นัยน์ตาของฟู่เจิงว่างเปล่าไร้โฟกัส ราวกับกำลังหวนนึกถึงอะไรบางอย่างเขาหันหน้าไปมองเวินเหลียง กระดูกคิ้วที่เลิกสูงทิ้งเงาคมไว้ตรงเบ้าตา นัยน์ตาดำมืดแฝงความหมายลึกซึ้งเวินเหลียงแอบด่าไอ้บ้ากามอยู่ในใจ พร้อมถลึงตาใส่กลับไปอย่างเย็นชาฟู่เจิงไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น แต่ยังหัวเราะด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทีหนึ่งเขาหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ทว่ากลับทำเวินเหลียงเสียวสันหลังวาบเธอรีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาทันที “ฝานฝาน พวกเธอมีการบ้านปิดเทอมฤดูหนาวไหม?”ฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้น พร้อมกะพริบตา “มีค่ะ แต่ว่าการบ้านพวกนั้นง่ายมาก ๆ”“โอเค”“คุณลุง ตอนนี้หนูต้องกลับบ้านเหรอ? หนูเองก็อยากไปค็อกเทลปาร์ตี้เหมือนกัน” ฟู่ซือฝานเงยหน้ามองฟู่เจิง พร้อมแกว่งแขนของเขา“ฝานฝาน เชื่อฟังนะ เดี๋ยวไปส่งเธอกลับบ้านก่อน เดี๋ยวตอนกลับลุงค่อยเอาเค้กมาฝากหนูนะ”“หนูไม่อยากกินเค้ก หนูอยากไปค็อกเทลปาร์ตี้”“ไม่ได้”“หึ! ไม่สนใจคุณลุงแล้ว!” ศีรษะน้อย ๆ ของฟู่ซือฝานเต็มไปด้วยความเดือดปุด ๆ เธอเบือนหน้าหนีไป พร้อมขยับมาทางเวินเหลียงแล้วกอดเธอไว้ “คุณป้า คืนนี้หนูอยากนอนกับคุณป้าอีก”เวินเหลียงเกือบจะตอบตกลงแล้วเธอลังเลอ
เวินเหลียงชักมือกลับ “ครั้งนี้ป้าจะปล่อยเธอไปก็แล้วกัน”เธอลอบถอนหายใจอยู่ในใจปฏิเสธล้มเหลว ตีตัวออกห่างล้มเหลวช่างเถอะ ถือเสียว่าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกันครั้งหน้าเธอต้องปฏิเสธให้ได้คนขับรถถามขึ้นว่า “คุณผู้ชายครับ ตอนนี้จะเปลี่ยนเส้นทางไหมครับ?”“ไม่ต้อง ไปเอาเสื้อผ้าของฝานฝานสักสองสามชุดที่คฤหาสน์ก่อน แล้วค่อยไปบ้านคุณผู้หญิง”“ครับ”รถยนต์แล่นมาหยุดที่ประตูย่าน เวินเหลียงลงจากรถ เธอหิ้วกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าเอาไว้ พลางพาฟู่ซือฝานขึ้นไปส่งชั้นบนด้วยตัวเองถังซือซือกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาอย่างครึ้มอกครึ้มใจ เห็นเวินเหลียงกลับมาก็เอ่ยขึ้นว่า “ส่งฝานฝาน...”ยังไม่ทันได้พูดจบ เธอก็เห็นฟู่ซือฝานเข้ามาจากเบื้องหลัง จึงรีบเงียบปากลงทันทีมากน้อยเวินเหลียงก็ต้องมีความกระวนกระวายใจเล็กน้อย ไม่กล้ามองตาถังซือซือ เธอโยนกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถัง คืนนี้เธอช่วยฉันดูแลฝานฝานหน่อยนะ ฉันมีธุระ จะกลับมาดึกหน่อย”ต่อหน้าของฟู่ซือฝาน ถังซือซือตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ได้ เธอรีบไปเถอะ ฝานฝาน คืนนี้กินข้าวกับน้านะ!”“ค่ะ” ฟู่ซือฝานตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “รบกวนคุณน้าถังแล้วนะ
เวินเหลียงเดินไปที่ราวแขวนเสื้อผ้าฟู่เจิงคว้าเสื้อขนสัตว์มาก่อนเธอก้าวหนึ่ง จากนั้นก็คลุมไปบนตัวเธอเมื่อออกมาจากสตูดิโอ ลมหนาวที่เย็นจนปวดกระดูกก็รับหน้าเข้ามา“รีบเข้าไปในรถเร็ว”ฟู่เจิงคิดจะลากข้อมือของเวินเหลียงไป ทว่าถูกเธอเอามือหลบออกไปเขาแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงเดินไปข้างรถอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเปิดประตูที่นั่งด้านหลังรถให้เธอเวินเหลียงนั่งเข้าไปพลางยกกระโปรงฟู่เจิงรีบปิดประตู และอ้อมไปขึ้นรถอีกด้านหนึ่งภายในรถอบอุ่นเพียงพอเมื่อมาถึงนอกสถานที่จัดงาน เวินเหลียงก็ถอดเสื้อขนสัตว์ออก คอยเดินตามอยู่เบื้องหลังฟู่เจิงขณะมาถึงประตูทางเข้า จู่ ๆ ฟู่เจิงก็หยุดฝีเท้า พร้อมตั้งฉากแขนขึ้น และมองเวินเหลียงทีหนึ่งเวินเหลียงเลิกคิ้ว ก่อนจะยกแขนขึ้นคล้องเข้าไปในช่องว่างแขนเขา และควงเขาเดินเข้าไปในโถง“คุณฟู่” ผู้จัดงานค็อกเทลปาร์ตี้รีบเดินเข้ามาหา ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “คุณมาได้ นับเป็นเกียรติกับคนตระกูลหลี่จริง ๆ!”ทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้ฟู่เจิงมีไม่น้อยทีเดียว อาทิอวี้เซิ่ง ธุรกิจแขนงใหม่ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ดำเนินการมาหลายปี อาทิบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่รับเหมาก่อ
เวินเหลียงเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเมิ่งเซ่อสาวเท้าก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมถือแก้วไวน์ในมือ “พี่ เป็นพี่จริง ๆ ด้วย ผมยังคิดว่าตัวเองมองผิดไปแล้วซะอีก!”เวินเหลียงยิ้มให้เขา นัยน์ตาดอกท้อยิ้มจนโค้งขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายไปด้วยแสงวิบวับ “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่เหมือนกันล่ะ?”ถ้าเมิ่งเซ่อรู้ว่าวันนี้เธอมากับฟู่เจิง เขาจะ...นัยน์ตาของเมิ่งเซ่อเหม่อลอย“เมิ่งเซ่อ?”“อ๋อ...เพื่อนสมัยเรียนผมเชิญผมมาน่ะ” เมิ่งเซ่อได้สติกลับมา หน้าแดงก่ำเล็กน้อย ขนตางอนยาวกระพือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พี่ แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”เวินเหลียงเอ่ยขึ้นทั้งสีหน้าคงเดิม “ได้รับการ์ดเชิญ ว่างไม่ได้ติดธุระอะไรก็เลยมาน่ะ”พูดจบเธอก็กวาดสายตามองไปในโถงอย่างแยบยลเงาคนในโถงมากมาย คนกระจายเป็นกระจุก บดบังสายตาของเวินเหลียงมิดคงเป็นเพราะเมิ่งเซ่อไม่เห็นว่าฟู่เจิงก็อยู่ในงานด้วย จึงไม่ได้มีความคิดสงสัยอะไร “ผมเองก็เหมือนกัน พี่ครับ พี่อยากกินอะไรไหม? เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”“ฉันไปกับนายก็แล้วกัน” เวินเหลียงลุกขึ้น พร้อมเดินไปโซนอาหารกับเมิ่งเซ่อเธอกลัวว่าตอนเมิ่งเซ่อไปหยิบอาหารไม่ทันระวังไปเห็นฟู่เจิงเข้า เลยท
เงาร่างสูงใหญ่กำลังครอบคลุมเธอ ความรู้สึกกดดันพุ่งขึ้นสุดปรอทกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งคละคลุ้งออกมาจากตัวของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เวินเหลียงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงล็อกประตู เธอก็เสียวสันหลังวาบ พยายามควบคุมสติเอาไว้ แล้วชิงลงมือก่อน เธอเอ่ยออกมาด้วยเหตุผลเต็มประดาอย่างเต็มปากเต็มคำ “คุณบ้าไปแล้วเหรอ? คุณลากฉันมาทำอะไรในนี้เนี่ย?!”ฟู่เจิงเม้มปากแน่น นัยน์ตาทั้งสองลึกอย่างกับหลุมดำ จ้องเธอตาไม่กะพริบเวินเหลียงถูกเขาจ้องจนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ เธอออกแรงผละเขา ทว่าผละยังไงเขาก็ไม่กระดุกกระดิกเลยแม้แต่น้อยริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้นมา เผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยรอยยิ้มหนึ่ง “เธอไม่รู้? แล้วทำไมพอเธอเห็นฉันเธอต้องวิ่งหนีด้วย?”เวินเหลียงมองนัยน์ตาของเขา หน้าไม่แดงใจไม่เต้น “ฉันวิ่งหนีตรงไหนไม่ทราบ?”“อ๋อเหรอ? ไม่ได้วิ่งหนี?” นัยน์ตาของฟู่เจิงเต็มไปด้วยการหยอกล้อ น้ำเสียงเคร่งขรึม ลูกกระเดือกสุดเซ็กซี่ขยับขึ้นลง เวินหลียงส่ายหน้าราวกับเขย่าป๋องแป๋ง “เปล่าซะหน่อย”ฟู่เจิงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ทว่านัยน์ตากลับยิ่งหม่นหมองลงเรื่อย ๆ “ในเมื่อเ
เขารู้สึกได้ว่า มือใหญ่ ๆ ของตัวเองถูกสั่งการไม่หยุดแล้ว เขาปล่อยข้อมือของเวินเหลียงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เวินเหลียงยังคิดว่าเขาจะปล่อยเธอไปทว่าวินาทีต่อมา ตรงหน้าอกก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา...เขาปลดแขนเสื้อปาดไหล่ของชุดพิธีการเธอลงมาข้างหนึ่ง มือใหญ่เริ่มทำการลูบคลึงนุ่มมากจริง ๆ“...อื้ออื่ม...”เธอเปล่งเสียงครางเบา ๆ ออกมาจากในลำคอโดยไม่ทันได้ระวังตัวเสียงหนึ่งบรรยากาศคลุมเครือเร่าร้อนทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังขึ้นมาจากด้านนอก ฝีเท้านั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำคนคนนั้นกดมือจับประตูลง ทว่าเปิดประตูไม่ออกชายหนุ่มด้านนอกถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ขอถามหน่อยครับ ข้างในมีคนอยู่หรือเปล่า? รบกวนเปิดประตูหน่อยได้ไหมครับ?”มือของเวินเหลียงที่พาดอยู่บนไหล่ฟู่เจิงหยุดผละปฏิเสธ เธอไม่กล้ากระดุกกระดิกฟู่เจิงแข็งทื่อไปทั้งตัว พลันได้สติกลับมาเขาเบิกตาโพลง พลางสบตากับเวินเหลียงในระยะใกล้นัยน์ตาของเธอทั้งใสทั้งงดงาม ตาดำตาขาวแยกกันชัดเจน ราวกับอัญมณีที่จมอยู่ในน้ำกลีบปากของทั้งสองคนประกบติดกัน แลกลมหายใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครกระดุกกระดิกตัวเลยผ่านไปนานแล้วชายหนุ่ม
เธอแค่อยากมาจัดการเสื้อผ้าที่ห้องน้ำสักหน่อย ใครจะไปรู้ได้ว่าออกมาจะเจอฉากภาพแบบนี้เข้าโชคร้ายชะมัดในใจของเวินเหลียงหงุดหงิดถึงขั้นยากจะพรรณนาออกมา เธอรีบหมุนตัวเดินออกไปเลยเห็นเงาเบื้องหลังของเวินเหลียง ฟู่เจิงรีบตามไปทันที“ฟู่เจิง!”อู๋หลิงคว้าแขนของเขาเอาไว้ เธอยังคิดจะพูดอะไรอีก ทว่าฟู่เจิงกลับพลิกมือสลัดเธอออกไป…“พี่ พี่กลับมาแล้วเหรอ”โซนพักผ่อนภายในห้องโถง เมื่อเมิ่งเซ่อเห็นเงาร่างของเวินเหลียง บนหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาเวินเหลียงกระตุกยิ้มมุมปาก “ขอโทษนะ ฉันมีธุระนิดหน่อย ต้องขอตัวก่อนนะ”“มีคนมารับพี่หรือเปล่า?”“ไม่มี”เมิ่งเซ่อรีบลุกขึ้น “ถ้างั้น พี่ครับ ผมไปส่งพี่ดีไหม?!”เวินเหลียงอยากจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อคำพูดขึ้นมาอยู่ข้างปากแล้วเธอกลับเปลี่ยนคำพูดซะงั้น “โอเค”บนหน้าของเมิ่งเซ่อปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ “เดี๋ยวผมไปแจ้งกับพนักงาน ให้พวกเขาส่งรถมาคันหนึ่งก่อนนะครับ”“อืม”เมื่อฟู่เจิงเดินเข้ามาในโถง ก็เห็นเงาร่างของเวินเหลียงและเมิ่งเซ่อเดินเคียงคู่กันออกไปเขายืนอยู่ไกล ๆ สีหน้าเย็นชา ความเย็นยะเยียบชั้นหนึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายในดวงต
“ปล่อย!” เวินเหลียงพยายามแงะนิ้วของเขาออก แต่ไม่ว่าแงะยังไงก็แงะไม่ออก“อาเหลียง ฉันรักเธอ ฉันรักเธอจริง ๆ เธอไม่รู้ ตอนเห็นเธออยู่กับผู้ชายคนอื่น เธอไม่รู้หรอกว่าในใจฉันมันอิจฉาแค่ไหน เสียใจแค่ไหน...”เวินเหลียงยิ้มอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “ฟู่เจิง คุณทำแบบนี้มันมีความหมายเหรอ? คุณรู้หรือเปล่าเถอะว่ารักคืออะไร? รักคือการให้ ไม่ใช่การครอบครอง! ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ฉันกำลังจะเริ่มชีวิตใหม่ คุณปล่อยฉันไปไม่ได้เหรอ? เป็นเพราะแค่ฉันไม่ตกลงที่จะแต่งงานใหม่กับคุณ คุณก็เลยจะตามรังควานฉันไปทั้งชีวิต?”ฟู่เจิงชะงักไปทั้งตัว ในใจราวกับถูกมีดทิ่มแทงเข้าไปอย่างแรง และหมุนวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดเอาแต่ไหลทะลักออกมาเขาก้มหน้า พลางมองเวินเหลียงด้วยความโศกเศร้า ราวกับกลืนทรายลงคอไปกำมือหนึ่ง น้ำเสียงของเขาแหบพร่าไร้ที่เปรียบ “เป็นเมิ่งเซ่อ?”เธอจะชอบเมิ่งเซ่อได้ยังไง?!เมิ่งเซ่อคู่ควรกับเธอที่ไหน?!“ใช่”มุมปากฟู่เจิงเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมารอยยิ้มหนึ่ง ในน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงการวิงวอนเอาไว้ “อาเหลียง เธอเลิกโกหกฉันได้แล้ว เธอจะชอบเมิ่งเซ่อได้ยังไง?”“เหอะ!” เวินเหลียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง “ค