บทที่ 8
พบหน้าไทเฮา เซี่ยเหวินหรงและหยางซูมี่เดินทางมาถึงตำหนักหย่งเหิงของไทเฮา เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบได้ ทั้งสองถวายความเคารพไทเฮาอย่างเต็มพิธีการ ฉีกงกงขันทีข้างกายของไทเฮาเดินถือถาดที่มีถ้วยน้ำชา 2 ใบ ยื่นให้ชินอ๋องกับพระชายา เซี่ยเหวินหรงกำลังยื่นถ้วยน้ำชาให้ไทเฮา แต่หันไปเห็นหยางซูมี่ถือถ้วยน้ำชาด้วยมืออันสั่นเทา อีกทั้งยังมีควันลอยกรุ่นออกมาจากถ้วยน้ำชา เห็นได้ชัดว่าถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่นั้นร้อนมาก เซี่ยเหวินหรงใช้มืออีกข้างหยิบถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่ แล้วจงใจวางลงในถาดที่ฉีกงกงถือไว้อย่างแรง จนทำให้น้ำชาที่ร้อนนั้นกระเด็นไปโดนมือของฉีกงกง จนเผลอปล่อยถาดร่วงตกลงมา น้ำชาร้อนหกรดลวกขาฉีกงกง เซี่ยเหวินหรงเพียงปรายตามองฉีกงกงด้วยรอยยิ้ม บังอาจนักกล้ามาแตะต้องมี่มี่ของเขา “ลูกต้องขอประทานอภัยเสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ น้ำชาในถ้วยของหวางเฟยนั้นร้อนมาก ฉีกงกงคงชราเกินไปจนไม่ทันได้ตรวจดูให้ดีก่อน หวางเฟยของลูกมีความอดทนจึงไม่ทำให้น้ำชาร้อนพลาดไปหกใส่เสด็จแม่มิเช่นนั้นคงอาจจะทำให้ผิวของเสด็จแม่มีรอยแผลเป็นได้” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยตำหนิ และไม่พอใจเป็นอย่างมาก มู่อิงฮวาเห็นเช่นนั้นจึงพยายามไกล่เกลี่ย “ช่วงนี้ฉีกงกงรับใช้แม่หลายอย่าง คงจะทำให้เขาเลอะเลือนไปบ้าง เจ้าอย่าได้ถือสาไปเลย” ไทเฮาไม่สั่งลงโทษในความสะเพร่าของฉีกงกงแต่กลับแก้ตัวให้ หยางซูมี่ได้ฟังก็ยิ่งสงสัยนัก ทั้งแววตา ท่าทางของไทเฮาก็เป็นสิ่งที่นางไม่อาจละเลยได้เลย “หวางเฟยเป็นเช่นไรบ้าง คงแสบร้อนน่าดู ยังไม่รีบไปตามหมอหลวงมาอีก” มู่อิงฮวาตวาดเสียงดุข้ารับใช้ “แผลเพียงเล็กน้อย อย่าได้ลำบากหมอหลวงเลยเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นอะไรมาก” มู่อิงฮวายกยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วลุกขึ้นมาจับมือหยางซูมี่ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยให้นางกำนัลหยิบขวดยาสีเขียวหยกออกมา มู่อิงฮวารับขวดยามาจากนางกำนัล แล้วลงมือทายาให้หยางซูมี่ด้วยตนเอง เพียงไม่นานความแสบร้อนที่มือก็จางหายไปแทนที่ด้วยความชุ่มชื้นเย็นสบาย “ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ” หยางซูมี่เอ่ยขอบคุณ แล้วเดินถอยออกมายืนข้างเซี่ยเหวินหรง มู่เหลียนฮวาเดินเข้ามาในตำหนักหลังจากนางกำนัลเข้ามารายงานมู่อิงฮวา นางยอบกายคารวะผู้เป็นใหญ่ในตำหนัก และชินอ๋องกับพระชายา “หม่อมฉันไม่ทราบว่าชินอ๋องกับพระชายาจะเสด็จมาเข้าเฝ้าไทเฮาด้วย ไม่เช่นนั้นคงจะขอติดตามมาด้วยเพคะ” หยางซูมี่ลอบกลอกตามองบน พึ่งพบกันระหว่างทาง อีกทั้งวันนี้นางกับชินอ๋องต้องมาคารวะน้ำชาไทเฮาอยู่แล้ว มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเสแสร้ง มู่เหลียนฮวานั้นช่างคล้ายคลึงกับน้องรองของนางจริงๆ “มู่เอ๋อร์มาแล้ว ช่างเถอะๆ วันนี้เจ้านำอะไรมาให้ข้าล่ะ” มู่อิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี “หม่อมฉันตุ๋นรังนกมาถวายไทเฮาเพคะ” “เจ้าช่างเป็นเด็กรู้ความ นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว งั้นหรงเอ๋อร์กับหวางเฟยอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนคนแก่หน่อยเถิด” "พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ / เพคะไทเฮา" ทั้งสองตอบรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ มื้ออาหารครั้งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดนักสำหรับหยางซูมี่ ไทเฮาทรงคอยพูดจา และคีบอาหารให้กับเซี่ยเหวินหรงและมู่เหลียนฮวาอย่างสนิทสนม นานๆ ที ถึงจะหันมาพูดคุยกับหยางซูมี่ เซี่ยเหวินหรงก็เพียงตอบรับไทเฮาเป็นครั้งคราว มู่เหลียนฮวาคอยชายตาลอบมองชินอ๋องตลอดเวลา ท่าทางเขินอายประหนึ่งถูกชินอ๋องเกี้ยว กว่าจะจบมื้ออาหารทำเอาหยางซูมี่ลอบถอนหายใจไปหลายครั้ง นางก็พอรู้มาบ้างว่าไทเฮาอยากให้มู่เหลียนฮวาแต่งเข้าจวนชินอ๋อง แต่การที่พระนางทำเช่นนี้ในวันนี้มันออกจะเกินไปหรือไม่ นางพึ่งจะแต่งมาได้แค่วันเดียว ไทเฮาก็ทรงทำเหมือนจะให้ชินอ๋องทรงรับชายาเข้ามาเพิ่มอีกคน กลับมาจากพระราชวัง หยางซูมี่ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน นางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอในวันนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย และไม่เข้าใจ พฤติกรรมของแต่ละคนนั้นช่างขัดแย้งกันไปหมด การที่นางแต่งเข้าจวนชินอ๋องเห็นทีจะไม่ง่ายเสียแล้ว ยิ่งคิดยิ่งทอดถอนใจ นางอยากใช้ชีวิตธรรมดาแสนเรียบง่าย แต่สวรรค์กลับไม่เห็นใจนางบ้างเลย เซี่ยเหวินหรงเข้ามาในห้องหนังสือ ฟังคำรายงานจากไป๋ลู่องครักษ์คนสนิทที่เขาให้ไปสืบความถึง 2 ปี ถึงได้กลับมา จากคำรายงานของไป๋ลู่ ทำให้เขาเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าการตายของเสด็จแม่เว่ยกุ้ยเฟยพระมารดาผู้ให้กำเนิดเขามานั้น ไม่ได้สิ้นพระชนม์เพราะป่วยตาย แต่เป็นเพราะมีคนตั้งใจ แม้ตอนนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของเสด็จแม่ แต่ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร มันจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ไป๋ลู่และไป๋เย่รู้สึกกดดันถึงไอสังหารที่ชินอ๋องปล่อยออกมา ข่าวนี้นับเป็นข่าวที่กระทบจิตใจของชินอ๋องเป็นอย่างมาก “รายงาน ตอนนี้ทางชายแดนเหนือเกิดกบฏ หัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่าเปลี่ยนผู้นำเผ่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นหูเจี๋ยลี่หัวหน้าเผ่าคนใหม่ สายของเรารายงานว่าธิดาเทพประจำเผ่าได้ทำนายว่า หูเจี๋ยลี่จะเป็นผู้นำเผ่าหูเจี๋ยน่าที่ยิ่งใหญ่ ใต้ความชี้นำจากธิดาเทพทำให้หูเจี๋ยลี่เกิดลำพองใจ คิดก่อกบฏ ขึ้นที่ชายแดนเหนือแคว้นเซี่ยของเราพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ทหารและชาวบ้านต่างพากันระส่ำระสายด้วยแม่ทัพที่คอยดูแลชายแดนเหนือสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋เย่เดินออกมารายงานข่าวที่พึ่งทราบจากสายข่าวที่ส่งออกไปประจำยังจุดต่างๆ ทั่วดินแดน “ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่ เจ้าสองคนไปแจ้งข่าวแก่นายกองทั้งสี่ให้เตรียมตัว อีกไม่นานข้าจะนำทัพไปปราบเผ่าหูเจี๋ยน่าเอง” ทั้งสองรับคำ แล้วรีบไปส่งสาส์นบอกข่าวแก่นายกองทั้งสี่แห่งกองทัพพยัคฆ์ทมิฬทันที ณ ท้องพระโรงของแคว้นเซี่ย "หัวหน้าเผ่าคนใหม่ของเผ่าหูเจี๋ยน่าช่างเหิมเกริมนัก เพราะคิดว่ามีธิดาเทพเป็นเทพเซียนมาจุติ จึงได้อาจหาญกล้าท้าทายแคว้นเซี่ย ขอฝ่าบาทโปรดให้กระหม่อมลู่เหอหมิงออกรบเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะยกทัพไปตีเผ่าหูเจี๋ยน่าให้ย่อยยับ" แม่ทัพลู่เหอหมิง อยู่ในวัยกลางคน เป็นบุรุษร่างใหญ่ องอาจห้าวหาญ ใบหน้ามีรอยแผลเป็นที่ข้างแก้มซ้าย ทำให้ดูน่าหวาดกลัวต่อผู้ที่พบเห็น "ท่านแม่ทัพลู่ใจร้อนเกินไปแล้ว กระหม่อมกลับคิดว่าการที่หัวหน้าเผ่าผู้นี้เหิมเกริมเป็นเพราะธิดาเทพ หากเรากำจัดนางได้ย่อมทำให้เผ่าหูเจี๋ยน่าเสียขวัญเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ" เจียงเฉินรองเจ้ากรมการคลังเอ่ยแย้ง หากต้องจัดทัพไปออกรบ เงินในพระคลังจะต้องร่อยหรอเป็นแน่ จะไม่ดีกว่าหรือหากส่งสายลับไปกำจัดสตรีเพียงผู้เดียว "ที่รองเจ้ากรมเจียงพูดมาก็มีเหตุผล แต่ข้าคิดว่าการกำจัดหัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่าก็เป็นเรื่องสำคัญ แม่ทัพของเราต้องสังเวยไปแล้วคนหนึ่งในสนามรบ หากฝ่าบาททรงเพิกเฉยแคว้นอื่นจะกระด้างกระเดื่องเอาได้ กระหม่อมยินดีนำกองทัพพยัคฆ์ทมิฬออกไปปราบปรามเผ่าหูเจี๋ยน่าพ่ะย่ะค่ะ" เซี่ยเหวินหรงออกความเห็น และเสนอตัวออกไปรบ "เจ้าพึ่งจะแต่งพระชายาได้แค่วันเดียวเองนะ จะออกไปรบได้อย่างไร" เซี่ยเฟยหลงเอ่ยแย้งอย่างไม่เห็นด้วย "กระหม่อมเป็นขุนนางของฝ่าบาท ย่อมสามารถสละซึ่งความสุขของตนเองได้พ่ะย่ะค่ะ" เสียงทุ้มเข้มเอ่ยอย่างหนักแน่นมั่นคง เซี่ยเฟยหลงถอนหายใจก่อนจะรับสั่งให้เซี่ยเหวินหรงออกไปรบในอีก 3 วันข้างหน้าคือวันเคลื่อนทัพ จวนชินอ๋อง พ่อบ้านหลินรีบเดินเข้ามาพบพระชายาเพื่อแจ้งข่าวให้ทรงทราบว่าในอีก 3 วันท่านอ๋องจะต้องเดินทางไปรบยังชายแดนเหนือเพื่อปราบปรามเผ่าหูเจี๋ยน่า หยางซูมี่รับฟังคำรายงานแล้วเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเรียกตัวสาวใช้ทั้งหมดมาชุมนุมกันที่หน้าเรือนหลัก จากนั้นสั่งให้ซินซินไปแบ่งหน้าที่ของสาวใช้เพื่อจัดเตรียมเสบียงอาหาร และของใช้จำเป็นให้กับชินอ๋อง แม้พ่อบ้านหลินจะทุกข์ใจที่ชินอ๋องกับพระชายาแต่งงานกันได้เพียงวันเดียว ก็มีเหตุต้องแยกจากกันเสียแล้ว แต่ใจหนึ่งก็อดจะปลื้มใจแทนชินอ๋องไม่ได้ ที่พระชายาทรงเป็นห่วงชินอ๋องยิ่งนักถึงกับลงมากำกับงานกับสาวใช้ด้วยพระองค์เอง ในครัวของจวนชินอ๋อง หยางซูมี่กำลังสั่งให้สาวใช้แล่เนื้อหมูเป็นชิ้นบางๆ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จากนั้นใส่เกลือลงไปและผงวิเศษที่นางนำมาจากที่จวนตระกูลหยาง เมื่อคลุกเคล้าให้ได้ที่แล้ว สั่งให้พักไว้ อีก 1 ชั่วยามจึงค่อยนำไปตากแดด แม้พวกสาวใช้จะงุนงงกับวิธีการเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้หยางซูมี่ยังสั่งให้นำหนังหมูมาหั่นเป็นเส้น เอาใส่ในกระทะเจียวจนเหลืองกรอบ นำมาใส่ครกตำแค่พอแตก ครกที่ใช้นั้นนางเป็นผู้สั่งช่างทำขึ้นมาเป็นพิเศษซึ่งนำมาจากจวนตระกูลหยางด้วย หยางซูมี่หันไปสั่งสาวใช้ 2 คนให้ซอยหอมแดงกับกระเทียม แล้วนำไปเจียวในกระทะให้ออกสีเหลืองทอง พักไว้จนเย็น นำมาคลุกเคล้ากับกากหมูที่ตำเสร็จแล้ว ใส่น้ำตาลทรายกับเกลือ และพริกแห้งคั่ว เสร็จแล้วเก็บไว้ในไห เอาผ้ามาปิดไว้ให้สนิทเพื่อนำไปที่ชายแดนด้วย นอกจากจะมีหมูแดดเดียวกับน้ำพริกกากหมูแล้ว หยางซูมี่ยังสั่งให้เจินเจินกลับไปที่จวนตระกูล หยาง แล้วขนผักดองกับไข่เค็มดองที่ได้ที่แล้วโดยนำมาอย่างละ 100 ไห พ่อครัวจวนชินอ๋องต่างทึ่งกับวิธีการทำอาหารของพระชายาไม่ได้ เมื่อลองนำหมูไปทอดแล้วชิม โดยกินกับข้าวร้อนๆ พร้อมน้ำพริกกากหมู ไข่เค็ม ผักดองนั้น ล้วนมีรสชาติที่แปลกใหม่แต่เลิศรสทั้งสิ้น ทุกคนในจวนชินอ๋องเมื่อได้ลองชิมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ฝีมือการทำอาหารของพระชายานั้นช่างล้ำเลิศนัก ของที่ดูหาง่าย แต่กลับทำให้อร่อยได้ถึงเพียงนี้บทที่ 9กลับบ้านเดิม สามวันหลังแต่งงาน หนึ่งวันก่อนออกเดินทางไปชายแดนเหนือเซี่ยเหวินหรงพาหยางซูมี่มาเยี่ยมบ้านเดิมหลังจากแต่งงานได้สามวัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม ทั้งสองเดินทางมาถึงจวนตระกูลหยางตั้งแต่ยามเฉิน ทุกคนในจวนตระกูลหยางต่างออกมารอต้อนรับชินอ๋องกับพระชายาหยางหมิงยืนอยู่ด้านหน้า ถัดมาเป็นหยางเฟยเทียน เสิ่นอี๋นั่ว หยางฟางหรง หยางเจียลี่ และบรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหมด เมื่อทั้งสองลงมาจากรถม้า ทุกคนต่างยอบกายถวายความเคารพตามบรรดาศักดิ์ฐานะหยางซูมี่รีบเข้าไปประคองท่านพ่อและพี่ชายให้รีบลุกขึ้น นางไม่ชินกับการที่ทุกคนต้องมาถวายความเคารพเช่นนี้เลยแม้จะทำตามตำแหน่งฐานะพระชายาชินอ๋องก็ตาม“เชิญเสด็จเข้าไปด้านในดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”หยางหมิงเสนอให้ทั้งสองเข้าไปด้านในจะดีกว่า เพราะในเวลานี้ที่ด้านนอกจวนล้วนมีชาวบ้านที่มามุงดูกันหลายคนนัก เซี่ยเหวินหรงตรงเข้าไปจูงมือหยางซูมี่เดินเข้าไปในเรือนหลักคล้อยหลังทั้งสองคนเดินจากไป มีสายตาริษยาที่มองมาด้วยความร้อนรุ่ม ย
บทที่ 10ธิดาเทพลี่จิน วันออกเดินทางของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ แม่ทัพใหญ่ผู้นำทัพในครั้งนี้คือชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง ฉายาอ๋องทมิฬ ตัวตนในเมืองหลวงของเขานั้นเปรียบดั่งคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อเขาสวมเกราะสีดำเงาวาว ขี่อาชาโลหิตสีนิลนั้น รูปลักษณ์ช่างดูน่าเกรงขาม ประกอบกับหน้ากากสีดำปีกนกอินทรีสยายปีก ปิดเพียงครึ่งหน้าบนเผยให้เห็นปากหยักหนาที่ออกคำสั่งเคลื่อนทัพหยางซูมี่มองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ ห่างไกลไปจากสายตา นางนึกถึงร่างสูงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ที่เข้ามาออดอ้อนให้นางสวมชุดเกราะให้ ก่อนจะลาจากกัน ยังมารังแกกันอีก ริมฝีปากหยักหนาที่ฉกมาขโมยจูบหอมหวานจากนางราวกับจะกลืนกินดวงวิญญาณของนางให้ออกจากร่างไป รสสัมผัสจากคราแรกอ่อนโยนดั่งปีกผีเสื้อกลับร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเมื่อเห็นว่านางหายใจไม่ออก เขาถึงได้ผละออกมา แล้ววนกลับมาจูบอีกครั้งจนปากของนางบวมเจ่อ แดงก่ำไปหมดแล้ว ฮือออ ท่านอ๋องบ้า“พี่จะรีบไปรีบกลับ หลังจากเสร็จศึกนี้ พี่จะมารับรางวัลจากเจ้านะมี่มี่” เซี่ยเหวินหรงยิ้มกริ่ม ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้หยางซูมี่ นางถึงกับวางหน
บทที่ 11โทสะของพระชายาชินอ๋อง จวนชินอ๋อง พ่อบ้านหลินคือคนที่ท่านอ๋องไว้ใจให้มาดูแลจวนชินอ๋อง แม้จะอายุ 50 ปี แต่ยังดูคล่องแคล่ว แข็งแรง สมกับเป็นคนที่เซี่ยเหวินหรงไว้ใจ แต่วันนี้เขากลับอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสีย ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากชินอ๋องทรงทราบ คงได้มีใครตายเป็นแน่หลังจากวันนั้นที่พระชายาไปเยี่ยมบ้านเดิม แล้วมีสาวใช้ลอบออกจากจวนไป ไป๋เยียนองครักษ์ ไป๋หู่ได้ลอบติดตามไปด้วย หลังจากนั้นจึงลอบสืบความจนทราบว่าพระชายาคือ หิมะสีชาด เจ้าของนามปากกาที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ เพราะหิมะสีชาดได้แต่งนิยายประโลมโลกที่มีฉากร่วมรักเร่าร้อนดุเดือดเผ็ดมัน หนังสือที่ออกมาต่างมีราคาแพงถึงเล่มละ 10 เหรียญทองแม้แต่พระสนมในวังยังลอบให้คนออกมาซื้อ ตัวเขาที่เป็นพ่อบ้านยังแอบซื้อมาอ่านเลย ทั้งยังเคยวิจารณ์ว่าหิมะสีชาด ช่างเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมนัก แต่งหนังสือออกมาได้สนุกและตื่นเต้นเร้าใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องก็มีความหลากหลาย เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหิมะสีชาดจะคือพระชายาหยางซูมี่ หากชินอ๋องทรงทราบต้องกริ้วมากเป็นแน่ แล้วถ้าหากม
บทที่ 12ชำระหนี้แค้น จวนตระกูลเถา หลังจากลงจากรถม้า เถาซูเม่ยรีบตรงกลับไปที่เรือนนอนของนางทันที ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด สั่งให้สาวใช้ข้างกายออกไปเฝ้าหน้าห้อง ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด เมื่อในห้องปลอดคนแล้วเถาซูเม่ยจึงบรรจงหยิบกล่องไม้ออกมาค่อยๆ เปิดออกดู ภายในกล่องไม้บรรจุกำไลหยกสีเขียวกระจ่างใส 1 วง เมื่อลองเพ่งพิศจะเห็นว่าด้านในของกำไลหยกมีอักษรแกะสลักไว้อ่านว่า ‘เฟยเทียน’ นอกจากจะมีกำไลหยกยังมีกระดาษแนบมาด้วยหนึ่งแผ่น