ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่รถยนต์สีดำคันใหญ่อย่างเบนท์ลีย์ รุ่นเบนเทก้า พาธนิดามุ่งหน้าสู่จุดหมายที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ เสียงเครื่องยนต์ดังครืดคราดผสมกับเสียงหยดน้ำที่กระทบกระจกรถ ทำให้ภายในรถเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด
นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ สายตาของเขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้ ใบหน้าคมเข้มของเขาถูกแสงจากไฟถนนที่สาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ เน้นให้เห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่มุมคิ้วซ้าย ซึ่งธนิดาเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก
เธอขยับตัวเล็กน้อยบนเบาะหนังสีดำที่เย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างของเธอถูกมัดไว้หลวมๆ ด้วยเชือกไนลอนสีดำ ซึ่งลูกน้องของนาวินผูกไว้ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านไม้เก่าของเธอ ความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือจากการถูกกระชากยังคงอยู่ แต่เธอพยายามไม่แสดงออกมาให้เขาเห็น เธอหันไปมองนาวินอีกครั้ง พยายามหาคำตอบจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา แต่สิ่งที่เธอได้กลับมามีเพียงความเงียบงันที่สร้างความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นในใจของเธอ
“นี่เราจะกำลังจะไปไหนกัน” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่น แต่ความสั่นเทาในน้ำเสียงของเธอก็ยังหลุดออกมาเล็กน้อย
นาวินหันหน้ามามองเธอช้าๆ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับพยายามอ่านความคิดของเธอ “ที่ที่เธอจะได้พิสูจน์ว่าตัวเองมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ” เขาตอบสั้นๆ น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกเหมือนสายฝนที่กำลังตกลงมาด้านนอก
ธนิดากัดริมฝีปากแน่น เธออยากจะโต้กลับ อยากจะถามเขาว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอ แต่คำพูดทั้งหมดกลับติดอยู่ที่ลำคอ เธอรู้ดีว่าการขัดขืนในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เธอได้แต่ก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ถูกมัด และพยายามสงบสติเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้
รถยนต์เคลื่อนตัวผ่านถนนที่มืดมิดเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดมันก็ชะลอความเร็วลงและเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงตระหง่าน ประตูเหล็กขนาดใหญ่เปิดออกอัตโนมัติ เผยให้เห็นคฤหาสน์ขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี แสงไฟจากตัวอาคารสาดส่องออกมาเป็นวงกว้าง ทำให้ธนิดาเห็นโครงสร้างของมันได้ชัดเจน คฤหาสน์นี้ไม่ใช่บ้านธรรมดา มันดูเหมือนป้อมปราการมากกว่า ด้วยกำแพงสูง หอคอยเล็กๆ ที่มุมอาคาร และกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ทุกหนแห่ง
“ที่นี่คือที่ไหน?” เธอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“บ้านของฉัน” นาวินตอบสั้นๆ “และจากนี้ไป มันจะเป็นคุกของเธอด้วย”
รถหยุดลงหน้าประตูทางเข้าหลัก ลูกน้องของนาวินสองคนรีบลงจากรถและเปิดประตูให้เขา เขาก้าวลงจากรถด้วยท่าทีสง่างามราวกับเจ้าของอาณาจักร ก่อนจะหันกลับมาสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พาเธอไปที่ห้องพักชั้นบน ล็อกประตูให้แน่น”
ธนิดาถูกดึงตัวลงจากรถอย่างแรง เธอสะดุดเล็กน้อยเมื่อเท้าของเธอสัมผัสพื้นหินอ่อนที่เปียกชื้นจากฝน ลูกน้องคนหนึ่งจับแขนเธอแน่นและพาเธอเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ขณะที่อีกคนเดินตามหลังพร้อมปืนกลสั้นที่เล็งมาที่เธอตลอดเวลา
