ปลายสายรับสาย น้ำเสียงของฟู่ชิงเยว่สงบลงแล้ว เธอถามขึ้นว่า “ฝานฝานหลับไปแล้วเหรอ?”“ครับ”ฟู่ชิงเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในน้ำเสียงเผยความจนใจออกมา “อาเจิง ที่อาทำก็เพื่อเธอทั้งนั้น ทำไมเธอถึงเอาแต่ดื้อรั้นล่ะ?”“นอกจากเวินเหลียงแล้ว ผมก็ไม่อยากแต่งงานกับใครอีก คุณอาไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความหรอกครับ ที่ผมโทรกลับหาคุณอา ก็เพราะอยากหารือเรื่องฝานฝาน”ในน้ำเสียงของฟู่ชิงเยว่แฝงไปด้วยความกังวล “ฉันว่าเธอถูกเวินเหลียงล่อให้หลงใหลเข้าจริง ๆ แล้ว! เธออย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เวินเหลียงมีลูกไม่ได้ เธอก็เลยอยากรั้งฝานฝานให้อยู่ในประเทศ ให้ฝานฝานไปเป็นลูกสาวของเวินเหลียง?! ฉันจะบอกเธอให้นะ เรื่องนี้ฉันไม่ยอมหรอก!!”นัยน์ตาของฟู่เจิงประกายความเย็นชา บนใบหน้าปกคลุมไปด้วยความเย็นยะเยือกชั้นหนึ่ง “คุณอารู้ได้ยังไงครับ?”“ก็เวินเหลียง...” ฟู่ชิงเยว่หลุดปากโพล่งออกมา อยากพูดอะไรต่อทว่าก็กลั้นเอาไว้ “วันนั้นหลังจากที่เธอบอกว่าเวินเหลียงแท้ง ฉันก็ให้คนไปสืบดูที่โรงพยาบาล เป็นเพราะเธอมีลูกอีกไม่ได้ ฉันถึงยืนกรานต่อต้านไม่ให้เธอกับเวินเหลียงกลับมาแต่งงานกันใหม่ ตัวเธอเองก็คิดพิจารณาให้มันดี ๆ หรือว่าเธอ
เช้าวันเสาร์เก้าโมงครึ่ง เวินเหลียงมารับฟู่ซือฝานที่คฤหาสน์ย่านซิงเหอวาน พาเธอไปช็อปปิงที่ห้างเมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว ทั้งสองคนจึงกำลังจะเดินทางไปยังร้านอาหาร ทันใดนั้นเวินเหลียงก็ได้รับข้อความจากเมิ่งเซ่อ “พี่ครับ เจอร้านกาแฟร้านหนึ่งระหว่างทาง พี่อยากดื่มอะไรไหม?”ต่อจากนั้นเขาก็ถ่ายเมนูส่งมาเวินเหลียงกดดูเมนู แล้วเธอก็โน้มตัวลง “ฝานฝาน เธออยากดื่มอะไร?”ฟู่ซือฝานมองทีหนึ่ง นัยน์ตาดำขลับกลอกไปมาทีหนึ่ง สั่งของที่แพงที่สุด จากนั้นเธอก็กัดนิ้วพลางพูดขึ้นว่า “ป้าสะใภ้คะ หนูอยากได้สามแก้ว แก้วหนึ่งของหนู แก้วหนึ่งให้คุณลุง อีกแก้วหนึ่งให้คุณย่าหวังค่ะ”เวินเหลียง “...”เจ้าตัวน้อยคนนี้ เปลี่ยนวิธีมาขูดรีดเงินของเมิ่งเซ่อแทน“ได้ สามแก้วก็สามแก้ว” เวินเหลียงบอกชื่อเมนูกับเมิ่งเซ่อ พร้อมโอนเงินไปให้เขาเมิ่งเซ่อ “พี่ครับ ทำไมพี่ถึงโอนเงินมาให้ผมอีกแล้ว บอกแล้วไงว่าวันนี้ผมจะเลี้ยง!”คืนนั้นพอกลับไปถึงบ้าน เวินเหลียงก็โอนเงินค่าอาหารเที่ยงให้เมิ่งเซ่อทันที สุดท้ายเธอก็กินกับฟู่ซือฝานแค่สองคน จะให้เมิ่งเซ่อเป็นคนออกเงินได้ยังไงครั้งนั้นทีแรกเมิ่งเซ่อจะไม่ยอมรับเงินไป แต่เวิ
“พี่ครับ ฝานฝาน กินเลย ไม่ต้องเกรงใจ”ฟู่ซือฝานไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาได้ก็เริ่มคีบหลังจากนั้นจานที่สาม จานที่สี่ จานที่ห้า จานที่หกก็มาเสิร์ฟ...หลังเสิร์ฟจานที่หกมา เวินเหลียงเห็นอาหารเต็มโต๊ะไปหมด เธอจึงพลั้งพูดขึ้นว่า “คงหมดแล้วใช่ไหม? ทำไมสั่งเยอะขนาดนี้ล่ะ พวกเรากินกันไม่หมดแน่?”เมิ่งเซ่อเงยหน้ามองเวินเหลียงทีหนึ่ง พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “ยังเหลืออีกสองสามอย่างครับ เป็นเมนูที่พี่ส่งมาให้ผมไม่ใช่เหรอครับ?”“หา?” เวินเหลียงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หลังเปิดอ่านข้อความในห้องแชตของเมิ่งเซ่อ เธอเกือบจะโยนฟู่ซือฝานออกไปนอกร้านแล้ว!เธอปิดหน้าจอโทรศัพท์ แล้วมองไปที่ฟู่ซือฝานอย่างเย็นชาฟู่ซือฝานก้มหน้าลงเงียบ ๆ พลางเกี่ยวนิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจเวินเหลียงหันไปยิ้มแสดงความขอโทษกับเมิ่งเซ่อทีหนึ่ง “ขอโทษนะ”“พี่พูดขอโทษอะไรกันครับ เดิมทีผมก็บอกว่าจะเป็นคนเลี้ยง พวกพี่อยากกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น” เมิ่งเซ่อรีบพูดขึ้น ทว่าก็เดาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวได้ที่แท้ก็เป็นอาหารที่ฟู่ซือฝานสั่งนี่เองมิน่าล่ะ!เขาร
ในจังหวะนี้เอง เวินเหลียงก็รีบชักมือออกแล้วยกมือขึ้นก่อนจะพูดว่า “กระหายจัง ช่วยหยิบกาแฟมาให้ฉันแก้วหนึ่งสิ คาปูชิโน่แก้วนั้นน่ะ”เธอคิดในใจถ้ามือเธอข้างหนึ่งจูงฟู่ซือฝาน ส่วนมืออีกข้างถือกาแฟ แบบนี้ก็จะไม่ไปแตะโดนแล้วใช่ไหม?มือของเมิ่งเซ่อแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง เขาชักกลับมาเงียบ ๆ ก่อนจะล้วงคาปูชิโน่แก้วหนึ่งออกมาจากในถุงพร้อมหลอดส่งให้เวินเหลียง “นี่ครับ”“ขอบคุณนะ”“ไม่เป็นไรครับ”เมื่อมาถึงโรงหนัง เวินเหลียงก็หาการ์ตูนและรอบฉายของวันนี้บนหน้าจอขนาดใหญ่ พร้อมทั้งหาการแนะนำในอินเทอร์เน็ต แล้วให้ฟู่ซือฝานเป็นคนเลือกเวลาเริ่มฉายคือบ่ายสอง ยังมีเวลาอีกประมาณยี่สิบนาทีเวินเหลียงมองซ้ายมองขวา ด้านข้างขวาของโถงมีเก้าอี้แถวหนึ่ง เธอจูงมือฟู่ซือฝานไปนั่งผ่านไปยี่สิบนาทีขณะเข้าไปในโรง เวินเหลียงพบว่าคนด้านในส่วนมากล้วนพาลูกมาดูกันทั้งนั้นบนหน้าจอขนาดใหญ่กำลังเริ่มฉายแล้วทั้งสามคนนั่งลงบนที่นั่ง เวินเหลียงนั่งตรงกลาง ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเป็นฟู่ซือฝานและเมิ่งเซ่อแม้จะเป็นการ์ตูน ทว่าพล็อตเรื่องกลับไม่ไก่กาไร้เดียงสาเลยสักนิด เวินเหลียงค่อย ๆ จมดิ่งลงไปอยู่ในพล็อตเรื่องทว่าเมิ่งเซ
เวินเหลียงยิ้มอย่างจนใจ เข้าใจในทันทีว่าเมื่อกี้เธอแสร้งทำ “งั้นตอนนี้เราจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันดี? หรือว่ากลับบ้านเลย?”“หนูอยากไปดูแมวค่ะ”“โอเค เดี๋ยวอาจะพาหนูกลับบ้านอานะ”กลับมาถึงเพนท์เฮ้าส์ พอฟู่ซือฝานเข้ามาก็ไปหาปุ๊กลุกเลยเวินเหลียงล้างผลไม้ หยิบของว่างมา แล้ววางทุกอย่างไว้บนโต๊ะเมื่อเห็นเครื่องดื่มกาแฟสองแก้วที่ยังไม่ละลายที่วางอยู่บนโต๊ะ เวินเหลียงก็นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่ฟู่ซือฝานทำ น้ำเสียงของเธอพลันเคร่งขรึมลง “ฟู่ซือฝาน มานี่หน่อย”ฝานฝานกำลังหยอกกับแมวอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็หันหน้ามามองเวินเหลียงทีหนึ่ง เห็นสีหน้าเวินเหลียงคล้ำดำหมองขึ้น ก็รู้ในทันทีว่าตัวเองกำลังจะถูกคิดบัญชีแล้วเธอกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก ทว่าก็ยังทำหน้าไร้เดียงสา นัยน์ตาทั้งสองเปล่งประกาย “ป้าสะใภ้คะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”“เธอมานี่สิ”“หนู...หนูกำลังเล่นกับปุ๊กลุกอยู่นะคะ”“มานี่ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเล่นกับปุ๊กลุก”ฟู่ซือฝานเก็บสีหน้าบนหน้าตัวเองไม่มิดอยู่นิดหน่อย เธอก้มหน้าอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมเดินเข้าไปหาเวินเหลียง “ป้าสะใภ้คะ เรื่องอะไรเหรอคะ?”เวินเหลียงเปิดหน้าประวัติการสนทนากับเมิ
เมื่อฟู่ซือฝานเห็นบทสนทนาของทั้งสองคน เธอก็แค่นเสียงฮึเบา ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำเธอแอบต่อสายโทรออกหาฟู่เจิงเงียบ ๆ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณลุงคะ ตอนนี้หนูอยู่บ้านป้าสะใภ้ค่ะ”“ให้ลุงไปรับเธอตอนนี้?” มีเสียงของฟู่เจิงแว่วดังขึ้นมาจากปลายสาย“อืม คุณลุงคะ หนู...หนูคิดว่า...”“เธอคิดว่าอะไร?”“หนูคิดว่าคุณลุงคงไม่มีโอกาสแล้วละค่ะ”ฟู่เจิง “...”“เกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนพวกเธอกินข้าวเที่ยงกันวันนี้เหรอ?”“ป้าสะใภ้สนใจแต่อยากพูดคุยกับเขา ถึงขั้นไม่สนใจหนูเลย กินข้าวเสร็จเขาก็ชวนป้าสะใภ้ไปดูหนังด้วยกัน ป้าสะใภ้ก็ไม่ปฏิเสธเลย”ขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา ฟู่ซือฝานหน้าไม่แดงใจไม่เต้นเลยฟู่เจิงเงียบไปอยู่สองสามวินาที “ยังมีอะไรอีก?”หรือว่าเวินเหลียงจะชอบเมิ่งเซ่อจริง ๆ?เขามักรู้สึกว่ามีตรงไหนมันดูไม่ชอบมาพากลอยู่นิดหน่อย“แล้วก็ หนูอยากขูดรีดเงินของเขานิดหน่อย ก็เลยสั่งอาหารมาเพิ่มอีกสองสามอย่าง ป้าสะใภ้บอกไม่ให้หนูไปพุ่งเป้ารังแกเขา บอกว่า...บอกว่าต่อไปเขาอาจมาเป็นอาเขยของหนู ถ้าหนูยังทำแบบนี้อีก เธอจะตีตัวออกห่างจากหนู แล้วก็ พวกเขาเพิ่งนัดไปกินข้าวด้วยกันครั้งต่อ
“ขอบคุณ” ฟู่เจิงยกน้ำร้อนขึ้นมา พลางแหงนหน้ามองเธอด้วยแววตาเปล่งประกายเวินเหลียงทำราวกับมองไม่เห็น เธอหมุนตัวไปนั่งลงอีกด้าน แล้วหยิบกล้องขึ้นมาตรวจดูรูปภาพที่ถ่ายไปวันนี้พูดตามตรง เธอยังคิดไม่ตกเรื่องธีมซีรีส์ของการแข่งขันถ่ายภาพ ตอนนี้เพียงแค่กำลังหาอารมณ์ความรู้สึกเธอตั้งใจดูเป็นอย่างมาก ชนิดว่าใจจดใจจ่อทันใดนั้นก็รู้สึกจั๊กจี้ที่หูข้างซ้ายเวินเหลียงยื่นมือไปบีบทีหนึ่ง ก่อนจะดูภาพต่อหูข้างขวาก็จั๊กจี้ขึ้นมาอีกเธอยกมือไปบีบ ๆหูข้างซ้ายก็ยังรู้สึกจั๊กจี้ปนร้อนผ่าว ติ่งหูอดไม่ได้ที่จะแดงระเรื่อขึ้นมา แปลก ๆเธอเด้งนั่งตัวตรง เมื่อหันหน้าไปก็พบว่า ไม่รู้ฟู่เจิงมาอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไร สองมือของเขาพาดอยู่บนพนักพิงโซฟา กำลังโน้มตัวลงมาเป่าลมข้างหูเธอติ่งหูของเวินเหลียงแดงจนเลือดจะหยดออกมาอยู่แล้ว จากนั้นก็ค่อย ๆ ลามไปที่ใบหู เธอเดือดดาลจนกระหืดกระหอบ “ฟู่เจิง นี่คุณบ้าไปหรือเปล่าเนี่ย!”เธอด่าใครไม่ค่อยเป็น เลยมักจะพูดได้แค่ประโยคนี้ออกมานัยน์ตาของฟู่เจิงแฝงรอยยิ้มที่ดูเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยการหยอกล้อ “ใช่ ฉันบ้า พอไม่เห็นเธอก็เป็นไข้ใ
ฟู่เจิงส่ายหน้า “ถ้าคุณอาสนใจเธอจริง ๆ คงไม่บังคับให้ฝานฝานอยู่ห่างจากเธอ เพราะความชอบและความเกลียดชังของตัวเองหรอก”หนึ่งเวินเหลียงจะไม่มีทางทำร้ายฝานฝาน สองจะไม่มีวันพาฝานฝานเสียคน และฝานฝานก็ชอบเธอ ทำไมถึงให้เธอเลี้ยงไม่ได้ล่ะ?เวินเหลียงหัวเราะขึ้นมาทีหนึ่ง “ตามหลักธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเจอ ถ้าเป็นลูกฉัน ฉันก็จะไม่ให้คนที่ฉันเกลียดมาสุงสิงด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องดุด่าอย่างรุนแรง”เมื่อได้ยินที่เวินเหลียงพูด แล้วนึกถึงคำสบประมาทที่ฟู่ชิงเยว่พูดว่าเวินเหลียง ฟู่เจิงก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่เวินเหลียง “ถ้าฝานฝานยอมอยู่ต่อ ฉันจะให้เธอทำสำมะโนครัวในฐานะลูกสาวของฉัน เพื่อให้เธอได้เติบโตไปอย่างแข็งแรง ถึงเวลานั้นจะเขียนชื่อของเธอลงไปในช่องแม่ผู้ให้กำเนิด”เวินเหลียงตกตะลึงไปเลย พลางมองฟู่เจิงอย่างอึ้งทึ่งสีหน้าของฟู่เจิงคงเดิม “นี่เป็นผลลัพธ์ที่ฉันคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว เธอคิดว่าไง?”คนนอกไม่ค่อยรู้เรื่องการแต่งงานของพวกเขา หากป่าวประกาศต่อภายนอกว่าฟู่ซือฝานเป็นลูกสาวของพวกเขา คิดว่าคงไม่มีคนสงสัยอะไรเพื่อไม่ให้คนนอกไปวิพากษ์วิจารณ์ บางทีแบบนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเวินเหลียง