บทที่ 12
ชำระหนี้แค้น จวนตระกูลเถา หลังจากลงจากรถม้า เถาซูเม่ยรีบตรงกลับไปที่เรือนนอนของนางทันที ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด สั่งให้สาวใช้ข้างกายออกไปเฝ้าหน้าห้อง ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด เมื่อในห้องปลอดคนแล้วเถาซูเม่ยจึงบรรจงหยิบกล่องไม้ออกมาค่อยๆ เปิดออกดู ภายในกล่องไม้บรรจุกำไลหยกสีเขียวกระจ่างใส 1 วง เมื่อลองเพ่งพิศจะเห็นว่าด้านในของกำไลหยกมีอักษรแกะสลักไว้อ่านว่า ‘เฟยเทียน’ นอกจากจะมีกำไลหยกยังมีกระดาษแนบมาด้วยหนึ่งแผ่น เถาซูเม่ยคลี่กระดาษเปิดอ่านดู "เพียงแรกพบสบตา ใจของข้าก็สั่นไหว เสียงสกุณณาในพงไพร ไม่อาจเทียบเสียงหัวเราะของเจ้าเลย กำไลหยกวงนี้คือตัวแทนแห่งข้า" หยางเฟยเทียน เมื่ออ่านจบในใจของเถาซูเม่ยให้รู้สึกอุ่นวาบในอก ใจของนางก็เฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้นี้มานานแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งบุรุษที่นางหลงรักจะใจตรงกับนางเช่นกัน เถาซูเม่ยนั้นได้เพียงแค่แอบมองคุณชายหยางเฟยเทียนเพียงไกลๆ ไม่เคยอาจหาญไปบอกความในใจให้เขารู้ มีเพียงเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับเขาที่เหลาอาหาร ระหว่างกำลังร่วมทานอาหารและสนทนากันอยู่อย่างสนุกสนานกับสหาย หยางเฟยเทียนกับสหายของเขาอีกหนึ่งคนได้ขอมาร่วมโต๊ะด้วย เนื่องจากภายในเหลาอาหารโต๊ะเต็มหมดแล้ว หยางซูมี่และทุกคนก็ไม่ขัดข้อง เชิญให้ทั้งสองร่วมทานอาหารด้วยกัน หลังจากวันนั้นนางก็พบเขาบ่อยครั้ง อยากจะคิดเข้าข้างตนเองว่าเขาก็คงมีใจให้นางบ้าง แต่พึ่งมาแน่ใจก็วันนี้เอง ใบหน้างามของเถาซูเม่ยแดงซ่านดั่งผลผิงกั่ว หัวใจพลันสั่นไหวรุนแรงด้วยความยินดีปนเขินอาย เถาซูเม่ยให้สาวใช้นำถุงเงินที่นางปักโดยใช้ผ้าสีม่วงเข้ม ปักลายต้นไผ่ลู่ลมเดินดิ้นสีเขียวอ่อน ด้านในถุงยังปักคำว่า ‘ซูเม่ย’ ไว้อีกด้วย นางสั่งสาวใช้ให้แอบไปมอบให้หยางซูมี่ที่จวนชินอ๋อง เมื่อหยางซูมี่ได้รับถุงเงินมาจากสาวใช้ของเถาซูเม่ยถึงกับยิ้มด้วยความขบขัน พี่ชายใหญ่ของนางก็ไม่กล้าเกี้ยวสาวโดยตรงต้องส่งผ่านของขวัญมาทางนาง สหายของนางเองก็เขินอายเกินกว่าจะกล้ามอบถุงเงินด้วยตนเองยังต้องลอบฝากกับนางมาแทน ดูเหมือนตอนนี้นางจะได้กลายไปเป็นแม่สื่อเสียแล้ว หยางซูมี่ปวดหัวกับการเกี้ยวสาวของพี่ชายใหญ่ยิ่งนัก เหตุใดไม่เดินหน้าเข้าทางประตูจวนตระกูลเถาไปเลย หากชักช้าคงได้มีบุรุษมาตัดหน้าไปก่อน นางก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะพี่ชายใหญ่ของนางนั้นเป็นบุรุษหยาบกระด้าง อยู่กับพวกทหาร ไม่เคยเกี้ยวสตรีใดมาก่อน ที่ต้องตาต้องใจสหายของนางก็คงเพราะความสดใสร่าเริง ช่างคุยของเถาซูเม่ย หยางซูมี่ให้คนส่งของที่เถาซูเม่ยฝากมาไปให้พี่ชายใหญ่ของนางที่จวนตระกูลหยาง ทั้งยังกำชับกับซินซินให้แจ้งแก่พี่ชายใหญ่นางว่า “บุปผางามมีภมรมาแวะเวียนไม่เคยขาด หากอยากได้บุปผามาครอบครอง จงรีบแสดงตนเป็นเจ้าของเสีย” คำพูดประโยคเดียวของหยางซูมี่ทำให้หลังจากนั้นอีก 1 เดือน จวนตระกูลหยางกับจวนตระกูลเถาก็ได้เกี่ยวดองกัน ชายแดนเหนือ เมืองเว่ย เซี่ยเหวินหรงให้คนไปตามรองแม่ทัพลู่เหอกัง เจ้าเมืองอู่ เจ้าเมืองเว่ย และสี่พี่น้องสกุลถังให้มาร่วมกันประชุมวางแผนการศึกที่จะรบในวันพรุ่งนี้ยามโฉ่ว ซึ่งเป็นเวลาที่ทหารของเผ่าหูเจี๋ยน่า น่าจะนอนหลับพักผ่อนจึงทำให้ไม่ทันได้ระวังตัว เขาจะใช้หน่วยจิ้งจอก 500 นายลอบเข้าไปที่เมืองอู่ อาศัยในยามกลางคืน ใช้ความมืดอำพรางตัวตน ลอบไปเผาเสบียงของเผ่าหูเจี๋ยน่า แล้วให้มาเปิดประตูเมืองเพื่อให้หน่วยหมีขาว 20,000 นายบุกเข้าไปตีเมืองอู่กลับคืนมา โดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว เป็นกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล คือการบุกโจมตีศัตรูโดยไม่ให้ศัตรูรู้ตัว ทุกคนเมื่อทราบแผนการจึงลุกขึ้นออกไปเตรียมตัวให้พร้อม คืนพรุ่งนี้แคว้นเซี่ยจะตีเมืองอู่กลับคืนมาให้จงได้ ท้องฟ้าเหนือเมืองอู่คล้ายจะสว่างไสวประดุจยามกลางวัน เหตุเพราะกองทัพพยัคฆ์ทมิฬสามารถตีเมืองอู่กลับคืนมาได้ เปลวเพลิงที่โหมกระพือกำลังเผาทำลายเสบียงของเผ่าหูเจี๋ยน่า และยังมีทหารอีกหลายพันนายถูกไฟคลอกตายด้วย ทหารของเผ่าหูเจี๋ยน่าที่หนีจากไฟคลอกมาได้ กลับต้องมาสังเวยดาบให้กับทหารของหน่วยหมีขาวกับหน่วยจิ้งจอกที่บุกตีเมืองอู่ แผนการของท่านอ๋องทมิฬทำให้สามารถตีเมืองอู่กลับคืนมาได้อย่างสำเร็จ หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากเซี่ยเหวินหรงตีเมืองอู่กลับคืนมาได้ เขาได้ส่งทหารในหน่วยจิ้งจอกออกไปลาดตระเวนรอบๆ ชายแดนที่ติดกับเผ่าหูเจี๋ยน่า และส่งคนออกไปสอดแนมในเผ่าหูเจี๋ยน่าเรื่องของธิดาเทพ ได้ความว่าธิดาเทพอาศัยอยู่ภายในวิหาร มีทหารของเผ่าหูเจี๋ยน่าคอยอารักขา 100 นาย ตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬกับทหารของเผ่าหูเจี๋ยน่าผลัดกันรบแพ้ รบชนะ ยังไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ เสบียงในกองทัพเริ่มร่อยหรอ เสบียงที่เมืองหลวงส่งมาก็ถูกดักปล้น ทำให้ในค่ายทหารเริ่มระส่ำระสาย ในขณะที่เซี่ยเหวินหรงกำลังจะให้ทหารออกไปหาเสบียงเพิ่ม ขบวนพ่อค้าจากเมืองหลวงก็เดินทางมาถึงพร้อมเสบียงอาหารจากจวนชินอ๋อง ด้วยเพราะหยางซูมี่กังวลเรื่องเสบียงจะถูกดักปล้นจึงได้ให้ทหารจากจวนชินอ๋องปลอมเป็นพ่อค้า แล้วแยกขบวนออกเป็น 6 สายเพื่อตบตาศัตรู นับว่าความคิดนี้ของหยางซูมี่รอบคอบมาก เพราะเหตุนี้ทำให้มีเสบียงมาต่อชีวิตของทหารทั้งกองทัพ เผ่าหูเจี๋ยน่า หัวหน้าเผ่าหูเจี่ยลี่เริ่มนั่งไม่ติด การรบกับชินอ๋องทำให้เขาเสียกำลังคนไปมาก เสบียงที่ปล้นมาได้ก็หวังจะให้ทหารของชินอ๋องอดตาย แต่กลับได้ข่าวว่ามีเสบียงผุดขึ้นมา ช่างน่าเจ็บใจนัก ไม่รู้ว่าชินอ๋องไปได้เสบียงเพิ่มมาจากที่ใด หากยังรบยืดเยื้อกันไปทั้งแบบนี้ ความพ่ายแพ้คงได้มาเยือนเผ่าหูเจี๋ยน่าแน่ ธิดาเทพก็ดูจะเมินเฉย ไม่ได้ให้คำชี้แนะแก่เขาเช่นเดิม แผนการที่วางเอาไว้ล้วนถูกคนของชินอ๋องเล่นงานกลับมาหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หูเจี๋ยลี่ร้อนรนจนทนไม่ไหวจนต้องเดินทางมาขอพบธิดาเทพ เพื่อมาขอคำชี้แนะจากท่านเทพ "ท่านเทพหมาป่าได้บอกอะไรธิดาเทพหรือไม่" หูเจี๋ยลี่เอ่ยถามทันที "ท่านเทพบอกเพียงว่า 'ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว' ตายซะเถอะเจ้าเดนนรก" ลี่จิ่นสาดผงสลายกำลังใส่หน้าหูเจี่ยลี่ เพราะเขาไม่ทันระวังตัวจึงทำให้โดนผงสลายกำลังสาดใส่หน้าเต็มๆ จะร้องตะโกนให้คนช่วยก็เปล่าประโยชน์ ที่วิหารเทพขึ้นชื่อเรื่องความสงบ แม้จะมีทหารคอยอารักขาธิดาเทพ แต่ก็อยู่เพียงรอบนอกเท่านั้น หูเจี่ยลี่มึนงงสับสนไปหมด เหตุใดธิดาเทพถึงทำเช่นนี้ เมื่อลี่จิ่นสาดผงสลายกำลังใส่แล้ว นางก็เอามีดสั้นที่ซ่อนไว้ข้างหลังรูปปั้นธิดาเทพออกมา ลี่จิ่นเดินเข้าไปหาหูเจี่ยลี่ช้าๆ นางยกยิ้มอย่างพอใจที่หูเจี่ยลี่ไม่สามารถขยับหนีนางไปไหนได้อีก นางรอวันนี้มานานแสนนานแล้ว "จะ...เจ้า เจ้าจะทำอะไร ข้าเป็นถึงหัวหน้าเผ่า แล้วยังเป็นพี่ชายของเจ้าด้วย" หูเจี่ยลี่พยายามขยับตัวหนี แต่เขาไม่มีแรงจะขยับไปไหนได้ เพียงนอนรอความตายที่ลี่จิ่นจะเป็นผู้มอบให้ "เจ้าไม่คู่ควรเป็นหัวหน้าเผ่า ไม่คู่ควรเป็นพี่ชายข้า 10 ปี 10 ปีที่ข้ารอวันแก้แค้นเจ้า มารดาของเจ้า และท่านพ่อผู้ซึ่งเห็นแก่ตัว เขาไม่เคยสนใจเลยว่าข้าจะต้องทุกข์ ทรมานมากแค่ไหน และเจ้าปากเอ่ยว่าเป็นพี่ชาย แต่เจ้ากลับกล้าให้คนมาข่มเหงข้า ข้าซึ่งอายุเพียงแค่ 5 หนาว" เสียงหวานสั่นระริกด้วยความโกรธแค้น นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายสัตว์ร้าย "ไม่ใช่ ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว" "ไม่ใช่เจ้า แล้วมันจะเป็นผู้ใดไปได้อีก คืนนั้นข้านอนอยู่ในห้องกับแม่นม เจ้าลอบเข้ามากับสหาย แล้วสังหารแม่นมของข้า สหายของเจ้าพยายามข่มเหงข้า ข้าอ้อนวอนพวกเจ้า กราบแทบเท้าพวกเจ้า แต่ไม่มีใครเห็นใจข้าเลย เจ้าเพียงมองดูแล้วหัวเราะออกมา ส่วนข้าแทบขาดใจตาย" ลี่จิ่นเอ่ยไปพร้อมทั้งน้ำตา ตลอดสิบปีที่ผ่านมานางไม่เคยข่มตาหลับได้อย่างสนิทเลย ฝันร้ายในครั้งนั้นตามมาหลอกหลอนนางทุกค่ำคืน มีเพียงการสังเวยด้วยชีวิตเท่านั้น ใจนางถึงจะสงบลงได้ ธิดาเทพอย่างนั้นหรือ นั่นก็แค่ตำแหน่งที่คนในเผ่าอุปโลกน์กันขึ้นมา การทำนายก็มาจากการที่นางศึกษาหาความรู้ แล้ววิเคราะห์เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น และมีขอทานเป็นสายให้ ทำให้นางรู้ข่าวเร็วกว่าผู้อื่น นางจึงทำนายได้ราวกับล่วงรู้อนาคต กว่านางจะขึ้นมาถึงจุดนี้ นางต้องพยายามมากแค่ไหน ใครจะรู้ได้เท่าตัวนางเอง นางแค้นทุกคนที่ทำให้ชีวิตของนางเป็นเช่นนี้ ทุกคนจะต้องชดใช้!! "ท่านพี่อยากรู้ไหมว่าท่านพ่อตายด้วยเหตุใด" ลี่จิ่นยิ้มหวานส่งไปให้หูเจี๋ยลี่ "จะ...เจ้าฆ่าท่านพ่อหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านพ่อป่วยตายต่างหากเล่า" หูเจี๋ยลี่เอ่ยอย่างหวาดระแวง เขาเริ่มคิดว่าลี่จิ่นตอนนี้นางหาใช่ธิดาเทพไม่ แต่คือนางมารร้ายที่จะมาพรากชีวิตของเขาไป "ท่านพ่อป่วยตาย เพียงแค่ข้าเร่งการตายของท่านพ่อเท่านั้นเอง สมุนไพรที่ท่านพ่อกินทุกวันก็คือยาพิษที่คอยกัดกินร่างกายของท่านพ่อ ส่วนสหายของเจ้าที่ข่มเหงข้า ข้าก็ส่งมันไปเยือนนรกแล้ว ก่อนตายข้ายังให้มันได้ลิ้มรสการโดนข่มเหงจากบุรุษอีกด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า สะใจข้ายิ่งนัก" หูเจี๋ยลี่ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งกาย รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าสหายที่หายตัวไปของเขาจะโดนลี่จิ่นฆ่าตายไปแล้ว "เจ้ามันช่างอำมหิตนัก ฆ่าได้แม้กระทั่งบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า" "บุรุษชั่วช้าที่หลอกมารดาของข้าน่ะหรือ ข้าไม่นับว่ามันเป็นบิดาหรอก เจ้าไม่ต้องเสียใจไป ข้ากำลังจะส่งเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อแล้ว" ลี่จิ่นเดินมาคุกเข่าตรงหน้าหูเจี๋ยลี่ นางยกมีดสั้นขึ้นมาค่อยๆ บรรจงตัดเส้นเอ็นที่หัวเข่าของหูเจี่ยลี่ทั้งสองข้าง “อ้ากกกกกกกกก” เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด "ข้าจะให้เจ้าไปสบายๆ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงท่านแม่ของเจ้าหรอกนะ ตอนนี้นางกำลังเสวยสุขอยู่กับชู้รักของนางอยู่ ลูกบุญธรรมที่นางรับมาเลี้ยงก็เป็นลูกของนางกับชายชู้ ข้าสัญญาว่าจะทำให้เขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าแทนเจ้าเอง" ลี่จิ่นหัวเราะอย่างสาแก่ใจ จากนั้นนางเอามีดสั้นปาดคอหูเจี๋ยลี่ทันที ร่างของเขากระตุกเพียงสามครั้งแล้วก็สงบลง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความเคียดแค้น หยดเลือดจากคอกระเซ็นมาอาบย่อมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ของลี่จิ่นจนเปลี่ยนเป็นสีแดง นางยกยิ้มหวานออกมาด้วยความสุข จากนั้นจึงได้หันหลังเดินจากไปแล้วกรีดร้องออกมาให้คนช่วย “กรี๊ดดดดด!!” ข่าวการลอบสังหารของหูเจี๋ยลี่รู้ไปถึงหูเซี่ยเหวินหรง หลังจากนั้น 3 วัน เขาได้ยกกำลังพลหนึ่งแสนนายเข้าตีเผ่าหูเจี๋ยน่าทันที ใช้เวลากว่า 2 ชั่วยาม กองทัพพยัคฆ์ทมิฬก็สามารถเอาชนะได้ การรบกับเผ่าหูเจี๋ยน่าในครั้งนี้ใช้เวลาไป 2 เดือนครึ่งถึงกำชัยชนะมาได้บทที่ 13พระชายารอง เมื่อหัวหน้าเผ่าสิ้นใจไป ทำให้ภายในเผ่าหูเจี๋ยน่าระส่ำระสาย มารดาของหูเจี๋ยลี่แต่งตั้งบุตรชายบุญธรรมของนางที่อายุเพียง 12 หนาวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วันกลับถูกกองทัพของชินอ๋องยกทัพมาตีจนแตกพ่าย ความหวังที่จะเสวยสุขกับชู้รักและบุตรชายที่เกิดกับชู้รักเป็นอันต้องจบสิ้นลงเซี่ยเหวินหรงตัดสินให้ประหารครอบครัวของหัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่า จัดตั้งรองแม่ทัพลู่เหอกังขึ้นมาดูแลจัดการเป็นการชั่วคราวแทน หากใครสวามิภักดิ์เขาจะละเว้นชีวิต ส่วนคนที่ไม่ยอมจำนนจะต้องถูกสังหารทั้งหมด ส่วนธิดาเทพลี่จิ่นนั้นถูกคุมตัวอยู่ภายในวิหารเทพ วิหารเทพ เซี่ยเหวินหรงเดินทางไปที่วิหารเทพพร้อมกับไป๋ลู่ และไป๋เย่ เขาเดินหยุดไปยืนตรงหน้าของลี่จิ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นธิดาเทพ นางหันมายกยิ้มแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซี่ยเหวินหรง"ข้าได้แก้แค้นแทนท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ข้าขอมอบให้ชินอ๋อง"ลี่จิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอ่อนหวาน เดิมทีนางลอบติดต่อกับเซี่ยเหว
บทที่ 14กลับเมืองหลวง พ่อบ้านหลินเมื่อทราบข่าวจากจดหมายที่ชินอ๋องส่งมาถึงเขา ว่าชินอ๋องจะทรงรับพระชายารองเข้ามาก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จะบอกกล่าวพระชายาหยางซูมี่ก็ไม่กล้า จะไม่บอกก็ไม่ได้ เพราะชินอ๋องทรงส่งจดหมายฝากมาให้พระชายาด้วย ทั้งยังย้ำมาในจดหมายที่เขียนถึงเขาว่า อย่าได้สนใจกับข่าวลือ ให้พระชายาเชื่อมั่นในท่านอ๋องตัวเขานั้นก็เริ่มแก่จนผมสีขาวขึ้นแซมผมสีดำแล้ว ยังต้องมาวุ่นวายเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีก เขาได้แต่ถอดถอนใจ อยากจะรู้นักว่าทำไมท่านอ๋องถึงกล้ารับพระชายารองเข้ามา รู้ทั้งรู้ว่าพระชายานั้นทรงชิงชังบุรุษหลายใจ และรังเกียจการใช้สามีร่วมกับสตรีอื่นสิ่งที่พ่อบ้านหลินกังวลไม่ผิดจากที่สองสาวใช้คนสนิทของหยางซูมี่ที่กำลังกังวลอยู่ตอนนี้เลย หลังจากที่หยางซูมี่ทราบข่าวเรื่องการรับพระชายารอง นางก็เปลี่ยนไป จากปกติที่มักจะใช้เวลาว่างแต่งหนังสือ นางกลับไปนั่งที่ศาลาจวี๋ฮวา นั่งทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล เหมือนกำลังมองทะลุให้เห็นไปถึงยังชายแดนเหนือ อยากจะถามพระสวามีว่าเหตุใดถึงต้องรับชายารองเข้ามา ทำไมไม่บอกนางก่
บทที่ 15ไม่อาจยอมรับ เมื่อกลับมาถึงจวน เซี่ยเหวินหรงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แม้ว่าหยางซูมี่และบ่าวรับใช้จะมารอต้อนรับเขา แต่ทำไมบรรยากาศช่างดูห่างไกลจากความยินดีนักเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่กล่าวโทษเขามาจากทางพวกบ่าวรับใช้ แม้จะก้มหน้ามองต่ำ แต่ทุกคนต่างก็ลอบส่งสายตาผิดหวังมาให้เขา แม้แต่พ่อบ้านหลินก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่คนที่ควรจะต้องผิดหวัง เสียใจกลับเพียงหันมาสบตา แล้วยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้เขา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของมี่มี่ดูแข็งกร้าวยิ่งนัก"ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ"ทุกคนส่งเสียงกล่าวคำยินดีพร้อมกัน เซี่ยเหวินหรงพยักหน้าแล้วหันไปทางหยางซูมี่"ลำบากเจ้าแล้วมี่เอ๋อร์ เราเข้าไปข้างในกันเถิด"เซี่ยเหวินหรงกำลังจะเข้าไปประคองหยางซูมี่ แต่นางกลับขยับตัวหนี พลางหันไปสั่งความกับสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหารและน้ำอาบให้ชินอ๋อง มือหนาชะงักกลางอากาศคว้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เขากระแอมไอแก้เก้อออกมา หันไปทางไป๋เยียนองครักษ์ที่ให้คอยดูแลหยางซูมี่อย่างสงสัยกับท่าทางของนาง แต่เขาได้รับเพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนขอ
บทที่ 16เอาคืน ลี่จิ่นนั่งรออยู่บนเตียงในเรือนเหมยฮวาจนถึงยามจื่อ จนจะล่วงเข้าไปเช้าวันใหม่ของอีกวันแล้ว นางก็ไม่เห็นเงาของชินอ๋องเลย ใบหน้างามจากที่มีรอยยิ้มหวานประดับตลอดเวลา กลับเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นิ้วเรียวกำเข้าหากันอย่างคับแค้นใจชินอ๋องช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก แม้ในคืนวันแต่งงานเขาก็ไม่มาเข้าหอกับนาง การกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ดื่มสุรามงคลเขาก็ไม่ทำสักอย่าง เหมือนการที่นางแต่งเข้ามาเป็นเพียงแค่การแต่งงานในนามเท่านั้น ไฟในใจของลี่จิ่นยิ่งโหมกระพือไปด้วยเพลิงโทสะ ยิ่งเขาทำเช่นนี้นางยิ่งอยากเอาชนะ ส่วนสตรีที่เขารักมั่นจะต้องชดใช้ให้กับนางคนของจวนชินอ๋องไม่มีใครนึกยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาต่างเมินเฉยทำราวกับการแต่งพระชายารองเข้ามา เป็นเพียงการรับสตรีคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนชินอ๋องเท่านั้นเองเซี่ยเหวินหรงออกไปที่ค่ายทหารตั้งแต่เช้า คืนนี้เขาก็นอนที่ค่าย อยากจะกลับไปนอนกับหญิงคนรักก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬต่างงุนงงสงสัย เหตุใดชินอ๋องไม่ไปงานแต่งงานของตัวเอง แต่กลับมาหมกตัวยังค่ายทหาร ข่าว
บทที่ 17ค่ำคืนร้อนระอุ เซี่ยเหวินหรงเมื่อรู้อาการป่วยของลี่จิ่นเพราะนางเผลอไปกินหัวของดอกสือ ซว่านเข้า ก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นฝีมือของมี่มี่ที่เอาคืนลี่จิ่นเรื่องผงบดหนังคางคก ตอนแรกที่เขารู้เรื่องเข้าก็โกรธเคืองลี่จิ่นเป็นอย่างมากที่กล้าปองร้ายมี่มี่ของเขา เขาได้ลอบสั่งให้คนไปเสาะหาผงบดหนังคางคกเพื่อเอาคืนนาง เวลานี้ก็เหมาะสมแก่เวลาแล้วไป๋ลู่ที่ติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เพียงแค่มองตา เขาก็รู้ได้เลยว่าต้องทำเช่นไร หลังจากนั้นลี่จิ่นที่นอกจากจะมีอาการท้องเสียที่เพิ่งจะดีขึ้น บนใบหน้าและลำตัวของนางมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว ทั้งนางยังท้องเสียและอาเจียนจนลี่จิ่นทนไม่ไหวสลบไปเลยลู่เหอกังถึงกับกุมขมับหรูเหรินทรงกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม แต่กลับมาป่วยเช่นนี้ ในใจเริ่มหวั่นวิตกเข้าแล้ว หรือการที่เขาช่วยกดดันชินอ๋องจนทำให้ลี่จิ่นได้แต่งไปเป็นหรูเหรินนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด นี่เพียงผ่านไปแค่ 3 วัน นางก็โดนเล่นงานเสียแล้วเซี่ยเหวินหรงรู้ว่าลี่จิ่นมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัวจากลู่เหอกัง เขาก็แสดงสีหน้าตกใจ แล้วสั่งความให้องครักษ์ไปเชิญตัวหมอหลวงมาดูอา
บทที่ 18ทะเลสาบมรกต เช้าวันใหม่ที่สดใสของเซี่ยเหวินหรง แต่กลับกลายเป็นเช้าที่ดูหม่นหมองของหยางซูมี่ กว่าศึกเมื่อคืนระหว่างนางกับเขาจะสงบก็เป็นตอนรุ่งสางเสียแล้ว ร่างบางที่มีผ้าห่มคลุมร่างกายไว้ลืมตาขึ้นมา เพราะแสงของพระอาทิตย์ส่องมากระทบกับใบหน้างามความรู้สึกแรกคือเมื่อยขบทั้งตัว เจ็บตรงกึ่งกลางของร่างกาย ปากอิ่มบวมเจ่อ ตั้งแต่ลำคอระหง ลาดไหล่ เนินอกอิ่มล้วนเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำไปทั้งตัว นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยิ่ง อ๋องบ้า ทำนางเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้ว พวกบ่าวไพร่คงจะรู้เรื่องเมื่อคืนทั่วจวนแล้ว เพราะตั้งแต่เซี่ยเหวินหรงเสด็จมาเยือนที่เรือนของหยางซูมี่ เขาก็ไม่ได้ก้าวขาออกไปเลย อาหารมื้อเย็นก็ไม่ได้ทาน ตอนนี้ยังมานอนยิ้มอยู่ข้างๆ นาง งานการไม่ไปทำหรืออย่างไร หยางซูมี่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เซี่ยเหวินหรงเห็นท่าทางของแมวน้อยที่ขู่ฟ่อมาทางเขา ก็ยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อคืนเขารังแกนางมากเกินไปจริงๆ ใครใช้ให้นางช่างน่ารักอ่อนหวานจนเขาอดใจไม่ไหวได้เล่า แต่เพื่อชดเชยไม่ให้มี่มี่ยิ่งขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เขาคงต้องให้รางวัลนางเสียหน่อยแล้ว“ว
บทที่ 19เจียงซูหนี่ ตำหนักหย่งเหิงที่ประทับของไทเฮา เต็มไปด้วยเหล่าคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญจากไทเฮาให้มาร่วมจิบน้ำชาและสนทนากัน แต่ทุกคนต่างรู้ว่าจุดประสงค์ของไทเฮานั้นเพื่อเฟ้นหาหญิงงามให้กับชินอ๋องหลังจากที่พระนางหมายมาดที่จะให้มู่เหลียนฮวาหลานสาวที่ทรงโปรดปรานแต่งเป็นพระชายาเอกนั้นไม่สำเร็จ แต่กลายเป็นหยางซูมี่ที่ได้สมรสพระราชทานในครั้งนั้นแทน คราแรกพระนางจะให้มู่เหลียนฮวาแต่งเป็นพระชายารอง แต่ลี่จิ่นก็กลับได้มาแต่งตัดหน้าไปเสียก่อนดังนั้นหากจะดันทุรังให้มู่เหลียนฮวาแต่งเข้าจวนชินอ๋องอีก ก็คงไม่เหมาะสมเพราะตำแหน่งที่เว้นว่างไว้จะต้องเป็นรองหยางซูมี่และลี่จิ่น ไม่สมควรกับฐานะหลานสาวของไทเฮา พระนางจึงยอมตัดใจจะให้มู่เหลียนฮวาไปร่วมคัดเลือกพระสนมของฮ่องเต้ที่จะจัดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้แทนคุณหนูที่ไทเฮาทรงคัดเลือกมานั้นล้วนเป็นตระกูลที่เข้าฝ่ายพระนางทั้งสิ้น ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เมื่อพระนางลอบสังเกตท่าทางและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงตัดสินใจจะให้คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมโยธา ที่มีนามว่าเจียงซูหนี่ แต่งเข้าไปเป็นชายารองของ
บทที่ 20 สาดโคลน เมื่อพูดคุยธุระ และตระเตรียมแผนการเสร็จสิ้นแล้ว ก็พากันเดินออกมาข้างนอก พบว่าสองคนแม่ลูกกลับไปที่เรือนของตนเองแล้วตั้งแต่ที่หยางซูมี่พูดจาข่มขู่เอาไว้ หยางซูมี่มาที่จวนวันนี้นอกจากจะมาพูดคุยธุระแล้ว นางยังอยากมาพบพี่สะใภ้อีกด้วย เพราะมีเรื่องราวมากมายจนทำให้นางไม่ค่อยได้ออกมาพบกับสหายนัก วันนี้นางยังได้ส่งเทียบเชิญไปให้หม่าฮุ่ยหลิง กับจ้าวเหมยอิงมาที่จวนตระกูลหยางด้วย หยางหมิงขอตัวไปจัดการธุระเรื่องราชการ หยางเฟยเทียนก็ขอตัวไปที่ค่ายทหาร หยางซูมี่จึงเดินไปหาเถาซูเม่ยที่ตอนนี้กลายมาเป็นฮูหยินน้อยแห่งจวนตระกูลหยาง “พี่สะใภ้อยู่หรือไม่” หยางซูมี่เอ่ยถามบ่าวรับใช้หน้าเรือนของหยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ย “ทูลพระชายา ฮูหยินน้อยอยู่ที่ศาลาเหลียนฮวาเพคะ คุณหนูจ้าวและคุณหนูหม่าเดินทางมาถึงแล้วเพคะ” หยางซูมี่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหมุนตัวเปลี่ยนเส้นทางไปที่ศาลาเหลียนฮวาที่ตอนนี้มีสหายของนางอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คนในศาลาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮา ไ
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน