บทที่ 14
กลับเมืองหลวง พ่อบ้านหลินเมื่อทราบข่าวจากจดหมายที่ชินอ๋องส่งมาถึงเขา ว่าชินอ๋องจะทรงรับพระชายารองเข้ามาก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จะบอกกล่าวพระชายาหยางซูมี่ก็ไม่กล้า จะไม่บอกก็ไม่ได้ เพราะชินอ๋องทรงส่งจดหมายฝากมาให้พระชายาด้วย ทั้งยังย้ำมาในจดหมายที่เขียนถึงเขาว่า อย่าได้สนใจกับข่าวลือ ให้พระชายาเชื่อมั่นในท่านอ๋อง ตัวเขานั้นก็เริ่มแก่จนผมสีขาวขึ้นแซมผมสีดำแล้ว ยังต้องมาวุ่นวายเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีก เขาได้แต่ถอดถอนใจ อยากจะรู้นักว่าทำไมท่านอ๋องถึงกล้ารับพระชายารองเข้ามา รู้ทั้งรู้ว่าพระชายานั้นทรงชิงชังบุรุษหลายใจ และรังเกียจการใช้สามีร่วมกับสตรีอื่น สิ่งที่พ่อบ้านหลินกังวลไม่ผิดจากที่สองสาวใช้คนสนิทของหยางซูมี่ที่กำลังกังวลอยู่ตอนนี้เลย หลังจากที่หยางซูมี่ทราบข่าวเรื่องการรับพระชายารอง นางก็เปลี่ยนไป จากปกติที่มักจะใช้เวลาว่างแต่งหนังสือ นางกลับไปนั่งที่ศาลาจวี๋ฮวา นั่งทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล เหมือนกำลังมองทะลุให้เห็นไปถึงยังชายแดนเหนือ อยากจะถามพระสวามีว่าเหตุใดถึงต้องรับชายารองเข้ามา ทำไมไม่บอกนางก่อน ทำไมยังไม่กลับมาอีก ทำไม ทำไม และทำไม หลังจากทำใจมา 3 วัน พ่อบ้านหลินมาขอเข้าพบพระชายายื่นจดหมายของชินอ๋องส่งถึงมือของพระชายา เขาถอยหลังออกไปยืนข้างๆ กับเจินเจินและซินซินโดยลอบสังเกตสีหน้าของพระชายา หยางซูมี่เปิดอ่านจดหมายของเซี่ยเหวินหรง ในจดหมายเขียนไว้ว่า 'พี่จำเป็นต้องรับลี่จิ่นมาเป็นชายารอง ขอให้มี่มี่โปรดจงเชื่อมั่นในตัวพี่ แล้วพี่จะรีบกลับไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าเข้าใจ' เซี่ยเหวินหรง หยางซูมี่อ่านจดหมายถึง 3 รอบ คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ในจดหมายไม่ได้อธิบายอะไรมาก คงต้องรอให้เขามาอธิบายให้นางฟังด้วยตนเอง นางคงทำได้เพียงเฝ้ารอคอยบุรุษที่นางเริ่มเปิดใจแล้วกลับมาก่อน พร้อมกับสตรีที่จะมาเป็นภรรยารองอีกคนของพระสวามี "ข้าเข้าใจแล้ว พ่อบ้านหลินไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะรอชินอ๋องกลับมา" หยางซูมี่เอ่ยกับพ่อบ้านหลินให้เขาสบายใจ นางสังเกตว่าเขาลอบมองนางอยู่ตลอดเวลา คงกำลังนึกเป็นห่วงนางอยู่ รวมถึงซินซินและเจินเจินด้วย สาวใช้ทั้งสองของนางต่างไม่ยอมให้นางอยู่คนเดียวเลย จะต้องมาคอยเฝ้าตลอด ทั้งที่ปกติเจินเจินจะชอบออกไปสืบข่าวจากข้างนอกมาบอกเล่าให้นางฟัง และซินซินที่ชอบเข้าไปอยู่ในครัวคอยกำกับการทำขนมกับพ่อครัวของจวนชินอ๋อง เพื่อให้นำมาให้นางทานเสมอ เห็นเช่นนี้หยางซูมี่ก็อดจะเอ็นดูสาวใช้ตัวน้อยของนางไม่ได้เลย ตลอดการเดินทางของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬเป็นไปด้วยความล่าช้า เดิมทีจากชายแดนเหนือถึงเมืองหลวงหากเร่งรีบจะใช้เวลา 10 วัน แต่ถ้าเดินทางอย่างไม่รีบร้อนจะใช้เวลา 15 วัน แต่นี่ล่วงเข้าไปถึงเกือบหนึ่งเดือนถึงพึ่งมาถึงประตูเมืองหลวง ภายในใจของทหารลอบตำหนิลี่จิ่นที่เป็นตัวต้นเหตุ พวกเขาต่างก็พอจะเข้าใจได้ว่านางเคยเป็นธิดาเทพมาก่อน ทั้งยังเป็นสตรีที่ร่างกายมักจะอ่อนแอมากกว่าบุรุษเช่นพวกเขา แต่นี่นางกลับมักสั่งให้หยุดขบวนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเพราะนางเวียนหัวบ้างล่ะ ขอออกมาขี่ม้าบ้าง แต่นางกลับขี่ม้าไม่เป็น ต้องให้ทหารคอยจูงม้าให้ ทั้งยังเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง ยามกลางวันลี่จิ่นก็บ่นว่าอากาศร้อนเกินไปขอหยุดพักชั่วครู่ ยามกลางคืนก็บ่นว่าหนาวจนเข้ากระดูก จึงขอปันผ้าห่มมาจากชินอ๋อง ซึ่งพระองค์ก็ทรงมอบให้ด้วยความจำใจ พอพบเห็นบรรยากาศทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงาม ก็ขอหยุดพักเพื่ออยากจะหยุดชมความงามของธรรมชาติ เมื่อพบเจอกับน้ำตกเป็นต้องขอหยุดพักสัก 3-4 วัน โดยลี่จิ่นมักแอบออกมาเล่นน้ำตอนที่เซี่ยเหวินหรงมาอาบน้ำชำระล้างร่างกาย จนเซี่ยเหวินหรงต้องหนีไปอาบน้ำในยามค่ำคืนแทน อาหารการกินก็ไม่ถูกปาก มักขอให้ชินอ๋องส่งทหารเพื่อปลีกตัวออกจากขบวนเพื่อไปซื้ออาหารจากเหลาอาหารที่มีอยู่ระหว่างทางมาให้นางกิน มีเพียงเรื่องนี้ที่เซี่ยเหวินหรงมิอาจปล่อยผ่านได้ ทหารของเขาหาใช่บ่าวรับใช้ที่จะมาทำตามคำให้เรื่องส่วนตัวของผู้ใดไม่ เรื่องนี้ทำให้เซี่ยเหวินหรงได้ใจทหารเป็นอย่างมาก การกระทำของลี่จิ่นทำให้ทหารทั้งกองทัพต่างเอือมระอากับพฤติกรรมของนาง รองแม่ทัพลู่เหอกังที่เดินทางมาด้วยก็มีใบหน้าเขียวคล้ำ เขาเข้าไปตำหนิลี่จิ่นอย่างรุนแรงให้ประพฤติตัวให้ดี นางยังไม่ได้แต่งเข้าจวนชินอ๋องอย่าพึ่งลำพองใจไป ลี่จิ่นแม้จะไม่พอใจนักแต่นางก็ยังคงเก็บอารมณ์ความรู้สึก หันกลับมาเอ่ยขอโทษ และสัญญาว่านางจะไม่กระทำตัวเช่นนี้อีก ในที่สุดกองทัพของอ๋องทมิฬก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง เซี่ยเหวินหรงเดินทางไปขอเข้าพบเซี่ยเฟยหลงทันที ส่วนลี่จิ่นกับรองแม่ทัพลู่เหอกังก็ขอแยกทางกลับไปที่จวนตระกูลลู่ เพื่อเล่าเรื่องราวให้ท่านแม่ทัพลู่เหอหมิง พี่ชายใหญ่ของเขาให้ทราบเรื่องการแต่งงานของลี่จิ่นกับชินอ๋อง ห้องทรงอักษรในตำหนักเฉียนชิง เกากงกงขันทีข้างกายของฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลง รายงานการมาถึงของชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง เมื่อจบการรายงานเซี่ยเฟยหลงรีบอนุญาตให้เข้ามาทันทีให้เข้ามาที่ห้องทรงอักษรทันที “ถวายพระพรเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเหวินหรงค้อมตัวคารวะ เซี่ยเฟยหลงโบกมือให้ลุกขึ้น พระองค์เงยพระพักตร์ขึ้นจากฎีกา หยุดพระหัตถ์ที่กำลังเขียนพู่กันลงในม้วนไม้ไผ่ลง แล้วทรงลุกขึ้นไปนั่งยังโต๊ะที่ตั้งอีกฟากหนึ่งของห้อง เซี่ยเหวินหรงเดินตามไปนั่งที่โต๊ะด้วย “รีบเล่ามา” เซี่ยเฟยหลงเอ่ยถามอย่างเร่งเร้า “กองทัพของกระหม่อมเอาชนะเผ่าหูเจี๋ยน่าได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” “ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นเดี๋ยวเจ้าก็เขียนรายงานมาเอง เจ้าเล่าเรื่องชายารองของเจ้าก่อนเถอะ” “นางเป็นธิดาเทพของเผ่าหูเจี๋ยน่า มารดาของนางเดิมคือคุณหนูรองลู่ตระกูลลู่สายรอง ตอนนี้รองแม่ทัพลู่เหอกังได้รับนางมาเป็นบุตรบุญธรรมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้วยความดีความชอบที่นางสังหารหูเจี๋ยลี่นั้น กระหม่อมจึงรับนางมาเป็นชายารองพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าอย่ามาโกหกข้า มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ เจ้าบอกความจริงมาให้หมด แล้วอย่าได้คิดจะโกหกอีก หากจะโกหกก็ไปหัดฝึกอย่าให้จมูกของเจ้าขยับก่อน” เซี่ยเฟยหลงเอ่ยพลางหัวเราะด้วยความขบขัน เจ้าน้องชายคนนี้มีนิสัยหากโกหก จมูกจะขยับ เขาผู้เป็นพี่ชายทำไมจะไม่รู้ เซี่ยเหวินหรงลอบกลอกตา เขาไม่เคยปิดบังเสด็จพี่ได้เลย หลังจากเซี่ยเฟยหลงได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้ง ลี่จิ่นผู้นี้คงจะเป็นหมากในกระดาษของคนผู้นั้นเป็นแน่ “ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะเอานางมาไว้ใกล้ตัว ข้ากลับมองว่าการทำเช่นนั้นจะมีผลเสียมากกว่าดี หากเจ้ากังวลก็กำจัดนางทิ้งไปเลย” “กระหม่อมอยากรู้ตัวผู้บงการและเป้าหมายของนางพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างการที่นางมาอยู่ใกล้ๆ ทำให้จับตามองนางได้ง่าย” “เอาเถอะ ตามแต่เจ้าว่าก็แล้วกัน แล้วชายาของเจ้าเล่า นางว่าอย่างไรบ้าง” เซี่ยเฟยหลงหันมาถามถึงนางในดวงใจของน้องชาย เขารู้เรื่องคำสัญญาที่น้องชายของเขาให้กับหยางซูมี่ไว้ว่า จะมีนางเป็นนายหญิงของจวนเพียงผู้เดียว แล้วนี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 3 เดือนก็จะแต่งชายารองเข้ามาแล้ว “คือ…กระหม่อมยังไม่ได้บอกนางพ่ะย่ะค่ะ รอให้กลับจวนเสียก่อนแล้วถึงจะเล่าให้นางฟังทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยตอบย่างตะกุกตะกัก เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามี่มี่ของเขาจะเข้าใจเขาหรือไม่ เรื่องของบ้านเมืองย่อมต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว “ข้าขอเตือนเจ้าในฐานะพี่ชายผู้มีภรรยาหลายคน แค่กๆ ….ผู้อยู่ใกล้กับสตรีมากกว่าเจ้า สตรีอย่างพวกนางนั้นมักจะวางตัวสูงส่ง หรืออ่อนหวานอ่อนโยน แต่ภายในใจนั้นย่อมไม่ชมชอบให้สามีมีคนอื่น ปากบอกว่ารับได้ แต่ภายในใจย่อมเจ็บปวด ยิ่งความแค้นของสตรีนั้นลึกล้ำเป็นอย่างมาก พวกนางจะฟาดฟันศัตรูด้วยวิธีการทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ได้เผชิญหน้าหรือท้าชนดั่งเช่นบุรุษ สตรีเช่นหยางซูมี่นั้น ข้ามองออกว่านางนั้นฉลาดรอบคอบ สุขุม และมีความอดทนดูได้จากการที่นางเล่นงานอดีตคู่หมั้นของนาง ที่รอเวลาให้ผ่านไปถึง 