เถาซูเม่ยคลี่กระดาษเปิดอ่านดู"เพียงแรกพบสบตา ใจของข้าก็สั่นไหว เสียงสกุณณาในพงไพร ไม่อาจเทียบเสียงหัวเราะของเจ้าเลยกำไลหยกวงนี้คือตัวแทนแห่งข้า"หยางเฟยเทียนเมื่ออ่านจบในใจของเถาซูเม่ยให้รู้สึกอุ่นวาบในอก ใจของนางก็เฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้นี้มานานแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งบุรุษที่นางหลงรักจะใจตรงกับนางเช่นกันเถาซูเม่ยนั้นได้เพียงแค่แอบมองคุณชายหยางเฟยเทียนเพียงไกลๆ ไม่เคยอาจหาญไปบอกความในใจให้เขารู้ มีเพียงเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับเขาที่เหลาอาหาร ระหว่างกำล
บทที่ 13พระชายารอง เมื่อหัวหน้าเผ่าสิ้นใจไป ทำให้ภายในเผ่าหูเจี๋ยน่าระส่ำระสาย มารดาของหูเจี๋ยลี่แต่งตั้งบุตรชายบุญธรรมของนางที่อายุเพียง 12 หนาวขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่า แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วันกลับถูกกองทัพของชินอ๋องยกทัพมาตีจนแตกพ่าย ความหวังที่จะเสวยสุขกับชู้รักและบุตรชายที่เกิดกับชู้รักเป็นอันต้องจบสิ้นลงเซี่ยเหวินหรงตัดสินให้ประหารครอบครัวของหัวหน้าเผ่าหูเจี๋ยน่า จัดตั้งรองแม่ทัพลู่เหอกังขึ้นมาดูแลจัดการเป็นการชั่วคราวแทน หากใครสวามิภักดิ์เขาจะละเว้นชีวิต ส่วนคนที่ไม่ยอมจำนนจะต้องถูกสังหารทั้งหมด ส่วนธิดาเทพลี่จิ่นนั้นถูกคุมตัวอยู่ภายในวิหารเทพ วิหารเทพ เซี่ยเหวินหรงเดินทางไปที่วิหารเทพพร้อมกับไป๋ลู่ และไป๋เย่ เขาเดินหยุดไปยืนตรงหน้าของลี่จิ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นธิดาเทพ นางหันมายกยิ้มแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซี่ยเหวินหรง"ข้าได้แก้แค้นแทนท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ข้าขอมอบให้ชินอ๋อง"ลี่จิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอ่อนหวาน เดิมทีนางลอบติดต่อกับเซี่ยเหว
บทที่ 14กลับเมืองหลวง พ่อบ้านหลินเมื่อทราบข่าวจากจดหมายที่ชินอ๋องส่งมาถึงเขา ว่าชินอ๋องจะทรงรับพระชายารองเข้ามาก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก จะบอกกล่าวพระชายาหยางซูมี่ก็ไม่กล้า จะไม่บอกก็ไม่ได้ เพราะชินอ๋องทรงส่งจดหมายฝากมาให้พระชายาด้วย ทั้งยังย้ำมาในจดหมายที่เขียนถึงเขาว่า อย่าได้สนใจกับข่าวลือ ให้พระชายาเชื่อมั่นในท่านอ๋องตัวเขานั้นก็เริ่มแก่จนผมสีขาวขึ้นแซมผมสีดำแล้ว ยังต้องมาวุ่นวายเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวอีก เขาได้แต่ถอดถอนใจ อยากจะรู้นักว่าทำไมท่านอ๋องถึงกล้ารับพระชายารองเข้ามา รู้ทั้งรู้ว่าพระชายานั้นทรงชิงชังบุรุษหลายใจ และรังเกียจการใช้สามีร่วมกับสตรีอื่นสิ่งที่พ่อบ้านหลินกังวลไม่ผิดจากที่สองสาวใช้คนสนิทของหยางซูมี่ที่กำลังกังวลอยู่ตอนนี้เลย หลังจากที่หยางซูมี่ทราบข่าวเรื่องการรับพระชายารอง นางก็เปลี่ยนไป จากปกติที่มักจะใช้เวลาว่างแต่งหนังสือ นางกลับไปนั่งที่ศาลาจวี๋ฮวา นั่งทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล เหมือนกำลังมองทะลุให้เห็นไปถึงยังชายแดนเหนือ อยากจะถามพระสวามีว่าเหตุใดถึงต้องรับชายารองเข้ามา ทำไมไม่บอกนางก่
บทที่ 15ไม่อาจยอมรับ เมื่อกลับมาถึงจวน เซี่ยเหวินหรงก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แม้ว่าหยางซูมี่และบ่าวรับใช้จะมารอต้อนรับเขา แต่ทำไมบรรยากาศช่างดูห่างไกลจากความยินดีนักเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่กล่าวโทษเขามาจากทางพวกบ่าวรับใช้ แม้จะก้มหน้ามองต่ำ แต่ทุกคนต่างก็ลอบส่งสายตาผิดหวังมาให้เขา แม้แต่พ่อบ้านหลินก็เป็นไปกับเขาด้วย แต่คนที่ควรจะต้องผิดหวัง เสียใจกลับเพียงหันมาสบตา แล้วยกยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้เขา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสายตาของมี่มี่ดูแข็งกร้าวยิ่งนัก"ยินดีต้อนรับกลับมาเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ"ทุกคนส่งเสียงกล่าวคำยินดีพร้อมกัน เซี่ยเหวินหรงพยักหน้าแล้วหันไปทางหยางซูมี่"ลำบากเจ้าแล้วมี่เอ๋อร์ เราเข้าไปข้างในกันเถิด"เซี่ยเหวินหรงกำลังจะเข้าไปประคองหยางซูมี่ แต่นางกลับขยับตัวหนี พลางหันไปสั่งความกับสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหารและน้ำอาบให้ชินอ๋อง มือหนาชะงักกลางอากาศคว้าเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เขากระแอมไอแก้เก้อออกมา หันไปทางไป๋เยียนองครักษ์ที่ให้คอยดูแลหยางซูมี่อย่างสงสัยกับท่าทางของนาง แต่เขาได้รับเพียงสีหน้ากระอักกระอ่วนขอ
บทที่ 16เอาคืน ลี่จิ่นนั่งรออยู่บนเตียงในเรือนเหมยฮวาจนถึงยามจื่อ จนจะล่วงเข้าไปเช้าวันใหม่ของอีกวันแล้ว นางก็ไม่เห็นเงาของชินอ๋องเลย ใบหน้างามจากที่มีรอยยิ้มหวานประดับตลอดเวลา กลับเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นิ้วเรียวกำเข้าหากันอย่างคับแค้นใจชินอ๋องช่างโหดร้ายกับนางยิ่งนัก แม้ในคืนวันแต่งงานเขาก็ไม่มาเข้าหอกับนาง การกราบไหว้ฟ้าดินก็ไม่มี ดื่มสุรามงคลเขาก็ไม่ทำสักอย่าง เหมือนการที่นางแต่งเข้ามาเป็นเพียงแค่การแต่งงานในนามเท่านั้น ไฟในใจของลี่จิ่นยิ่งโหมกระพือไปด้วยเพลิงโทสะ ยิ่งเขาทำเช่นนี้นางยิ่งอยากเอาชนะ ส่วนสตรีที่เขารักมั่นจะต้องชดใช้ให้กับนางคนของจวนชินอ๋องไม่มีใครนึกยินดีในการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาต่างเมินเฉยทำราวกับการแต่งพระชายารองเข้ามา เป็นเพียงการรับสตรีคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจวนชินอ๋องเท่านั้นเองเซี่ยเหวินหรงออกไปที่ค่ายทหารตั้งแต่เช้า คืนนี้เขาก็นอนที่ค่าย อยากจะกลับไปนอนกับหญิงคนรักก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทหารของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬต่างงุนงงสงสัย เหตุใดชินอ๋องไม่ไปงานแต่งงานของตัวเอง แต่กลับมาหมกตัวยังค่ายทหาร ข่าว
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน