บทที่ 4
คำสัญญา
เมื่องานเลี้ยงเลิกราทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับจวน เหตุการณ์ในวันนี้นั้นทำให้ภายในรถม้าตระกูลหยางที่กำลังเดินทางกลับรู้สึกกังวลและอึดอัดใจ หยางหมิงนั้นรักฮูหยินเอกจ้าวอ้ายฉิงมาก แม้ว่านางจะจากไปได้หลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะยกใครขึ้นมาแทนที่จ้าวอ้ายฉิงเลย บุตรชายหญิงที่เกิดจากจ้าวอ้ายฉิงเขาก็รักมากกว่าบุตรธิดาที่เกิดจากเสิ่นอี๋นั่วผู้เป็นภรรยารองของเขาเสียอีก
สิ่งใดที่บอกว่าดีเขาล้วนสรรหามามอบให้หยางเฟยเทียนกับหยางซูมี่ก่อนเสมอ แต่นี่ฮ่องเต้กลับทรงมอบสมรสพระราชทานให้หยางซูมี่แต่งเข้าจวนชินอ๋อง ตัวเขาในฐานะที่เป็นขุนนางผู้เป็นข้ารองบาทจะกล้าเอ่ยปากปฏิเสธได้อย่างไรกัน แค่คิดว่าบุตรสาวของเขาจะต้องออกเรือนไป ใจของเขาก็พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
“ท่านพ่ออย่าเพิ่งคิดมากเลยขอรับ การสมรสในครั้งนี้ของมี่เอ๋อร์อาจจะผลดีกับตัวนางก็เป็นได้”
หยางเฟยเทียนเอ่ยปลอบผู้เป็นบิดา แม้เขาจะรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้เหมือนกับฮ่องเต้ทรงกำลังบีบคั้นตระกูลหยางก็ตามที แต่ว่าที่น้องเขยผู้เป็นถึงชินอ๋องนั้นเป็นคนที่อุปนิสัยใช้ได้เลยทีเดียว แม้ใบหน้าจะเงียบขรึมเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ถือว่าพอจะวางใจฝากชีวิตน้องสาวของเขาให้ชินอ๋องดูแลได้
“อาจจะจริงตามที่เจ้าว่า พ่อคิดว่านับตั้งแต่ที่มี่เอ๋อร์โดนปฏิเสธงานหมั้นในครั้งนั้น จนทำให้มี่เอ๋อร์คิดสั้นกระโดดน้ำหวังปลิดชีพตนเองแต่รอดกลับมาได้ หลังจากมี่เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมา นางก็ดูโตขึ้นจนพ่อใจหาย คิดไม่ถึงว่าผ่านมาเพียงแค่สามปี มี่เอ๋อร์จะต้องออกเรือนเสียแล้ว”
หยางหมิงเอ่ยพลางถอนหายใจ เขานั้นยังรู้สึกว่าบุตรสาวของเขายังเด็กเกินไป ยังไม่อยากจะรีบร้อนให้นางออกเรือนเลย
“ท่านพ่อโปรดวางใจขอรับ มี่เอ๋อร์นั้นมีจวนตระกูลหยางและตระกูลจ้าวคอยหนุนหลัง หากมี่เอ๋อร์โดนรังแก ข้าผู้เป็นพี่ชายจะทวงคืนความยุติธรรมให้เอง”
ภายในรถม้าอีกคันกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงบ หยางซูมี่นั่งหลับตาพร้อมกับนึกไว้อาลัยในชะตาชีวิตของตนเอง เดิมทีนั้นเธอคือไผ่หลิว สาวลูกครึ่งไทยจีนอาศัยอยู่กับคุณตาที่ประเทศไทยตั้งแต่สามขวบ หลังจากที่พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินขณะที่กำลังเดินทางมาประเทศจีน เธออยู่กับคุณตามาตั้งแต่เด็กจนอายุได้ 18 ปี คุณตาก็มาเสียไปอีกคนชีวิตของเธอจึงเคว้งคว้างเป็นอย่างมาก ยังดีที่เธอมีเพื่อนรักอย่างบัวชมพูที่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเธอเสมอมา
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีคณะจิตวิทยา เธอก็ได้ทำงานที่เป็นนักจิตวิทยากับโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงแค่ 25 ปี กลับต้องมาถูกรถชนตายฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ในร่างของหยางซูมี่ ที่น่าแปลกคือเธอกับหยางซูมี่มีใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน เธอจึงสันนิษฐานว่าเธอกับหยางซูมี่อาจจะเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแค่อยู่คนละยุคเท่านั้น แต่กว่าที่เธอจะปรับตัวได้ และอาศัยอยู่ในร่างนี้ประหนึ่งว่าเธอนั้นคือ หยางซูมี่จริงๆนั้นก็ใช้เวลานานพอสมควร
เธอคิดเสมอว่าที่เธอได้มาอยู่ในร่างของหยางซูมี่นั้น คงจะเป็นเพราะสวรรค์เมตตาให้เธอได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง เธอเองก็จะขอใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าที่สุด แต่ก็มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงคือเธอกลับต้องมาโดนคลุมถุงชนให้แต่งงาน นี่สวรรค์กำลังเล่นตลกกับชีวิตของเธอมากเกินไปหรือไม่
“พี่หญิงใหญ่ช่างวาสนาดียิ่งนักนะเจ้าคะ ตัวข้านั้นจะมีวาสนาดั่งเช่นพี่หญิงใหญ่บ้างหรือไม่กันนะ”
หยางเจียลี่เอ่ยทำลายความเงียบ นัยน์ตาทอประกายความอิจฉาออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“หากน้องรองอยากวาสนาดีเช่นข้าก็จงทำตัวให้สมกับที่เป็นบุตรีของท่านพ่อ แล้วก็เก็บปากสงบคำ และแววตาริษยาของเจ้าด้วย”
หยางซูมี่เอ่ยอย่างไม่รักษาน้ำใจหยางเจียลี่อีกต่อไป น้องรองต่างแม่ผู้นี้นางไม่อยากจะมานั่งปั้นหน้าพูดดีด้วยอีกต่อไปแล้ว
“เจ้า!!”
หยางเจียลี่ถลึงตาโตมองหยางซูมี่ด้วยความไม่พอใจแต่มิอาจจะทำอะไรนางได้
เมื่อรถม้าจอดสนิทเจินเจินก็เข้ามาประคองหยางซูมี่ให้เดินลงมาจากรถม้า ทั้งสองตรงกลับไปที่เรือนไผ่หลิวทันที หยางซูมี่นั้นอยากจะรีบอาบน้ำแล้วเข้านอนแล้ว งานเลี้ยงในพระราชวังกินพลังงานชีวิตของนางเสียจริงๆ
“ซินซินเจ้ารีบไปเตรียมน้ำให้คุณหนู ข้าจะไปช่วยคุณหนูเปลี่ยนชุด”
“ทำไมวันนี้คุณหนูดูอารมณ์ไม่ดีเลยเล่า”
ซินซินเป็นคนช่างสังเกต นางเห็นว่าคุณหนูนั้นหลังจากกลับมาคิ้วเรียวกลับขมวดกันเป็นปม นัยน์ตาก็ทอประกายเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น ไม่รู้ว่าภายในงานเลี้ยงเกิดเรื่องใดขึ้นหรือไม่ เพราะวันนี้นางไม่ได้ติดตามไปด้วย เจินเจินได้แต่ขบกัดริมฝีปากของตนเองอย่างเคร่งเครียดก่อนจะกระซิบบอกความแก่ซินซิน
เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วหยางซูมี่อยู่ในชุดนอนสีขาวโปร่งบาง นางปีนขึ้นไปบนเตียงนอนนุ่มเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แล้วไล่สาวใช้ทั้งสองให้ออกไปนอนยังห้องด้านข้างแทน นางไม่ชมชอบให้มีคนมานอนเฝ้าด้วยคุ้นชินกับการนอนคนเดียวมากกว่าเหมือนตอนที่ยังเป็นไผ่หลิว
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงในห้องของโฉมงามมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่สาดแสงเข้ามา พอเห็นเป็นเงารางเลือนเท่านั้น จู่ๆก็มีผู้บุกรุกแอบปีนเข้ามาทางหน้าต่างห้อง เจ้าของเงาดำก้าวย่างด้วยฝีเท้าแผ่วเบาขยับเข้าไปนั่งบนโต๊ะข้างเตียง เฝ้ามองหยางซูมี่ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขอยู่บนเตียง
ผู้บุกรุกนั้นแท้จริงก็คือเซี่ยเหวินหรง คืนนี้ที่เขาลอบเข้ามาเพราะอยากจะมาพบหน้ากับว่าที่พระชายาของเขาเสียก่อน ไม่คิดว่านางจะนอนเร็วถึงเพียงนี้ ขณะที่กำลังจะแอบออกไปนั้น เสียงหวานได้เอ่ยเรียกไว้
“เหตุใดชินอ๋องต้องแอบปีนหน้าต่างลอบเข้ามาในห้องนอนของหม่อมฉันด้วยเพคะ กระทำตัวดั่งเช่นโจรเด็ดบุปผา”
หยางซูมี่ลืมตาขึ้นมามองผู้ที่บุกรุกห้องนอนของนาง จากนั้นลุกขึ้นนั่งทั้งยังไม่ลืมเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้
"เสียมารยาทต่อคุณหนูหยางแล้ว เปิ่นหวางเพียงอยากมาสนทนากับเจ้าเพียงเท่านั้น"
หึ สนทนาอันใดในยามมืดค่ำ ทั้งยังแอบเข้ามาในห้องสตรี บุรุษหน้าไม่อาย หยางซูมี่ลอบก่นด่าภายในใจ
"ชินอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือเพคะ ถึงขนาดที่ชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงทรงรอให้เช้าก่อนไม่ได้ แล้วค่อยเดินเข้ามาทางประตูหน้าจวนไม่ได้เลยหรือเพคะ"
ฝีปากของคุณหนูใหญ่ไม่อาจดูแคลนได้เลย ใครบอกกันว่าคุณหนูหยางซูมี่มีดีเพียงรูปโฉม สติปัญญาขลาดเขลา ศาสตร์ทั้งสี่ไม่อาจสู้ คุณหนูหม่า และคุณหนูจ้าวโฉมสะคราญอันดับหนึ่งและสองได้เลยกัน แค่ประโยคเดียวก็ตอกกลับชินอ๋องอย่างเขาให้แสบๆ คันๆ
"เปิ่นหวางมีคำถามหนึ่งข้อ หายเจ้าตอบเสร็จ เปิ่นหวางก็จะจากไปทันที เจ้าเต็มใจที่จะแต่งเป็นหวางเฟยของเปิ่นหวางหรือไม่"
ดวงตาคู่คมสบกับนัยน์ตากลมโตอย่างรอคอยคำตอบ
"บัญชาจากฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อาจปฏิเสธได้เพคะ"
คำตอบจากโฉมงามทำให้คิ้วคมขมวดกัน บรรยากาศแฝงความอึดอัดเล็กน้อย
"เจ้าจงตอบอย่างใจคิด คำตอบของเจ้าเปิ่นหวางขอให้สัตย์ว่าจะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เปิ่นหวางเพียงแค่อยากรู้ความคิดของเจ้า"
โฉมงามถอนหายใจอย่างผ่อนคลายเล็กน้อย หากเขาอยากได้คำตอบจริงๆ นางก็จะตอบให้ แล้วอย่ามาโกรธทีหลังแล้วกัน
"หากตอบด้วยเหตุผล การแต่งงานนับเป็นวาสนาของหม่อมฉันและตระกูลหยาง การเกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่วงศ์ตระกูล แต่ถ้าถามใจของหม่อมฉัน หม่อมฉันขอตอบว่าไม่ต้องการแต่งงานเพคะ ไม่ว่าบุรุษใดในใต้หล้า หม่อมฉันก็ไม่อยากแต่งทั้งนั้น"
จบคำยิ่งทำให้บรรยากาศคล้ายกับเย็นยะเยือกขึ้นมากกว่าเดิม
"เพราะเหตุใด เจ้าไม่ชอบบุรุษหรือ"
ร่างสูงเอ่ยถามอย่างสงสัย หรือนางจะชมชอบสตรีด้วยกันเอง
"เซี่ยเหวินหรง!! "
หยางซูมี่ตกใจจนเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวอาญา
"ข้าหยางซูมี่ เป็นบุตรีของท่านเสนาบดีหยางหมิงกับจ้าวอ้ายฉิง ไม่ได้มีความคิดดั่งเช่นท่านว่า ข้าเพียงไม่ปรารถนาจะใช้สามีร่วมกับหญิงใด หากต้องใช้สามีร่วมกัน ข้าขออยู่เป็นสาวเทื้อเสียยังจะดีกว่า"
ด้วยอารมณ์โกรธทำให้หยางซูมี่เผลอใช้คำสามัญกับชินอ๋อง นางโกรธที่เขาคิดว่านางเป็นสตรีที่ชอบสตรีด้วยกันเอง ถึงแม้ยุคที่นางจากมาจะเปิดเสรีเรื่องความรักไม่แบ่งแยกเพศ แต่สำหรับยุคนี้แล้วไม่ใช่
เซี่ยเหวินหรงยืนอึ้ง จากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เหมือนคำพูดของนางเป็นเรื่องตลก ในแผ่นดินนี้บุรุษที่มีภรรยาเพียงหนึ่งคนเห็นจะมีแต่ชาวบ้านที่ยากจน ด้วยธรรมเนียมการที่บุรุษมีภรรยาหลายคน และมีลูกหลานมาก ย่อมแสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวย และความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล การที่นางกล่าวเช่นนี้ช่างผิดธรรมเนียมยิ่งนัก
"ขำอันใดกันเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าที่หม่อมฉันพูดออกไปนั้นอาจจะผิดธรรมเนียม แต่ที่หม่อมฉันพูดเช่นนี้ เพราะการที่ในจวนนั้นมีภรรยา และบุตรธิดาหลายคนนั้น ล้วนทำให้ก่อปัญหาทั้งสิ้น ทั้งการอิจฉาริษยา การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เลวร้ายสุดคือการลอบสังหารกัน เรื่องนี้พระองค์น่าจะเข้าใจดีนะเพคะ"
หยางซูมี่อธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตากลมโตสบกับตาคมของอีกฝ่ายอย่างไม่ถอย
"เป็นเปิ่นหวางที่เข้าใจเจ้าผิดไป เจ้าสบายใจได้ในจวนของเปิ่นหวาง จะมีเจ้าเป็นนายหญิงแต่เพียงผู้เดียว"
เซี่ยเหวินหรงให้สัตย์กับหยางซูมี่อย่างจริงจัง
คำพูดของเขาเปรียบดั่งหินผา หยางซูมี่มองคนพูดพลันรู้สึกใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าว นางไม่คิดว่าบุรุษผู้นี้จะพูดเช่นนี้ออกมา ใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้ เขาเป็นถึงชินอ๋องการจะแต่งพระชายารอง และอนุเข้ามานั้นง่ายมาก แต่การไม่แต่งใครเข้ามา เขาจะทำได้จริงหรือ การแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นการแต่งงานการเมืองทั้งสิ้น
"หม่อมฉันจะจดจำเอาไว้เพคะ"
หยางซูมี่พูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมมิดทั้งตัว เซี่ยเหวินหรงเพียงยกยิ้ม แล้วทะยานตัวออกไปจากห้องทันที
บทที่ 5งานมงคลนับจากพบหน้ากันครั้งนั้น หยางซูมี่ก็ไม่ได้พบเซี่ยเหวินหรงอีกเลย นางเพียงใช้ชีวิตไปอย่างปกติที่เพิ่มขึ้นมาคงจะมีเพียงการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเท่านั้นฮ่องเต้ทรงส่งหมัวมามาให้มาอบรมมารยาท และแจ้งลำดับขั้นตอนพิธีการแก่นาง ส่วนเรื่องพิธีการต่างๆ นั้น จะมีขันทีจากในวังมากำกับดูแลอีกที เรื่องสินสอด สินเจ้าสาวนั้นท่านพ่อให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการแทนฮูหยินรองทั้งหมด โดยทุกเรื่องจะต้องแจ้งให้หยางหมิงทราบก่อน นี่คงเป็นโชคดีของร่างนี้ที่มีท่านพ่อและพี่ชายที่รักใคร่อย่างใจจริงจวนชินอ๋อง ไป๋เย่องครักษ์คนสนิทของเซี่ยเหวินหรงเดินถือม้วนกระดาษเข้ามาในห้องหนังสือ โดยไม่รอให้เจ้าของห้องรอนาน เขารีบยื่นม้วนกระดาษให้ทันที แล้วเดินถอยหลังเพื่อรอคอยคำสั่งต่อไป เซี่ยเหวินหรงนั่งอ่านอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้าออกมาจากม้วนกระดาษ ในใจให้ขบคิดสงสัยถึงสิ่งที่เขียนอยู่ในนี้"ไป๋เย่ บุรุษที่ถอนหมั้นหวางเฟยของข้า มันมาจากตระกูลใด" เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามปลายเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"คุณชายใหญ่เสิ่นอวี้เหยาขอรับ""ตระกูลของฮูหยินรองหรือ" คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ"ขอรับ คุณชายใหญ่เสิ่นอวี้เหยาเป็นบุตรชายข
บทที่ 6คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง หยางหมิงประคองหยางซูมี่ให้ขึ้นขี่หลังหยางเฟยเทียนด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว หยางเฟยเทียนจึงลุกขึ้นเต็มความสูงของตนเอง แล้วเดินแบกหยางซูมี่เพื่อขึ้นไปนั่งที่เกี้ยว เซี่ยเหวินหรงลงมาจากหลังม้าเข้ามาเพื่อช่วยประคองหยางซูมี่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เมื่อเจ้าสาวเข้าไปนั่งในเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว ขบวนเจ้าสาวก็ออกเดินทางเพื่อไปยังจวนชินอ๋องเซี่ยเหวินหรงขี่ม้านำขบวน ตามด้วยเกี้ยวเจ้าสาวที่มี 8 คนหาม นอกจากนี้ยังมีทหารจากกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ 1,000 นายคอยอารักขาขบวนเจ้าสาว สินสอดที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาวนั้นมีมากถึง 50 หีบท่านเสนาบดีหยางมอบให้หยางซูมี่ทั้งหมด รวมกับสินเดิมที่ท่านเสนาบดีหยางหมิงจัดเตรียมมาให้ด้วยนั้น อีก 50 หีบ รวมกันมากถึง 100 หีบ สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ที่พบเห็น ตระกูลหยางนั้นให้ความสำคัญกับบุตรีผู้นี้จริงๆสองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยฝูงชนที่มารอดูขบวนเจ้าสาว กว่าที่จะเดินทางมาถึงจวนชินอ๋องต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามเมื่อถึงหน้าจวนชินอ๋อง เซี่ยเหวินหรงกระโดดลงมาจากหลังม้า
บทที่ 7มู่เหลียนฮวา "อื้อ หนักจัง ต้าปิงเจ้าแมวอ้วนลุกออกไปจากท้องเลยนะ"หยางซูมี่พึมพำอย่างงัวเงีย คิ้วเรียวขมวดเพราะความอึดอัดที่ช่วงท้อง รู้สึกเหมือนมีอะไรทับ คิดว่าเป็นต้าปิงแมวอ้วนแสนรัก เอ๊ะ! แต่ต้าปิงไม่ได้ย้อนกลับมานี่น่าแล้วนางก็คือหยางซูมี่ไม่ใช่ไผ่หลิว แล้วอะไรทับท้องนัยน์ตากลมโตค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แม้จะยังง่วงงุนอยู่มากแต่สิ่งที่เห็นก็คือแขนผู้ชายที่มาทับท้อง เมื่อเลื่อนสายตาไปพบหน้าอกแกร่ง ไล่ลงไปเป็นคอ ถัดไปเป็นปลายคาง ปากหยักหนา จมูกโด่งเป็นสัน และสายตาคมที่กำลังมองลงมา"ชินอ๋อง!"หยางซูมี่อุทานด้วยความตกใจจึงรีบลุกขึ้นนั่ง แต่ติดที่แขนแกร่งไม่ยอมปล่อยเอวคอดของนาง"เรียกท่านพี่"เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงเข้มเล็กน้อยที่ร่างบางเรียกยังเขาว่าชินอ๋อง"มี่มี่ลุกไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะต้องเข้าวังไปพบเสด็จพี่กับเสด็จแม่"เซี่ยเหวินหรงลุกขึ้นไปเรียกสาวใช้หน้าห้องให้มาปรนนิบัติ แล้วเดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่ออาบน้ำหยางซูมี่ได้แต่มองตามเซี่ยเหวินหรงที่เดินหายเข้าไปหลังฉ
บทที่ 8พบหน้าไทเฮา เซี่ยเหวินหรงและหยางซูมี่เดินทางมาถึงตำหนักหย่งเหิงของไทเฮา เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบได้ ทั้งสองถวายความเคารพไทเฮาอย่างเต็มพิธีการ ฉีกงกงขันทีข้างกายของไทเฮาเดินถือถาดที่มีถ้วยน้ำชา 2 ใบ ยื่นให้ชินอ๋องกับพระชายาเซี่ยเหวินหรงกำลังยื่นถ้วยน้ำชาให้ไทเฮา แต่หันไปเห็นหยางซูมี่ถือถ้วยน้ำชาด้วยมืออันสั่นเทา อีกทั้งยังมีควันลอยกรุ่นออกมาจากถ้วยน้ำชา เห็นได้ชัดว่าถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่นั้นร้อนมากเซี่ยเหวินหรงใช้มืออีกข้างหยิบถ้วยน้ำชาของหยางซูมี่ แล้วจงใจวางลงในถาดที่ฉีกงกงถือไว้อย่างแรง จนทำให้น้ำชาที่ร้อนนั้นกระเด็นไปโดนมือของฉีกงกง จนเผลอปล่อยถาดร่วงตกลงมา น้ำชาร้อนหกรดลวกขาฉีกงกงเซี่ยเหวินหรงเพียงปรายตามองฉีกงกงด้วยรอยยิ้ม บังอาจนักกล้ามาแตะต้องมี่มี่ของเขา“ลูกต้องขอประทานอภัยเสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ น้ำชาในถ้วยของหวางเฟยนั้นร้อนมาก ฉีกงกงคงชราเกินไปจนไม่ทันได้ตรวจดูให้ดีก่อน หวางเฟยของลูกมีความอดทนจึงไม่ทำให้น้ำชาร้อนพลาดไปหกใส่เสด็จแม่มิเช่นนั้นคงอาจจะทำให้ผิวของเสด็จแม่มีรอยแผลเป็นได้”เซี
บทที่ 9กลับบ้านเดิม สามวันหลังแต่งงาน หนึ่งวันก่อนออกเดินทางไปชายแดนเหนือเซี่ยเหวินหรงพาหยางซูมี่มาเยี่ยมบ้านเดิมหลังจากแต่งงานได้สามวัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม ทั้งสองเดินทางมาถึงจวนตระกูลหยางตั้งแต่ยามเฉิน ทุกคนในจวนตระกูลหยางต่างออกมารอต้อนรับชินอ๋องกับพระชายาหยางหมิงยืนอยู่ด้านหน้า ถัดมาเป็นหยางเฟยเทียน เสิ่นอี๋นั่ว หยางฟางหรง หยางเจียลี่ และบรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหมด เมื่อทั้งสองลงมาจากรถม้า ทุกคนต่างยอบกายถวายความเคารพตามบรรดาศักดิ์ฐานะหยางซูมี่รีบเข้าไปประคองท่านพ่อและพี่ชายให้รีบลุกขึ้น นางไม่ชินกับการที่ทุกคนต้องมาถวายความเคารพเช่นนี้เลยแม้จะทำตามตำแหน่งฐานะพระชายาชินอ๋องก็ตาม“เชิญเสด็จเข้าไปด้านในดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”หยางหมิงเสนอให้ทั้งสองเข้าไปด้านในจะดีกว่า เพราะในเวลานี้ที่ด้านนอกจวนล้วนมีชาวบ้านที่มามุงดูกันหลายคนนัก เซี่ยเหวินหรงตรงเข้าไปจูงมือหยางซูมี่เดินเข้าไปในเรือนหลักคล้อยหลังทั้งสองคนเดินจากไป มีสายตาริษยาที่มองมาด้วยความร้อนรุ่ม ย
บทที่ 10ธิดาเทพลี่จิน วันออกเดินทางของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ แม่ทัพใหญ่ผู้นำทัพในครั้งนี้คือชินอ๋องเซี่ยเหวินหรง ฉายาอ๋องทมิฬ ตัวตนในเมืองหลวงของเขานั้นเปรียบดั่งคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อเขาสวมเกราะสีดำเงาวาว ขี่อาชาโลหิตสีนิลนั้น รูปลักษณ์ช่างดูน่าเกรงขาม ประกอบกับหน้ากากสีดำปีกนกอินทรีสยายปีก ปิดเพียงครึ่งหน้าบนเผยให้เห็นปากหยักหนาที่ออกคำสั่งเคลื่อนทัพหยางซูมี่มองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ ห่างไกลไปจากสายตา นางนึกถึงร่างสูงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ที่เข้ามาออดอ้อนให้นางสวมชุดเกราะให้ ก่อนจะลาจากกัน ยังมารังแกกันอีก ริมฝีปากหยักหนาที่ฉกมาขโมยจูบหอมหวานจากนางราวกับจะกลืนกินดวงวิญญาณของนางให้ออกจากร่างไป รสสัมผัสจากคราแรกอ่อนโยนดั่งปีกผีเสื้อกลับร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเมื่อเห็นว่านางหายใจไม่ออก เขาถึงได้ผละออกมา แล้ววนกลับมาจูบอีกครั้งจนปากของนางบวมเจ่อ แดงก่ำไปหมดแล้ว ฮือออ ท่านอ๋องบ้า“พี่จะรีบไปรีบกลับ หลังจากเสร็จศึกนี้ พี่จะมารับรางวัลจากเจ้านะมี่มี่” เซี่ยเหวินหรงยิ้มกริ่ม ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้หยางซูมี่ นางถึงกับวางหน
บทที่ 11โทสะของพระชายาชินอ๋อง จวนชินอ๋อง พ่อบ้านหลินคือคนที่ท่านอ๋องไว้ใจให้มาดูแลจวนชินอ๋อง แม้จะอายุ 50 ปี แต่ยังดูคล่องแคล่ว แข็งแรง สมกับเป็นคนที่เซี่ยเหวินหรงไว้ใจ แต่วันนี้เขากลับอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปเสีย ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากชินอ๋องทรงทราบ คงได้มีใครตายเป็นแน่หลังจากวันนั้นที่พระชายาไปเยี่ยมบ้านเดิม แล้วมีสาวใช้ลอบออกจากจวนไป ไป๋เยียนองครักษ์ ไป๋หู่ได้ลอบติดตามไปด้วย หลังจากนั้นจึงลอบสืบความจนทราบว่าพระชายาคือ หิมะสีชาด เจ้าของนามปากกาที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ เพราะหิมะสีชาดได้แต่งนิยายประโลมโลกที่มีฉากร่วมรักเร่าร้อนดุเดือดเผ็ดมัน หนังสือที่ออกมาต่างมีราคาแพงถึงเล่มละ 10 เหรียญทองแม้แต่พระสนมในวังยังลอบให้คนออกมาซื้อ ตัวเขาที่เป็นพ่อบ้านยังแอบซื้อมาอ่านเลย ทั้งยังเคยวิจารณ์ว่าหิมะสีชาด ช่างเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมนัก แต่งหนังสือออกมาได้สนุกและตื่นเต้นเร้าใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องก็มีความหลากหลาย เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหิมะสีชาดจะคือพระชายาหยางซูมี่ หากชินอ๋องทรงทราบต้องกริ้วมากเป็นแน่ แล้วถ้าหากม
บทที่ 12ชำระหนี้แค้น จวนตระกูลเถา หลังจากลงจากรถม้า เถาซูเม่ยรีบตรงกลับไปที่เรือนนอนของนางทันที ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด สั่งให้สาวใช้ข้างกายออกไปเฝ้าหน้าห้อง ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด เมื่อในห้องปลอดคนแล้วเถาซูเม่ยจึงบรรจงหยิบกล่องไม้ออกมาค่อยๆ เปิดออกดู ภายในกล่องไม้บรรจุกำไลหยกสีเขียวกระจ่างใส 1 วง เมื่อลองเพ่งพิศจะเห็นว่าด้านในของกำไลหยกมีอักษรแกะสลักไว้อ่านว่า ‘เฟยเทียน’ นอกจากจะมีกำไลหยกยังมีกระดาษแนบมาด้วยหนึ่งแผ่น เถาซูเม่ยคลี่กระดาษเปิดอ่านดู"เพียงแรกพบสบตา ใจของข้าก็สั่นไหว เสียงสกุณณาในพงไพร ไม่อาจเทียบเสียงหัวเราะของเจ้าเลยกำไลหยกวงนี้คือตัวแทนแห่งข้า"หยางเฟยเทียนเมื่ออ่านจบในใจของเถาซูเม่ยให้รู้สึกอุ่นวาบในอก ใจของนางก็เฝ้าเพ้อฝันถึงบุรุษผู้นี้มานานแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งบุรุษที่นางหลงรักจะใจตรงกับนางเช่นกันเถาซูเม่ยนั้นได้เพียงแค่แอบมองคุณชายหยางเฟยเทียนเพียงไกลๆ ไม่เคยอาจหาญไปบอกความในใจให้เขารู้ มีเพียงเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับเขาที่เหลาอาหาร ระหว่างกำล
บทที่ 38เริ่มต้นใหม่ หลังจากได้รับราชโองการการหย่าขาดกันแล้วนั้น หยางซูมี่ก็กลับมาที่จวนตระกูลหยาง ทุกคนต่างมารอต้อนรับนางอย่างอบอุ่น ผู้คนในจวนนั้นไม่ได้สนใจคำครหาจากคนภายนอก ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรพวกเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่เพียงสิ่งนี้คือความสุขของหยางซูมี่ พวกเขาก็พร้อมจะยืนเคียงข้างนางหยางซูมี่ลงมาจากรถม้า นางส่งมือให้ซินซินจับแล้วก้าวเดินลงมาอย่างมั่นคง คนแรกที่รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางคือท่านพ่อ ถัดไปเป็นท่านพี่และสหายของนาง“กลับบ้านเราก็ดีแล้วเข้าไปข้างในกันเถอะ”หยางหมิงเข้ามาลูบหัวหยางซูมี่แล้วพานางเดินเข้าไปที่โถงหลัก หยางเฟยเทียนกับเถาซูเม่ยก็พากันตามเข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงตรงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว หยางซูมี่ลุกออกมาคุกเข่าข้างหน้าหยางหมิง นางโขกศีรษะสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมา“ลูกอกตัญญูทำให้จวนตระกูลหยางของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอท่านพ่อลงโทษลูกด้วยเจ้าค่ะ”“รีบลุกขึ้น เสื่อมเสียอะไรกัน ที่เจ้าต้องหย่าขาดกับชินนอ๋องก็เพราะชินอ๋องทรงไม่รักษาคำพูด เช่นนี้จะเป็นเพราะเจ้าได้อย่
บทที่ 37กอดครั้งสุดท้าย ภายในห้องต่างเงียบกริบ กว่าสองเค่อที่ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง หยางซูมี่ได้สติกลับมาก่อน หยางซูมี่มองเห็นว่าเซี่ยเหวินหรงนั้นมีความลับที่ปิดบังนางมาโดยตลอดแม้แต่เหตุการณ์ในวัยเด็กเขาก็ปกปิดนางไว้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางสลบไปเมื่อตอนที่พลัดตกจากหน้าผา เมื่อตื่นมาอีกครั้งความทรงจำทั้งหมดของหยางซูมี่ตัวจริงได้ย้อนกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง นางคงยังไม่รู้ว่าหยางซูมี่ตัวจริงกับเซี่ยเหวินหรงเคยพบกันมาก่อน นี่ถือได้ว่าเซี่ยเหวินหรงจงใจปิดบังเรื่องนี้คงเป็นเพราะรอยแผลเป็นนั้นที่เขาไม่ต้องการให้นางจดจำได้เป็นแน่ 10 ปีก่อนที่งานล่าสัตว์สายฝนตกลงมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กของเด็กหญิงช่วยประคองร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โดนดาบฟันที่แขนข้างซ้าย แต่ใจของเขายังฮึดสู้อยู่ ทั้งคู่ต่างพากันเดินเรื่อยมาจนมาหยุดที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่มีเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมาปิดทางเข้าของถ้ำ เพราะว่าเด็กหญิงนั้นเคยมาเที่ยวเล่นกับพี่ชายใหญ่บ่อยครั้งและถ้ำแห่งนี้ก็เป็นที่สถานที่ลับระหว่างนางกับพี่ชาย“พี่ชาย อดทนหน่อยใกล้จะ
บทที่ 36ผู้อยู่เบื้องหลัง วันนี้เป็นวันสำเร็จโทษของคุณชายรองลู่ชุนกับลี่จิ่น หยางซูมี่ออกจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เช้าเพื่อมาส่งลี่จิ่นเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้นางตั้งใจสวมชุดสีแดงปักลายหงส์สยายปีก บนมวยผมปักปิ่นหงส์สีทองอร่าม หยางซูมี่มายืนรอดูลี่จิ่นยังแท่นประหาร คุณชายรองลู่ชุนนั้นถูกพาตัวให้มาดูทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่น เพื่อให้เห็นชัดว่าลูกของเขาได้หลุดออกมาแล้วทัณฑ์ทรมานของลี่จิ่นนั้นคือการที่นางจะถูกโซ่เหล็กพันธนาการมือและเท้า โดยให้นางนอนราบกับพื้นที่มีเสื่อวางรองร่างของนางไว้ ไม่ไกลนักมีวัวสองตัวยืนอยู่โดยทั้งสองตัวจะมีเชือกผูกเอาไว้ที่ขากับไม้ท่อนใหญ่อยู่ด้วย คนบังคับวัวจะบังคับให้วัวลากท่อนไม้ให้ทับหน้าท้องของลี่จิ่นเพื่อให้เด็กหลุดออกมาครั้งแรกที่ลี่จิ่นโดนท่อนไม้ทับผ่านตัวไป เลือดของนางไหลออกจากทวารทั้ง 5 นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่อาจจะกรีดร้องได้เพราะมีผ้าอุดปากไว้ เพียงโดนท่อนไม้ลากผ่าน 2 ครั้งก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา จากนั้นการทรมานจึงได้หยุดลง ทหารที่ลงทัณฑ์มาลากตัวนางกับคุณชายรองลู่ชุนไปยังลานประหารที่มีเพชฌฆา
บทที่ 35บิดาของบุตรในท้องลี่จิ่น เช้าวันนี้ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงถกเถียงเรื่องการลอบสังหารของพระชายาเอกชินอ๋อง วันนี้ฝ่าบาทได้เปิดท้องพระโรงเพื่อไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขามารอดูความสนุกกันอย่างคึกคัก ความทุกข์ของผู้อื่นกลับเป็นดั่งความสนุกของตนเอง“ฮ่องเต้เสด็จแล้วววว”เกากงกงเอ่ยเสียงดัง ขุนนางทั้งหมดต่างค้อมหัวคารวะการมาเยือนของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้นั่งลงตรงบัลลังก์มังกรแล้ว พระองค์โบกพระหัตถ์ให้ลุกขึ้นได้ พวกเขาจึงกล้าลุกขึ้นยืน“เบิกตัวพระชายาเอกหยางซูมี่ เบิกตัวพระชายารองลี่จิ่น”เกากงกงเป็นผู้เอ่ยขึ้นหลังจากได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้หยางซูมี่เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย วันนี้นางสวมชุดเต็มพิธีการ ผิดกับลี่จิ่นที่ถูกพาตัวเข้ามาอย่างเหม่อลอยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำคล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและเคียดแค้น“หม่อมฉันหยางซูมี่ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”หยางซูมี่คารวะอย่างเต็มพิธีการ ส่วนลี
บทที่ 34โดนหลอก เรื่องของจวนตระกูลเกาจบลงไปด้วยดี จะมีก็แต่ตระกูลหม่าสายรองที่ต้องรับโทษจากฝ่าบาท และจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับราชโองการให้ไปจัดการเรื่องเกลือเถื่อนที่แดนใต้ กว่าจะจัดการเสร็จคงอีกราว 3-6เดือนถึงจะกลับมาที่เมืองหลวงได้ เวลานั้นอำนาจที่เขาเคยสร้างมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านทางการแต่งงานก็คงจะหยุดชะงักลง คงจะไม่มีตระกูลใดกล้าเสี่ยงให้บุตรีแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกเป็นแน่ หมากตานี้ของเซี่ยเหวินหลินแพ้ยับทั้งกระดานหยางซูมี่กลับมาที่จวนชินอ๋องได้สามวันแล้ว นางรอให้เรื่องของเกาซูเจินกับหม่าลี่เหมยจบลงก่อน นางถึงจะเดินหน้ามาทวงหนี้แค้นที่ลี่จิ่นได้ทำไว้กับนางหยางซูมี่เดินทางมาที่กรมสืบสวน นางขอเข้าพบท่านเสนาบดีเพื่อยื่นหลักฐานการจ้างวานฆ่านางที่มีตั๋วเงินลงตราประทับของลี่จิ่นเอาไว้ ท่านเสนาบดีรับมาด้วยมืออันสั่นเทา เขาพึ่งจะจัดการสืบสวนเรื่องของจวนจวิ้นอ๋องไปเอง มาตอนนี้ยังต้องมาจัดการเรื่องของจวนชินอ๋องอีก ช่วงนี้เขาดวงตกหรือไม่“เปิ่นหวางเฟยรบกวนให้ท่านเสนาบดีจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมด้วย” หยางซูมี่ยิ้มหวานส่ง
บทที่ 33คำตัดสินของฮ่องเต้ “กระหม่อมขอร้องเรียนจวิ้นอ๋องต่อฝ่าบาท ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่นำมาถวายฝ่าบาทนั้น ทำให้ขจัดมลทินที่พระชายาเอกได้รับได้ อีกทั้งจวิ้นอ๋องทรงไต่สวนไม่เป็นธรรม สั่งลงโทษพระชายาเอกเสียแล้ว ครอบครัวของกระหม่อมทุกข์ใจยิ่งนักที่จะต้องมาโดนสาดโคลนเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่าลี่เหมยและจวิ้นอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เกาซีฮั่นคุกเข่าลงโขกศีรษะถึงสามครั้งจนหน้าผากปริแตกมีเลือดไหลซึมออกมาเซี่ยเหวินหลินยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล นอกจากจะกำจัดเกาซูเจินไม่ได้แล้ว เขายังจะโดนผู้คนหัวเราะเยาะว่าถูกภรรยาสวมหมวกเขียว ทั้งเสนาบดีเกายังกล้ากล่าวโทษเขาเช่นนี้อีก“ท่านเสนาบดีลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เจิ้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอย่างแน่นอน”เซี่ยเฟยหลงเรียกเกากงกงให้เข้ามา แล้วยื่นหลักฐานทั้งหมดส่งให้เกากงกง“นำหลักฐานทั้งหมดส่งไปที่กรมสืบสวน ต้องเร่งสืบหาความจริงให้กระจ่าง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าให้
บทที่ 32พลิกผัน ไป๋เฟิงใช้วิชาตัวเบาหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนตระกูลเกา จนมาหยุดที่ห้องหนังสือที่มีเสนาบดีกรมวังนามว่าเกาซีฮั่น กับฮูหยินใหญ่นามว่าอ้ายฉิง อยู่ด้วย ทั้งสองปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดเรื่องของเกาซูเจินนางผู้เป็นแม่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าบุตรีของนางนั้นจะโง่เขลาถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เกาซีฮั่นเองก็โกรธแค้นจวิ้นอ๋องที่ไม่ทรงเห็นไมตรีระหว่างเขา กลับกล้าทำโทษบุตรสาวของเขาโดยยังไม่ได้ไต่สวนก่อน เรื่องนี้เห็นทีจะเป็นเพราะเขานั้นหมดประโยชน์กับจวิ้นอ๋องแล้วเป็นแน่ พระองค์ถึงได้สละเรือของเขาทิ้งอย่างไม่แยแสเช่นนี้ไป๋เฟิงทะยานเข้ามาที่หน้าต่าง ทั้งสองตกใจมากกำลังจะตะโกนเรียกให้คนช่วยแต่ก็โดนไป๋เฟิงสะกดจุดเอาไว้ก่อน นางยื่นจดหมายให้เสนาบดีเกาซีฮั่นก่อนจะค้อมตัวคารวะอีกฝ่าย“ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของพระชายาชินอ๋อง พระชายาเห็นแก่ความดีที่เสนาบดีเกาเคยช่วยท่านพ่อของพระชายาเอาไว้ จึงได้เขียนคำชี้แนะมาให้ท่านเสนาบดีเกา”ไป๋เฟิงยื่นจดหมายปิดผนึกให้เสนาบดีเกาซีฮั่น เมื่อหมดธุระแล้วนางก็ทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
บทที่ 31ข่าวร้ายของหม่าลี่เหมย ข่าวการตั้งครรภ์ของเถาซูเม่ยสร้างความยินดีให้กับทุกคนในจวนตระกูลหยาง หยางหมิงมอบหมายงานเล็กใหญ่ภายในจวนให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้ดูแล ส่วนสมุดบัญชีต่างๆ ก็ให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้จัดการไปก่อน แล้วค่อยส่งมอบให้เถาซูเม่ยตรวจทานเดือนละครั้ง เขานั้นอยากจะอุ้มหลานมานานมากแล้ว หลานคนนี้ถือเป็นหลานคนแรกของตระกูลเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งไม่อยากให้เถาซูเม่ยต้องโหมงานหนัก อยากให้พักผ่อนให้มากๆหยางซูมี่เองเมื่อรู้ข่าวนี้ก็ดีใจกับสหายของนางมากนัก ตัวนางเองก็ย้อนกลับไปคิดเรื่องราวแต่หนหลัง แววตาของนางมักสะท้อนความเศร้าออกมาบ่อยครั้งซินซินตามมาดูแลรับใช้หยางซูมี่ที่จวนตระกูลหยางเช่นเดิม คงมีเพียงเจินเจินที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ หยางซูมี่เมื่อพบซินซินก็เอ่ยถามถึงเจินเจินนางกลัวเหลือเกินว่าอาจจะต้องเสียเจินเจินไป แต่สวรรค์ยังคงเห็นใจนางบ้าง ยังคงให้เจินเจินที่เกือบไปเยือนปรภพได้กลับมาหานางอีกครั้งเถาซูเม่ยยังคงจะไปตุ๋นน้ำแกงมาให้หยางซูมี่อีก แต่หยางเฟยเทียนได้เอ่ยปากห้ามไว้ เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการไปจะดีกว่า เขาเองไม
บทที่ 30ข่าวดีของเถาซูเม่ย เมื่ออาเปียวกับอาเมี่ยวเดินทางกลับไปแล้ว เซี่ยเหวินหรงสั่งให้ทหารออกไปรออีกทางหนึ่ง ส่วนเขาสั่งให้ไป๋ลู่คอยอารักขาอยู่รอบๆ เขาจูงมือของหยางซูมี่มาหยุดยืนที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ ที่นี่ก็คือหลุมฝังศพของบุตรของเขากับหยางซูมี่นั่นเอง“พี่เลือกสถานที่นี้ให้กับลูกของเรา เขาจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข”เซี่ยเหวินหรงเอ่ยบอก มือหนาโอบกอดร่างบางของหยางซูมี่ด้วยความทะนุถนอม“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนลูกสักครู่นะเจ้าคะ”หยางซูมี่หันมาบอกร่างสูง นางค่อยๆ นั่งลงตรงข้างหลุมศพ ใบหน้าหวานที่ยังคงซีดเซียวอยู่นั่งทอดมองที่หลุมฝังศพ จิตใจเลื่อนลอยไปไกลแสนไกล นานจนเกือบชั่วยามร่างบางถึงได้สติ ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่มีรอยเศร้าหมองแฝงประกายเข้มแข็งอันเยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวของนางดูเย็นชาขึ้นหลายส่วนหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายนางก็คิดขึ้นได้ว่าหากจะอยู่บนโลกใบนี้มีเพียงต้องเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะปกป้องคนที่ตนรักได้ ร่างบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเซี่ยเหวินหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาก็พลัน