2 ปี ถึงจะเล่นงานร้านค้าตระกูลเสิ่นจนไม่อาจจะค้าขายได้อีก แล้วยังลอบวางยาที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้กับสตรีที่ใช้มารยามาแย่งอดีตคู่หมั้นของนางไป เจ้าลองไตร่ตรองให้ดีเถอะ” เซี่ยเฟยหลงสั่งสอนน้องชาย หยางซูมี่นั้นหากไม่มีใครทำร้ายนางก่อน นางก็จะอยู่เฉยๆ แต่หากกล้ามารังแกนางหรือคนในตระกูลของนาง นางจะเอาคืนอย่างสาสม เปรียบเหมือนสัตว์ที่จำศีลที่รอเวลาออกล่าเหยื่อ เซี่ยเหวินหรงเองก็รู้เรื่องที่หยางซูมี่เล่นงานคุณชายใหญ่เสิ่นอวี๋เหยาดี เพราะเขาเคยสั่งให้คนไปสืบมา เพื่อหวังจะขัดแข้งขัดขาอีกฝ่ายที่กล้าหักหลังมี่มี่ของเขา แม้เขาจะลอบขอบคุณอีกฝ่ายที่หันไปเลือกสตรีเจ้ามารยาแทนก็ตาม เรื่องที่มี่มี่ของเขาทำนั้นสะอาดหมดจรดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋เย่มีฝีมือคงไม่อาจสืบได้ ไม่คาดว่าเสด็จพี่เองก็ทรงทราบเช่นกันบทที่ 15ไม่อาจยอมรับ เมื่อกลับมาถึงจวน เซี่ยเหวินหรงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แม้ว่าหยางซูมี่และบ่าวรับใช้จะมารอต้อนรับเขา แต่ทำไมบรรยากาศช่างดูห่างไกลจากความยินดีนักเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่กล่าวโทษเขามาจากทางพวกบ่าวรับใช้ แม้จะก้มหน้ามองต่ำ แต่ทุกคนต่างก็ลอบส่งสายตาผิดหวังมาให้เขา แม้แต่พ่อบ้านหลินก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่คนที่ควรจะต้องผิดหวัง เสียใจกลับเพียงหันมาสบตา แล้วยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้เขา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของมี่มี่ดูแข็งกร้าวยิ่งนัก"ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ"ทุกคนส่งเสียงกล่าวคำยินดีพร้อมกัน เซี่ยเหวินหรงพยักหน้าแล้วหันไปทางหยางซูมี่"ลำบากเจ้าแล้วมี่เอ๋อร์ เราเข้าไปข้างในกันเถิด"เซี่ยเหวินหรงกำลังจะเข้าไปประคองหยางซูมี่ แต่นางกลับขยับตัวหนี พลางหันไปสั่งความกับสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหารและน้ำอาบให้ชินอ๋อง มือหนาชะงักกลางอากาศคว้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เขากระแอมไอแก้เก้อออกมา หันไปทางไป๋เยียนองครักษ์ที่ให้คอยดูแลหยางซูมี่อย่างสงสัยกับท่าทางของนาง แต่เขาได้รับเพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนขอ
บทที่ 16เอาคืน ลี่จิ่นนั่งรออยู่บนเตียงในเรือนเหมยฮวาจนถึงยามจื่อ จนจะล่วงเข้าไปเช้าวันใหม่ของอีกวันแล้ว นางก็ไม่เห็นเงาของชินอ๋องเลย ใบหน้างามจากที่มีรอยยิ้มหวานประดับตลอดเวลา กลับเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นิ้วเรียวกำเข้าหากันอย่างคับแค้นใจชินอ๋องช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก แม้ในคืนวันแต่งงานเขาก็ไม่มาเข้าหอกับนาง การกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ดื่มสุรามงคลเขาก็ไม่ทำสักอย่าง เหมือนการที่นางแต่งเข้ามาเป็นเพียงแค่การแต่งงานในนามเท่านั้น ไฟในใจของลี่จิ่นยิ่งโหมกระพือไปด้วยเพลิงโทสะ ยิ่งเขาทำเช่นนี้นางยิ่งอยากเอาชนะ ส่วนสตรีที่เขารักมั่นจะต้องชดใช้ให้กับนางคนของจวนชินอ๋องไม่มีใครนึกยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาต่างเมินเฉยทำราวกับการแต่งพระชายารองเข้ามา เป็นเพียงการรับสตรีคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนชินอ๋องเท่านั้นเองเซี่ยเหวินหรงออกไปที่ค่ายทหารตั้งแต่เช้า คืนนี้เขาก็นอนที่ค่าย อยากจะกลับไปนอนกับหญิงคนรักก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬต่างงุนงงสงสัย เหตุใดชินอ๋องไม่ไปงานแต่งงานของตัวเอง แต่กลับมาหมกตัวยังค่ายทหาร ข่าว
บทที่ 17ค่ำคืนร้อนระอุ เซี่ยเหวินหรงเมื่อรู้อาการป่วยของลี่จิ่นเพราะนางเผลอไปกินหัวของดอกสือ ซว่านเข้า ก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นฝีมือของมี่มี่ที่เอาคืนลี่จิ่นเรื่องผงบดหนังคางคก ตอนแรกที่เขารู้เรื่องเข้าก็โกรธเคืองลี่จิ่นเป็นอย่างมากที่กล้าปองร้ายมี่มี่ของเขา เขาได้ลอบสั่งให้คนไปเสาะหาผงบดหนังคางคกเพื่อเอาคืนนาง เวลานี้ก็เหมาะสมแก่เวลาแล้วไป๋ลู่ที่ติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เพียงแค่มองตา เขาก็รู้ได้เลยว่าต้องทำเช่นไร หลังจากนั้นลี่จิ่นที่นอกจากจะมีอาการท้องเสียที่เพิ่งจะดีขึ้น บนใบหน้าและลำตัวของนางมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว ทั้งนางยังท้องเสียและอาเจียนจนลี่จิ่นทนไม่ไหวสลบไปเลยลู่เหอกังถึงกับกุมขมับหรูเหรินทรงกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม แต่กลับมาป่วยเช่นนี้ ในใจเริ่มหวั่นวิตกเข้าแล้ว หรือการที่เขาช่วยกดดันชินอ๋องจนทำให้ลี่จิ่นได้แต่งไปเป็นหรูเหรินนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด นี่เพียงผ่านไปแค่ 3 วัน นางก็โดนเล่นงานเสียแล้วเซี่ยเหวินหรงรู้ว่าลี่จิ่นมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัวจากลู่เหอกัง เขาก็แสดงสีหน้าตกใจ แล้วสั่งความให้องครักษ์ไปเชิญตัวหมอหลวงมาดูอา
บทที่ 18ทะเลสาบมรกต เช้าวันใหม่ที่สดใสของเซี่ยเหวินหรง แต่กลับกลายเป็นเช้าที่ดูหม่นหมองของหยางซูมี่ กว่าศึกเมื่อคืนระหว่างนางกับเขาจะสงบก็เป็นตอนรุ่งสางเสียแล้ว ร่างบางที่มีผ้าห่มคลุมร่างกายไว้ลืมตาขึ้นมา เพราะแสงของพระอาทิตย์ส่องมากระทบกับใบหน้างามความรู้สึกแรกคือเมื่อยขบทั้งตัว เจ็บตรงกึ่งกลางของร่างกาย ปากอิ่มบวมเจ่อ ตั้งแต่ลำคอระหง ลาดไหล่ เนินอกอิ่มล้วนเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำไปทั้งตัว นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่ง อ๋องบ้า ทำนางเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้ว พวกบ่าวไพร่คงจะรู้เรื่องเมื่อคืนทั่วจวนแล้ว เพราะตั้งแต่เซี่ยเหวินหรงเสด็จมาเยือนที่เรือนของหยางซูมี่ เขาก็ไม่ได้ก้าวขาออกไปเลย อาหารมื้อเย็นก็ไม่ได้ทาน ตอนนี้ยังมานอนยิ้มอยู่ข้างๆ นาง งานการไม่ไปทำหรืออย่างไร หยางซูมี่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เซี่ยเหวินหรงเห็นท่าทางของแมวน้อยที่ขู่ฟ่อมาทางเขา ก็ยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อคืนเขารังแกนางมากเกินไปจริงๆ ใครใช้ให้นางช่างน่ารักอ่อนหวานจนเขาอดใจไม่ไหวได้เล่า แต่เพื่อชดเชยไม่ให้มี่มี่ยิ่งขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เขาคงต้องให้รางวัลนางเสียหน่อยแล้ว“ว
บทที่ 19เจียงซูหนี่ ตำหนักหย่งเหิงที่ประทับของไทเฮา เต็มไปด้วยเหล่าคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญจากไทเฮาให้มาร่วมจิบน้ำชาและสนทนากัน แต่ทุกคนต่างรู้ว่าจุดประสงค์ของไทเฮานั้นเพื่อเฟ้นหาหญิงงามให้กับชินอ๋องหลังจากที่พระนางหมายมาดที่จะให้มู่เหลียนฮวาหลานสาวที่ทรงโปรดปรานแต่งเป็นพระชายาเอกนั้นไม่สำเร็จ แต่กลายเป็นหยางซูมี่ที่ได้สมรสพระราชทานในครั้งนั้นแทน คราแรกพระนางจะให้มู่เหลียนฮวาแต่งเป็นพระชายารอง แต่ลี่จิ่นก็กลับได้มาแต่งตัดหน้าไปเสียก่อนดังนั้นหากจะดันทุรังให้มู่เหลียนฮวาแต่งเข้าจวนชินอ๋องอีก ก็คงไม่เหมาะสมเพราะตำแหน่งที่เว้นว่างไว้จะต้องเป็นรองหยางซูมี่และลี่จิ่น ไม่สมควรกับฐานะหลานสาวของไทเฮา พระนางจึงยอมตัดใจจะให้มู่เหลียนฮวาไปร่วมคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ที่จะจัดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้แทนคุณหนูที่ไทเฮาทรงคัดเลือกมานั้นล้วนเป็นตระกูลที่เข้าฝ่ายพระนางทั้งสิ้น ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เมื่อพระนางลอบสังเกตท่าทางและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงตัดสินใจจะให้คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมโยธา ที่มีนามว่าเจียงซูหนี่ แต่งเข้าไปเป็นชายารองของ
บทที่ 20 สาดโคลน เมื่อพูดคุยธุระ และตระเตรียมแผนการเสร็จสิ้นแล้ว ก็พากันเดินออกมาข้างนอก พบว่าสองคนแม่ลูกกลับไปที่เรือนของตนเองแล้วตั้งแต่ที่หยางซูมี่พูดจาข่มขู่เอาไว้ หยางซูมี่มาที่จวนวันนี้นอกจากจะมาพูดคุยธุระแล้ว นางยังอยากมาพบพี่สะใภ้อีกด้วย เพราะมีเรื่องราวมากมายจนทำให้นางไม่ค่อยได้ออกมาพบกับสหายนัก วันนี้นางยังได้ส่งเทียบเชิญไปให้หม่าฮุ่ยหลิง กับจ้าวเหมยอิงมาที่จวนตระกูลหยางด้วย หยางหมิงขอตัวไปจัดการธุระเรื่องราชการ หยางเฟยเทียนก็ขอตัวไปที่ค่ายทหาร หยางซูมี่จึงเดินไปหาเถาซูเม่ยที่ตอนนี้กลายมาเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนตระกูลหยาง “พี่สะใภ้อยู่หรือไม่” หยางซูมี่เอ่ยถามบ่าวรับใช้หน้าเรือนของหยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ย “ทูลพระชายา ฮูหยินน้อยอยู่ที่ศาลาเหลียนฮวาเพคะ คุณหนูจ้าวและคุณหนูหม่าเดินทางมาถึงแล้วเพคะ” หยางซูมี่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหมุนตัวเปลี่ยนเส้นทางไปที่ศาลาเหลียนฮวาที่ตอนนี้มีสหายของนางอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คนในศาลาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา ไ
บทที่ 21ลงดาบ การปรากฏตัวของหยางเฟยเทียนทำให้ตกใจมากพอแล้ว แต่ด้านหลังของชายหนุ่มยังมีหยางหมิง และเซี่ยเหวินหรงเดินตามเข้ามาด้วย เสิ่นอี๋นั่วอยากจะแกล้งเป็นลมเสียเดี๋ยวนี้เลย ทำไมแผนการทุกอย่างของนางจะต้องพังไม่เป็นท่าทุกที สายตาที่มองไปทางหยางซูมี่มีแต่ความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวอ้ายฉิง หรือหยางซูมี่ นางก็ไม่อาจจะก้าวข้ามทั้งสองคนไปได้เลย“ว่าอย่างไรคุณหนูเสิ่น พี่ชายของข้าบอกว่าเขาไม่เคยข่มเหงเจ้า แล้วการที่เจ้ามาประกาศร้องปาวๆ เช่นนี้ เจ้าหวังสิ่งใดกันแน่ คิดให้ดีก่อนที่จะพูด การโกหกเชื้อพระวงศ์เช่นเปิ่นหวางเฟยมีโทษรออยู่นะ”หยางซูมี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เซี่ยเหวินหรงได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างหยางซูมี่ด้วย“เปิ่นหวางก็อยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนัก หากเจ้าโกหกแม้เพียงครึ่งคำ เปิ่นหวางจะสั่งให้องครักษ์ตัดลิ้นของเจ้าเสีย”เซี่ยเหวินหรงพูดข่มขู่มาอีกคน สายตาของเขาไม่ได้มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อยเสิ่นเลี่ยงหรูหวาดกลัวจนตัวสั่น ไหนท่านน้าบอกว่าหากนางทำตามแผนการที่ท่านน้าวางไว้ให้ นางจะได้เข้าม
บทที่ 22คำสั่งห้ามของชินอ๋อง ตลอดระยะเวลากว่า 7 วันที่เซี่ยเหวินหรงเข้ามาควบคุมการฝึกของทหารใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับเขา แต่กับทหารใหม่ที่เข้ามาใหม่นั้นรู้สึกประหนึ่งร่างกายจะแหลกเหลว การฝึกของชินอ๋องช่างดุดัน เข้มงวดมากเสียจริง สมแล้วกับฉายาอ๋องทมิฬผู้กุมทหารกองทัพพยัคฆ์ทมิฬกว่าสองแสนนายทหารที่เซี่ยเหวินหรงฝึกนั้น เป็นเพียงทหารที่จะเข้ามาสังกัดในเมืองหลวงเท่านั้น หากใครดูว่ามีแววหรือเข้าตาเขาก็จะถูกโยกย้ายให้ไปประจำการยังหน่วยต่างๆ ที่เหมาะสม ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพผู้มีประสบการณ์มาหลายปี เพียงมองดูก็สามารถแยกแยะทหารใหม่ได้แล้วหลังจากการฝึกทหารใหม่ผ่านไปอย่างลุล่วงด้วยดี เขาก็รีบตรงกลับไปที่จวนชินอ๋องทันที เวลานี้เขาคิดถึงมี่มี่ของเขาเหลือเกิน ไม่ได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มพาให้ใจไม่สงบนัก ไม่อาจข่มตาหลับได้ คิดแล้วก็พาลคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อครั้นเยาว์วัยที่เขาไม่อาจข่มตานอนหลับได้เลย จะต้องนอนกอดกับแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาจนกระทั่งนางได้เสียไปเมื่อตอนที่เขาไปอยู่ยังค่ายทหารตอนอายุ 12 หนาว นับว่าเป็นเรื่องที่เขาสะเทือนใจนัก เซี่ย
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน