บทที่ 23
การปะทะกันของสาวงามเซี่ยเหวินหลินชวนเซี่ยเหวินหรงเล่นหมากล้อม หลังจากนั้นก็ชวนกันร่ำสุรากับอาหารเลิศรสที่พ่อครัวของจวนชินอ๋องเร่งทำอย่างสุดฝีมือ เพื่อขึ้นโต๊ะเสวยของท่านอ๋องทั้งสองพระองค์ ส่วนชายารองทั้งสองคอยรินสุราใส่จอกให้พระสวามี ต่างพูดชมเยินยอกันไปมา ล้วนแต่เป็นภาษาดอกไม้ที่เหล่าสาวใช้ที่ยืนไม่ห่างออกไปได้ฟังต่างพากันงงงวย สตรีชนชั้นสูงนั้นล้วนมีฝีปากที่ลึกล้ำยิ่งนัก“ข้าได้ข่าวว่าน้องหญิงลี่จิ่นป่วยเป็นผื่นแดงขึ้นทั้งตัว คงจะไม่ได้เป็นโรคร้ายใช่หรือไม่ ผิวพรรณของสตรีอย่างเรานั้นไม่อาจมีรอยราคีได้ แต่น้องหญิงอย่าได้กังวล ฮองเฮานั้นทรงเป็นญาติผู้พี่ของข้า ข้าสามารถพูดคุยกับพระนางให้หมอหลวงจัดโอสถลดเลือนริ้วรอยได้”หม่าลี่เหมยเอ่ยไปพลางยกชายแขนเสื้อมาปิดปาก แสร้งหัวเราะอย่างขบขัน กิริยาท่าทางเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของอิสตรี“พี่หญิงกล่าวหนักไปแล้ว น้องแค่แพ้ละอองเกสรของดอกไม้ มีผื่นขึ้นมาเพียงนิดเดียว ท่านพี่น่ะสิเพคะ ทรงวิตกกังวลเกินไปเกรงว่าน้องกลับมาที่จวนจะแพ้อีก จึงให้น้องพักอยู่ที่จวนตระกูลลู่ก่อน ส่วนท่านพี่ก็สับทที่ 24ความหวังดีของมู่ไทเฮา หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนการคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ก็สิ้นสุดลง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการประกาศแต่งตั้งพระสนมที่เข้ามาใหม่ทั้ง 20 คน มีมู่เหลียนฮวาที่ได้ตำแหน่งขั้นผินส่วนหญิงงามคนอื่นได้ตำแหน่ง กุ้ยเหริน 10 คน ฉางอ้าย 5 คน และตาอิ้ง 4 คน เป็นไปดังคาดที่มู่เหลียนฮวาจะได้ตำแหน่งผินที่เว้นว่างไปหนึ่งคน เพราะนางเป็นถึงหลานสาวของไทเฮา แต่ก็เป็นที่ริษยาของสาวงามคนอื่นๆ เช่นกันที่นางได้เลื่อนขั้นอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ เพราะโดยส่วนมากสนมที่เข้ามาใหม่จะได้ตำแหน่งสูงสุดคือกุ้ยเหริน จวนตระกูลหยางเจินเจินได้ลอบมาพบหยางเฟยเทียนและส่งมอบหนังสือปิดผนึกให้ ทั้งยังย้ำว่า ‘พระชายาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ ขอให้คุณชายใหญ่ช่วยจัดการให้เรียบร้อยด้วยเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่อาจรอช้าได้แล้วเจ้าค่ะ’ เจินเจินมอบจดหมายถึงมือหยางเฟยเทียนแล้ว ก็ลอบกลับไปรายงานหยางซูมี่ทันทีหยางเฟยเทียนแกะจดหมายออกอ่าน ยิ่งอ่านคิ้วกระบี่ยิ่งขมวดกันเป็นปม เขาอ่านถึงสามรอบจากนั้นเผาทำลายจดหมายฉบับนั้นทันที'เรียนท่า
