ฤดูเหมันต์ทำให้ทั้งเมืองมีหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณรวมแคว้นหวางป๋อ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากมายสมกับชื่อของแคว้นมีบรรพบุรุษตระกูลหวางปกครองมาหลายร้อยปี ซึ่งคนที่มีอำนาจสูงสุดคือ หวางเทียนเวิ่น ที่ขึ้นปกครองเมืองได้ไม่นานเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือทั่วหล้าก็แทบจะยกลูกสาวให้ทั้งเมืองโดยไม่ลังเลเพื่อหวังจะได้เชื่อมความสัมพันธ์
“น้องหญิง” หวางเทียนเวิ่นเอ่ยเรียกสตรีที่รักสุดหัวใจด้วยความเจ็บปวด
“ท่านมีเวลามาหาแล้วหรือเพคะ” สนมหลี่เจ๋อหรานมองใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเจ็บปวดฝ่าบาทกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับองค์หญิงต่างแคว้นเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์แต่นางเป็นคนชนเผ่าเล็กๆ ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ
“ใยเจ้าถึงกล่าวแบบนั้น” ฝ่าบาทเห็นแววตาของคนรักแล้วรู้สึกเจ็บปวดที่เขารักษาสัญญาให้นางไม่ได้ว่าเขาจะไม่เข้าพิธีอภิเษกกับหญิงนางใดแต่เพื่อบ้านเมืองกลับทำให้เขาผิดสัญญา
“ท่านพี่บอกให้น้องตั้งท้องลูกชายเพื่อจะได้เลื่อนขั้นแต่น้องไม่ต้องการตำแหน่งไหนเลยเพคะ” หลี่เจ๋อหรานร้องไห้ออกมาเดิมทีนางอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ่น นางได้ช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้พระองค์ทรงเมตตาจึงรับนางเป็นนางสนมและให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีใคร
“น้องหญิง...”
“หากน้องได้โอรสน้อยแล้วอย่างไรท่านพี่จะเข้าอภิเษกหรือไม่ คำตอบก็คือหน้าที่ แล้วมันมีความหมายแตกต่างกันอย่างไรเพคะ” ตอนนี้มีอีกหนึ่งชีวิตที่นางต้องปกปิดไว้
“น้องหญิงพี่ผิดเอง” ตอนที่เขาพานางมาที่ตำหนักนางถึงรู้ว่าเขามีสนมมากมาย ยิ่งทำให้นางโกรธเคือง
“ท่านกลับไปเสียเถิดเพคะ หม่อมฉันอย่างอยู่คนเดียวอีกไม่กี่วันท่านก็จะเข้าพิธีอภิเษกแล้ว” สนมหลี่เจ๋อหรานหันหลังให้ฝ่าบาทสนมต่างพากันดูถูกนางเพราะนางเป็นแค่ลูกคนป่าไม่มียศอะไรที่จะแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเคียงคู่กับมังกรสวรรค์
“ลูกแม่ แม่สัญญาจะปกป้องชีวิตเจ้าไว้ให้ดีที่สุดเมื่อถึงเวลานั้นชายคนนั้นจะต้องเจ็บปวดเจียนตาย” นางต้องรีบหาทางหนีเพราะหากนางสนมคนไหนรู้เข้าชีวิตนางกับลูกอาจจะไม่ปลอดภัยเพราะนางถือว่าให้กำเนิดลูกคนแรกของฝ่าบาท
“อี้หรานเจ้าจงออกไปส่งจดหมายฉบับนี้ให้ข้า”
“พระสนมเพคะให้หม่อมฉันตามเสด็จกลับบ้านด้วยเถิดเพคะ ข้าอยากดูแลลูกน้อยของท่านข้าไม่มีใครแล้ว” นางกำนัลออกร้องไห้ออกมาเพราะรู้ว่าพระสนมกำลังคิดหนี
“ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
อี้หรานรับใช้นางมาตั้งแต่นางมาเหยียบที่นี่และปกป้องนางเจ๋อหรานคงทิ้งนางไว้คนเดียวไม่ได้ หากฝ่าบาทรู้ว่านางหนีไปคงได้ลงโทษนางกำนัลผู้นี้
ในคืนเข้าหอของฮ่องเต้หวางเทียนเวิ่น ผู้คนต่างออกมาเฉลิมฉลองแต่เป็นวันที่นางเจ็บปวดที่สุดเพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่นางอยู่ที่นี้ แม้แต่ใบหน้าของเขานางก็ไม่ได้เจอ
‘เทียนเวิ่นเจ้าฟังคำขอร้องของข้าให้ดีชาตินี้เจ้าจะไม่โอรสหรือธิดาสืบสกุลให้เจ้าอยู่กับความเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเคยเป็น ชาตินี้ไม่พานพบกันอีก’
จดหมายถูกมือของฝ่าบาทขย้ำจนขาดและสั่งให้ทหารออกตามหาพระสนมหลี่เจ๋อหรานให้พบ เขาได้แต่มองจดหมายในมือจนบัดนี้เวลาล่วงเลยมาถึง 21 ปี เขาก็ยังไม่มีโอรสหรือพระธิดาเลยแม้แต่องค์เดียวเมื่อ 1 ปีก่อน ฮองเฮาก็จากเขาไปด้วยโรคร้าย
“ตอนนี้กระหม่อมได้ฤกษ์งามยามดีที่จะมีพิธีอภิเษกระหว่างองค์รัชทายาทกับองค์หญิงแคว้นเป่ยเฟิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“บอกหลานของข้าให้เตรียมตัวให้พร้อม”
ฝ่าบาทไม่มีทายาทเลยสักคนทำให้ หวางหลานซวน หลานชายคนโตขึ้นมารับตำแหน่งองค์รัชทายาทแทนซึ่ง หลานซวนเป็นโอรสของชินอ๋อง หวางไห่เถิง น้องชายของฝ่าบาท
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเตรียมการให้ดีที่สุด” กงกงจึงทูลลาฝ่าบาท
นานมากแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้ยินข่าวคราวของนางเลยเผ่าที่นางบอกกับหาไม่เจอไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นชนเผ่า เฟิงอวิ๋น ทำให้ฝ่าบาทต้องล้มเลิกในการตามหานาง
เผ่าเฟิงอวิ๋น
เป็นชนเผ่าที่อยู่ทางทิศใต้ของแคว้นหวางป๋อที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำและสัตว์นานาชนิดเพราะอยู่ท่ามกลางหุบเขาแต่ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้เพราะต้องผ่านอาคมม่านหมอกหนา ที่ชนเผ่าร่ายคาถาขึ้นมาเพื่อป้องกันภัย
“เฟิ่งหวงเจ้าไม่รอข้าเลย”
เสียงเด็กน้อยร้องดังขึ้นเพราะวิ่งไล่ตามผู้เป็นพี่ไม่ทันจึงร้องไห้งอแงเพราะเหนื่อยจากการวิ่ง
“อะไรเด็กน้อยแค่นี้เจ้าก็งอแงแล้วจะเป็นเจ้าป่าได้ยังไง”
“ท่านต่างหากที่ต้องขึ้นเป็นเจ้าป่า” อาเจิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นเอง
“หวงเอ๋อร์ มากินข้าวก่อน” เสียงของท่านแม่ทำให้ทั้งสองรีบวิ่งกลับไปยังกระโจมขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่าเป็นที่รวมตัวของชาวบ้าน
“ท่านแม่”
“นั่งกินข้าวกันก่อนเถิด” หลี่เจ๋อหรานมองใบหน้าของลูกชายเพียงคนเดียวที่ใบหน้าเหมือนกับผู้เป็นพ่อไม่มีผิดหากใครได้เห็นก็จะรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองเป็นอะไรกัน
21 ปีที่นางเลี้ยงลูกมาคนเดียวด้วยความลำบากและปกปิดฐานะที่แท้จริงของลูกชายเอาไว้เพราะหากเขาคนนั้นรู้เข้านางจะไม่เหลืออะไร
เฟิ่งหวง ทั้งเฉลียวฉลาดและเรียนเก่งมีไหวพริบจนนางภูมิใจไม่น้อยที่เก่งกาจเหมือนคนเป็นพ่อ ลูกชายนางเคยถามว่าพ่อเป็นใครเมื่อเห็นว่านางแอบมาร้องไห้ทุกครั้งจึงหยุดถาม
เจ๋อหรานหยิบสร้อยประจำตระกูลขึ้นมาซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่บ่งบอกว่าลูกของนางเป็นใคร นางเจ็บปวดเพราะความรักจึงไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนาง
“ท่านแม่ ข้าจะไปดูสัตว์ป่าแถวตีนเขาอาจจะกลับค่ำ”
“เจ้าต้องระวังตัวให้นะลูกรัก”
“ขอรับท่านแม่”
เฟิ่งหวงรีบออกเดินทางซึ่งป่าแถบนี้เขารู้ทางหมดรวมถึงทางเข้าออกของชนเผ่าซึ่งนานๆ ครั้งเขาถึงจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก แต่ต้องใช้ผ้าปิดใบหน้าไว้เพราะคือคำสั่งของมารดา
“อีกไม่นานลูกชายของเจ้าก็จะได้พานพบแล้วเจ้าทำใจไว้บ้างเสียเถิด”
หลี่เจี้ยนกั๋ว มองดูหลานชายที่เดินออกไปไกลๆ จนพ้นเขตหมูบ้านไป สตรีนางนั้นจะทำให้ชีวิตของเฟิ่งหวงเปลี่ยนไปอีกไม่นานการครองราชย์ก็จะถูกเปลี่ยนมือและเพิ่งหวงเองที่เป็นคนสำคัญในครั้งนี้ เขารับรู้ได้ แคว้นหวางป๋อขึ้นอยู่กับ เฟิ่งหวง
“องค์หญิงอย่าชะโงกหน้าออกไปเพคะ” นางกำนัลรับใช้ห้ามองค์หญิงทันทีเพราะกลัวจะได้รับอันตราย
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” องค์หญิงจางไป๋หลาน แห่งแคว้นเป่ยเฟิงที่ต้องเดินทางมาเข้าพิธีอภิเษกเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับแคว้นหวางป๋อซึ่งตอนนี้เดินทางมาจะครบเจ็ดวันแล้ว
“ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมดรวมถึงองค์หญิงด้วย” เสียงคนร้ายดังขึ้นมาจากข้างนอกและเสียงฟันดาบเหล่าทหารต่างพากันปกป้ององค์หญิงอย่างสุดความสามารถ
“ว้ายยย”
“องค์หญิงทรงหนีไปพ่ะย่ะค่ะพวกเราถูกโจมตีแล้ว”
“องค์หญิงทรงหนีไปเพคะ”
นางกำนัลถูกมีดแทงเข้าที่กลางอกจนล้มตัวลงไปกองที่พื้นเหล่าทหารต่างพากันสู้จนลมหายใจสุดท้ายเมื่อตั้งสติได้นางจึงรีบวิ่งหนีเข้าป่าไป
“ตามนางไปและฆ่านางทิ้งซะ หากเราฆ่านางไม่ได้เราจะตายเอง” คนร้ายเอ่ยขึ้นเพราะพวกเขาได้รับเงินว่าจ้างมาแล้วหากทำไม่สำเร็จพวกเขาจะถูกฆ่าเสียเอง
ไป๋หลานวิ่งหนีมาสุดกำลังจนมาหยุดที่หน้าผาสูงชันซึ่งไม่มีทางให้ไปต่อแล้วจะวิ่งกลับไปคนร้ายก็มาล้อมตัวนางไว้มีสองทางคือยืนรอความตายกับกระโดดลงหน้าผาไป เป็นตายเท่ากัน
“หมดหนทางหนีแล้วองค์หญิง”
“พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร” คนที่จ้างคนร้ายมาต้องรู้จักนางอย่างถ่องแท้เพราะการเดินมาครั้งนี้ไม่มีผู้ใดทราบมีเพียงท่านพ่อของนางกับฮ่องเต้แห่งแคว้นหวางป๋อ
“ท่านอย่าถามอะไรมากเลย”
“พวกเจ้าต้องการเงินทองเท่าไรข้าจะให้”
“พวกข้าคงปล่อยท่านไปไม่ได้จริงๆ ฆ่านาง!” สิ้นเสียงตะโกนเหล่าคนร้ายต่างพากันชักดาบขึ้นมาเพื่อเตรียมเข้าจู่โจมนาง นางไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าตายอย่างน่าสงสาร
ไป๋หลานหันหลังและวิ่งกระโดดลงหน้าผาสูงชันที่เบื้องล่างคือแม่น้ำอันหนาวเหน็บซึ่งช่วงนี้อากาศหนาวเย็นนางรู้ชะตาของตัวเองดีว่าคงไม่มีชีวิตรอดกลับไป
“ตามหาศพนางในเจอ!”
ร่างบางกระทบกับผิวน้ำอย่างแรงจนร่างจมลงไปใต้ผืนน้ำทำให้หัวกระแทกกับโขดหินขนาดใหญ่ จนสติเลือนรางและดับไปในที่สุด ‘ข้าลาก่อนท่านพ่อชาตินี้ลูกไร้วาสนาตอบแทนคุณ’
เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้แม่น้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาตอนนี้เป็นยามเซิน (15.00-16.59 น.) ซึ่งพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วแต่สายตามองไปเห็นผ้าที่ติดโขดหินอยู่
“เจ้าเป็นใคร!” เฟิ่งหวงเห็นร่างไร้สติจึงจับพลิกตัวให้มาเผชิญหน้ากัน
ดวงตาจ้องมองนางผู้นั้นราวกับต้องมนต์สะกดเพราะนางสวยราวกับเทพธิดาผิวขาวราวกับปุยนุ่น ถึงแม้จะมีเลือดอาบที่ใบหน้าก็ตามเฟิ่งหวงใช้นิ้วตรวจดูชีพจรปรากฏว่านางยังไม่ตาย
“ท่านแม่สอนเสมอยามใครลำบากให้ช่วยเหลือนั่นคือวิถีของชนเผ่า” เฟิ่งหวงอุ้มนางกลับไปที่ชนเผ่าเพื่อให้ท่านแม่ช่วยเหลือนาง
“หวงเอ๋อร์นั่นเจ้าพาใครมา” เจ๋อหรานตกใจที่เห็นลูกชายอุ้มหญิงสาวเข้าตัวเนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำ
“ท่านแม่ช่วยนางก่อน”
“อี้หรานเจ้านำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้นางลูกออกไปก่อน”
อี้หรานเปลี่ยนชุดให้นางและเจ๋อหรานที่เป็นคนทำแผลที่ศีรษะให้นาง ช่างน่าสงสารยิ่งนักไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา
“เสื้อผ้าของนางเหมือนกับ...”
“เหมือนกับผ้าของราชวงศ์ที่มีสัญลักษณ์อยู่บนลายผ้า หวงเอ๋อร์กำลังหาภัยร้ายให้ตัวเอง”
“เหมือนกับที่พี่หญิงเคยเจอมาก่อน” อี๋หร๋านมองอดีตพระสนมที่นางเคยดูแลบัดนี้นางได้แต่งงานมีครอบครัวกับคนเผ่าอวิ๋น เจ๋อหรานให้นางเรียกนางท่านพี่
“รอนางฟื้นขึ้นมาก่อนเถอะคอยส่งนางกลับบ้าน”
“ท่านแม่นางเป็นอย่างไรบ้าง” เฟิ่งหวงที่เห็นท่านแม่เดินออกมาจึงถามไถ่อาการนางผู้นั้น อาการเป็นห่วงฉายชัดออกมาจากแววตาของเฟิ่งหวง
“หวงเอ๋อร์ เจ้าไปเจอนางที่ใดมา”
“ข้าไปเจอที่แม่น้ำขอรับท่านแม่เหมือนจะโดนทำร้ายมา”
เจ๋อหรานมองลูกชายหรือสิ่งนี้คือสิ่งที่เฟิ่งหวงต้องพบเจอเช่นเดียวกับนางสตรีนางนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ไป๋หลานลืมตาขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดศีรษะอย่างรุนแรงนางยังไม่ตายอย่างนั้นหรือเพราะรอบกายมีกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ที่ร้องออกมา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ๋อหรานเดินถือยาสมุนไพรเข้ามาพร้อมกับมองไปที่นางผู้นั้น“ทะ ท่านช่วยข้าไว้หรือข้าเป็นอะไรไป” ไป๋หลานกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร“เจ้าหลับไป 3 วัน เจ้าตอบข้ามาก่อนเจ้าชื่ออะไร”“ข้าชื่อ ปะ...” ชื่อที่กำลังจะหลุดออกจากปากของนางต้องหุบลงเพราะหากบอกชื่อไปเกรงว่านางจะได้รับอันตรายอีกต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงไว้จนกว่าท่านพ่อจะตามหานางเจอ“โอ๊ยยยย ข้าจำไม่ได้ข้าปวดหัวเหลือเกิน” ไป๋หลานแกล้งทำว่าปวดหัวหนักและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจากการที่หัวกระแทกกับโขดหิน“ท่านแม่...” เฟิ่งหวงเปิดประตูเข้าถึงกับมองนางไม่กะพริบแม้ว่าบนศีรษะจะมีผ้าพันแผลแต่ใบหน้าที่แสนงดงามกลับฉายชัดออกมาจนหัวใจที่หยาบกระด้างของเฟิ่งหวงเต้นแรงขึ้นมา“หวงเอ๋อร์ หวงเอ๋อร์!” เจ๋อหรานที่เรียกลูกชายเสียงดังเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ“ขะ ขอรับท่านแม่”“นางจำอะไรไม่ได้ช่วงนี้เจ้าก็ดูแลนางไป นางจำอะไรได้เมื่อไรก็ส่งนางกลับบ้านเมืองไป” เจ๋อหรานให้ไป๋หลานด
เกือบ 2 เดือนแล้วที่ไป๋หลานใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ๋นตอนนี้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป เฟิ่งตามติดชีวิตของนางตลอดเวลาจนได้ยินเสียงเล่าลือว่าเฟิ่งหวงนั้นมีใจให้นาง“เจ้าอยู่นี้เองข้าตามหาตั้งนาน” ซินอี้ไม่พอใจที่นางเข้ามาทำให้เฟิ่งหวงหวั่นไหวซินอี้ชอบเขามาเนิ่นนาน“เจ้ามีธุระอันใดจะคุยกับข้า”“ออกไปจากชีวิตของท่านพี่เฟิ่งหวง”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่มาสั่งคนอื่น” ไป๋หลานรู้นางแอบรักเฟิ่งหวงแต่ไม่ควรที่จะมาสั่งว่าผู้ใดมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา“ข้า ข้าเป็นคนสนิท”“ภรรยาก็ไม่ใช่ น้องสาวก็ไม่ใช่เจ้าควรให้เฟิ่งหวงเลือกเองไม่ใช่ไปบังคับใคร” ไป๋หลานเตรียมตัวจะเดินหนีแต่ถูกนางคว้าไว้และใช้มือตบเข้าไปที่แก้มของไป๋หลาน“อย่ามาลองดีกับข้า”เพียะ!“กรี้ด” เสียงกรีดร้องของซินอี้ทำให้เฟิ่งหวงและเจ๋อหรานออกมาดูเห็นซินอี้กำลังกุมแก้มที่โดนตบเมื่อนางเห็นคนทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นคนโดนรังแก“ท่านน้านางตบข้าเจ้าค่ะ ข้าเจ็บ”“เจ้าตบนางจริงหรือ”เจ๋อหรานหันมาถามไป๋หลานเพื่อจะสอบถามความจริงนางจะไม่เข้าข้างใครแต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนตบซินอี้ก่อนเพราะแก้มนั้
เฟิ่งหวงนั่งลงที่ข้างกายของนางและเข้ามาโอบกอดนางไว้เพื่อคลายหนาวใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือ เสียงฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา “อื้อออ” เฟิ่งจูบนางอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีให้นาง มือหนาเริ่มเลื้อยไปมาเหมือนงู “ข้า ข้า...” “เจ้ายอมเป็นของข้าได้หรือไม่เหม่ยเหม่ย” เฟิ่งหวงสบตาของนางอย่างลึกซึ้งหากนางไม่ยินยอมเขาก็จะไม่ทำอะไรนางเด็ดขาด “ขะ ข้ายอม...อื้ออ” พูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มจึงประคองในนางนอนลงบนขอนไม้ขนาดใหญ่เฟิ่งหวงยืนมือไปคว้าเอาเสื้อของตัวเองมาปูไว้เพื่อหญิงสาวได้นอนอย่างสบาย “ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เฟิ่งหวงยื่นมือมาปลดเชือกที่ชุดของนางออกในล้วงมือเข้าไปจนถึงยอดปทุมถันอันแสนงดงามที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก “อื้อ..อ่าส์...เฟิ่งหวง” นางครางออกมาเมื่อปลายลิ้นอุ่นๆ แตะสัมผัสกับยอดปทุมถันสีสวย ไป๋หลานสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา “เจ้าสวยเหลือเกิน” เฟิ่งหวงพูดอย่างมาหลังที่ที่ได้สัมผัสยอดปทุมถันคู่นั้น
สองวันมาแล้วที่ไป๋หลานหลบหน้าหลบตาเฟิ่งหวงจริงอย่างที่แม่ของเขาบอก สักวันนางต้องกลับบ้านเมืองของนางไม่สร้างความผูกพันกันไปมากกว่านี้ “เจ้าหลบหน้าข้าหรือเหม่ยเหม่ย”เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้นางเพราะสองวันที่ผ่านมานางไม่ยอมมาเจอหน้าเขาเลย จนทำให้เขาร้อนใจว่าเขาทำอะไรผิดไป “ข้าไม่ได้หลบหน้าเสียหน่อย” “เจ้าโกหกข้า” เมื่อนางพยายามหลบตาเฟิ่งหวงจึงรู้เพราะนางโกหกไม่เป็นยามที่นางโกหกมักจะสายตาไม่กล้าสู้หน้า “ปล่อยข้าเฟิ่งหวง” นางจะเดินหนีแต่ถูกมือหนาของเขารั้งไว้ไม่ยอมให้ไปไหน “ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” “อื้อ!” ปากหนาครอบครองนางไว้มือหนารั้งท้ายทอยไว้เพื่อไม่ให้นางดิ้นไปไหน เฟิ่งหวงร้อนใจกลัวว่านางจะเป็นอะไรพยายามมาดักรอ “ปล่อยข้า” “หวงเอ๋อร์”เจ๋อหรานเข้ามาขัดทำให้ไป๋หลานขอตัวออกไปเพื่อให้แม่ลูกได้คุยกัน เจ๋อหรานส่ายหน้านางคงห้ามผิดคนคนที่จะต้องห้ามควรจะเป็นลูกชายนางมากกว่า “ลูกทำเยื้องนี้กับนางไม่ได้เจ้าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน” “นั้นท่านแม่ก็ให้ข้าแต่งงานกับนางสิ” เฟิ่งห
วันฉูชี (วันส่งท้ายปี) ซึ่งจัดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือน 12 เป็นวันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า และร่วมรับประทานอาหารกันตั้งแต่เย็น ร่ำสุราไปจนถึงเช้า เป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน “พี่สะใภ้ใหญ่สวยราวกับเทพธิดา” อาเจิงถึงกับตาค้างที่เห็นไป๋หลานสวมชุดสีชมพูสะอาดหน้าใบที่แต่งแต้มจนสวยงาม “ขอบใจเจ้ามาก” ไป๋หลานเตรียมตัวที่จะไปเฉลิมฉลองวันฉูชีวันนี้จะมีเหล่าชนเผ่าออกมาร่ำสุรากันอย่างมากมายทั้งหมูบ้านประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสันมองไปทางไหนก็ทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย “ท่านน้าเจ้าคะ” ไป๋หลานเดินเข้ามาหาเจ๋อหรานในกระโจมแต่เห็นนางนั่งมองสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือแม้จะเรียกเสียงแค่ไหนนางก็ไม่ตอบสนอง “ท่านน้า!” “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เจ๋อหรานรีบเก็บสร้อยเส้นนั้นลงไปไว้ที่กล่องเก่าๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของไป๋หลานสร้อยที่ประดับด้วยเพชรพลอยคงจะเป็นของราชวงศ์ชั้นสูง “สร้อยเส้นนั้น...” “เจ้ารู้หรือว่าคืออะไร” เจ๋อหรานไม่แปลกใจเท่าไรเวลานี้นางยอมที่จะให้ทั้งสองแต่งงานกันตามความต้องการของเฟิ่งหวงเพราะนางไม่อยากเห็นลูกต้องเสียใจ “เจ้
วันฉูชี (วันส่งท้ายปี) ซึ่งจัดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือน 12 เป็นวันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า และร่วมรับประทานอาหารกันตั้งแต่เย็น ร่ำสุราไปจนถึงเช้า เป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน “พี่สะใภ้ใหญ่สวยราวกับเทพธิดา” อาเจิงถึงกับตาค้างที่เห็นไป๋หลานสวมชุดสีชมพูสะอาดหน้าใบที่แต่งแต้มจนสวยงาม “ขอบใจเจ้ามาก” ไป๋หลานเตรียมตัวที่จะไปเฉลิมฉลองวันฉูชีวันนี้จะมีเหล่าชนเผ่าออกมาร่ำสุรากันอย่างมากมายทั้งหมูบ้านประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสันมองไปทางไหนก็ทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย “ท่านน้าเจ้าคะ” ไป๋หลานเดินเข้ามาหาเจ๋อหรานในกระโจมแต่เห็นนางนั่งมองสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือแม้จะเรียกเสียงแค่ไหนนางก็ไม่ตอบสนอง “ท่านน้า!” “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เจ๋อหรานรีบเก็บสร้อยเส้นนั้นลงไปไว้ที่กล่องเก่าๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของไป๋หลานสร้อยที่ประดับด้วยเพชรพลอยคงจะเป็นของราชวงศ์ชั้นสูง “สร้อยเส้นนั้น...” “เจ้ารู้หรือว่าคืออะไร” เจ๋อหรานไม่แปลกใจเท่าไรเวลานี้นางยอมที่จะให้ทั้งสองแต่งงานกันตามความต้องการของเฟิ่งหวงเพราะนางไม่อยากเห็นลูกต้องเสียใจ “เจ้
สองวันมาแล้วที่ไป๋หลานหลบหน้าหลบตาเฟิ่งหวงจริงอย่างที่แม่ของเขาบอก สักวันนางต้องกลับบ้านเมืองของนางไม่สร้างความผูกพันกันไปมากกว่านี้ “เจ้าหลบหน้าข้าหรือเหม่ยเหม่ย”เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้นางเพราะสองวันที่ผ่านมานางไม่ยอมมาเจอหน้าเขาเลย จนทำให้เขาร้อนใจว่าเขาทำอะไรผิดไป “ข้าไม่ได้หลบหน้าเสียหน่อย” “เจ้าโกหกข้า” เมื่อนางพยายามหลบตาเฟิ่งหวงจึงรู้เพราะนางโกหกไม่เป็นยามที่นางโกหกมักจะสายตาไม่กล้าสู้หน้า “ปล่อยข้าเฟิ่งหวง” นางจะเดินหนีแต่ถูกมือหนาของเขารั้งไว้ไม่ยอมให้ไปไหน “ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” “อื้อ!” ปากหนาครอบครองนางไว้มือหนารั้งท้ายทอยไว้เพื่อไม่ให้นางดิ้นไปไหน เฟิ่งหวงร้อนใจกลัวว่านางจะเป็นอะไรพยายามมาดักรอ “ปล่อยข้า” “หวงเอ๋อร์”เจ๋อหรานเข้ามาขัดทำให้ไป๋หลานขอตัวออกไปเพื่อให้แม่ลูกได้คุยกัน เจ๋อหรานส่ายหน้านางคงห้ามผิดคนคนที่จะต้องห้ามควรจะเป็นลูกชายนางมากกว่า “ลูกทำเยื้องนี้กับนางไม่ได้เจ้าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน” “นั้นท่านแม่ก็ให้ข้าแต่งงานกับนางสิ” เฟิ่งห
เฟิ่งหวงนั่งลงที่ข้างกายของนางและเข้ามาโอบกอดนางไว้เพื่อคลายหนาวใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือ เสียงฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา “อื้อออ” เฟิ่งจูบนางอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีให้นาง มือหนาเริ่มเลื้อยไปมาเหมือนงู “ข้า ข้า...” “เจ้ายอมเป็นของข้าได้หรือไม่เหม่ยเหม่ย” เฟิ่งหวงสบตาของนางอย่างลึกซึ้งหากนางไม่ยินยอมเขาก็จะไม่ทำอะไรนางเด็ดขาด “ขะ ข้ายอม...อื้ออ” พูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มจึงประคองในนางนอนลงบนขอนไม้ขนาดใหญ่เฟิ่งหวงยืนมือไปคว้าเอาเสื้อของตัวเองมาปูไว้เพื่อหญิงสาวได้นอนอย่างสบาย “ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เฟิ่งหวงยื่นมือมาปลดเชือกที่ชุดของนางออกในล้วงมือเข้าไปจนถึงยอดปทุมถันอันแสนงดงามที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก “อื้อ..อ่าส์...เฟิ่งหวง” นางครางออกมาเมื่อปลายลิ้นอุ่นๆ แตะสัมผัสกับยอดปทุมถันสีสวย ไป๋หลานสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา “เจ้าสวยเหลือเกิน” เฟิ่งหวงพูดอย่างมาหลังที่ที่ได้สัมผัสยอดปทุมถันคู่นั้น
เกือบ 2 เดือนแล้วที่ไป๋หลานใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ๋นตอนนี้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป เฟิ่งตามติดชีวิตของนางตลอดเวลาจนได้ยินเสียงเล่าลือว่าเฟิ่งหวงนั้นมีใจให้นาง“เจ้าอยู่นี้เองข้าตามหาตั้งนาน” ซินอี้ไม่พอใจที่นางเข้ามาทำให้เฟิ่งหวงหวั่นไหวซินอี้ชอบเขามาเนิ่นนาน“เจ้ามีธุระอันใดจะคุยกับข้า”“ออกไปจากชีวิตของท่านพี่เฟิ่งหวง”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่มาสั่งคนอื่น” ไป๋หลานรู้นางแอบรักเฟิ่งหวงแต่ไม่ควรที่จะมาสั่งว่าผู้ใดมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา“ข้า ข้าเป็นคนสนิท”“ภรรยาก็ไม่ใช่ น้องสาวก็ไม่ใช่เจ้าควรให้เฟิ่งหวงเลือกเองไม่ใช่ไปบังคับใคร” ไป๋หลานเตรียมตัวจะเดินหนีแต่ถูกนางคว้าไว้และใช้มือตบเข้าไปที่แก้มของไป๋หลาน“อย่ามาลองดีกับข้า”เพียะ!“กรี้ด” เสียงกรีดร้องของซินอี้ทำให้เฟิ่งหวงและเจ๋อหรานออกมาดูเห็นซินอี้กำลังกุมแก้มที่โดนตบเมื่อนางเห็นคนทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นคนโดนรังแก“ท่านน้านางตบข้าเจ้าค่ะ ข้าเจ็บ”“เจ้าตบนางจริงหรือ”เจ๋อหรานหันมาถามไป๋หลานเพื่อจะสอบถามความจริงนางจะไม่เข้าข้างใครแต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนตบซินอี้ก่อนเพราะแก้มนั้
ไป๋หลานลืมตาขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดศีรษะอย่างรุนแรงนางยังไม่ตายอย่างนั้นหรือเพราะรอบกายมีกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ที่ร้องออกมา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ๋อหรานเดินถือยาสมุนไพรเข้ามาพร้อมกับมองไปที่นางผู้นั้น“ทะ ท่านช่วยข้าไว้หรือข้าเป็นอะไรไป” ไป๋หลานกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร“เจ้าหลับไป 3 วัน เจ้าตอบข้ามาก่อนเจ้าชื่ออะไร”“ข้าชื่อ ปะ...” ชื่อที่กำลังจะหลุดออกจากปากของนางต้องหุบลงเพราะหากบอกชื่อไปเกรงว่านางจะได้รับอันตรายอีกต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงไว้จนกว่าท่านพ่อจะตามหานางเจอ“โอ๊ยยยย ข้าจำไม่ได้ข้าปวดหัวเหลือเกิน” ไป๋หลานแกล้งทำว่าปวดหัวหนักและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจากการที่หัวกระแทกกับโขดหิน“ท่านแม่...” เฟิ่งหวงเปิดประตูเข้าถึงกับมองนางไม่กะพริบแม้ว่าบนศีรษะจะมีผ้าพันแผลแต่ใบหน้าที่แสนงดงามกลับฉายชัดออกมาจนหัวใจที่หยาบกระด้างของเฟิ่งหวงเต้นแรงขึ้นมา“หวงเอ๋อร์ หวงเอ๋อร์!” เจ๋อหรานที่เรียกลูกชายเสียงดังเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ“ขะ ขอรับท่านแม่”“นางจำอะไรไม่ได้ช่วงนี้เจ้าก็ดูแลนางไป นางจำอะไรได้เมื่อไรก็ส่งนางกลับบ้านเมืองไป” เจ๋อหรานให้ไป๋หลานด
ฤดูเหมันต์ทำให้ทั้งเมืองมีหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณรวมแคว้นหวางป๋อ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากมายสมกับชื่อของแคว้นมีบรรพบุรุษตระกูลหวางปกครองมาหลายร้อยปี ซึ่งคนที่มีอำนาจสูงสุดคือ หวางเทียนเวิ่น ที่ขึ้นปกครองเมืองได้ไม่นานเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือทั่วหล้าก็แทบจะยกลูกสาวให้ทั้งเมืองโดยไม่ลังเลเพื่อหวังจะได้เชื่อมความสัมพันธ์“น้องหญิง” หวางเทียนเวิ่นเอ่ยเรียกสตรีที่รักสุดหัวใจด้วยความเจ็บปวด“ท่านมีเวลามาหาแล้วหรือเพคะ” สนมหลี่เจ๋อหรานมองใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเจ็บปวดฝ่าบาทกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับองค์หญิงต่างแคว้นเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์แต่นางเป็นคนชนเผ่าเล็กๆ ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ“ใยเจ้าถึงกล่าวแบบนั้น” ฝ่าบาทเห็นแววตาของคนรักแล้วรู้สึกเจ็บปวดที่เขารักษาสัญญาให้นางไม่ได้ว่าเขาจะไม่เข้าพิธีอภิเษกกับหญิงนางใดแต่เพื่อบ้านเมืองกลับทำให้เขาผิดสัญญา“ท่านพี่บอกให้น้องตั้งท้องลูกชายเพื่อจะได้เลื่อนขั้นแต่น้องไม่ต้องการตำแหน่งไหนเลยเพคะ” หลี่เจ๋อหรานร้องไห้ออกมาเดิมทีนางอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ่น นางได้ช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้พระองค์ทรงเมตตาจึงรับนางเป็นนางสนมและให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีใคร“น้องหญิง...”