มยังมีหยางหมิง และเซี่ยเหวินหรงเดินตามเข้ามาด้วย เสิ่นอี๋นั่วอยากจะแกล้งเป็นลมเสียเดี๋ยวนี้เลย ทำไมแผนการทุกอย่างของนางจะต้องพังไม่เป็นท่าทุกที สายตาที่มองไปทางหยางซูมี่มีแต่ความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวอ้ายฉิง หรือหยางซูมี่ นางก็ไม่อาจจะก้าวข้ามทั้งสองคนไปได้เลย“ว่าอย่างไรคุณหนูเสิ่น พี่ชายของข้าบอกว่าเขาไม่เคยข่มเหงเจ้า แล้วการที่เจ้ามาประกาศร้องปาวๆ เช่นนี้ เจ้าหวังสิ่งใดกันแน่ คิดให้ดีก่อนที่จะพูด การโกหกเชื้อพระวงศ์เช่นเปิ่นหวางเฟยมีโทษรออยู่นะ”หยางซูมี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เซี่ยเหวินหรงได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างหยางซูมี่ด้วย“เปิ่นหวางก็อยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนัก หากเจ้าโกหกแม้เพียงครึ่งคำ เปิ่นหวางจะสั่งให้องครักษ์ตัดลิ้นของเจ้าเสีย”เซี่ยเหวินหรงพูดข่มขู่มาอีกคน สายตาของเขาไม่ได้มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อยเสิ่นเลี่ยงหรูหวาดกลัวจนตัวสั่น ไหนท่านน้าบอกว่าหากนางทำตามแผนการที่ท่านน้าวางไว้ให้ นางจะได้เข้าม
บทที่ 22คำสั่งห้ามของชินอ๋อง ตลอดระยะเวลากว่า 7 วันที่เซี่ยเหวินหรงเข้ามาควบคุมการฝึกของทหารใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับเขา แต่กับทหารใหม่ที่เข้ามาใหม่นั้นรู้สึกประหนึ่งร่างกายจะแหลกเหลว การฝึกของชินอ๋องช่างดุดัน เข้มงวดมากเสียจริง สมแล้วกับฉายาอ๋องทมิฬผู้กุมทหารกองทัพพยัคฆ์ทมิฬกว่าสองแสนนายทหารที่เซี่ยเหวินหรงฝึกนั้น เป็นเพียงทหารที่จะเข้ามาสังกัดในเมืองหลวงเท่านั้น หากใครดูว่ามีแววหรือเข้าตาเขาก็จะถูกโยกย้ายให้ไปประจำการยังหน่วยต่างๆ ที่เหมาะสม ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพผู้มีประสบการณ์มาหลายปี เพียงมองดูก็สามารถแยกแยะทหารใหม่ได้แล้วหลังจากการฝึกทหารใหม่ผ่านไปอย่างลุล่วงด้วยดี เขาก็รีบตรงกลับไปที่จวนชินอ๋องทันที เวลานี้เขาคิดถึงมี่มี่ของเขาเหลือเกิน ไม่ได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มพาให้ใจไม่สงบนัก ไม่อาจข่มตาหลับได้ คิดแล้วก็พาลคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อครั้นเยาว์วัยที่เขาไม่อาจข่มตานอนหลับได้เลย จะต้องนอนกอดกับแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาจนกระทั่งนางได้เสียไปเมื่อตอนที่เขาไปอยู่ยังค่ายทหารตอนอายุ 12 หนาว นับว่าเป็นเรื่องที่เขาสะเทือนใจนัก เซี่ย
บทที่ 23การปะทะกันของสาวงาม เซี่ยเหวินหลินชวนเซี่ยเหวินหรงเล่นหมากล้อม หลังจากนั้นก็ชวนกันร่ำสุรากับอาหารเลิศรสที่พ่อครัวของจวนชินอ๋องเร่งทำอย่างสุดฝีมือ เพื่อขึ้นโต๊ะเสวยของท่านอ๋องทั้งสองพระองค์ ส่วนชายารองทั้งสองคอยรินสุราใส่จอกให้พระสวามี ต่างพูดชมเยินยอกันไปมา ล้วนแต่เป็นภาษาดอกไม้ที่เหล่าสาวใช้ที่ยืนไม่ห่างออกไปได้ฟังต่างพากันงงงวย สตรีชนชั้นสูงนั้นล้วนมีฝีปากที่ลึกล้ำยิ่งนัก“ข้าได้ข่าวว่าน้องหญิงลี่จิ่นป่วยเป็นผื่นแดงขึ้นทั้งตัว คงจะไม่ได้เป็นโรคร้ายใช่หรือไม่ ผิวพรรณของสตรีอย่างเรานั้นไม่อาจมีรอยราคีได้ แต่น้องหญิงอย่าได้กังวล ฮองเฮานั้นทรงเป็นญาติผู้พี่ของข้า ข้าสามารถพูดคุยกับพระนางให้หมอหลวงจัดโอสถลดเลือนริ้วรอยได้”หม่าลี่เหมยเอ่ยไปพลางยกชายแขนเสื้อมาปิดปาก แสร้งหัวเราะอย่างขบขัน กิริยาท่าทางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของอิสตรี“พี่หญิงกล่าวหนักไปแล้ว น้องแค่แพ้ละอองเกสรของดอกไม้ มีผื่นขึ้นมาเพียงนิดเดียว ท่านพี่น่ะสิเพคะ ทรงวิตกกังวลเกินไปเกรงว่าน้องกลับมาที่จวนจะแพ้อีก จึงให้น้องพักอยู่ที่จวนตระกูลลู่ก่อน ส่วนท่านพี่ก็สั
ตอนพิเศษ 4 (ตอนปลาย) “คุณหนูกู่เกรงใจเกินไปแล้ว ในฐานะตัวแทนของฝ่าบาทพวกข้าต้องมาร่วมยินดีอยู่แล้ว”หยางซูมี่เดินเข้างานไปเลย ไม่ได้สนใจสตรีนางนี้มากนัก ทำเพียงเหมือนกับว่านางไม่คู่ควรที่จะให้พระชายาเช่นนางต้องมาเสวนาด้วย กู่เจียอีได้แต่ลอบกำมือแน่น คอยดูเถอะวันนี้ข้าจะเหยียบหน้าจมให้จมดิน และจะกลายมาเป็นพระชายาของชินอ๋องให้จงได้“เจ้าอยากเล่นกับนางหรือไม่” เซี่ยเหวินหรงหันมาเอ่ยถามภรรยาคนงาม“ให้บทเรียนกับนางเบาๆ ก็พอเจ้าค่ะ” หยางซูมี่หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พระสวามีงานเลี้ยงในจวนเจ้าเมืองวันนี้ กลับพบว่าขณะที่ทั้งหมดกำลังสนุกสนานกันภายในงานเลี้ยงนั้น กลับพบว่าคุณหนูกู่เจียอีผลัดตกลงไปในสระน้ำ แต่โชคดีที่มีคุณชายท่านหนึ่งช่วยเอาไว้ได้ แต่เพราะตอนเปียกน้ำทำให้ทั้งสองได้แนบชิดกัน และด้วยอาภรณ์ของกู่เจียอีนั้นที่เป็นสีขาว ทำให้มองเห็นเรือนร่างของนาง จนมองเห็นไปถึงเอี๊ยมตัวใน และคุณชายผู้นี้ก็ได้แตะต้องนางไปแล้วแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ด้วยเหตุนี้ในหนึ่งเดือนต่อมาจึงได้เกิดงานมงคลขึ้นกู่เจียอีได้แต่งเข้าไปเป็นฮูหยินรอง เน
ตอนพิเศษ 4 (ตอนต้น) หลังจากงานแต่งผ่านไปได้หนึ่งเดือน คนในตระกูลหยางนำโดยท่านเสนาบดีหยางหมิงได้เดินทางกลับเมืองหลวง พวกเขานั้นได้จากเมืองหลวงมานานมากแล้ว สมควรต้องไปจัดการงานที่ค้างคาเอาไว้ แม้จะเสียดายที่หยางซูมี่กับเซี่ยเหวินหรงไม่ได้กลับไปด้วยก็ตาม“ท่านพ่อเดินทางกลับดีๆ นะเจ้าคะ อีก 3 เดือนลูกจะกลับเมืองหลวงพร้อมท่านอ๋องเจ้าค่ะ”“ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยมี่เอ๋อร์ ข้าน้อยขอฝากบุตรสาวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ประโยคท้ายหยางหมิงหันไปเอ่ยกับเซี่ยเหวินหรง“ท่านพ่อตาอย่าได้เป็นห่วง มี่เอ๋อร์อยู่กับข้าย่อมต้องปลอดภัย”เซี่ยเหวินหรงให้คำมั่น ทั้งสองยืนส่งจนขบวนรถม้าเคลื่อนตัวห่างไปเรื่อยๆ“พี่ต้องกลับไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพบหน้ากับเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าอยู่ที่นี่ดีๆ แล้วพี่จะรีบกลับมา” เซี่ยเหวินหรงลูบหัวหยางซูมี่ด้วยความเอ็นดู“เจ้าค่ะท่านพี่”หยางซูมี่พยักหน้ารับ แล้วเขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปจูบแก้มสาก จนใบหูของเขาขึ้นสีแดงก่ำ“รีบกลับมานะเจ้าคะ ข้าจะรออาบน้ำพร้อมกับท่านพี่”หยางซูมี่ขยิบตาใส่เซี่ยเหวินหรง
ตอนพิเศษ 3 (ตอนปลาย) เซี่ยเหวินหรงเองก็รีบปลดอาภรณ์ของเขาออกเช่นกัน ร่างกายสูงใหญ่ไร้อาภรณ์ปกปิดกาย มองเห็นกล้ามหน้าท้องหนั่นแน่นที่เป็นลอนสวยอย่างคนที่ออกกำลังกาย ตรงกึ่งกลางเห็นแท่งหยกที่เริ่มจะขยายตัวอวดความศักดิ์ดาของตน หยางซูมี่ลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นแท่งหยกของเขาหยางซูมี่เนื้อตัวแดงก่ำด้วยความเขินอาย แม้จะเคยร่วมรักกับเขามาหลายครั้ง แต่นางกับเขาก็ห่างหายกันไป 2 ปีกว่า นางจึงรู้สึกประหม่ามากนัก แต่เพราะไม่อยากจะให้เขารู้ว่านางนั้นเขินอายมากเพียงใด จึงทำใจกล้าเงยหน้ามองร่างสูง ยกยิ้มอ่อนหวานแล้วเอื้อมมือไปปลดสายผูกเอี๊ยมออก ทำให้ปราการชิ้นสุดท้ายหลุดร่วงลงมา มองเห็นก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสองก้อนและเม็ดทับทิมสีชมพูระเรื่อเซี่ยเหวินหรงไม่อาจจะอดใจได้อีกต่อไป เขาช้อนร่างบางของหยางซูมี่อุ้มลงไปในถังอาบน้ำด้วยกัน เขานั่งพิงขอบอ่างให้หยางซูมี่นั่งบนตักแกร่ง มือข้างหนึ่งบีบสะโพกกลมกลึง อีกข้างก็ยื่นไปข้างหน้ากอบกุมก้อนเต้าหู้บีบคลึงอย่างอ่อนโยน นิ้วชี้เขี่ยเม็ดทับทิมสีชมพูจนตั้งช่อชูชันขึ้นมา“อ๊าาาา ท่านพี่”เซี่ยเหวินหรงจับร่างบางหั
ตอนพิเศษ 3 (ตอนต้น) ขบวนเจ้าบ่าวนำโดยชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง พระองค์ขี่อาชาโลหิตสีขาวนำขบวนสินสอดมากกว่า 100 หีบ โดยมีทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬคอยดูแล แม้ว่าหยางซูมี่จะเอ่ยว่าต้องการจัดงานแต่งงานแบบเรียบง่ายแต่เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงทรงทราบก็รีบส่งม้าเร็วนำราชโองการสมรสพระราชทานมามอบให้ ทั้งยังระบุว่าชินอ๋องจะมีหยางซูมี่เป็นพระชายาแต่เพียงผู้เดียวจวบจนทั้งคู่สิ้นอายุขัยข่าวการแต่งงานครั้งที่สองของทั้งคู่แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นเซี่ย บางคนต่างก็ยินดีที่ทั้งสองกลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน แต่บางคนก็ค่อนขอดที่ทั้งสองเลิกรากันไปแล้วแต่ยังกลับมาแต่งงานกันอีกครั้ง ไม่ว่าผู้คนจะพูดกันอย่างไร แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็หาได้สนใจไม่ เพราะทั้งคู่ได้ตกลงใจที่จะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง คำพูดของผู้อื่นหาได้สลักสำคัญกับพวกเขาทั้งสองคนไม่เซี่ยเหวินหรงขี่ม้ามาหยุดที่หน้าประตูบ้านพักของหยางซูมี่ เมื่อเขาเดินเข้าไปยังห้องโถงหลักก็พบว่าหยางซูมี่นั้นยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว วันนี้นางสวมชุดสีแดงมงคลปักลายหงส์สยายปีก และมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสวมทับเอาไว้ที่ศีรษะ ทำให้เขาไม่
ตอนพิเศษ 2 ริมชายหาดแห่งหมู่บ้านผิงอัน มีสตรีร่างบอบบาง กับบุรุษร่างสูงใหญ่นั่งอิงแอบกันอยู่ใต้ต้นมะพร้าว สายตาทั้งคู่ทอดมองออกไปยังน้ำทะเลใสสีเขียวมรกต หาดทรายสีขาวละเอียด ลมทะเลพัดมาเป็นระยะๆ คล้ายกับกำลังปลอบประโลมคนทั้งคู่ ทั้งสองปล่อยให้จิตใจได้ซึมซับกับธรรมชาติที่สวยงามนี้“เจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด” เซี่ยเหวินหรงหันมาเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย“ข้ามาถึงเมื่อสามวันก่อนเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจมาทำให้ท่านแปลกใจเล่น” หยางซูมี่เอ่ยพลางหัวเราะ นัยน์ตาพราวระยับดั่งดวงดารา“รู้หรือไม่ว่าทำข้าเป็นห่วง ตอนที่ข้ารู้ว่าเจ้าหายตัวไป”เซี่ยเหวินหรงเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งรั้นอย่างมันเขี้ยว“ข้าเจ็บนะเหวินหรง”หยางซูมี่หันมาดุเขาอย่างไม่จริงจังนัก เซี่ยเหวินหรงเอื้อมมือไปกอบกุมที่มือขาวบางอย่างทะนุถนอม“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าเร็วถึงเพียงนี้ ที่นี่มีเรื่องให้ข้าจัดการมากมายนัก ข้ายังคิดว่าอย่างเร็วก็คงอีกสักปีสองปีถึงจะกลับไปหาเจ้าที่เมืองหลวงได้”“ข้ารู้ว่าท่านทำงานหนักมากเพียงได ดูสิชินอ๋องผู้สง่างามกลายร่
ตอนพิเศษ 1 2 ปีต่อมาชายแดนใต้ของแคว้นเซี่ยที่ติดกับทะเล เมื่อ 2 ปีก่อนมีการค้าเกลือเถื่อนเกิดขึ้น เซี่ยเหวินหลินที่ได้ออกมาจัดการนั้น กลับจัดการแบบปล่อยผ่าน อนึ่งเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกับพ่อค้าที่ค้าเกลือเถื่อนแต่หลังจากที่ชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงจัดการปราบปรามกบฏได้หมดสิ้น จึงได้ทูลขอฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงมาปราบปรามการค้าเกลือเถื่อน และมาจัดระบบการปกครองใหม่ของชายแดนใต้ ซึ่งฮ่องเต้ก็ได้ออกพระราชโองการมอบอำนาจทุกอย่างให้ชินอ๋องเป็นผู้จัดการทั้งหมดตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมานี้เซี่ยเหวินหรงออกรบไปปราบปรามโจรสลัดทั้งในน่านน้ำ และบนเรือ โจรสลัดนั้นชอบขึ้นมาดักปล้นฆ่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง แต่หลังจากที่ชินอ๋องมาโจรสลัดก็หนีหายไปหมดด้วยหวาดเกรงชินอ๋องนอกจากจะปราบโจรสลัดแล้ว เซี่ยเหวินหรงยังต้องเข้ามาปราบปรามพ่อค้าเกลือเถื่อน และยังต้องมาจัดระเบียบเมืองหนานผิงใหม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเจ้าเมืองหนานผิงปกครองเมืองชายแดนใต้อย่างไร้ความยุติธรรม กดขี่ข่มเหงชาวเมืองหนานผิง ทหารประจำเมืองก็ชอบรีดไถจากชาวบ้าน เรียกร้องค่าคุ้มครอง หากครอบค
บทที่ 67 จุดจบ (ตอนปลาย) “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คงเป็นผู้ที่นำแท่งเหล็กรูปพระอาทิตย์ที่เป็นเครื่องหมายประจำเผ่าหูเจี๋ยน่ามอบให้ไทเฮาเช่นนั้นสินะ”“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง นางอยากจะทำให้ร่างกายของเจ้ามีมลทิน ข้าเลยเสนอวิธีนี้และมอบแท่งเหล็กร้อนนั้นให้กับนางเอง ฮ่าฮ่าฮ่า”เซี่ยเฟยหงหัวเราะออกมาด้วยความสาสมใจ ชินอ๋องที่แกร่งกล้ากลับมีตราประทับอยู่บนร่างกาย ช่างน่าอดสู่ยิ่งนัก“ส่วนท่านก็เป็นคนคอยชื่นชมข้า เพื่อหวังให้ไทเฮาหวาดระแวงข้าใช่หรือไม่” เซี่ยเหวินหรงหันไปถามไป๋วั่งซู“ทุกแผนการต้องมีผู้เสียสละเสมอพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋วั่งซูเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะอีกไม่นานศีรษะของเขาก็จะไม่อยู่บนบ่าแล้ว“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้หมดความสงสัยเสียที ทหาร! นำเข้ามา”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยสั่งเสียงเหี้ยม ไม่นานก็มีทหารกว่า 10 นายเดินเข้ามา มีหนึ่งนายถือกระถางไฟ และอีกหนึ่งนายถือแท่งเหล็กที่ตรงปลายหล่อหลอมเป็นรูปพระอาทิตย์เฉกเช่นดั่งรอยแผลเป็นของเซี่ยเหวินหรง“จัดการซะ” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงเหี้ยม“พ่ะย่ะค่ะ
บทที่ 66จุดจบ (ตอนต้น) เหตุการณ์ในท้องพระโรงในวันนี้ ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างในหมู่ครอบครัวของขุนนาง เรื่องราวในครั้งนี้หนักหนายิ่งนัก นอกจากจะเป็นเรื่องของกบฏ ยังมีเรื่องการปรากฏตัวของเซี่ยเฟยหงและไป๋วั่งซู เรื่องของไทเฮาสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง และยังเคยเป็นมารดาของแผ่นดิน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นถึงไทเฮาพระมารดาของฮ่องเต้ แต่กลับทำตัวเฉกเช่นหญิงแพศยา สวมหมวกเขียวให้พระสวามี จนถึงขนาดวางยาฆ่าพระสวามีของตนเองผู้เป็นถึงฮ่องเต้เรื่องราวครั้งนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเป็นอย่างมาก ลุกลามใหญ่โตจนกระทั่งล่วงรู้ไปถึงราษฎรแห่งแคว้นเซี่ย มีบัณฑิตร่วมออกมาประท้วงเขียนฎีกาเพื่อขอให้ฮ่องเต้ลงโทษไทเฮา จวนตระกูลมู่ตอนนี้ถูกปิดตายไปแล้ว แต่กลับถูกเหล่าชาวบ้านพากันมาโยนก้อนหินและเศษผักเน่าเข้ามาในจวน จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเช่นเดียวกับที่ชายแดนที่คนของตระกูลมู่เองก็ถูกเหล่าทหารและผู้คุมคอยกลั่นแกล้ง ด้วยรังเกียจคนตระกูลมู่ จนกระทั่งมีอดีตเจ้านายหลายคนทนความอัปยศไม่ไหว ตัดสินใจผูกคอฆ่าตัวตายไป รวมถึงมู่เจ๋อจ้านและเจียงเจี๋ยอีมู
บทที่ 65 อดีตขององค์ชายผู้สาบสูญ (ตอนปลาย) แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีก็มีข่าวออกมาว่าลี่เหมยผูกคอตายที่ตำหนักเย็น เขาเสียใจเป็นอย่างมากด้วยความมึนเมาในฤทธิ์สุราจึงลอบเข้ามาหามู่อิงฮวา เขาเข้ามาตัดพ้อต่อว่ามู่อิงฮวา แต่เพราะความเมาจึงทำให้เขาได้มีความสัมพันธ์กับมู่อิงฮวา นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงได้ลอบเสพสังวาสกับมู่อิงฮวาเรื่อยมา ส่วนหนึ่งก็เพื่อแก้แค้นเสด็จพี่ของเขา ลอบสวมหมวกเขียวให้พี่ชายของตนเองหลังจากที่ลี่เหมยตายไป จึงได้กลับไปหานายท่านตระกูลกู้ บอกเพียงว่าตระกูลของเขาได้ตายกันไปหมดแล้ว จึงกลับมาขอนายท่านกู้ทำงาน นายท่านกู้นั้นเห็นว่าเขาฉายแววฉลาดเฉลียวจึงสอนงานทุกอย่างให้แก่เขา เพียงไม่นานก็ได้ขึ้นมาเป็นมือขวาของนายท่านกู้ด้วยรูปโฉมหล่อเหลา และความสุภาพของเขานั้น จึงสามารถทำให้บุตรสาวของนายท่านกู้ ผู้มีนามว่าเฉินเย่วเล่อหลงรักได้ เหตุที่เฉินเย่วเล่อไม่ได้ใช้แซ่กู้เพราะว่ามารดาของนางได้ขอไว้ ด้วยความรักที่นายท่านกู้มีต่อภรรยา เขาจึงได้ยินยอมให้บุตรสาวใช้แซ่ 'เฉิน' ในที่สุดเขาจึงได้แต่งงานกับเฉินเย่วเล่อ มีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนนามว่า กู