บทที่ 25ลอบสังหาร เจียงซูหนี่ถูกจัดให้พักที่เรือนมู่ตานที่อยู่ข้างกับเรือนของลี่จิ่น สองเรือนอยู่ใกล้กันมากเดินเพียง 20 ก้าวก็ถึงแล้ว เจียงซูหนี่พร้อมสาวใช้เดินทางไปที่เรือนมู่หยางเพื่อคารวะน้ำชาพระชายาเอก นางเดินออกมาข้างหน้าเรือนก็เจอกับลี่จิ่นที่เดินออกมา ทั้งคู่จึงร่วมเดินทางกันไปที่เรือนมู่หยาง ต่างคนต่างลอบสังเกตอีกฝ่าย ส่งยิ้มหวานให้แก่กัน พูดคุยประหนึ่งรู้จักสนิทสนมกันมาเนิ่นนานทั้งสองเดินทางมาถึงจวนมู่หยาง แจ้งสาวใช้ว่าขอเข้าพบพระชายา ครั้งนี้หยางซูมี่ไม่ได้ปฏิเสธนางให้ทั้งสองเข้าพบได้ เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นร่างบางของหยางซูมี่นั่งอยู่ที่ตั่ง มีโต๊ะวางไว้อยู่ข้างหน้าบนโต๊ะมีขนมและน้ำชาที่พร่องไปบ้างแล้ว“หม่อมฉันลู่ลี่จิ่นถวายพระพรพระชายาเพคะ”“หม่อมฉันเจียงซูหนี่ถวายพระพรพระชายาเพคะ”ทั้งสองยอบกายคารวะค้างไว้อย่างนั้น จนผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป หยางซูมี่จึงอนุญาตให้ลุกขึ้นได้ ใบหน้างามของหยางซูมี่ดูเศร้าหมอง แก้มนวลเนียนดูซูบตอบลง ริมฝีปากอวบอิ่มขาวซีด ข่าวที่พระชายาทรงป่วยหนักคงจะจริงดังว่า ถึงขนาดที่ทำให้ร่า
บทที่ 26หุบเหวหมอกมรณะ หยางซูมี่ขบคิดจนหัวแทบแตก อีกฝ่ายไม่หลงกลนาง คงต้องให้ซินซินที่ดูคล่องตัวกว่าไปตามคนมาช่วย คนตระกูลหยางน่าจะอยู่ทางแยกไม่ไกลกันนัก แม้หนทางจะดูริบหรี่ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย“เช่นนั้นเจ้าก็มาเอาชีวิตของข้าสิ แต่จงปล่อยสาวใช้ของข้าไป” หยางซูมี่เอ่ยต่อรองอีกฝ่าย“พระชายา!! ไม่นะเพคะ” สองเสียงประสานกันร้องเสียงหลง เมื่อเห็นแววตาของพระชายาพวกนางก็ร้องไห้ออกมา พระชายาจะให้ซินซินไปตามคนมาช่วย“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าได้แม้แต่จะคิดเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่หลงกลพระองค์หรอก”คนร้ายหัวเราะอย่างย่ามใจ มันก้าวเข้ามาช้าๆ สายตาก็จ้องเขม็งไปที่หยางซูมี่ มันรู้ว่าพระชายามีพิษสงรอบตัว จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาดดูได้จากลูกน้องของเขาที่ถูกพิษเล่นงานจนตาบอดเมื่อคนร้ายเดินเข้ามาใกล้จนได้ระยะ หยางซูมี่ก็ผลักซินซินออกไปด้านข้าง มือบางเขวี้ยงมีดบินที่พกติดตัวไว้ มืออีกข้างก็เอายาพิษสาดใส่หน้าของมัน แต่คนร้ายไหวตัวทัน มีดบินเพียงเฉี่ยวโดนแขนของมัน ส่วนยาพิษมันยกแขนปิดหน้าไว้ได้ทัน มันสบถออกมาอย่างหัวเสีย“ฤทธิ์เ
บทที่ 27การสูญเสีย จากการค้นหาขององครักษ์ไป๋หู่ องครักษ์ของฮ่องเต้ และองครักษ์ของตระกูลหยางกับตระกูลจ้าว ตอนนี้ผ่านมากกว่า 3 วันแล้วแต่ก็ยังคงไร้วี่แววของชินอ๋องกับพระชายา แม้ว่าจะระดมคนมากเพียงใดก็ตาม นั่นเป็นเพราะการตามหาทั้งสองพระองค์นั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก หนทางของป่าหมอกมรณะสลับซับซ้อนทุกคนต่างร้อนใจ จ้าวซีซวน หยางหมิง และหยางเฟยเทียนตั้งกระโจมอยู่หน้าทางเข้าป่าหมอกมรณะ ตั้งแต่วันที่รู้ข่าวทั้งสามก็ไม่ได้กลับไปที่จวนตระกูลหยางหรือตระกูลจ้าวเลย มีเพียงหยางเฟยเทียนที่คอยส่งข่าวกลับไปหาเถาซูเม่ยเพื่อไม่ให้เป็นห่วง เถาซูเม่ยเองก็คอยส่งอาหารมาให้ ส่วนเรื่องที่นางตั้งครรภ์ นางยังไม่ได้บอกให้หยางเฟยเทียนให้ทราบด้วยกลัวว่าเขาจะมัวพะวงกับนาง นางอยากให้เจอหยางซูมี่กับชินอ๋องเสียก่อนจึงจะได้บอกข่าวดีนี้ให้หยางเฟยเทียนทราบฝั่งไป๋เย่เขาคอยดูแลอาการของเจินเจิน เขาเองก็เป็นห่วงชินอ๋องกับพระชายา เมื่อเขาแน่ใจว่าเจินเจินปลอดภัยดีแล้วจึงพานางกลับมารักษาตัวที่จวนชินอ๋อง โดยมีซินซินคอยดูแลไม่ห่างไป๋เฟิงคอยสืบความเรื่องการลอบสังหารในครั
บทที่ 28หมู่บ้านป่าหมอก เซี่ยเหวินหรงยื่นมือออกไปรับห่อผ้ามาจากหญิงสาวผู้หนึ่ง เขาตัวชาไปทั้งร่าง สมองพลันอื้ออึง เขารับรู้ได้ในทันทีว่านี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขากับมี่มี่ สองมือของเขาปกป้องแว่นแคว้น ประชากรนับแสนนับล้านคน แต่แค่เพียงหนึ่งชีวิตที่เป็นลูกของเขากับมี่มี่ เขาไม่อาจจะปกป้องได้เลย ทุกอย่างที่เขาทำมาล้วนเสียเปล่าหากเขารู้ว่ามี่มี่กำลังท้องลูกของเขา เขาจะไม่ให้นางมาเสี่ยง จะปกป้องคุ้มครองนางให้อยู่ภายใต้ปีกของเขา บุญคุณความแค้นของเขา เขาก็สามารถละทิ้งได้ แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว น้ำตาของบุรุษเช่นนักรบไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ไหล่ทั้งสองข้างสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดเสียงร้องไห้ดังก้องไปทั่ว ดวงใจของเขาบีบรัดอัดแน่นจนเจ็บไปหมด กว่าจะรู้สึกตัวเขาก็กระอักโลหิตออกมาคำโต กลิ่นสนิมของเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งโพรงปาก เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ร่างสูงเดินซวนเซมุ่งหน้าเดินออกไปเซี่ยเหวินหรงเดินจนไปถึงที่ริมน้ำตกที่เขาเจอกับกลุ่มของอาเปียวครั้งแรก เขาจดจำได้ว่ามีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้างๆ น้ำตก สองมือหนาวางห่อผ้าลงข้างตัว แ
บทที่ 29พบเจอ หยางซูมี่สลบไปนับ 7 วันแล้วในที่สุดนางก็ฟื้นขึ้นมาในตอนสายของวันที่ 7 เซี่ยเหวินหรงออกไปล่าสัตว์กับอาเปียว มีเพียงหลานสาวของผู้เฒ่าเฉิงที่นามว่า จินเย่วคอยดูแลหยางซูมี่แทนให้หยางซูมี่ค่อยๆ กะพริบตาถี่ๆ เพียงลืมตาขึ้นมา แสงจ้าของดวงอาทิตย์ทำให้นางแสบตาจนตาพร่ามัว จนผ่านไปชั่วครู่ หยางซูมี่ถึงลืมตาขึ้นมามองเห็นโดยรอบอย่างชัดเจน ภาพแรกคือสตรีผู้หนึ่งที่มีใบหน้าที่จิ้มลิ้มพริ้มเพราอายุน่าจะน้อยกว่านางหนึ่งหรือสองปีได้ ที่มองทางหยางซูมี่ด้วยความยินดี"ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้วอามี่ เจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่"จินเย่วเอ่ยด้วยความยินดี ตลอดหลายวันมานี้นางคอยภาวนาให้อามี่ฟื้นขึ้นมาเสียที“เจ้า…เจ้าเป็นใคร แล้วนี่ข้าอยู่ที่ไหน”หยางซูมี่เอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า นางงุนงงสับสนไปหมด แล้วสตรีผู้นี้คือผู้ใด“เจ้าหลับไปถึงเจ็ดวันเลยนะ ข้าชื่อจินเย่วเป็นหลานสาวของผู้เฒ่าเฉิง ท่านปู่ของข้าเป็นหมอประจำหมู่บ้านป่าหมอก และท่านปู่ของข้าผู้รักษาเจ้าไว้เอง”จินเย่วเอ่ยแนะนำตัว และบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
ตอนพิเศษ 4 (ตอนปลาย) “คุณหนูกู่เกรงใจเกินไปแล้ว ในฐานะตัวแทนของฝ่าบาทพวกข้าต้องมาร่วมยินดีอยู่แล้ว”หยางซูมี่เดินเข้างานไปเลย ไม่ได้สนใจสตรีนางนี้มากนัก ทำเพียงเหมือนกับว่านางไม่คู่ควรที่จะให้พระชายาเช่นนางต้องมาเสวนาด้วย กู่เจียอีได้แต่ลอบกำมือแน่น คอยดูเถอะวันนี้ข้าจะเหยียบหน้าจมให้จมดิน และจะกลายมาเป็นพระชายาของชินอ๋องให้จงได้“เจ้าอยากเล่นกับนางหรือไม่” เซี่ยเหวินหรงหันมาเอ่ยถามภรรยาคนงาม“ให้บทเรียนกับนางเบาๆ ก็พอเจ้าค่ะ” หยางซูมี่หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พระสวามีงานเลี้ยงในจวนเจ้าเมืองวันนี้ กลับพบว่าขณะที่ทั้งหมดกำลังสนุกสนานกันภายในงานเลี้ยงนั้น กลับพบว่าคุณหนูกู่เจียอีผลัดตกลงไปในสระน้ำ แต่โชคดีที่มีคุณชายท่านหนึ่งช่วยเอาไว้ได้ แต่เพราะตอนเปียกน้ำทำให้ทั้งสองได้แนบชิดกัน และด้วยอาภรณ์ของกู่เจียอีนั้นที่เป็นสีขาว ทำให้มองเห็นเรือนร่างของนาง จนมองเห็นไปถึงเอี๊ยมตัวใน และคุณชายผู้นี้ก็ได้แตะต้องนางไปแล้วแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ด้วยเหตุนี้ในหนึ่งเดือนต่อมาจึงได้เกิดงานมงคลขึ้นกู่เจียอีได้แต่งเข้าไปเป็นฮูหยินรอง เน
ตอนพิเศษ 4 (ตอนต้น) หลังจากงานแต่งผ่านไปได้หนึ่งเดือน คนในตระกูลหยางนำโดยท่านเสนาบดีหยางหมิงได้เดินทางกลับเมืองหลวง พวกเขานั้นได้จากเมืองหลวงมานานมากแล้ว สมควรต้องไปจัดการงานที่ค้างคาเอาไว้ แม้จะเสียดายที่หยางซูมี่กับเซี่ยเหวินหรงไม่ได้กลับไปด้วยก็ตาม“ท่านพ่อเดินทางกลับดีๆ นะเจ้าคะ อีก 3 เดือนลูกจะกลับเมืองหลวงพร้อมท่านอ๋องเจ้าค่ะ”“ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยมี่เอ๋อร์ ข้าน้อยขอฝากบุตรสาวด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ประโยคท้ายหยางหมิงหันไปเอ่ยกับเซี่ยเหวินหรง“ท่านพ่อตาอย่าได้เป็นห่วง มี่เอ๋อร์อยู่กับข้าย่อมต้องปลอดภัย”เซี่ยเหวินหรงให้คำมั่น ทั้งสองยืนส่งจนขบวนรถม้าเคลื่อนตัวห่างไปเรื่อยๆ“พี่ต้องกลับไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพบหน้ากับเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าอยู่ที่นี่ดีๆ แล้วพี่จะรีบกลับมา” เซี่ยเหวินหรงลูบหัวหยางซูมี่ด้วยความเอ็นดู“เจ้าค่ะท่านพี่”หยางซูมี่พยักหน้ารับ แล้วเขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปจูบแก้มสาก จนใบหูของเขาขึ้นสีแดงก่ำ“รีบกลับมานะเจ้าคะ ข้าจะรออาบน้ำพร้อมกับท่านพี่”หยางซูมี่ขยิบตาใส่เซี่ยเหวินหรง
ตอนพิเศษ 3 (ตอนปลาย) เซี่ยเหวินหรงเองก็รีบปลดอาภรณ์ของเขาออกเช่นกัน ร่างกายสูงใหญ่ไร้อาภรณ์ปกปิดกาย มองเห็นกล้ามหน้าท้องหนั่นแน่นที่เป็นลอนสวยอย่างคนที่ออกกำลังกาย ตรงกึ่งกลางเห็นแท่งหยกที่เริ่มจะขยายตัวอวดความศักดิ์ดาของตน หยางซูมี่ลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นแท่งหยกของเขาหยางซูมี่เนื้อตัวแดงก่ำด้วยความเขินอาย แม้จะเคยร่วมรักกับเขามาหลายครั้ง แต่นางกับเขาก็ห่างหายกันไป 2 ปีกว่า นางจึงรู้สึกประหม่ามากนัก แต่เพราะไม่อยากจะให้เขารู้ว่านางนั้นเขินอายมากเพียงใด จึงทำใจกล้าเงยหน้ามองร่างสูง ยกยิ้มอ่อนหวานแล้วเอื้อมมือไปปลดสายผูกเอี๊ยมออก ทำให้ปราการชิ้นสุดท้ายหลุดร่วงลงมา มองเห็นก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสองก้อนและเม็ดทับทิมสีชมพูระเรื่อเซี่ยเหวินหรงไม่อาจจะอดใจได้อีกต่อไป เขาช้อนร่างบางของหยางซูมี่อุ้มลงไปในถังอาบน้ำด้วยกัน เขานั่งพิงขอบอ่างให้หยางซูมี่นั่งบนตักแกร่ง มือข้างหนึ่งบีบสะโพกกลมกลึง อีกข้างก็ยื่นไปข้างหน้ากอบกุมก้อนเต้าหู้บีบคลึงอย่างอ่อนโยน นิ้วชี้เขี่ยเม็ดทับทิมสีชมพูจนตั้งช่อชูชันขึ้นมา“อ๊าาาา ท่านพี่”เซี่ยเหวินหรงจับร่างบางหั
ตอนพิเศษ 3 (ตอนต้น) ขบวนเจ้าบ่าวนำโดยชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง พระองค์ขี่อาชาโลหิตสีขาวนำขบวนสินสอดมากกว่า 100 หีบ โดยมีทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬคอยดูแล แม้ว่าหยางซูมี่จะเอ่ยว่าต้องการจัดงานแต่งงานแบบเรียบง่ายแต่เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงทรงทราบก็รีบส่งม้าเร็วนำราชโองการสมรสพระราชทานมามอบให้ ทั้งยังระบุว่าชินอ๋องจะมีหยางซูมี่เป็นพระชายาแต่เพียงผู้เดียวจวบจนทั้งคู่สิ้นอายุขัยข่าวการแต่งงานครั้งที่สองของทั้งคู่แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นเซี่ย บางคนต่างก็ยินดีที่ทั้งสองกลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน แต่บางคนก็ค่อนขอดที่ทั้งสองเลิกรากันไปแล้วแต่ยังกลับมาแต่งงานกันอีกครั้ง ไม่ว่าผู้คนจะพูดกันอย่างไร แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็หาได้สนใจไม่ เพราะทั้งคู่ได้ตกลงใจที่จะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง คำพูดของผู้อื่นหาได้สลักสำคัญกับพวกเขาทั้งสองคนไม่เซี่ยเหวินหรงขี่ม้ามาหยุดที่หน้าประตูบ้านพักของหยางซูมี่ เมื่อเขาเดินเข้าไปยังห้องโถงหลักก็พบว่าหยางซูมี่นั้นยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว วันนี้นางสวมชุดสีแดงมงคลปักลายหงส์สยายปีก และมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสวมทับเอาไว้ที่ศีรษะ ทำให้เขาไม่
ตอนพิเศษ 2 ริมชายหาดแห่งหมู่บ้านผิงอัน มีสตรีร่างบอบบาง กับบุรุษร่างสูงใหญ่นั่งอิงแอบกันอยู่ใต้ต้นมะพร้าว สายตาทั้งคู่ทอดมองออกไปยังน้ำทะเลใสสีเขียวมรกต หาดทรายสีขาวละเอียด ลมทะเลพัดมาเป็นระยะๆ คล้ายกับกำลังปลอบประโลมคนทั้งคู่ ทั้งสองปล่อยให้จิตใจได้ซึมซับกับธรรมชาติที่สวยงามนี้“เจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด” เซี่ยเหวินหรงหันมาเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัย“ข้ามาถึงเมื่อสามวันก่อนเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจมาทำให้ท่านแปลกใจเล่น” หยางซูมี่เอ่ยพลางหัวเราะ นัยน์ตาพราวระยับดั่งดวงดารา“รู้หรือไม่ว่าทำข้าเป็นห่วง ตอนที่ข้ารู้ว่าเจ้าหายตัวไป”เซี่ยเหวินหรงเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งรั้นอย่างมันเขี้ยว“ข้าเจ็บนะเหวินหรง”หยางซูมี่หันมาดุเขาอย่างไม่จริงจังนัก เซี่ยเหวินหรงเอื้อมมือไปกอบกุมที่มือขาวบางอย่างทะนุถนอม“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าเร็วถึงเพียงนี้ ที่นี่มีเรื่องให้ข้าจัดการมากมายนัก ข้ายังคิดว่าอย่างเร็วก็คงอีกสักปีสองปีถึงจะกลับไปหาเจ้าที่เมืองหลวงได้”“ข้ารู้ว่าท่านทำงานหนักมากเพียงได ดูสิชินอ๋องผู้สง่างามกลายร่
ตอนพิเศษ 1 2 ปีต่อมาชายแดนใต้ของแคว้นเซี่ยที่ติดกับทะเล เมื่อ 2 ปีก่อนมีการค้าเกลือเถื่อนเกิดขึ้น เซี่ยเหวินหลินที่ได้ออกมาจัดการนั้น กลับจัดการแบบปล่อยผ่าน อนึ่งเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกับพ่อค้าที่ค้าเกลือเถื่อนแต่หลังจากที่ชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงจัดการปราบปรามกบฏได้หมดสิ้น จึงได้ทูลขอฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลงมาปราบปรามการค้าเกลือเถื่อน และมาจัดระบบการปกครองใหม่ของชายแดนใต้ ซึ่งฮ่องเต้ก็ได้ออกพระราชโองการมอบอำนาจทุกอย่างให้ชินอ๋องเป็นผู้จัดการทั้งหมดตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมานี้เซี่ยเหวินหรงออกรบไปปราบปรามโจรสลัดทั้งในน่านน้ำ และบนเรือ โจรสลัดนั้นชอบขึ้นมาดักปล้นฆ่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง แต่หลังจากที่ชินอ๋องมาโจรสลัดก็หนีหายไปหมดด้วยหวาดเกรงชินอ๋องนอกจากจะปราบโจรสลัดแล้ว เซี่ยเหวินหรงยังต้องเข้ามาปราบปรามพ่อค้าเกลือเถื่อน และยังต้องมาจัดระเบียบเมืองหนานผิงใหม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเจ้าเมืองหนานผิงปกครองเมืองชายแดนใต้อย่างไร้ความยุติธรรม กดขี่ข่มเหงชาวเมืองหนานผิง ทหารประจำเมืองก็ชอบรีดไถจากชาวบ้าน เรียกร้องค่าคุ้มครอง หากครอบค
บทที่ 67 จุดจบ (ตอนปลาย) “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คงเป็นผู้ที่นำแท่งเหล็กรูปพระอาทิตย์ที่เป็นเครื่องหมายประจำเผ่าหูเจี๋ยน่ามอบให้ไทเฮาเช่นนั้นสินะ”“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง นางอยากจะทำให้ร่างกายของเจ้ามีมลทิน ข้าเลยเสนอวิธีนี้และมอบแท่งเหล็กร้อนนั้นให้กับนางเอง ฮ่าฮ่าฮ่า”เซี่ยเฟยหงหัวเราะออกมาด้วยความสาสมใจ ชินอ๋องที่แกร่งกล้ากลับมีตราประทับอยู่บนร่างกาย ช่างน่าอดสู่ยิ่งนัก“ส่วนท่านก็เป็นคนคอยชื่นชมข้า เพื่อหวังให้ไทเฮาหวาดระแวงข้าใช่หรือไม่” เซี่ยเหวินหรงหันไปถามไป๋วั่งซู“ทุกแผนการต้องมีผู้เสียสละเสมอพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋วั่งซูเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะอีกไม่นานศีรษะของเขาก็จะไม่อยู่บนบ่าแล้ว“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้หมดความสงสัยเสียที ทหาร! นำเข้ามา”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยสั่งเสียงเหี้ยม ไม่นานก็มีทหารกว่า 10 นายเดินเข้ามา มีหนึ่งนายถือกระถางไฟ และอีกหนึ่งนายถือแท่งเหล็กที่ตรงปลายหล่อหลอมเป็นรูปพระอาทิตย์เฉกเช่นดั่งรอยแผลเป็นของเซี่ยเหวินหรง“จัดการซะ” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงเหี้ยม“พ่ะย่ะค่ะ
บทที่ 66จุดจบ (ตอนต้น) เหตุการณ์ในท้องพระโรงในวันนี้ ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างในหมู่ครอบครัวของขุนนาง เรื่องราวในครั้งนี้หนักหนายิ่งนัก นอกจากจะเป็นเรื่องของกบฏ ยังมีเรื่องการปรากฏตัวของเซี่ยเฟยหงและไป๋วั่งซู เรื่องของไทเฮาสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง และยังเคยเป็นมารดาของแผ่นดิน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นถึงไทเฮาพระมารดาของฮ่องเต้ แต่กลับทำตัวเฉกเช่นหญิงแพศยา สวมหมวกเขียวให้พระสวามี จนถึงขนาดวางยาฆ่าพระสวามีของตนเองผู้เป็นถึงฮ่องเต้เรื่องราวครั้งนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเป็นอย่างมาก ลุกลามใหญ่โตจนกระทั่งล่วงรู้ไปถึงราษฎรแห่งแคว้นเซี่ย มีบัณฑิตร่วมออกมาประท้วงเขียนฎีกาเพื่อขอให้ฮ่องเต้ลงโทษไทเฮา จวนตระกูลมู่ตอนนี้ถูกปิดตายไปแล้ว แต่กลับถูกเหล่าชาวบ้านพากันมาโยนก้อนหินและเศษผักเน่าเข้ามาในจวน จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเช่นเดียวกับที่ชายแดนที่คนของตระกูลมู่เองก็ถูกเหล่าทหารและผู้คุมคอยกลั่นแกล้ง ด้วยรังเกียจคนตระกูลมู่ จนกระทั่งมีอดีตเจ้านายหลายคนทนความอัปยศไม่ไหว ตัดสินใจผูกคอฆ่าตัวตายไป รวมถึงมู่เจ๋อจ้านและเจียงเจี๋ยอีมู
บทที่ 65 อดีตขององค์ชายผู้สาบสูญ (ตอนปลาย) แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีก็มีข่าวออกมาว่าลี่เหมยผูกคอตายที่ตำหนักเย็น เขาเสียใจเป็นอย่างมากด้วยความมึนเมาในฤทธิ์สุราจึงลอบเข้ามาหามู่อิงฮวา เขาเข้ามาตัดพ้อต่อว่ามู่อิงฮวา แต่เพราะความเมาจึงทำให้เขาได้มีความสัมพันธ์กับมู่อิงฮวา นับจากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงได้ลอบเสพสังวาสกับมู่อิงฮวาเรื่อยมา ส่วนหนึ่งก็เพื่อแก้แค้นเสด็จพี่ของเขา ลอบสวมหมวกเขียวให้พี่ชายของตนเองหลังจากที่ลี่เหมยตายไป จึงได้กลับไปหานายท่านตระกูลกู้ บอกเพียงว่าตระกูลของเขาได้ตายกันไปหมดแล้ว จึงกลับมาขอนายท่านกู้ทำงาน นายท่านกู้นั้นเห็นว่าเขาฉายแววฉลาดเฉลียวจึงสอนงานทุกอย่างให้แก่เขา เพียงไม่นานก็ได้ขึ้นมาเป็นมือขวาของนายท่านกู้ด้วยรูปโฉมหล่อเหลา และความสุภาพของเขานั้น จึงสามารถทำให้บุตรสาวของนายท่านกู้ ผู้มีนามว่าเฉินเย่วเล่อหลงรักได้ เหตุที่เฉินเย่วเล่อไม่ได้ใช้แซ่กู้เพราะว่ามารดาของนางได้ขอไว้ ด้วยความรักที่นายท่านกู้มีต่อภรรยา เขาจึงได้ยินยอมให้บุตรสาวใช้แซ่ 'เฉิน' ในที่สุดเขาจึงได้แต่งงานกับเฉินเย่วเล่อ มีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนนามว่า กู