ซู่ๆๆ!!!!
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาบ้านไม้เก่าของธนิดาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ้านสองชั้นที่สร้างจากไม้สักเก่าแก่ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนาที่ยื่นออกมาบดบังแสงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบตัว บรรยากาศเย็นชื้นและเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่ดังแว่วมาจากป่าด้านหลังบ้าน และกลิ่นดินเปียกที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ธนิดา วัย 25 ปี หญิงสาวร่างบางที่มีผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ขาดเล็กน้อยตรงชายเสื้อ และกางเกงยีนส์เก่าที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยหวานของเธอ ดวงตาคู่คมของเธอจ้องมองออกไปในความมืดที่ห่อหุ้มรอบบ้านราวกับพยายามมองหาความหวังบางอย่าง แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงเงาต้นไม้ที่โอนเอนไปตามแรงลม และสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง
“ฝนตกหนักแบบนี้ คงไม่น่ามีใครมาแล้วหรอกมั้ง...” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความเหนื่อยล้าและความกังวล เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เริ่มเปียกชื้นจากไอฝนที่ลอยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท
ตั้งแต่พ่อของเธอหายตัวไปเมื่อสามเดือนก่อน ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากหญิงสาวที่เคยใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองเล็กๆ กลายมาเป็นคนที่ต้องดูแลบ้านเก่าหลังนี้เพียงลำพัง ลุงสมชาย คนขับรถเก่าที่เคยทำงานให้ครอบครัวเธอตั้งแต่สมัยพ่อยังอยู่ เป็นเพียงคนเดียวที่ยังคอยช่วยเหลือเธอในยามที่ไม่มีใครเหลือ แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเธอก็ยังไม่เคยหายไป
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นจากด้านล่างบ้านทำให้ธนิดาสะดุ้งสุดตัว
ปัง!
มันไม่ใช่แค่เสียงฝนหรือลมที่พัดประตูให้กระแทก มันเป็นเสียงระเบิดเล็กๆ ที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งบ้าน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของลุงสมชายที่ดังลั่นจากชั้นล่าง
“คุณหนู! หนีไปเดี๋ยวนี้!” เสียงของลุงสมชายดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่เพียงไม่กี่วินาที เสียงนั้นก็เงียบลงทันที ตามมาด้วยเสียงปืนดัง
ปัง! ปัง!
สองนัดติดต่อกัน
หัวใจของธนิดาเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก เธอรีบหันตัววิ่งไปที่ประตูห้องนอน แต่ก่อนที่เธอจะได้แตะลูกบิด เสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นจากบันไดไม้เก่าที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มีคนเหยียบ ธนิดาหยุดชะงัก สายตาของเธอเหลือบไปมองลิ้นชักข้างเตียงที่เธอเคยซ่อนปืนพกเก่าๆ ไว้ ปืนที่พ่อของเธอสอนให้เธอยิงตั้งแต่ยังเด็ก เธอเคยฝึกยิงปืนกับเขาในป่าหลังบ้านสมัยที่เธออายุแค่สิบขวบ แต่หลังจากนั้นเธอก็เก็บมันไว้และไม่เคยหยิบขึ้นมาอีกเลย
“ไม่ทันแล้ว...” เธอกัดฟันแน่น ความกลัวทำให้มือของเธอสั่น แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจได้ว่าจะหยิบปืนหรือหนี เสียงดังสนั่นที่ประตูห้องนอนของเธอก็เกิดขึ้น
ปัง!
ประตูไม้เก่าถูกเตะจนแตกกระจาย เศษไม้ปลิวว่อนไปทั่วห้อง กลุ่มชายชุดดำสี่คนบุกเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน แต่ละคนสวมเสื้อสูทสีดำเปียกชุ่มฝน และถือปืนกลสั้นในมือ ใบหน้าของพวกเขาถูกซ่อนไว้ใต้หมวกกันน็อกสีดำที่สะท้อนแสงจากหลอดไฟเก่าบนเพดาน หนึ่งในนั้นยกปืนขึ้นเล็งมาที่เธอทันที
“อย่าขยับ!” เสียงตะโกนดังลั่น หยาบกระด้างและเย็นชา “ลงไปชั้นล่างเดี๋ยวนี้!”
ธนิดายกมือขึ้นช้าๆ หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงมันดังอยู่ในหู เธอพยายามสงบสติและมองหาทางหนี แต่ชายชุดดำทั้งสี่คนยืนขวางทุกทางออกของเธอไว้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามคำสั่ง
เมื่อเธอเดินลงบันไดไม้ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดทุกย่างก้าว สายตาของเธอก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น ลุงสมชายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นห้องรับแขก เลือดไหลนองจากบาดแผลที่หน้าอกของเขา กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นฝนลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งบ้าน เธออยากจะกรีดร้อง อยากจะวิ่งเข้าไปหาเขา แต่ขาของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น
“ลุงสมชาย!!!” เธอร้องออกมา น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เธอจะได้ก้าวไปข้างหน้า ชายชุดดำคนหนึ่งก็ยกปืนขึ้นเล็งมาที่เธออีกครั้ง
“เงียบ!” เขาตะคอก “ถ้าไม่อยากตายตามมันไปด้วย”
ธนิดากัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ เธอพยายามกลืนน้ำตาและความกลัวลงไปในลำคอ ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่มีพลังมากพอที่จะทำอะไรได้ เธอได้แต่ยืนนิ่ง มองร่างของลุงสมชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยเขาได้
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและฟังดูเชื่องช้ากว่าคนอื่นๆ ดังขึ้นจากหน้าประตูบ้าน ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างหนัก ร่างสูงของเขาสวมเสื้อโค้ตสีดำยาวที่เปียกชุ่มจนน้ำหยดลงพื้น ใบหน้าคมเข้มของเขาถูกเน้นด้วยแสงจากหลอดไฟที่สั่นไหว ดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยอำนาจจ้องมองมาที่เธอราวกับมองทะลุเข้าไปถึงวิญญาณ ในมือขวาของเขา เขาถือปืนพกสีเงินที่ยังมีควันลอยออกจากปลายกระบอกเล็กน้อย
“หนี้ของพ่อเธอถึงเวลาชดใช้แล้ว” เสียงของเขาดังขึ้น เย็นชาและหนักแน่นราวกับคำตัดสินที่ไม่อาจโต้แย้งได้
ธนิดามองชายคนนั้นด้วยความหวาดกลัวปนสงสัย เธอเคยได้ยินเรื่องของ “เงาจันทรา” จากพ่อของเธอสมัยที่เขายังอยู่ เขาเคยเล่าให้ฟังถึงแก๊งมาเฟียที่โหดเหี้ยมและมีอิทธิพลครอบคลุมเมืองนี้ แต่เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง
“คุณ... คุณเป็นใคร?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา แต่พยายามรักษาความกล้าไว้ให้มากที่สุด
ชายคนนั้นยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่เย็นเยียบและเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ฉันคือนาวิน หัวหน้าแก๊งเงาจันทรา และพ่อของเธอติดหนี้ฉัน 50 ล้านบาทจากการพนันใต้ดินที่เขาไม่มีวันจ่ายคืนได้”
“50 ล้าน?!” ธนิดาตกใจจนแทบล้ม เธอรู้ว่าพ่อของเธอเคยมีปัญหาเรื่องการพนัน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมากขนาดนี้ “พ่อของฉันหายตัวไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนด้วยซ้ำ แล้วฉันจะหาเงินขนาดนั้นมาจากไหน!”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน” นาวินตอบกลับทันควัน เขาก้าวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นจนเธอรู้สึกถึงไอเย็นจากร่างของเขาที่เปียกฝน “ถ้าเขาไม่จ่าย ฉันจะเผาบ้านหลังนี้ทิ้ง และทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องตาย รวมถึงเธอด้วย”
ธนิดาหายใจถี่ขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก เธอมองไปรอบๆ ห้อง เห็นร่างของลุงสมชายที่นอนจมกองเลือด และชายชุดดำที่ยังคงเล็งปืนมาที่เธอ เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกมากนักในสถานการณ์นี้ แต่เธอก็ไม่ยอมให้ตัวเองยอมจำนนง่ายๆ
“ถ้าคุณฆ่าฉัน คุณจะไม่ได้เงินคืนสักบาท” เธอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่น “ถ้าคุณต้องการเงิน ฆ่าฉันไปก็ไม่มีประโยชน์”
นาวินหยุดชะงัก เขามองเธอด้วยสายตาที่พิจารณา รอยยิ้มเย็นชาของเขาค่อยๆ จางลงเล็กน้อย “ฉลาดกว่าที่คิดไว้อีกนะ” เขากล่าว “งั้นฉันจะให้ทางเลือกเธอ มาเป็น 'หลักประกัน' ของฉัน อยู่กับฉันจนกว่าหนี้จะถูกชดใช้ หรือ...”
เขาหยุดพูด และหันไปสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก “ถ้ามันไม่เลือก ก็ฆ่ามันซะ แล้วเผาบ้านนี่ให้วอด”
ลูกน้องคนหนึ่งยกปืนขึ้นเล็งมาที่หน้าผากของธนิดาทันที เธอรู้สึกถึงความเย็นของปลายกระบอกปืนที่แตะผิวหนังของเธอ ความกลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แต่ในใจของเธอกลับมีบางอย่างที่บอกให้เธอต้องสู้ต่อไป เธอเคยเห็นพ่อของเธอต่อสู้กับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ และเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองตายที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลย
“หยุด!” เธอตะโกนออกไปก่อนที่ลูกน้องของนาวินจะเหนี่ยวไก “ฉัน... ฉันจะไปกับคุณ”
นาวินยกมือขึ้นสั่งให้ลูกน้องหยุดทันที เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ “ดี” เขากล่าวสั้นๆ “พามันไปที่รถ”
ธนิดารู้สึกถึงมือหนาของชายชุดดำที่จับแขนเธอแน่นและลากเธอออกไปจากบ้าน เธอหันกลับไปมองร่างของลุงสมชายเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง แต่เธอกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เธอถูกผลักขึ้นรถยนต์สีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน สายฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ซัดลงบนกระจกรถจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด
นาวินขึ้นนั่งข้างเธอบนเบาะหลัง เขาไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่นั่งนิ่งและมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่เย็นชา รถเคลื่อนตัวออกไปจากบ้านไม้เก่าที่เธอเคยเรียกว่าบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบและกลิ่นคาวเลือดที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ
ในใจของธนิดาเต็มไปด้วยความโกรธ ความกลัว และคำถามมากมาย เธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอไปไหน หรือทำไมเขาถึงทิ้งหนี้ก้อนโตนี้ไว้ให้เธอ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่ชัดคือ เธอจะต้องหาทางเอาตัวรอดจากนาวินและโลกอันโหดร้ายที่เขาพาเธอเข้ามาให้ได้
ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่รถยนต์คันนั้นพาเธอมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ และในความมืดมิดนั้น เงาของนาวินที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ดูเหมือนเงามืดที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่รถยนต์สีดำคันใหญ่อย่างเบนท์ลีย์ รุ่นเบนเทก้า พาธนิดามุ่งหน้าสู่จุดหมายที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ เสียงเครื่องยนต์ดังครืดคราดผสมกับเสียงหยดน้ำที่กระทบกระจกรถ ทำให้ภายในรถเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดนาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ สายตาของเขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้ ใบหน้าคมเข้มของเขาถูกแสงจากไฟถนนที่สาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ เน้นให้เห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่มุมคิ้วซ้าย ซึ่งธนิดาเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกเธอขยับตัวเล็กน้อยบนเบาะหนังสีดำที่เย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างของเธอถูกมัดไว้หลวมๆ ด้วยเชือกไนลอนสีดำ ซึ่งลูกน้องของนาวินผูกไว้ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านไม้เก่าของเธอ ความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือจากการถูกกระชากยังคงอยู่ แต่เธอพยายามไม่แสดงออกมาให้เขาเห็น เธอหันไปมองนาวินอีกครั้ง พยายามหาคำตอบจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา แต่สิ่งที่เธอได้กลับมามีเพียงความเงียบงันที่สร้างความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นในใจของเธอ“นี่เราจะกำลังจะไปไหนกัน” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่น แต่ความสั่นเทาในน้ำเสียงของเธอก็ยังหลุดออกมาเล็กน้อยนาวินหันหน้ามามองเธอช้าๆ ดวงต
แสงจากโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานของห้องอาหารในคฤหาสน์เงาจันทราส่งแสงสลัวๆ ไปทั่วทั้งบริเวณ โต๊ะอาหารยาวที่ทำจากไม้โอ๊กสีเข้มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบด้วยจานชามสีขาวสะอาดตาและช้อนส้อมเงินที่วางเรียงกันอย่างพิถีพิถัน บรรยากาศในห้องนี้ควรจะดูสงบและหรูหรา แต่ความเงียบที่หนักอึ้งและสายตาที่เย็นชาของนาวินที่จ้องมาจากปลายโต๊ะทำให้ทุกอย่างรู้สึกกดดันราวกับมีพายุซ่อนอยู่ในความสงบนั้นธนิดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา ห่างออกไปเกือบสามเมตร เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีนำมาให้เปลี่ยนหลังจากชุดของเธอเปียกฝน มือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก แม้ว่าจะถูกปลดเชือกที่มัดข้อมือออกแล้ว แต่รอยแดงที่เกิดจากการรัดแน่นยังคงปรากฏชัดเจน เธอมองไปที่จานอาหารตรงหน้า สเต๊กเนื้อชิ้นหนาที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยและมันบดสีครีมที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม น่ากินอยู่ไม่น้อย แต่เธอไม่มีอารมณ์จะแตะมันเลยสักนิดรอบห้องอาหาร ลูกน้องของนาวินสามคนยืนนิ่งราวกับรูปปั้น แต่ละคนสวมเสื้อสูทสีดำและถือปืนกลสั้นที่แนบชิดกับลำตัว สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ธนิดาและประตูทางเข้าหลักของห้องราวกับพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ เสียงฝนที่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการบุกโจมตีของแก๊งเสือดาว ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ธนิดายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักของเธอ มองออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์ที่ปรากฏให้เห็นผ่านม่านกำมะหยี่สีดำที่เธอแง้มออกเล็กน้อย สวนนั้นกว้างขวางและเงียบสงบ มีน้ำพุหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ใบยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ทำให้กลิ่นดินเปียกและใบไม้ลอยเข้ามาคลอเคลียที่ปลายจมูกของเธอเธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อากาศเย็นๆ ช่วยขจัดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคงกดทับอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อคืน ภาพของการต่อสู้ในโถงทางเข้าหลักยังคงติดตาเธออยู่ เสียงปืนที่ดังสนั่น กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง และใบหน้าของนาวินที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอยิงช่วยเขา เธอยังจำน้ำเสียงของเขาได้ดีเมื่อเขาพูดว่า ‘น่าสนใจ’ คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับปริศนาที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้ธนิดาตัดสินใจว่าเธอทนอยู่ในห้องที่ถูกล็อกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ต้องการหลุดพ้นจากความรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษนี้ แม้ว่าจะเป็นแค่ชั่วครู่ก็ตาม เธ
กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้องธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะว
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
โกดังร้างที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืนที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ผนังเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและรอยกระสุนเก่าๆ ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ราวกับกำแพงของนรก ศพของลูกน้องเงาจันทราและเสือดาวกระจัดกระจายอยู่บนพื้นคอนกรีตที่เปื้อนเลือด บางศพมีบาดแผลถูกยิง บางศพถูกมีดแทงจนล้มตายในท่าที่น่าสยดสยอง กล่องไม้ที่เคยใช้เก็บยาเสพติดถูกระเบิดจนแตกกระจาย เศษไม้และฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว แสงจากโคมไฟเก่าที่ห้อยลงมาจากเพดานกระพริบเป็นระยะๆ สร้างเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นราวกับวิญญาณของคนตายยังคงวนเวียนอยู่นาวินยืนอยู่กลางโกดัง มีดสั้นในมือขวาของเขาชุ่มไปด้วยเลือด แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาห้อยลงอย่างไม่มีแรง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขาดวิ่นและเปื้อนเลือดทั้งของตัวเองและศัตรู ดวงตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มถึงขีดจำกัดธนิดายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ปืนพกในมือของเธอกำแน่น เธอหายใจถี่จากความตื่นเต้นและความกลัว เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เธอเพิ่งยิงลูกน้องของเสือดาวไปสองคนเพื่อปกป้องนาวิน และตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัว
กระท่อมร้างที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามืดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไม้เปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังคาที่ผุพังมีน้ำฝนหยดลงมาเป็นระยะๆ ตกลงกระทบพื้นดินที่แข็งกระด้าง เสียงหยดน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่พังทลายบางส่วนแสงจันทร์ลอดผ่านรอยแตกของหลังคา สาดส่องลงมาเป็นลำแสงสีเงินอ่อนๆ ที่ตัดกับความมืดมิดของกระท่อม ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันร้ายที่ทั้งเงียบสงบและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกำแพงไม้ที่เย็นชืด ขาของเธอเกิดอาการชาจากการวิ่งหนีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยโคลน ปืนพกในมือของเธอยังคงกำแน่น เธอหายใจถี่และมองไปที่นาวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพิงกองไม้เก่าที่วางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาถูกพันผ้าใหม่จากชายเสื้อของเธอ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่พื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งคู่เงียบไปนานหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอกเมื่อครู่ โชคดีที่มันจางหายไปในหมอก และไม่ม
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้องธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะว
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการบุกโจมตีของแก๊งเสือดาว ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ธนิดายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักของเธอ มองออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์ที่ปรากฏให้เห็นผ่านม่านกำมะหยี่สีดำที่เธอแง้มออกเล็กน้อย สวนนั้นกว้างขวางและเงียบสงบ มีน้ำพุหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ใบยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ทำให้กลิ่นดินเปียกและใบไม้ลอยเข้ามาคลอเคลียที่ปลายจมูกของเธอเธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อากาศเย็นๆ ช่วยขจัดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคงกดทับอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อคืน ภาพของการต่อสู้ในโถงทางเข้าหลักยังคงติดตาเธออยู่ เสียงปืนที่ดังสนั่น กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง และใบหน้าของนาวินที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอยิงช่วยเขา เธอยังจำน้ำเสียงของเขาได้ดีเมื่อเขาพูดว่า ‘น่าสนใจ’ คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับปริศนาที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้ธนิดาตัดสินใจว่าเธอทนอยู่ในห้องที่ถูกล็อกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ต้องการหลุดพ้นจากความรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษนี้ แม้ว่าจะเป็นแค่ชั่วครู่ก็ตาม เธ