แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้
ก๊อกๆๆ
ความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก
“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันที
ธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องพร้อมสำหรับทุกอย่าง เธอรีบเดินตามเขาไป โดยพยายามก้าวให้ทันฝีเท้าที่หนักแน่นของเขา
นาวินพาเธอเดินผ่านโถงทางเดินยาวของคฤหาสน์ ลงบันไดวนที่นำไปสู่ชั้นล่าง และมุ่งหน้าไปยังประตูเหล็กหนาหนักที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือในห้องนั่งเล่น เธอเคยเห็นประตูนี้มาก่อนแต่ไม่เคยคิดว่ามันจะนำไปยังที่ไหน เขาดึงตู้หนังสือออกและใช้กุญแจที่ห้อยอยู่กับเอวของเขาไขประตูนั้น ประตูส่งเสียงดังกริ๊กก่อนจะเปิดออก เผยให้เห็นบันไดหินแคบๆ ที่ทอดลงไปสู่ความมืดด้านล่าง
“เราจะไปไหนกัน” ธนิดาถามด้วยน้ำเสียงที่ระแวง เธอหยุดชะงักที่ขอบบันได มองลงไปในความมืดที่ดูเหมือนจะกลืนทุกอย่าง
“ฉันต้องการให้เธอเห็นบางอย่าง” นาวินตอบโดยไม่หันกลับมามอง เขาก้าวลงบันไดไปก่อน และหายเข้าไปในเงามืด “ถ้าเธออยากเข้าใจโลกนี้จริงๆ ตามฉันมา”
ธนิดากัดริมฝีปากแน่น ความกลัวและความอยากรู้ต่อสู้กันอยู่ในใจของเธอ แต่ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจก้าวตามเขาไป เธอเดินลงบันไดหินทีละขั้น อากาศเย็นชื้นและกลิ่นคาวเลือดจางๆ เริ่มลอยเข้ามาในจมูกของเธอ ยิ่งเธอเดินลงไปลึกเท่าไหร่ กลิ่นนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เธอรู้สึกถึงความหนาวที่ซึมเข้าไปในกระดูก และหัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเธอถึงชั้นล่าง เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องลับใต้ดินขนาดใหญ่ ผนังทำจากคอนกรีตหนาที่ย้อมสีด้วยคราบน้ำเก่าๆ และพื้นปูด้วยหินที่เย็นเฉียบ เพดานต่ำเต็มไปด้วยท่อเหล็กที่ส่งเสียงน้ำหยดเป็นระยะๆ แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวสว่างจ้าส่องลงมาจากด้านบน เผยให้เห็นกล่องไม้และถุงพลาสติกจำนวนมากที่วางเรียงกันเป็นกองสูง กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นเคมีบางอย่างที่เธอเดาว่าน่าจะเป็นยาเสพติดลอยอยู่ในอากาศ
“นี่มันอะไร?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา เธอมองไปที่กล่องไม้ที่เปิดอยู่กล่องหนึ่ง และเห็นถุงผงสีขาวถูกบรรจุอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“คลังยาเสพติด” นาวินตอบสั้นๆ เขาเดินไปยืนข้างกองกล่องและมองมาที่เธอ “นี่คือสิ่งที่ทำให้เงาจันทรายังอยู่ได้ เงินจากยาพวกนี้ไหลเข้ามาทุกวัน และมันคือเหตุผลที่เสือดาวอยากกำจัดฉัน”
ธนิดารู้สึกถึงความคลื่นไส้ที่พุ่งขึ้นมาในท้องของเธอ เธอเคยได้ยินว่านาวินควบคุมการค้ายาในเมืองนี้ แต่การเห็นมันด้วยตาตัวเองทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของความโหดร้ายนี้อย่างแท้จริง เธอมองไปที่นาวินและพยายามหาคำพูด “คุณ... คุณภูมิใจกับสิ่งนี้เหรอ”
นาวินหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะฟังดูแห้งผากและปราศจากความสุข “ภูมิใจเหรอ ไม่มีใครภูมิใจกับมันหรอก แต่มันคือสิ่งที่ฉันต้องทำ”
“ต้องทำงั้นเหรอ” เธอถามต่อ “ถ้ามันไม่ได้ทำให้คุณภูมิใจขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่เลิกทำ คุณก็มีเงินเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง”
เขาหยุดชะงัก สายตาของเขาที่มองเธอเปลี่ยนไปเป็นความมืดมิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาเดินเข้ามาใกล้เธอช้าๆ จนเธอรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจของเขา
“เพราะฉันไม่มีทางเลือก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง “แม่ของฉันถูกฆ่าโดยพ่อของฉันเอง เพราะเขาเป็นมาเฟียที่โหดร้ายเกินกว่าจะรักใครได้ หลังจากนั้น เขาก็ตายในสงครามแก๊ง และฉันต้องรับช่วงต่อเพื่อปกป้องน้องชายของฉัน”
ธนิดารู้สึกถึงความหนักอึ้งในคำพูดของเขา เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขาและเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆ “ปกป้องน้องชายของคุณ? หมายความว่ายังไง”
“เขาป่วย” นาวินตอบ “โรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด ฉันต้องหาเงินให้มากที่สุดเพื่อรักษาเขา และเงาจันทราคือหนทางเดียวที่ฉันมี”
คำพูดของเขาทำให้ธนิดาเงียบไป เธอเริ่มเข้าใจว่าเบื้องหลังความเย็นชาและความโหดร้ายของเขา มีบางอย่างที่เปราะบางซ่อนอยู่ เธออยากจะถามอะไรต่อ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากบันไดหิน ลูกน้องของนาวินสองคนเดินลงมา โดยลากร่างของมณีที่ถูกมัดมือมัดเท้ามาด้วย
มณีอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ผมสีเทาของเธอยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และมีรอยช้ำที่ใบหน้าและแขน เธอถูกผลักลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้นหินเย็นต่อหน้าพวกเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็แฝงด้วยความท้าทาย
“เจอตัวแล้วครับ นายท่าน” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน “จับได้ที่โกดังร้างห่างจากที่นี่สิบกิโลเมตร เธอพยายามหนี แต่ไม่รอด”
นาวินมองมณีด้วยสายตาที่เย็นชา เขาค่อยๆ เดินไปยืนตรงหน้าเธอและก้มลงเพื่อมองตาเธอ “พูดมา ใครสั่งให้เธอทรยศฉัน”
มณีเงียบไปครู่หนึ่ง เธอกัดฟันแน่นและมองไปที่ธนิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะหันกลับมามองนาวิน
“แก๊งเสือดาวค่ะนายท่าน...” เธอพูดในที่สุด “พวกมันจ่ายเงินให้ฉันเพื่อส่งข่าว และเมื่อคืนฉันเป็นคนเปิดประตูให้พวกมันเข้ามา”
ธนิดารู้สึกถึงความตกใจที่พุ่งขึ้นมาในอกของเธอ เธอเคยสงสัยมณี แต่การได้ยินคำสารภาพจากปากของเธอเองทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น เธอมองไปที่นาวิน และเห็นใบหน้าของเขาที่แข็งกร้าวขึ้นทันที
“ทำไม” เขาถามต่อ น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกจนน่ากลัว “ฉันให้ทุกอย่างกับเธอ ที่อยู่อาศัย เงินทอง ทำไมเธอถึงหักหลังฉัน”
มณีหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นแหบแห้งและเต็มไปด้วยความขมขื่น “ทุกอย่างที่คุณให้ มันไม่เคยพอ! ฉันทำงานให้คุณมานาน แต่ฉันไม่เคยได้อิสรภาพ ฉันเบื่อที่จะเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมของคุณ พวกเสือดาวสัญญาว่าจะให้ฉันมากกว่านั้น มากกว่าที่คุณให้ทั้งหมด”
“แล้วเธอก็เชื่องั้นเหรอ” นาวินยืนนิ่ง สายตาของเขาจ้องมณีราวกับจะเผาเธอให้มอดไหม้ เขาหันไปสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พาเธอไปที่มุมห้อง”
ลูกน้องสองคนลากมณีไปที่มุมหนึ่งของห้องใต้ดิน เธอดิ้นรนและตะโกนออกมา “คุณฆ่าฉันไม่ได้! ฉันรู้ความลับของคุณมากเกินไป!” แต่คำพูดของเธอไม่มีผลอะไร นาวินหยิบปืนพกจากเอวของเขาและเดินไปหาเธอช้าๆ
“นาวิน!” ธนิดาตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว เธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “คุณจะทำอะไร?”
เขาหันมามองเธอชั่วครู่ สายตาของเขาเย็นชาแต่แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก “เธออยากอยู่ในโลกนี้ เธอต้องเรียนรู้ว่ามันทำงานยังไง” เขาพูด “จำไว้... คนที่ทรยศต้องไม่มีที่ยืน”
ก่อนที่ธนิดาจะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ยกปืนขึ้นเล็งไปที่มณี เธอกรีดร้องออกมาและพยายามคลานหนี แต่ลูกน้องจับเธอไว้แน่น
“อย่า!!!” ธนิดาร้องห้าม
ปัง!
กระสุนเจาะเข้าที่หน้าผากของมณี ร่างของเธอล้มลงกับพื้นทันที เลือดไหลนองออกมาจากบาดแผล กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นขึ้นในอากาศ
ธนิดารู้สึกถึงความตกใจที่พุ่งขึ้นมาจนแทบหยุดหายใจ เธอยกมือขึ้นปิดปากและถอยหลังไปสองสามก้าว ขาของเธอสั่นจนแทบยืนไม่อยู่นาวินหันกลับมามองเธอ ปืนในมือของเขายังมีควันลอยออกจากปลายกระบอก “นี่คือโลกที่ฉันอยู่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “และถ้าเธออยากรอด เธอต้องยอมรับมัน”
ธนิดารู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาในดวงตา เธออยากจะวิ่งหนี อยากจะตะโกนใส่เขาว่าเธอเกลียดโลกแห่งนี้ แต่ลึกๆ แล้ว เธอก็รู้ว่าเขาไม่ได้โกหก เธอเคยยิงปืนช่วยเขา เธอเคยเห็นความตายมาแล้ว และตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีทางหันหลังกลับ เธอเริ่มเข้าใจความโหดร้ายของที่นี่ และเข้าใจว่าเบื้องหลังความเย็นชาของนาวิน มีความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยพูดออกมา
“คุณ... คุณเคยเสียใจบ้างไหม” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
นาวินมองเธอนานกว่าปกติ ก่อนจะตอบ “ทุกวัน” เขาหันหลังและเดินออกจากห้องใต้ดินไป โดยทิ้งเธอไว้กับร่างของมณีและกลิ่นคาวเลือดที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ
ธนิดายืนนิ่งอยู่นาน เธอมองไปที่ร่างของมณีและรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจ ความลับที่แตกสลายในห้องนี้ไม่ใช่แค่ของมณี แต่เป็นของนาวินด้วย และตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอได้ก้าวเข้ามาในเงามืดที่ลึกเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการ
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
กระท่อมร้างที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามืดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไม้เปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังคาที่ผุพังมีน้ำฝนหยดลงมาเป็นระยะๆ ตกลงกระทบพื้นดินที่แข็งกระด้าง เสียงหยดน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่พังทลายบางส่วนแสงจันทร์ลอดผ่านรอยแตกของหลังคา สาดส่องลงมาเป็นลำแสงสีเงินอ่อนๆ ที่ตัดกับความมืดมิดของกระท่อม ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันร้ายที่ทั้งเงียบสงบและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกำแพงไม้ที่เย็นชืด ขาของเธอเกิดอาการชาจากการวิ่งหนีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยโคลน ปืนพกในมือของเธอยังคงกำแน่น เธอหายใจถี่และมองไปที่นาวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพิงกองไม้เก่าที่วางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาถูกพันผ้าใหม่จากชายเสื้อของเธอ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่พื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งคู่เงียบไปนานหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอกเมื่อครู่ โชคดีที่มันจางหายไปในหมอก และไม่ม
โกดังร้างที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืนที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ผนังเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและรอยกระสุนเก่าๆ ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ราวกับกำแพงของนรก ศพของลูกน้องเงาจันทราและเสือดาวกระจัดกระจายอยู่บนพื้นคอนกรีตที่เปื้อนเลือด บางศพมีบาดแผลถูกยิง บางศพถูกมีดแทงจนล้มตายในท่าที่น่าสยดสยอง กล่องไม้ที่เคยใช้เก็บยาเสพติดถูกระเบิดจนแตกกระจาย เศษไม้และฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว แสงจากโคมไฟเก่าที่ห้อยลงมาจากเพดานกระพริบเป็นระยะๆ สร้างเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นราวกับวิญญาณของคนตายยังคงวนเวียนอยู่นาวินยืนอยู่กลางโกดัง มีดสั้นในมือขวาของเขาชุ่มไปด้วยเลือด แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาห้อยลงอย่างไม่มีแรง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขาดวิ่นและเปื้อนเลือดทั้งของตัวเองและศัตรู ดวงตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มถึงขีดจำกัดธนิดายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ปืนพกในมือของเธอกำแน่น เธอหายใจถี่จากความตื่นเต้นและความกลัว เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เธอเพิ่งยิงลูกน้องของเสือดาวไปสองคนเพื่อปกป้องนาวิน และตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัว
แสงไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีเหลืองนวลส่องสว่างห้องพักในโรงแรมลับที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบๆ ของเมือง บรรยากาศในห้องนี้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ตัดกับความโหดร้ายของโลกภายนอก ผนังสีครีมที่เริ่มลอกบางจุดและม่านสีน้ำตาลเก่าที่ปิดหน้าต่างบานเดียวทำให้ห้องนี้ดูเหมือนที่หลบภัยชั่วคราวมากกว่าบ้าน กลิ่นยาและผ้าพันแผลลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นฝุ่นจากพรมเก่าที่วางอยู่ใต้เตียงเดี่ยวขนาดเล็ก โต๊ะไม้ตัวเก่าที่มีรอยขีดข่วนวางอยู่มุมห้อง ข้างๆ กันมีเก้าอี้สองตัวที่ดูไม่เข้ากันนาวินนั่งอยู่บนเตียง ร่างของเขายังอ่อนแรงจากบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ในโกดังเมื่อคืน แขนขวาของเขาถูกพันผ้าพันแผลแน่น ขาข้างซ้ายที่ถูกยิงมีผ้าก๊อซพันทับ และใบหน้าของเขาซีดจากความเจ็บปวดและการเสียเลือด เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่ลูกน้องคนหนึ่งของเขานำมาให้หลังจากที่หมอประจำตระกูลจัดการบาดแผลของเขาให้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่กล่องเหล็กเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นกล่องที่เขาเก็บเอกสารสำคัญเอาไว้ธนิดานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือดแห้งจากเมื่อคืน
ซู่ๆๆ!!!!ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาบ้านไม้เก่าของธนิดาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ้านสองชั้นที่สร้างจากไม้สักเก่าแก่ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนาที่ยื่นออกมาบดบังแสงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบตัว บรรยากาศเย็นชื้นและเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่ดังแว่วมาจากป่าด้านหลังบ้าน และกลิ่นดินเปียกที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศธนิดา วัย 25 ปี หญิงสาวร่างบางที่มีผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ขาดเล็กน้อยตรงชายเสื้อ และกางเกงยีนส์เก่าที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยหวานของเธอ ดวงตาคู่คมของเธอจ้องมองออกไปในความมืดที่ห่อหุ้มรอบบ้านราวกับพยายามมองหาความหวังบางอย่าง แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงเงาต้นไม้ที่โอนเอนไปตามแรงลม และสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง“ฝนตกหนักแบบนี้ คงไม่น่ามีใครมาแล้วหรอกมั้ง...” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความเหนื่อยล้าและความกังวล เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เริ่มเปียกชื้นจากไอฝนที่ลอยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทตั้งแต่พ่อของเธอหายตัวไปเมื่อสามเดือนก่อน ชีวิตของ
แสงไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีเหลืองนวลส่องสว่างห้องพักในโรงแรมลับที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบๆ ของเมือง บรรยากาศในห้องนี้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ตัดกับความโหดร้ายของโลกภายนอก ผนังสีครีมที่เริ่มลอกบางจุดและม่านสีน้ำตาลเก่าที่ปิดหน้าต่างบานเดียวทำให้ห้องนี้ดูเหมือนที่หลบภัยชั่วคราวมากกว่าบ้าน กลิ่นยาและผ้าพันแผลลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นฝุ่นจากพรมเก่าที่วางอยู่ใต้เตียงเดี่ยวขนาดเล็ก โต๊ะไม้ตัวเก่าที่มีรอยขีดข่วนวางอยู่มุมห้อง ข้างๆ กันมีเก้าอี้สองตัวที่ดูไม่เข้ากันนาวินนั่งอยู่บนเตียง ร่างของเขายังอ่อนแรงจากบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ในโกดังเมื่อคืน แขนขวาของเขาถูกพันผ้าพันแผลแน่น ขาข้างซ้ายที่ถูกยิงมีผ้าก๊อซพันทับ และใบหน้าของเขาซีดจากความเจ็บปวดและการเสียเลือด เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่ลูกน้องคนหนึ่งของเขานำมาให้หลังจากที่หมอประจำตระกูลจัดการบาดแผลของเขาให้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่กล่องเหล็กเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นกล่องที่เขาเก็บเอกสารสำคัญเอาไว้ธนิดานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือดแห้งจากเมื่อคืน
โกดังร้างที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืนที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ผนังเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและรอยกระสุนเก่าๆ ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ราวกับกำแพงของนรก ศพของลูกน้องเงาจันทราและเสือดาวกระจัดกระจายอยู่บนพื้นคอนกรีตที่เปื้อนเลือด บางศพมีบาดแผลถูกยิง บางศพถูกมีดแทงจนล้มตายในท่าที่น่าสยดสยอง กล่องไม้ที่เคยใช้เก็บยาเสพติดถูกระเบิดจนแตกกระจาย เศษไม้และฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว แสงจากโคมไฟเก่าที่ห้อยลงมาจากเพดานกระพริบเป็นระยะๆ สร้างเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นราวกับวิญญาณของคนตายยังคงวนเวียนอยู่นาวินยืนอยู่กลางโกดัง มีดสั้นในมือขวาของเขาชุ่มไปด้วยเลือด แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาห้อยลงอย่างไม่มีแรง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขาดวิ่นและเปื้อนเลือดทั้งของตัวเองและศัตรู ดวงตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มถึงขีดจำกัดธนิดายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ปืนพกในมือของเธอกำแน่น เธอหายใจถี่จากความตื่นเต้นและความกลัว เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เธอเพิ่งยิงลูกน้องของเสือดาวไปสองคนเพื่อปกป้องนาวิน และตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัว
กระท่อมร้างที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามืดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไม้เปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังคาที่ผุพังมีน้ำฝนหยดลงมาเป็นระยะๆ ตกลงกระทบพื้นดินที่แข็งกระด้าง เสียงหยดน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่พังทลายบางส่วนแสงจันทร์ลอดผ่านรอยแตกของหลังคา สาดส่องลงมาเป็นลำแสงสีเงินอ่อนๆ ที่ตัดกับความมืดมิดของกระท่อม ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันร้ายที่ทั้งเงียบสงบและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกำแพงไม้ที่เย็นชืด ขาของเธอเกิดอาการชาจากการวิ่งหนีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยโคลน ปืนพกในมือของเธอยังคงกำแน่น เธอหายใจถี่และมองไปที่นาวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพิงกองไม้เก่าที่วางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาถูกพันผ้าใหม่จากชายเสื้อของเธอ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่พื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งคู่เงียบไปนานหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอกเมื่อครู่ โชคดีที่มันจางหายไปในหมอก และไม่ม
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้องธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะว