เมื่อฟู่ซือฝานเห็นบทสนทนาของทั้งสองคน เธอก็แค่นเสียงฮึเบา ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำเธอแอบต่อสายโทรออกหาฟู่เจิงเงียบ ๆ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณลุงคะ ตอนนี้หนูอยู่บ้านป้าสะใภ้ค่ะ”“ให้ลุงไปรับเธอตอนนี้?” มีเสียงของฟู่เจิงแว่วดังขึ้นมาจากปลายสาย“อืม คุณลุงคะ หนู...หนูคิดว่า...”“เธอคิดว่าอะไร?”“หนูคิดว่าคุณลุงคงไม่มีโอกาสแล้วละค่ะ”ฟู่เจิง “...”“เกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนพวกเธอกินข้าวเที่ยงกันวันนี้เหรอ?”“ป้าสะใภ้สนใจแต่อยากพูดคุยกับเขา ถึงขั้นไม่สนใจหนูเลย กินข้าวเสร็จเขาก็ชวนป้าสะใภ้ไปดูหนังด้วยกัน ป้าสะใภ้ก็ไม่ปฏิเสธเลย”ขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา ฟู่ซือฝานหน้าไม่แดงใจไม่เต้นเลยฟู่เจิงเงียบไปอยู่สองสามวินาที “ยังมีอะไรอีก?”หรือว่าเวินเหลียงจะชอบเมิ่งเซ่อจริง ๆ?เขามักรู้สึกว่ามีตรงไหนมันดูไม่ชอบมาพากลอยู่นิดหน่อย“แล้วก็ หนูอยากขูดรีดเงินของเขานิดหน่อย ก็เลยสั่งอาหารมาเพิ่มอีกสองสามอย่าง ป้าสะใภ้บอกไม่ให้หนูไปพุ่งเป้ารังแกเขา บอกว่า...บอกว่าต่อไปเขาอาจมาเป็นอาเขยของหนู ถ้าหนูยังทำแบบนี้อีก เธอจะตีตัวออกห่างจากหนู แล้วก็ พวกเขาเพิ่งนัดไปกินข้าวด้วยกันครั้งต่อ
“ขอบคุณ” ฟู่เจิงยกน้ำร้อนขึ้นมา พลางแหงนหน้ามองเธอด้วยแววตาเปล่งประกายเวินเหลียงทำราวกับมองไม่เห็น เธอหมุนตัวไปนั่งลงอีกด้าน แล้วหยิบกล้องขึ้นมาตรวจดูรูปภาพที่ถ่ายไปวันนี้พูดตามตรง เธอยังคิดไม่ตกเรื่องธีมซีรีส์ของการแข่งขันถ่ายภาพ ตอนนี้เพียงแค่กำลังหาอารมณ์ความรู้สึกเธอตั้งใจดูเป็นอย่างมาก ชนิดว่าใจจดใจจ่อทันใดนั้นก็รู้สึกจั๊กจี้ที่หูข้างซ้ายเวินเหลียงยื่นมือไปบีบทีหนึ่ง ก่อนจะดูภาพต่อหูข้างขวาก็จั๊กจี้ขึ้นมาอีกเธอยกมือไปบีบ ๆหูข้างซ้ายก็ยังรู้สึกจั๊กจี้ปนร้อนผ่าว ติ่งหูอดไม่ได้ที่จะแดงระเรื่อขึ้นมา แปลก ๆเธอเด้งนั่งตัวตรง เมื่อหันหน้าไปก็พบว่า ไม่รู้ฟู่เจิงมาอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไร สองมือของเขาพาดอยู่บนพนักพิงโซฟา กำลังโน้มตัวลงมาเป่าลมข้างหูเธอติ่งหูของเวินเหลียงแดงจนเลือดจะหยดออกมาอยู่แล้ว จากนั้นก็ค่อย ๆ ลามไปที่ใบหู เธอเดือดดาลจนกระหืดกระหอบ “ฟู่เจิง นี่คุณบ้าไปหรือเปล่าเนี่ย!”เธอด่าใครไม่ค่อยเป็น เลยมักจะพูดได้แค่ประโยคนี้ออกมานัยน์ตาของฟู่เจิงแฝงรอยยิ้มที่ดูเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยการหยอกล้อ “ใช่ ฉันบ้า พอไม่เห็นเธอก็เป็นไข้ใ
ฟู่เจิงส่ายหน้า “ถ้าคุณอาสนใจเธอจริง ๆ คงไม่บังคับให้ฝานฝานอยู่ห่างจากเธอ เพราะความชอบและความเกลียดชังของตัวเองหรอก”หนึ่งเวินเหลียงจะไม่มีทางทำร้ายฝานฝาน สองจะไม่มีวันพาฝานฝานเสียคน และฝานฝานก็ชอบเธอ ทำไมถึงให้เธอเลี้ยงไม่ได้ล่ะ?เวินเหลียงหัวเราะขึ้นมาทีหนึ่ง “ตามหลักธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเจอ ถ้าเป็นลูกฉัน ฉันก็จะไม่ให้คนที่ฉันเกลียดมาสุงสิงด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องดุด่าอย่างรุนแรง”เมื่อได้ยินที่เวินเหลียงพูด แล้วนึกถึงคำสบประมาทที่ฟู่ชิงเยว่พูดว่าเวินเหลียง ฟู่เจิงก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่เวินเหลียง “ถ้าฝานฝานยอมอยู่ต่อ ฉันจะให้เธอทำสำมะโนครัวในฐานะลูกสาวของฉัน เพื่อให้เธอได้เติบโตไปอย่างแข็งแรง ถึงเวลานั้นจะเขียนชื่อของเธอลงไปในช่องแม่ผู้ให้กำเนิด”เวินเหลียงตกตะลึงไปเลย พลางมองฟู่เจิงอย่างอึ้งทึ่งสีหน้าของฟู่เจิงคงเดิม “นี่เป็นผลลัพธ์ที่ฉันคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว เธอคิดว่าไง?”คนนอกไม่ค่อยรู้เรื่องการแต่งงานของพวกเขา หากป่าวประกาศต่อภายนอกว่าฟู่ซือฝานเป็นลูกสาวของพวกเขา คิดว่าคงไม่มีคนสงสัยอะไรเพื่อไม่ให้คนนอกไปวิพากษ์วิจารณ์ บางทีแบบนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเวินเหลียง
“อืม”“อยากให้ติดต่อให้ดูแลเขาไหม?”จะดูแลจนเมิ่งเซ่อไม่มีเวลาออกมากินข้าวกับเธอเวินเหลียงมองเขาทีหนึ่ง “ไม่ต้อง”เขาไม่ชอบเล่นพรรคเล่นพวกไม่ใช่เหรอ?ทำไมจู่ ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?เหมือนว่าหัวข้อบทสนทนาจะลากมาไกลแล้ว โดยที่เวินเหลียงไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัวเธอไม่นึกเลยว่าจะนั่งคุยกับฟู่เจิงอยู่บนโซฟามาเป็นเวลานานขนาดนั้น!เธอเด้งตัวลุกขึ้น “ฉันจะไปดูฝานฝาน”“อาเหลียง!”“มีเรื่องอะไรอีก?”ฟู่เจิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะค่อย ๆ เดินมาตรงหน้าเธอ นัยน์ตาดำมืดไปหมด “ที่ฉันเคยถามเธอว่า เธอมีคนที่ชอบหรือเปล่า เธอบอกว่ามี คนคนนั้นคือใครเหรอ?ตาแก่นั่นซ่อนตัวได้มิดชิดมากจริง ๆ!เลขาหยางส่งเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นอย่างละเอียด ในช่วงสมัยที่เวินเหลียงเรียนมหาวิทยาลัยมาให้เขาแล้ว ทว่าก็ยังหาเงาร่างของคนคนนั้นไม่เจออยู่ดี!เวินเหลียงมองเขาด้วยความระแวงทีหนึ่ง ก่อนจะตอบไปอย่างส่งเดชว่า “โจวอวี่ไง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ?”“ไม่ใช่เขา”“ก็เขานั่นแหละ คุณจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ!” เวินเหลียงหมุนตัวแล้วเดินออกไปเลยฟู่เจิงคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ “เธอเคยบอกอีกว่า คนคนนั้นไม่ชอบเธอ แต่โจวอวี่ชอ
เวินเหลียงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ไป”เดิมทีฟู่เจิงไม่ยอมให้เธอปฏิเสธอยู่แล้ว “พรุ่งนี้เย็นฉันจะมารับเธอ”เขาหมุนตัวแล้วเดินออกไป ก่อนออกไปยังไม่ลืมกำชับฟู่ซือฝานว่า “ฝานฝาน เชื่อฟังคุณป้า เข้าใจไหม?”ฟู่ซือฝานพยักหน้าเมื่อเห็นฟู่เจิงออกไป พร้อมประตูห้องที่เปิดออกและปิดลง เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “คุณป้าคะ ค็อกเทลปาร์ตี้คืออะไรเหรอคะ?”เวินเหลียงอธิบายคร่าว ๆ ว่า “เป็นปาร์ตี้ที่มีคนมากมายมาร่วมดื่มเหล้าด้วยกัน”“งั้นพรุ่งนี้หนูไปด้วยได้ไหมคะ?” เจ้าตัวน้อยสงสัยเป็นอย่างมาก มองเวินเหลียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเวินเหลียงส่ายหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย “ไม่ได้จ้ะ”“...โอเคค่ะ”เวินเหลียงมองสีฟ้าทีหนึ่ง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัว แล้วหยิบวัตถุดิบออกมาสองสามอย่าง เริ่มเตรียมอาหารมื้อค่ำคืนนี้ขณะทำไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็มีเสียงตี๊ดติดดังขึ้นมาจากนอกประตูเสียงหนึ่ง ถังซือซือผลักประตูเดินเข้ามา โยนกระเป๋าไปบนโซฟา “เจ้าปุ๊กลุก แกอยู่ไหนน่ะเจ้าปุ๊กลุก?”“ปุ๊กลุกอยู่นี่ค่ะ!”ฟู่ซือฝานชะโงกศีรษะออกมาจากเบื้องหลังโซฟา มองถังซือซือด้วยความสงสัย “คุณคือคุณน้
เวินเหลียงเองก็เปลี่ยนไปใส่ชุดนอนเช่นกัน เธอปิดไฟ แล้วเลิกผ้าห่มขึ้นไปบนเตียงฟู่ซือฝานอ้วนจ้ำม่ำรีบกลิ้งเข้ามาเวินเหลียงฉวยโอกาสกอดฟู่ซือฝานเอาไว้ฟู่ซือฝานมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของเวินเหลียง ก่อนจะถูไถราวกับแมว “คุณป้าคะ คุณป้าหอมจังเลย”เวินเหลียงหัวเราะ พร้อมตบหลังของฟู่ซือฝาน “นอนเถอะ พอตื่นขึ้นมาต้องเรียกคุณอานะ”“อืม”เป็นเพราะไม่ได้นอนตอนบ่าย เมื่อเจ้าตัวน้อยหลับตาลง ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปเวินเหลียงเองก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปเช่นกันสะลึมสะลือ ราวกับเธอฝันถึงเรื่องหนึ่งฝันว่าเธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีเด็กทารกคนหนึ่งถูกวางอยู่ข้าง ๆ มองไปราวกับเพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นานเธอมองเด็กทารกตรงหัวเตียง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น “เวินหนิง ต่อไปหนูชื่อหนิงหนิงนะ”เธอในฝันกำลังอุ้มเด็กอยู่ ส่ายไปส่ายมาส่ายไป ๆ จู่ ๆ เด็กที่อยู่ในอ้อมอกก็หายไปเวินเหลียงสะดุ้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ภายในห้องมืดสนิทที่แท้ก็เป็นแค่ฝันเท่านั้นเธอยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมา มองนาฬิกา เพิ่งจะตีห้าเวินเหลียงมองฟู่ซือฝานที่กำลังหลับสนิทข้าง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไปจิ้มใบหน้า
นัยน์ตาของฟู่เจิงว่างเปล่าไร้โฟกัส ราวกับกำลังหวนนึกถึงอะไรบางอย่างเขาหันหน้าไปมองเวินเหลียง กระดูกคิ้วที่เลิกสูงทิ้งเงาคมไว้ตรงเบ้าตา นัยน์ตาดำมืดแฝงความหมายลึกซึ้งเวินเหลียงแอบด่าไอ้บ้ากามอยู่ในใจ พร้อมถลึงตาใส่กลับไปอย่างเย็นชาฟู่เจิงไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น แต่ยังหัวเราะด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทีหนึ่งเขาหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ทว่ากลับทำเวินเหลียงเสียวสันหลังวาบเธอรีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาทันที “ฝานฝาน พวกเธอมีการบ้านปิดเทอมฤดูหนาวไหม?”ฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้น พร้อมกะพริบตา “มีค่ะ แต่ว่าการบ้านพวกนั้นง่ายมาก ๆ”“โอเค”“คุณลุง ตอนนี้หนูต้องกลับบ้านเหรอ? หนูเองก็อยากไปค็อกเทลปาร์ตี้เหมือนกัน” ฟู่ซือฝานเงยหน้ามองฟู่เจิง พร้อมแกว่งแขนของเขา“ฝานฝาน เชื่อฟังนะ เดี๋ยวไปส่งเธอกลับบ้านก่อน เดี๋ยวตอนกลับลุงค่อยเอาเค้กมาฝากหนูนะ”“หนูไม่อยากกินเค้ก หนูอยากไปค็อกเทลปาร์ตี้”“ไม่ได้”“หึ! ไม่สนใจคุณลุงแล้ว!” ศีรษะน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานเต็มไปด้วยความเดือดปุด ๆ เธอเบือนหน้าหนีไป พร้อมขยับมาทางเวินเหลียงแล้วกอดเธอไว้ “คุณป้า คืนนี้หนูอยากนอนกับคุณป้าอีก”เวินเหลียงเกือบจะตอบตกลงแล้วเธอลังเลอ
เวินเหลียงชักมือกลับ “ครั้งนี้ป้าจะปล่อยเธอไปก็แล้วกัน”เธอลอบถอนหายใจอยู่ในใจปฏิเสธล้มเหลว ตีตัวออกห่างล้มเหลวช่างเถอะ ถือเสียว่าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกันครั้งหน้าเธอต้องปฏิเสธให้ได้คนขับรถถามขึ้นว่า “คุณผู้ชายครับ ตอนนี้จะเปลี่ยนเส้นทางไหมครับ?”“ไม่ต้อง ไปเอาเสื้อผ้าของฝานฝานสักสองสามชุดที่คฤหาสน์ก่อน แล้วค่อยไปบ้านคุณผู้หญิง”“ครับ”รถยนต์แล่นมาหยุดที่ประตูย่าน เวินเหลียงลงจากรถ เธอหิ้วกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าเอาไว้ พลางพาฟู่ซือฝานขึ้นไปส่งชั้นบนด้วยตัวเองถังซือซือกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาอย่างครึ้มอกครึ้มใจ เห็นเวินเหลียงกลับมาก็เอ่ยขึ้นว่า “ส่งฝานฝาน...”ยังไม่ทันได้พูดจบ เธอก็เห็นฟู่ซือฝานเข้ามาจากเบื้องหลัง จึงรีบเงียบปากลงทันทีมากน้อยเวินเหลียงก็ต้องมีความกระวนกระวายใจเล็กน้อย ไม่กล้ามองตาถังซือซือ เธอโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถัง คืนนี้เธอช่วยฉันดูแลฝานฝานหน่อยนะ ฉันมีธุระ จะกลับมาดึกหน่อย”ต่อหน้าของฟู่ซือฝาน ถังซือซือตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ได้ เธอรีบไปเถอะ ฝานฝาน คืนนี้กินข้าวกับน้านะ!”“ค่ะ” ฟู่ซือฝานตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “รบกวนคุณน้าถังแล้วนะ