เขารู้สึกได้ว่า มือใหญ่ ๆ ของตัวเองถูกสั่งการไม่หยุดแล้ว เขาปล่อยข้อมือของเวินเหลียงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เวินเหลียงยังคิดว่าเขาจะปล่อยเธอไปทว่าวินาทีต่อมา ตรงหน้าอกก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา...เขาปลดแขนเสื้อปาดไหล่ของชุดพิธีการเธอลงมาข้างหนึ่ง มือใหญ่เริ่มทำการลูบคลึงนุ่มมากจริง ๆ“...อื้ออื่ม...”เธอเปล่งเสียงครางเบา ๆ ออกมาจากในลำคอโดยไม่ทันได้ระวังตัวเสียงหนึ่งบรรยากาศคลุมเครือเร่าร้อนทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังขึ้นมาจากด้านนอก ฝีเท้านั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำคนคนนั้นกดมือจับประตูลง ทว่าเปิดประตูไม่ออกชายหนุ่มด้านนอกถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ขอถามหน่อยครับ ข้างในมีคนอยู่หรือเปล่า? รบกวนเปิดประตูหน่อยได้ไหมครับ?”มือของเวินเหลียงที่พาดอยู่บนไหล่ฟู่เจิงหยุดผละปฏิเสธ เธอไม่กล้ากระดุกกระดิกฟู่เจิงแข็งทื่อไปทั้งตัว พลันได้สติกลับมาเขาเบิกตาโพลง พลางสบตากับเวินเหลียงในระยะใกล้นัยน์ตาของเธอทั้งใสทั้งงดงาม ตาดำตาขาวแยกกันชัดเจน ราวกับอัญมณีที่จมอยู่ในน้ำกลีบปากของทั้งสองคนประกบติดกัน แลกลมหายใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครกระดุกกระดิกตัวเลยผ่านไปนานแล้วชายหนุ่ม
เธอแค่อยากมาจัดการเสื้อผ้าที่ห้องน้ำสักหน่อย ใครจะไปรู้ได้ว่าออกมาจะเจอฉากภาพแบบนี้เข้าโชคร้ายชะมัดในใจของเวินเหลียงหงุดหงิดถึงขั้นยากจะพรรณนาออกมา เธอรีบหมุนตัวเดินออกไปเลยเห็นเงาเบื้องหลังของเวินเหลียง ฟู่เจิงรีบตามไปทันที“ฟู่เจิง!”อู๋หลิงคว้าแขนของเขาเอาไว้ เธอยังคิดจะพูดอะไรอีก ทว่าฟู่เจิงกลับพลิกมือสลัดเธอออกไป…“พี่ พี่กลับมาแล้วเหรอ”โซนพักผ่อนภายในห้องโถง เมื่อเมิ่งเซ่อเห็นเงาร่างของเวินเหลียง บนหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาเวินเหลียงกระตุกยิ้มมุมปาก “ขอโทษนะ ฉันมีธุระนิดหน่อย ต้องขอตัวก่อนนะ”“มีคนมารับพี่หรือเปล่า?”“ไม่มี”เมิ่งเซ่อรีบลุกขึ้น “ถ้างั้น พี่ครับ ผมไปส่งพี่ดีไหม?!”เวินเหลียงอยากจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อคำพูดขึ้นมาอยู่ข้างปากแล้วเธอกลับเปลี่ยนคำพูดซะงั้น “โอเค”บนหน้าของเมิ่งเซ่อปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ “เดี๋ยวผมไปแจ้งกับพนักงาน ให้พวกเขาส่งรถมาคันหนึ่งก่อนนะครับ”“อืม”เมื่อฟู่เจิงเดินเข้ามาในโถง ก็เห็นเงาร่างของเวินเหลียงและเมิ่งเซ่อเดินเคียงคู่กันออกไปเขายืนอยู่ไกล ๆ สีหน้าเย็นชา ความเย็นยะเยียบชั้นหนึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายในดวงต
“ปล่อย!” เวินเหลียงพยายามแงะนิ้วของเขาออก แต่ไม่ว่าแงะยังไงก็แงะไม่ออก“อาเหลียง ฉันรักเธอ ฉันรักเธอจริง ๆ เธอไม่รู้ ตอนเห็นเธออยู่กับผู้ชายคนอื่น เธอไม่รู้หรอกว่าในใจฉันมันอิจฉาแค่ไหน เสียใจแค่ไหน...”เวินเหลียงยิ้มอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “ฟู่เจิง คุณทำแบบนี้มันมีความหมายเหรอ? คุณรู้หรือเปล่าเถอะว่ารักคืออะไร? รักคือการให้ ไม่ใช่การครอบครอง! ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ฉันกำลังจะเริ่มชีวิตใหม่ คุณปล่อยฉันไปไม่ได้เหรอ? เป็นเพราะแค่ฉันไม่ตกลงที่จะแต่งงานใหม่กับคุณ คุณก็เลยจะตามรังควานฉันไปทั้งชีวิต?”ฟู่เจิงชะงักไปทั้งตัว ในใจราวกับถูกมีดทิ่มแทงเข้าไปอย่างแรง และหมุนวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดเอาแต่ไหลทะลักออกมาเขาก้มหน้า พลางมองเวินเหลียงด้วยความโศกเศร้า ราวกับกลืนทรายลงคอไปกำมือหนึ่ง น้ำเสียงของเขาแหบพร่าไร้ที่เปรียบ “เป็นเมิ่งเซ่อ?”เธอจะชอบเมิ่งเซ่อได้ยังไง?!เมิ่งเซ่อคู่ควรกับเธอที่ไหน?!“ใช่”มุมปากฟู่เจิงเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมารอยยิ้มหนึ่ง ในน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงการวิงวอนเอาไว้ “อาเหลียง เธอเลิกโกหกฉันได้แล้ว เธอจะชอบเมิ่งเซ่อได้ยังไง?”“เหอะ!” เวินเหลียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง “ค
เสียงฝีเท้าแว่วดังขึ้นมาจากด้านหลัง เสียงนั้นไกลออกไปขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งหายลับไปเวินเหลียงหลับตาลง พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ตรงคอขยับขึ้นลง เธอขึ้นลิฟต์ไปเงียบ ๆฟู่เจิงเคยบอกรักเธออยู่หลายครั้งหลายหน เธอไม่รู้แล้วว่าเขากำลังโกหกเธอ หรือว่าพูดความจริงกันแน่ทว่ามันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเธอมองตัวเองที่สะท้อนออกมาจากผนังลิฟต์ ไม่รู้ว่าเบ้าตาของเธอเริ่มแดงขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรฟู่เจิงเจ้าคนสารเลวนี่ ต้องจงใจแน่ ๆก่อนไปยังมีหน้ามาพูดเรื่องพวกนั้นอีก คงพูดเพราะคิดจะทำให้เธอใจอ่อนแน่ ๆหึ เธอไม่มีวันใจอ่อนหรอกเวินเหลียงยืนอยู่เงียบ ๆ ในลิฟต์ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เธอได้สติกลับมา ถึงตระหนักได้ว่าเวลาในการขึ้นลิฟต์ครั้งนี้มันนานอยู่หน่อย ๆเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง ลิฟต์ยังอยู่ที่ชั้นหนึ่ง...เธอลืมกดเลขชั้นเห็นผีเข้าจริง ๆ แล้วเวินเหลียงกดชั้นหลังเข้ามาในห้อง เธอก็ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปแขวนบนราวเสื้อผ้าก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนรองเท้าฟู่ซือฝานยังไม่นอน เธอนั่งดูการ์ตูนอยู่บนโซฟา เมื่อเห็นเวินเหลียงกลับมา ฝานฝานก็มองมาที่เธอทั้งอึ้งกิมกี่ “คุณป้า คุณป้าสวยจังเลย!”
เขายังสวมชุดตัวเมื่อวานอยู่ ด้านบนเสื้อผ้ายับยู่ยี่ไปหมด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอยู่หน่อย ๆ ทั้งตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าหึ่งฟู่ซือฝานรังเกียจถึงขั้นหลบ มือน้อย ๆ ทำท่าปักตรงหน้าจมูก พลางเบะปาก “คุณลุง คุณลุงตกลงไปในถังเหล้าเหรอ?!”ฟู่เจิง “...”“คุณลุงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”ฟู่เจิงเดินขึ้นไปยังชั้นสองเลยฟู่ซือฝานมองเงาเบื้องหลังของเขา แล้วก็ยักไหล่อย่างจนใจยังต้องให้เดาอีกเหรอ?เมื่อคืนคงทะเลาะกับคุณป้ามาแน่ ก็เลยไปดื่มเหล้าเพื่อให้ลืมความทุกข์คนเดียวหลังฟู่เจิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินลงมาพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมไปด้วย จากนั้นเดินไปนั่งลงข้างฟู่ซือฝาน “คุณป้าเธอเป็นคนพาเธอมาส่งเหรอ?”ฟู่ซือฝานพยักหน้า “อืม คุณลุง เมื่อวานคุณลุงทะเลาะกับคุณป้าใช่ไหม?”มือที่กำลังเช็ดผมอยู่ของฟู่เจิงชะงักไป เขาก้มหน้าลงแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “เขาได้พูดอะไรกับเธอหรือเปล่า?”“คุณป้าบอกว่า ถ้าหนูพูดถึงคุณลุงต่อหน้าคุณป้าอีก คุณป้าจะเกลียดหนูเหมารวมไปกับคุณลุงด้วย”“งั้นเธอก็เลิกพูดถึงลุงต่อหน้าป้าได้แล้ว ลุงเคยบอกแล้วว่า ไม่ว่าผู้ใหญ่จะเป็นยังไงกัน ก
ฟู่เจิงตบไหล่ของฟู่ซือฝาน นัยน์ตาพลางประกายแสงดำมืดออกมาสายหนึ่งเวินเหลียงชอบเมิ่งเซ่อแล้วยังไง?เธอชอบความสดใส ความหล่อและความมีชีวิตชีวาของเมิ่งเซ่อ แต่หากเมิ่งเซ่อไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นข้อดีทั้งหมดของเขาก็จะไร้ประโยชน์ขึ้นมาในทันที!ฟู่เจิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งข้อความไปหาลู่เย่าเขาเล่นเป็นเพื่อนฟู่ซือฝานตลอดทั้งบ่าย ตอนเย็นถึงได้รับข้อความตอบกลับของลู่เย่าฟู่เจิงอ่านข้อความ ก่อนจะปิดโทรศัพท์ แล้วพูดกับฟู่ซือฝานว่า “ฝานฝานตอนกลางคืนยังอยากนอนกับคุณป้าไหม?”“อยากค่ะ!” ฟู่ซือฝานพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสารเธอชอบนอนกับคุณป้ามาก ๆ“งั้นลุงไปส่งเธอตอนนี้ดีไหม?” ฟู่เจิงถามขึ้นเขาครุ่นคิด ระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้น ๆ อาศัยแค่เขา ยากจะให้ฟู่ซือฝานตอบตกลงที่จะอยู่ต่อแต่ถ้ามีเวินเหลียงเข้ามาด้วยอีกคนก็ต่างไปแล้วโดยเฉพาะหากฟู่ซือฝานนอนกับเวินเหลียงทุกวัน จะยิ่งรู้สึกผูกพันลึกซึ้งมากขึ้น หลังชินแล้ว เธอยังคิดอยากไปจากที่นี่อีกไหม?“อืม ๆ”ฟู่เจิงเก็บเสื้อผ้าให้ฟู่ซือฝานเพิ่มอีกสองสามตัว ก่อนจะพาเธอไปส่งที่ย่านบ้านเวินเหลียงเวินเหลียงอยู่บ้านพอดีเมื่อไ
ชายหนุ่มรู้จักลู่เย่า ทว่าไม่รู้จักฟู่เจิง หรือเรียกได้ว่าไม่กล้ารู้จักสบเข้ากับสายตาของฟู่เจิง ในใจของเขาก็สั่นงันงกไปหมด เขาส่งข้อมูลชุดหนึ่งให้ลู่เย่าพร้อมฉีกยิ้ม “เถ้าแก่ลู่ นี่เป็นข้อมูลส่วนตัวของพวกเธอ คุณลองดูสิครับ”ลู่เย่าส่งให้ฟู่เจิงเลยโดยไม่แม้แต่จะมอง “คุณเลือกมาสักคนสิ”ฟู่เจิงรับข้อมูลมา เปิดดูไปทีละหน้า ๆ ทั้งอย่างนี้ภายในห้องรับรองเงียบสงัดเป็นพิเศษบรรยากาศราวกับหยุดนิ่งไปกระทั่งเขาเปิดไปที่หน้าหนึ่ง แล้วขานชื่อที่อยู่บนหน้านั้นขึ้นมา “เซี่ยมู่ คือคนไหน?”ภายในแถวของหญิงสาว ผู้หญิงคนที่สองนับจากฝั่งซ้ายชะงักไปสองสามวินาที ถึงได้ก้าวออกมาด้านหน้าก้าวหนึ่ง พลางก้มหน้า “คุณผู้ชายทั้งสอง ฉันชื่อเซี่ยมู่ค่ะ”ฟู่เจิงหรี่ตาลงพลางมองประเมินเธอด้วยนัยน์ตาแหลมคมผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เปิดปากเอ่ยขึ้นชืด ๆ ว่า “เลือกเธอแล้วกัน ส่วนคนอื่นออกไปให้หมด”ผู้ชายที่เป็นคนนำทีมอยากจะลองใจดูอีกครั้ง “ทั้งสองท่าน ไม่เลือกอีกสักคนเหรอครับ?”หรือว่าพวกเขามีรสนิยมชอบชายสองหญิงหนึ่งแบบนี้เหรอ?“ไม่จำเป็น”“งั้นก็โอเคครับ” ชายหนุ่มที่เป็นคนนำทีมไม่ลืมที่จะกำชับ “เซี่ยมู่ ปรนนิบัต
ช่วงนี้อากาศเย็นลง หลานของป้าหวังเป็นหวัดเป็นไข้ เลยลาหยุดสองสามวันแม้ฟู่เจิงจะไม่ใช่ประธานบริหารของฟู่ซื่อ กรุ๊ปอีกต่อไป ทว่าทรัพย์สมบัติที่อยู่ในมือก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว ยังคงต้องตรากตรำทำงานยุ่งทุกวัน ไม่มีเวลามาดูแลฟู่ซือฝานฟู่ซือฝานจึงอาศัยอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์แสนใหญ่โตโอ่อ่าของเวินเหลียงทั้งอย่างนี้ ทุกวันตอนกลางวันเวินเหลียงจะพาออกไปเที่ยวเล่น ตกกลางคืนก็จะนอนกับเวินเหลียง ใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันไม่ต้องพูดเลยว่าดุจดั่งเทพเซียนขนาดไหนกระทั่งมาถึงนี้วันพฤหัสบดี เป็นวันจัดปาร์ตี้รียูเนียนเพื่อนร่วมชั้นสมัยม.ปลายของถังซือซือ เวินเหลียงพาเธอไปด้วยไม่ได้ จึงส่งเธอไปอยู่ที่บ้านใหญ่ บอกเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะมารับเธอตอนกลางคืนสถานที่จัดปาร์ตี้รียูเนียนเลือกเป็นในโรงแรมใหญ่ระดับห้าดาวแห่งหนึ่งก่อนไปถังซือซือตั้งใจแต่งหน้าอย่างประณีตให้ตัวเองโดยเฉพาะหลังแต่งหน้าเสร็จ เธอส่องกระจกซ้ายทีขวาที แล้วเงยหน้ามองเวินเหลียงที่อยู่บนโซฟา ก่อนจะชี้ที่หน้าของตน และถามขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “อาเหลียง เป็นยังไงบ้าง?!”แต่งหน้าได้สะอาดหมดจด เขียนคิ้วได้รูปเป็นสัดส่วนชัดเจน เมื่อเลิกช่วงกลางคิ้วขึ้นเล