ภายในคฤหาสน์นั้นกว้างขวางและหรูหราเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้ พื้นปูด้วยหินอ่อนสีดำเงาวับ เพดานสูงตระหง่านประดับด้วยโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ส่งแสงระยิบระยับไปทั่วทั้งห้องโถง บันไดวนขนาดใหญ่ที่ทอดตัวขึ้นไปยังชั้นบนดูเหมือนจะถูกแกะสลักจากไม้ชั้นดี แต่ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูสวยงาม ความรู้สึกเย็นชาและตึงเครียดก็ยังคงลอยอยู่ในอากาศ ราวกับว่าคฤหาสน์แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างที่มืดมิดเอาไว้
เธอถูกพาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง และเดินผ่านโถงทางเดินยาวที่มีประตูไม้หนักทนปิดสนิทอยู่ทั้งสองฝั่ง เสียงฝีเท้าของลูกน้องนาวินดังก้องไปทั่วโถงทางเดินนั้น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกพาไปสู่ห้องขังมากกว่าห้องพัก ในที่สุดพวกเขาก็หยุดลงหน้าประตูบานหนึ่ง ลูกน้องคนที่จับแขนเธอผลักเธอเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูและล็อกมันจากด้านนอกทันที
ธนิดามองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป เตียงนอนขนาดคิงไซส์ถูกจัดวางไว้กลางห้อง ผ้าปูที่นอนสีเทาเข้มดูสะอาดและเรียบร้อย หน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นป่าด้านนอกถูกปิดด้วยม่านกำมะหยี่สีดำหนา และมีโต๊ะไม้เล็กๆ พร้อมเก้าอี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง แต่สิ่งที่ทำให้เธอสะดุดตามากที่สุดคือกล้องวงจรปิดตัวเล็กที่ติดตั้งอยู่มุมเพดาน มันกำลังหมุนช้าๆ และส่งแสงแดงกระพริบเป็นระยะๆ
“เขาคิดจะจับตาดูฉันตลอดเวลางั้นเหรอ” เธอพึมพำกับตัวเอง ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธออีกครั้ง เธอเดินไปที่ประตูและพยายามบิดลูกบิด แต่มันไม่ขยับเลยสักนิด เธอทุบประตูสองสามครั้งด้วยความโมโห แต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านนอก
ในขณะที่เธอกำลังหาทางออกอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู เธอถอยหลังไปสองสามก้าว และเตรียมตัวเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเข้ามา ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขายังคงสวมเสื้อโค้ตสีดำเปียกฝน แต่ตอนนี้เขาได้ถอดหมวกออกแล้ว ทำให้เธอเห็นผมสีดำสนิทที่เปียกชุ่มและถูกปัดไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย
“เธอจะต้องอยู่ที่นี่” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “จนกว่าหนี้ 50 ล้านบาทของพ่อเธอจะถูกชดใช้”
“แล้วถ้าฉันหาเงินไม่ได้ล่ะ” ธนิดาถามกลับทันควัน เธอพยายามมองเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อหาความเมตตาสักนิด แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงความว่างเปล่า
“ถ้าเธอหาไม่ได้...” เขาหยุดพูดชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เธอจนเธอรู้สึกถึงกลิ่นน้ำฝนและบุหรี่ที่ติดมากับตัวเขา “เธอจะต้องทำงานให้ฉัน จนกว่าฉันจะพอใจ หรือจนกว่าฉันจะเบื่อเธอ”
“คุณหมายความว่ายังไง ทำงานอะไร?” เธอถามต่อ แม้ว่าในใจของเธอจะเริ่มเดาคำตอบได้แล้ว
นาวินยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม “เงาจันทราไม่ใช่แค่แก๊งธรรมดา เราเป็นเจ้าของเมืองนี้ การค้ายาเสพติด การพนันใต้ดิน ทุกอย่างอยู่ในมือของฉัน และถ้าเธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ เธอจะต้องพิสูจน์ว่าเธอมีประโยชน์กับฉัน”
ธนิดารู้สึกถึงความหนาวเย็นที่วิ่งผ่านกระดูกสันหลังของเธอ เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าจากพ่อของเธอเกี่ยวกับแก๊งมาเฟียที่ควบคุมเมืองนี้ แต่เธอไม่เคยคิดว่ามันจะโหดร้ายและมืดมิดขนาดนี้ เธออยากจะปฏิเสธ อยากจะบอกเขาว่าเธอไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ แต่เมื่อเธอนึกถึงร่างของลุงสมชายที่นอนจมกองเลือด คำพูดทั้งหมดก็หายไปจากปากของเธอ
“ฉันจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน” เธอถามออกไปแทน
“นานเท่าที่ฉันต้องการ” นาวินตอบ “หรือจนกว่าฉันจะได้เงินครบ”
เขาหันหลังและเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ประตูถูกปิดและล็อกอีกครั้ง ทิ้งเธอไว้ในความเงียบที่หนักอึ้ง เธอทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มือของเธอกำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกลืนเข้าไปในเงามืดที่ไม่มีวันสิ้นสุด และนาวินคือเงาที่ใหญ่ที่สุดในนั้น
หลังจากที่เธอนั่งนิ่งอยู่นานหลายนาที เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ธนิดาสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดแม่บ้านสีเทาเข้ม เธอมีใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความลึกลับ ดวงตาของเธอเล็กและคม มองมาที่ธนิดาด้วยสายตาที่พิจารณา
“ฉันชื่อมณีค่ะ” หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ฉันจะดูแลความสะดวกของคุณธนิดาที่นี่ค่ะ”
ธนิดามองมณีด้วยความระแวง เธอสังเกตเห็นว่าแขนของมณีมีรอยแผลเป็นยาวที่มองเห็นได้ลางๆ ใต้แขนเสื้อที่เลิกขึ้นเล็กน้อย “ดูแลฉันหรือจับตาดูฉันกันแน่” เธอถามออกไปโดยไม่สนใจว่าจะฟังดูหยาบคายหรือไม่
มณียิ้มบางๆ แต่ไม่ตอบคำถาม เธอวางถาดอาหารที่มีข้าวต้มร้อนๆ และน้ำเปล่าลงบนโต๊ะเล็กๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง ธนิดาสังเกตเห็นว่าเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ มณีอาจไม่ใช่แค่แม่บ้านธรรมดาอย่างที่เธอพูด
ไม่นานหลังจากนั้น ชายอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู เขาสูงและผอม มีผมสั้นสีน้ำตาลเข้มที่ถูกหวีเรียบไปด้านหลัง เขาสวมเสื้อสูทสีดำเหมือนลูกน้องคนอื่นๆ แต่ท่าทางของเขาดูสงบและเย็นชากว่า เขายืนนิ่งและมองมาที่ธนิดาด้วยสายตาที่แทบจะไม่กะพริบ
“ผมชื่อภูมิครับ” เขาแนะนำตัวสั้นๆ “ผมเป็นคนสนิทของนายท่าน ถ้ามีอะไร คุณธนิดาแจ้งผมได้นะครับ”
“ค่ะ” ธนิดาพยักหน้ารับ แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ภูมิพูดน้อยเกินไป และสายตาของเขาที่จับจ้องเธอตลอดเวลาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกประเมิน เธอจำได้ว่านาวินเคยพูดถึงการทรยศในบทสนทนากับลูกน้องคนหนึ่งขณะที่เธอถูกพาขึ้นรถ และเธอเริ่มสงสัยว่าคนในคฤหาสน์แห่งนี้อาจไม่ได้ภักดีต่อเขาทุกคน
เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง ธนิดานั่งลงบนเตียงและมองไปที่ถาดอาหาร เธอไม่มีอารมณ์จะกินอะไร แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอต้องรักษากำลังไว้ เธอหยิบช้อนขึ้นมาและตักข้าวต้มเข้าปากช้าๆ รสชาติของมันจืดชืดราวกับสะท้อนถึงชีวิตของเธอในตอนนี้
คฤหาสน์แห่งนี้ไม่ใช่แค่บ้าน มันคือป้อมปราการของเงาจันทรา ฐานบัญชาการที่เต็มไปด้วยความลับและอันตราย เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่ลอยอยู่ในอากาศ และรู้ดีว่าถ้าเธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ เธอจะต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในโลกนี้ให้ได้
ในใจของเธอเริ่มเกิดคำถามมากมาย มณีและภูมิเป็นเพียงลูกน้องของนาวินจริงหรือไม่ ถูกส่งมาคอยช่วยเหลือเธอจริงหรือเปล่า แล้วนาวินแท้จริงต้องการอะไรจากเธอ ที่สำคัญที่สุดคือพ่อของเธอหายไปไหน และทำไมเขาถึงทิ้งเธอไว้กับหนี้ก้อนโตนี้
ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้งนอกหน้าต่าง ขณะที่ธนิดานั่งนิ่งอยู่ในห้องที่ถูกล็อกแน่นหนา เธอรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่เธอต้องเผชิญ และในความมืดมิดของคฤหาสน์แห่งนี้ ความลับที่ซ่อนอยู่กำลังรอให้เธอค้นพบ
แสงจากโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานของห้องอาหารในคฤหาสน์เงาจันทราส่งแสงสลัวๆ ไปทั่วทั้งบริเวณ โต๊ะอาหารยาวที่ทำจากไม้โอ๊กสีเข้มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบด้วยจานชามสีขาวสะอาดตาและช้อนส้อมเงินที่วางเรียงกันอย่างพิถีพิถัน บรรยากาศในห้องนี้ควรจะดูสงบและหรูหรา แต่ความเงียบที่หนักอึ้งและสายตาที่เย็นชาของนาวินที่จ้องมาจากปลายโต๊ะทำให้ทุกอย่างรู้สึกกดดันราวกับมีพายุซ่อนอยู่ในความสงบนั้นธนิดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา ห่างออกไปเกือบสามเมตร เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีนำมาให้เปลี่ยนหลังจากชุดของเธอเปียกฝน มือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก แม้ว่าจะถูกปลดเชือกที่มัดข้อมือออกแล้ว แต่รอยแดงที่เกิดจากการรัดแน่นยังคงปรากฏชัดเจน เธอมองไปที่จานอาหารตรงหน้า สเต๊กเนื้อชิ้นหนาที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยและมันบดสีครีมที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม น่ากินอยู่ไม่น้อย แต่เธอไม่มีอารมณ์จะแตะมันเลยสักนิดรอบห้องอาหาร ลูกน้องของนาวินสามคนยืนนิ่งราวกับรูปปั้น แต่ละคนสวมเสื้อสูทสีดำและถือปืนกลสั้นที่แนบชิดกับลำตัว สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ธนิดาและประตูทางเข้าหลักของห้องราวกับพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ เสียงฝนที่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการบุกโจมตีของแก๊งเสือดาว ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ธนิดายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักของเธอ มองออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์ที่ปรากฏให้เห็นผ่านม่านกำมะหยี่สีดำที่เธอแง้มออกเล็กน้อย สวนนั้นกว้างขวางและเงียบสงบ มีน้ำพุหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ใบยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ทำให้กลิ่นดินเปียกและใบไม้ลอยเข้ามาคลอเคลียที่ปลายจมูกของเธอเธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อากาศเย็นๆ ช่วยขจัดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคงกดทับอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อคืน ภาพของการต่อสู้ในโถงทางเข้าหลักยังคงติดตาเธออยู่ เสียงปืนที่ดังสนั่น กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง และใบหน้าของนาวินที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอยิงช่วยเขา เธอยังจำน้ำเสียงของเขาได้ดีเมื่อเขาพูดว่า ‘น่าสนใจ’ คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับปริศนาที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้ธนิดาตัดสินใจว่าเธอทนอยู่ในห้องที่ถูกล็อกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ต้องการหลุดพ้นจากความรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษนี้ แม้ว่าจะเป็นแค่ชั่วครู่ก็ตาม เธ
กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้องธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะว
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
โกดังร้างที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันปืนที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ ผนังเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมและรอยกระสุนเก่าๆ ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ราวกับกำแพงของนรก ศพของลูกน้องเงาจันทราและเสือดาวกระจัดกระจายอยู่บนพื้นคอนกรีตที่เปื้อนเลือด บางศพมีบาดแผลถูกยิง บางศพถูกมีดแทงจนล้มตายในท่าที่น่าสยดสยอง กล่องไม้ที่เคยใช้เก็บยาเสพติดถูกระเบิดจนแตกกระจาย เศษไม้และฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว แสงจากโคมไฟเก่าที่ห้อยลงมาจากเพดานกระพริบเป็นระยะๆ สร้างเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาบนพื้นราวกับวิญญาณของคนตายยังคงวนเวียนอยู่นาวินยืนอยู่กลางโกดัง มีดสั้นในมือขวาของเขาชุ่มไปด้วยเลือด แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาห้อยลงอย่างไม่มีแรง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาขาดวิ่นและเปื้อนเลือดทั้งของตัวเองและศัตรู ดวงตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยไฟแห่งความโกรธ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มถึงขีดจำกัดธนิดายืนอยู่ไม่ไกลจากเขา ปืนพกในมือของเธอกำแน่น เธอหายใจถี่จากความตื่นเต้นและความกลัว เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้เมื่อครู่ เธอเพิ่งยิงลูกน้องของเสือดาวไปสองคนเพื่อปกป้องนาวิน และตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัว
กระท่อมร้างที่ซ่อนตัวอยู่ในป่ามืดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นไม้เปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ หลังคาที่ผุพังมีน้ำฝนหยดลงมาเป็นระยะๆ ตกลงกระทบพื้นดินที่แข็งกระด้าง เสียงหยดน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่พังทลายบางส่วนแสงจันทร์ลอดผ่านรอยแตกของหลังคา สาดส่องลงมาเป็นลำแสงสีเงินอ่อนๆ ที่ตัดกับความมืดมิดของกระท่อม ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันร้ายที่ทั้งเงียบสงบและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกำแพงไม้ที่เย็นชืด ขาของเธอเกิดอาการชาจากการวิ่งหนีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและเต็มไปด้วยโคลน ปืนพกในมือของเธอยังคงกำแน่น เธอหายใจถี่และมองไปที่นาวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพิงกองไม้เก่าที่วางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แขนซ้ายที่บาดเจ็บของเขาถูกพันผ้าใหม่จากชายเสื้อของเธอ เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขามองไปที่พื้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งคู่เงียบไปนานหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านนอกเมื่อครู่ โชคดีที่มันจางหายไปในหมอก และไม่ม
หมอกหนาที่ยามค่ำคืนลอยตัวต่ำปกคลุมป่าที่เงียบสงัด ราวกับผ้าคลุมสีขาวที่ซ่อนอันตรายไว้เบื้องล่าง ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาทับซ้อนกันจนแทบมองไม่เห็นท้องฟ้า มีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างของใบไม้เท่านั้นที่ส่องสว่างลงมาเป็นลำแสงสลัวๆ เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังเป็นเสียงกระซิบที่เย็นเยือก ผสมกับกลิ่นดินเปียกและความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศ ค่ำคืนนี้ควรจะเงียบสงบ แต่สำหรับนาวินและธนิดา มันคือค่ำคืนแห่งการหนีตายทั้งคู่ยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าคฤหาสน์ รถยนต์สีดำที่ภูมิขับมาจอดรออยู่ไม่ไกล นาวินมองไปที่ภูมิด้วยสายตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่ธนิดายืนอยู่ข้างเขา มือของเธอกำปืนพกแน่น เธอเพิ่งบอกเขาว่าเธอได้ยินภูมิคุยโทรศัพท์ และโกดังยาที่ถูกระเบิดเมื่อครู่ยิ่งทำให้ความสงสัยของนาวินถึงจุดแตกหัก“ขึ้นรถ” นาวินสั่งภูมิสั้นๆ “นายขับ”ภูมิพยักหน้ารับและเดินไปที่รถ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตู เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเบาๆ เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋าและกดปิดทันที แต่สายตาของนาวินจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเขา“ใครโทรมา?”
แสงไฟจากโคมระย้าสีทองแดงในห้องประชุมลับของคฤหาสน์ส่องสว่างลงมาบนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผนังที่บุด้วยไม้สีเข้มและตู้เหล็กที่ล็อกแน่นหนาทำให้ห้องนี้ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าห้องประชุม กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นเหงื่อและความกังวลจากคนที่อยู่ในห้อง นาวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก แผลที่แขนซ้ายของเขาถูกพันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยจากฝีมือของธนิดาเมื่อคืนนี้ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองไปยังลูกน้องสี่คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะด้วยสายตาที่เย็นชาและพิจารณาธนิดายืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เปื้อนโคลนจากเหตุการณ์เมื่อคืน ปืนพกที่เหน็บไว้ที่เอวของเธอทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เธอถูกนาวินเรียกตัวมาร่วมประชุมนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเช้ามืด โดยมีภูมิพาเธอกับนาวินกลับมาด้วยรถของเขาเธอยังจำท่าทางแปลกๆ ของภูมิได้ดี การที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเกินเหตุ และน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเมื่อเขาคุยกับนาวิน เธอพยายามขจัดความสงสัยนั
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อครู่เริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศและหยดลงจากรอยรั่วบนหลังคาโกดังร้าง เสียงน้ำหยดกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะเบาๆ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกำแพงไม้เก่าๆ ที่ผุพัง แสงจันทร์สีเงินลอดผ่านรอยแตกของหลังคาและหน้าต่างที่แตกออก สาดส่องลงมาบนพื้นโกดังเป็นลำแสงสลัวๆ ทำให้ภายในโกดังดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งเงียบสงบและน่าขนลุกในเวลาเดียวกันธนิดานั่งพิงกองกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอหายใจถี่จากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการโจมตีเมื่อครู่ เสื้อแจ็กเก็ตสีเทาของเธอเปียกชุ่มและมีรอยขาดที่ไหล่จากการคลานออกจากรถที่คว่ำ ปืนพกในมือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก เธอมองไปที่มันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอเพิ่งผ่านการไล่ล่าที่เกือบฆ่าเธอมาได้นาวินนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ เขาพิงกำแพงโกดังด้วยท่าทีที่ดูเหนื่อยล้า ปืนกลสั้นของเขาวางอยู่ข้างตัว เขายกมือขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปื้อนเลือดจากรอยขีดข่วน แต่ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและกุมแขนซ้ายของตัวเองแน่น ธนิดาสังเกตเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา และเมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่แขนของเขา เธอ
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้องธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะว
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการบุกโจมตีของแก๊งเสือดาว ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ธนิดายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักของเธอ มองออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์ที่ปรากฏให้เห็นผ่านม่านกำมะหยี่สีดำที่เธอแง้มออกเล็กน้อย สวนนั้นกว้างขวางและเงียบสงบ มีน้ำพุหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ใบยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ทำให้กลิ่นดินเปียกและใบไม้ลอยเข้ามาคลอเคลียที่ปลายจมูกของเธอเธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อากาศเย็นๆ ช่วยขจัดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคงกดทับอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อคืน ภาพของการต่อสู้ในโถงทางเข้าหลักยังคงติดตาเธออยู่ เสียงปืนที่ดังสนั่น กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง และใบหน้าของนาวินที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอยิงช่วยเขา เธอยังจำน้ำเสียงของเขาได้ดีเมื่อเขาพูดว่า ‘น่าสนใจ’ คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับปริศนาที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้ธนิดาตัดสินใจว่าเธอทนอยู่ในห้องที่ถูกล็อกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ต้องการหลุดพ้นจากความรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษนี้ แม้ว่าจะเป็นแค่ชั่วครู่ก็ตาม เธ