กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อน
แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้อง
ธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้
เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา
“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะวางมันลงบนที่เขี่ยบุหรี่สีเงินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
ธนิดาหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมสติ เธอรู้ว่านี่คือโอกาสที่เธอจะต้องพูดความจริงบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอควรเปิดเผยทุกอย่างที่ภูมิพูดกับเธอหรือไม่ เธอตัดสินใจเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง
“ฉันรู้สึกเหมือนกันว่าป้ามณีมีท่าทีแปลกๆ” เธอเริ่มพูด “เมื่อวานตอนที่เธอเอาอาหารมาให้ ฉันเห็นเธอหลบตา และมือของเธอสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง พอเธอหันหลัง ฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจากกระเป๋าเสื้อของเธอ เธอรีบปิดมันทันทีเหมือนไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอกำลังติดต่อกับใคร”
นาวินนั่งนิ่ง สายตาของเขาจ้องมาที่เธออย่างพิจารณา เขาดูเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักคำพูดของเธออยู่ว่าจะเชื่อหรือไม่ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าเบาๆ
“ฉันสงสัยมณีมานานแล้ว” เขาพูด “เธอทำงานที่นี่มากว่าสิบปี ฉันเคยไว้ใจเธอ แต่ตั้งแต่สองสามเดือนก่อน เธอเริ่มมีท่าทีแปลกๆ”
“แปลกยังไงคะ” ธนิดาถามต่อ เธอขยับตัวเข้าใกล้โต๊ะเล็กน้อยเพื่อฟังคำตอบของเขาให้ชัดขึ้น
“เธอหายตัวไปจากคฤหาสน์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะตอนกลางคืน” นาวินตอบ “ฉันเคยส่งคนตามเธอ แต่เธอฉลาดเกินกว่าจะทิ้งหลักฐานไว้ และเมื่อวานตอนที่เสือดาวบุกมา เธออยู่ใกล้โถงทางเข้า แต่กลับไม่มีรอยขีดข่วนสักนิด”
ธนิดารู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไหลผ่านร่างของเธอ คำพูดของนาวินสอดคล้องกับสิ่งที่ภูมิเตือนเธอในสวนเมื่อวานนี้ เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่ามณีต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แต่คำถามที่ยังค้างอยู่ในใจของเธอคือ ถ้ามณีเป็นสายลับของเสือดาวจริง ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่นานขนาดนี้โดยไม่มีใครจับได้
“คุณมีหลักฐานอะไรบ้าง” เธอถาม “ถ้าคุณสงสัยเธอมานาน ทำไมไม่จัดการเธอไปเลยล่ะ”
นาวินยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม “เพราะฉันต้องการจับตัวการที่แท้จริง ไม่ใช่แค่หมากตัวเล็กๆ อย่างมณี ถ้าเธอเป็นสายลับจริง คนที่สั่งเธอต้องเป็นคนใหญ่กว่านี้ และฉันจะไม่ลงมือจนกว่าฉันจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
ธนิดาพยักหน้ารับ เธอเข้าใจตรรกะของเขา แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงความอันตรายที่เพิ่มขึ้น ถ้ามณีเป็นสายลับจริง และถ้าเธอถูกจับได้ว่ากำลังสอดแนม เธออาจตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่เธอคิด
นาวินลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปที่ตู้เล็กๆ ข้างตู้หนังสือ เขาเปิดลิ้นชักและหยิบปืนพกสีดำขนาดกะทัดรัดออกมา ก่อนจะเดินกลับมาที่เธอและยื่นมันให้เธอ
“อะไร ให้ฉันทำไม” ธนิดาถามด้วยความสงสัย เธอมองปืนในมือของเขาด้วยสายตาที่ระแวง
“เก็บไว้ป้องกันตัว” เขาตอบสั้นๆ “ถ้าเธอจะช่วยฉันสอดแนม เธอต้องมีอะไรติดตัวไว้บ้าง”
ธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าการรับปืนจากเขาคือการยอมรับบทบาทที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในโลกนี้ โลกที่เธอไม่เคยอยากเข้ามา แต่เมื่อเธอนึกถึงร่างของลุงสมชายที่นอนจมกองเลือด และการต่อสู้เมื่อคืนที่เธอเกือบตาย เธอก็รู้ว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่น เธอยื่นมือออกไปรับปืนนั้นและจับมันแน่น มันเย็นและหนักในมือของเธอ แต่ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยในแบบที่แปลกประหลาด
“ในโลกนี้ไม่มีใครไว้ใจได้” นาวินพูดต่อ น้ำเสียงของเขาต่ำลงจนแทบเป็นกระซิบ “แม้แต่ฉัน...”
คำพูดของเขาทำให้ธนิดาชะงัก เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพยายามหาความหมายที่ซ่อนอยู่ แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงความมืดมิดที่ลึกเกินหยั่งถึง เธอพยักหน้าเบาๆ และเก็บปืนไว้ที่เอวของเธอ โดยซ่อนมันไว้ใต้เสื้อเชิ้ตนั้น
“ฉันจะจำไว้” เธอตอบ “แต่ถ้าฉันช่วยคุณ คุณต้องสัญญาว่าจะลดหนี้ของพ่อฉันจริงๆ”
นาวินยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเธอทำได้ดี ฉันจะพิจารณา”
เขาหันหลังและเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ธนิดารู้ว่านี่คือสัญญาณให้เธอออกไป เธอเดินออกจากห้องทำงานด้วยหัวใจที่เต้นแรง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งก้าวเข้าไปในเกมที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม เกมแห่งความไว้ใจที่ไม่มีใครรู้ว่าใครคือมิตรหรือศัตรู
คืนนั้น ธนิดานอนไม่หลับ เธอนั่งอยู่บนเตียงในห้องพักของเธอ มือของเธอจับปืนที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนแน่น ความเงียบในคฤหาสน์ทำให้เธอรู้สึกกดดันผิดปกติ เธอพยายามทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้น คำพูดของภูมิเกี่ยวกับมณี คำเตือนของนาวิน และท่าทีแปลกๆ ของมณีที่เธอเห็นเมื่อวาน เธอตัดสินใจว่าเธอจะต้องหาทางเข้าใกล้มณีให้มากขึ้นเพื่อหาความจริง
ปัง!
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงปืนดังขึ้นจากชั้นล่างของคฤหาสน์ ทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงฝีเท้าที่วิ่งกันวุ่นวาย เธอรีบคว้าปืนจากใต้หมอนและลุกขึ้นยืนทันที หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก
“เกิดอะไรขึ้น?!” เธอพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะวิ่งไปที่ประตู เธอพยายามบิดลูกบิด แต่ประตูถูกล็อกจากด้านนอกเหมือนทุกคืน เธอทุบประตูสองสามครั้งและตะโกนออกไป “มีใครอยู่ข้างนอกไหม!! ปลดล็อกเดี๋ยวนี้!”
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเฉพาะเสียงปืนที่ดังขึ้นอีกสองนัด...
ปัง! ปัง!
เสียงร้องโอดครวญที่ดังแว่วมาจากโถงชั้นล่าง เธอรู้สึกถึงความกลัวที่พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันผสมกับความโกรธ เธอไม่ยอมถูกขังไว้ที่นี่โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ธนิดามองไปรอบๆ ห้องและเห็นเก้าอี้ไม้ตัวเล็กที่วางอยู่ใกล้โต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาและทุบไปที่ลูกบิดประตูด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี
ปัง! ปัง! ปัง!
หลังจากทุบไปสามครั้ง ลูกบิดก็หลุดออก และประตูเปิดแง้มออกเล็กน้อย เธอผลักมันออกและวิ่งออกไปจากห้องทันที
เมื่อเธอมาถึงโถงชั้นล่าง สิ่งที่เธอเห็นทำให้เธอหยุดชะงัก ร่างของลูกน้องนาวินสองคนนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นหินอ่อน หนึ่งในนั้นมีบาดแผลถูกยิงที่หน้าอก อีกคนถูกยิงที่ศีรษะ เลือดไหลนองออกมาจนพื้นเปื้อนเป็นสีแดงเข้ม กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นควันปืนลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เธอรู้สึกคลื่นไส้พุ่งขึ้นมา แต่เธอกัดฟันแน่นเพื่อกลั้นมันไว้
“นาวิน!” เธอตะโกนเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เธอเดินไปที่โถงทางเข้าหลัก ซึ่งยังคงมีร่องรอยความเสียหายจากการบุกเมื่อสองคืนก่อน ประตูหน้าถูกเปิดทิ้งไว้ และลมเย็นจากด้านนอกพัดเข้ามาพร้อมกับละอองฝนบางๆ
ขณะที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหันกลับไปและเห็นนาวินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ เขาถือปืนพกในมือ และเลือดเปื้อนอยู่ที่แขนเสื้อของเขา แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เลือดของเขาเอง
“เกิดอะไรขึ้น” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“มีคนบุกเข้ามา” เขาตอบสั้นๆ “ฆ่าลูกน้องฉันสองคนแล้วหนีไป”
“ใคร...” เธอถามต่อ
นาวินมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา “ฉันยังไม่รู้ แต่มีคนที่ฉันสงสัย...” เขาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “...มณีหายตัวไป”
ธนิดารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น คำพูดของภูมิและคำเตือนของนาวินเกี่ยวกับมณีผุดขึ้นมาในหัวของเธอทันที
“คุณคิดว่าเธอเป็นคนทำเหรอ” เธอถาม
“อาจจะ” นาวินตอบ “หรือเธออาจเป็นคนเปิดทางให้ศัตรูเข้ามา ไม่ว่าจะยังไง เธอก็หายตัวไปแล้ว และฉันจะตามหาเธอให้เจอ”
เขาหันไปสั่งลูกน้องที่เริ่มวิ่งเข้ามาในโถง “ตามหามณีเดี๋ยวนี้! ถ้าเจอ อย่าปล่อยให้รอด!” จากนั้นเขาหันกลับมามองธนิดา “ส่วนเธอ กลับไปที่ห้อง และระวังตัวให้ดี”
ธนิดาพยักหน้ารับ แต่ในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถาม มณีหายไปจริงหรือ หรือเธอถูกฆ่าตายและซ่อนร่างไว้ที่ไหนสักแห่งกันแน่ แล้วถ้ามณีเป็นสายลับของเสือดาวจริง ทำไมเธอถึงเลือกหนีไปตอนนี้ ทำไมไม่รอจังหวะที่ดีกว่านี้อีกสักหน่อย
เมื่อเธอกลับมาที่ห้องพักของตัวเองในคืนนั้น เธอนั่งลงบนเตียงและจับปืนที่เขาให้มาแน่น เธอรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในทุกอณูของร่างกาย และคำพูดของนาวินที่ว่า ‘ในโลกนี้ไม่มีใครไว้ใจได้ แม้แต่ฉัน’ ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอ เธอเริ่มรู้สึกว่าเกมแห่งความไว้ใจนี้กำลังจะกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจบ และเธออาจต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ในไม่ช้า
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
กระท่อมร้างที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามืดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไม้เปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังคาที่ผุพังมีน้ำฝนหยดลงมาเป็นระยะๆ ตกลงกระทบพื้นดินที่แข็งกระด้าง เสียงหยดน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่พังทลายบางส่วนแสงจันทร์ลอดผ่านรอยแตกของหลังคา สาดส่องลงมาเป็นลำแสงสีเงินอ่อนๆ ที่ตัดกับความมืดมิดของกระท่อม ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันร้ายที่ทั้งเงียบสงบและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกำแพงไม้ที่เย็นชืด ขาของเธอเกิดอาการชาจากการวิ่งหนีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยโคลน ปืนพกในมือของเธอยังคงกำแน่น เธอหายใจถี่และมองไปที่นาวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพิงกองไม้เก่าที่วางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาถูกพันผ้าใหม่จากชายเสื้อของเธอ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่พื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งคู่เงียบไปนานหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอกเมื่อครู่ โชคดีที่มันจางหายไปในหมอก และไม่ม
โกดังร้างที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืนที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ผนังเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและรอยกระสุนเก่าๆ ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ราวกับกำแพงของนรก ศพของลูกน้องเงาจันทราและเสือดาวกระจัดกระจายอยู่บนพื้นคอนกรีตที่เปื้อนเลือด บางศพมีบาดแผลถูกยิง บางศพถูกมีดแทงจนล้มตายในท่าที่น่าสยดสยอง กล่องไม้ที่เคยใช้เก็บยาเสพติดถูกระเบิดจนแตกกระจาย เศษไม้และฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว แสงจากโคมไฟเก่าที่ห้อยลงมาจากเพดานกระพริบเป็นระยะๆ สร้างเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นราวกับวิญญาณของคนตายยังคงวนเวียนอยู่นาวินยืนอยู่กลางโกดัง มีดสั้นในมือขวาของเขาชุ่มไปด้วยเลือด แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาห้อยลงอย่างไม่มีแรง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขาดวิ่นและเปื้อนเลือดทั้งของตัวเองและศัตรู ดวงตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มถึงขีดจำกัดธนิดายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ปืนพกในมือของเธอกำแน่น เธอหายใจถี่จากความตื่นเต้นและความกลัว เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เธอเพิ่งยิงลูกน้องของเสือดาวไปสองคนเพื่อปกป้องนาวิน และตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัว
แสงไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีเหลืองนวลส่องสว่างห้องพักในโรงแรมลับที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบๆ ของเมือง บรรยากาศในห้องนี้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ตัดกับความโหดร้ายของโลกภายนอก ผนังสีครีมที่เริ่มลอกบางจุดและม่านสีน้ำตาลเก่าที่ปิดหน้าต่างบานเดียวทำให้ห้องนี้ดูเหมือนที่หลบภัยชั่วคราวมากกว่าบ้าน กลิ่นยาและผ้าพันแผลลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นฝุ่นจากพรมเก่าที่วางอยู่ใต้เตียงเดี่ยวขนาดเล็ก โต๊ะไม้ตัวเก่าที่มีรอยขีดข่วนวางอยู่มุมห้อง ข้างๆ กันมีเก้าอี้สองตัวที่ดูไม่เข้ากันนาวินนั่งอยู่บนเตียง ร่างของเขายังอ่อนแรงจากบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ในโกดังเมื่อคืน แขนขวาของเขาถูกพันผ้าพันแผลแน่น ขาข้างซ้ายที่ถูกยิงมีผ้าก๊อซพันทับ และใบหน้าของเขาซีดจากความเจ็บปวดและการเสียเลือด เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่ลูกน้องคนหนึ่งของเขานำมาให้หลังจากที่หมอประจำตระกูลจัดการบาดแผลของเขาให้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่กล่องเหล็กเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นกล่องที่เขาเก็บเอกสารสำคัญเอาไว้ธนิดานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือดแห้งจากเมื่อคืน
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาผ่านหลังคามุงจากของร้านกาแฟริมทะเลหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนชายหาดอันเงียบสงบ ลมทะเลพัดเบาๆ พัดพากลิ่นเค็มของน้ำทะเลและกลิ่นหอมของกาแฟคั่วใหม่เข้ามาในร้าน โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มที่วางเรียงรายอยู่นอกชานร้านถูกประดับด้วยแจกันดอกไม้ป่าขนาดเล็ก เก้าอี้หวายที่ดูเรียบง่ายแต่สะดวกสบายวางคู่กันเป็นระเบียบ เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งดังแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงนกร้องที่ลอยมาจากต้นมะพร้าวสูงใหญ่ที่เรียงรายตามแนวชายฝั่ง ทุกอย่างในที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่น เป็นโลกที่ห่างไกลจากความโหดร้ายและความตายที่เคยครอบงำชีวิตของนาวินและธนิดานาวินนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งของชานร้าน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ปลดกระดุมเม็ดบน และกางเกงยีนส์สีเข้มที่ดูสบายๆ รอยแผลเป็นที่แขนและขาของเขายังคงมองเห็นได้ แต่บาดแผลส่วนใหญ่หายดีแล้ว เขาดูผ่อนคลายมากกว่าที่เคยเป็น ดวงตาคู่คมของเขาที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความระแวงตอนนี้สงบนิ่งและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาถือแก้วกาแฟในมือ และมองออกไปที่ทะเลที่ทอดยาวไปถึงขอบฟ้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยความหวังธนิดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา เธอสวมชุด
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาบนชายหาดที่เงียบสงบ ผ่านหน้าต่างไม้บานใหญ่ของบ้านพักริมทะเลหลังเล็กๆ คลื่นซัดเข้าฝั่งอย่างแผ่วเบา เสียงของมันดังเป็นจังหวะที่สงบและนุ่มนวล ต่างจากค่ำคืนแห่งสงครามเมื่อสองสัปดาห์ก่อนลมทะเลพัดพากลิ่นเค็มของน้ำและกลิ่นหญ้าสดจากสวนเล็กๆ หน้าบ้านเข้ามาในห้อง ผนังไม้สีน้ำตาลอ่อนของบ้านพักถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะไม้ตัวเล็กวางอยู่กลางห้อง ข้างๆ กันเป็นโซฟาผ้าสีครีมที่ดูนุ่มนวล ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย สิ่งที่ทั้งนาวินและธนิดาไม่เคยสัมผัสมาเนิ่นนานนาวินนั่งอยู่บนโซฟา ขาข้างซ้ายของเขายังคงพันผ้าพันแผล แต่บาดแผลที่ไหล่และแขนของเขาเริ่มหายดี เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมสองเม็ดด้านบน และกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินที่ดูสบายๆ ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายมากกว่าที่เคยเป็น ดวงตาคู่คมที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความระแวงตอนนี้สงบนิ่ง เขาถือแก้วกาแฟในมือ และมองออกไปที่ทะเลที่ทอดยาวไปถึงขอบฟ้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยความหวังธนิดานั่งอยู่ข้างเขา เธอสวมชุดเดรสสีขาวบางเบาที่ปลิวไหวไปตามลม ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอถูกรวบไว้หลวมๆ แ
ลมแรงจากทะเลพัดผ่านชายหาดยามค่ำที่เงียบสงัด เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านต้นมะพร้าวที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายฝั่ง ท้องฟ้าสีดำสนิทถูกแต้มด้วยดวงดาวระยิบระยับ แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนผืนทรายสีขาวทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน กลิ่นเค็มของน้ำทะเลลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นดินและความชื้นจากพายุที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อบ่ายนี้ ชายหาดแห่งนี้ควรจะเป็นสถานที่แห่งความสงบ แต่ในคืนนี้ มันกลายเป็นสนามรบสุดท้ายนาวินยืนอยู่บนผืนทราย ร่างกายของเขายังคงอ่อนแรงจากบาดแผลที่ได้รับเมื่อสองวันก่อน ปืนกลสั้นในมือขวาของเขาถูกกำเอาไว้แน่น ขาข้างซ้ายที่ถูกพันผ้าพันแผลทำให้เขายืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่สายตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยความมุ่งมั่นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ และมีมีดสั้นเหน็บอยู่ที่เอวเป็นอาวุธสำรอง ธนิดายืนเคียงข้างเขา ปืนพกในมือของเธอเล็งไปข้างหน้า เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่ขาดวิ่น และผมสีน้ำตาลเข้มของเธอปลิวไสวไปตามสายลม หัวใจของเธอเต้นรัว แต่ความกลัวในใจถู
แสงไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีเหลืองนวลส่องสว่างห้องพักในโรงแรมลับที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบๆ ของเมือง บรรยากาศในห้องนี้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ตัดกับความโหดร้ายของโลกภายนอก ผนังสีครีมที่เริ่มลอกบางจุดและม่านสีน้ำตาลเก่าที่ปิดหน้าต่างบานเดียวทำให้ห้องนี้ดูเหมือนที่หลบภัยชั่วคราวมากกว่าบ้าน กลิ่นยาและผ้าพันแผลลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นฝุ่นจากพรมเก่าที่วางอยู่ใต้เตียงเดี่ยวขนาดเล็ก โต๊ะไม้ตัวเก่าที่มีรอยขีดข่วนวางอยู่มุมห้อง ข้างๆ กันมีเก้าอี้สองตัวที่ดูไม่เข้ากันนาวินนั่งอยู่บนเตียง ร่างของเขายังอ่อนแรงจากบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ในโกดังเมื่อคืน แขนขวาของเขาถูกพันผ้าพันแผลแน่น ขาข้างซ้ายที่ถูกยิงมีผ้าก๊อซพันทับ และใบหน้าของเขาซีดจากความเจ็บปวดและการเสียเลือด เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่ลูกน้องคนหนึ่งของเขานำมาให้หลังจากที่หมอประจำตระกูลจัดการบาดแผลของเขาให้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่กล่องเหล็กเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นกล่องที่เขาเก็บเอกสารสำคัญเอาไว้ธนิดานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือดแห้งจากเมื่อคืน
โกดังร้างที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืนที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ผนังเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและรอยกระสุนเก่าๆ ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ราวกับกำแพงของนรก ศพของลูกน้องเงาจันทราและเสือดาวกระจัดกระจายอยู่บนพื้นคอนกรีตที่เปื้อนเลือด บางศพมีบาดแผลถูกยิง บางศพถูกมีดแทงจนล้มตายในท่าที่น่าสยดสยอง กล่องไม้ที่เคยใช้เก็บยาเสพติดถูกระเบิดจนแตกกระจาย เศษไม้และฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว แสงจากโคมไฟเก่าที่ห้อยลงมาจากเพดานกระพริบเป็นระยะๆ สร้างเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นราวกับวิญญาณของคนตายยังคงวนเวียนอยู่นาวินยืนอยู่กลางโกดัง มีดสั้นในมือขวาของเขาชุ่มไปด้วยเลือด แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาห้อยลงอย่างไม่มีแรง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขาดวิ่นและเปื้อนเลือดทั้งของตัวเองและศัตรู ดวงตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มถึงขีดจำกัดธนิดายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ปืนพกในมือของเธอกำแน่น เธอหายใจถี่จากความตื่นเต้นและความกลัว เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เธอเพิ่งยิงลูกน้องของเสือดาวไปสองคนเพื่อปกป้องนาวิน และตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัว
กระท่อมร้างที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามืดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไม้เปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังคาที่ผุพังมีน้ำฝนหยดลงมาเป็นระยะๆ ตกลงกระทบพื้นดินที่แข็งกระด้าง เสียงหยดน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่พังทลายบางส่วนแสงจันทร์ลอดผ่านรอยแตกของหลังคา สาดส่องลงมาเป็นลำแสงสีเงินอ่อนๆ ที่ตัดกับความมืดมิดของกระท่อม ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันร้ายที่ทั้งเงียบสงบและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกำแพงไม้ที่เย็นชืด ขาของเธอเกิดอาการชาจากการวิ่งหนีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยโคลน ปืนพกในมือของเธอยังคงกำแน่น เธอหายใจถี่และมองไปที่นาวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพิงกองไม้เก่าที่วางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาถูกพันผ้าใหม่จากชายเสื้อของเธอ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่พื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งคู่เงียบไปนานหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอกเมื่อครู่ โชคดีที่มันจางหายไปในหมอก และไม่ม
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