เฟิ่งหวงนั่งลงที่ข้างกายของนางและเข้ามาโอบกอดนางไว้เพื่อคลายหนาวใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือ เสียงฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา
“อื้อออ” เฟิ่งจูบนางอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีให้นาง มือหนาเริ่มเลื้อยไปมาเหมือนงู
“ข้า ข้า...”
“เจ้ายอมเป็นของข้าได้หรือไม่เหม่ยเหม่ย”
เฟิ่งหวงสบตาของนางอย่างลึกซึ้งหากนางไม่ยินยอมเขาก็จะไม่ทำอะไรนางเด็ดขาด
“ขะ ข้ายอม...อื้ออ”
พูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มจึงประคองในนางนอนลงบนขอนไม้ขนาดใหญ่เฟิ่งหวงยืนมือไปคว้าเอาเสื้อของตัวเองมาปูไว้เพื่อหญิงสาวได้นอนอย่างสบาย
“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เฟิ่งหวงยื่นมือมาปลดเชือกที่ชุดของนางออกในล้วงมือเข้าไปจนถึงยอดปทุมถันอันแสนงดงามที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก
“อื้อ..อ่าส์...เฟิ่งหวง” นางครางออกมาเมื่อปลายลิ้นอุ่นๆ แตะสัมผัสกับยอดปทุมถันสีสวย ไป๋หลานสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา
“เจ้าสวยเหลือเกิน” เฟิ่งหวงพูดอย่างมาหลังที่ที่ได้สัมผัสยอดปทุมถันคู่นั้น
“อ๊ะ อ่าส์” ไป๋หลานเกาะคำคอของเขาไว้แน่นและแอ่นอกรับสัมผัสของเฟิ่งหวงชีวิตหนึ่งนางจะมอบกายให้คนที่รักเท่านั้น
“ข้าชักอยากจะชิมอย่างอื่นแล้ว”
“เจ้าจะอำอันใด อ๊ะ เฟิ่งหวง” ชายหนุ่มแทรกใบหน้าเข้าไประหว่างเรียวขาคู่งามและแหวกสิ่งปกปิดของสวยงามออกจนเจอเข้ากับผิวเนื้อสีหวานเป็นครั้งแรกที่เฟิ่งหวงได้เห็น
“ข้าจะชิมมัน” พูดจบจึงใช้ลิ้นค่อยๆ สัมผัสกับผิวเนื้อเพื่อกระตุ้นให้นางปล่อยน้ำหวานออกมาให้เขาได้ลิ้มลองลิ้นหนาลากไปทั่วบริเวณจนทำให้นางยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยและใช้มือดึงทึ่งกลุ่มผมของเขาเพื่อระบายความเสียวซ่าน
กลิ่นกายของนางช่างหอมหวานจนทำให้เฟิ่งหวงละห่างจากตัวนางไม่ได้ลิ้นหนายังคงหยอกล้อกับผิวเนื้อและขึ้นมาดูดเลียกับปุ่มเสียวยามที่ปากหนาครอบครองทำให้นางครางออกมา เมื่อเห็นว่าเสียงตัวเองน่าอายจึงใช้มือปิดปากไว้แน่น
“เอามือออกข้าอยากฟังเสียงของเจ้า”
“อ่าส์ อืม ขะข้ารู้สึกทรมาน” ยามที่ชายหนุ่มเร่งจังหวะลิ้นนางยิ่งเกร็งเมื่อใกล้จะถึงจุดเสียวนางยิ่งยกสะโพกให้เขาได้สัมผัสอย่างสะดวก ร่างบางเกร็งตัวและปลดปล่อยน้ำหวานออกมาเฟิ่งหวงปาดเลียจนสะอาด
“ข้าชอบน้ำของเจ้าที่สุด” เฟิ่งหวงขึ้นคร่อมร่างของนางและจุมพิตอย่างอ่อนโยนเพื่อไม่ให้นางเป็นกังวลเพราะยามที่เขาลงลิ้นตัวนางสั่นสะท้านไปหมด
“อื้อออ เฟิ่งหวง”
“ข้ารักเจ้า”
ไป๋หลานมองไปที่แท่งหยกที่แข็งขืนมันทั้งใหญ่ทั้งยาวไม่รู้ว่าร่างกายของนางจะรับไหวหรือไม่ หรือบางทีอาจจะเข้ามาในตัวของนางไม่ได้ด้วยซ้ำไป
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย อ่าส์”
เฟิ่งหวงจับแท่งหยกถูไถที่กลีบร่องเพื่อให้หญิงสาวไม่เกร็งตัวและอาศัยทีเผลอกระแทกเข้าไปจนมิดด้ามและกดแช่เอาไว้
กึด!
“กรี้ดดดด ข้าเจ็บ” น้ำตาไหลออกมาจากหางตาของนางอย่างน่าสงสารเยื่อพรหมจรรย์สีแดงไหลออกมาเปรอะเปี้อนกับแท่งหยกของเขา นางเจ็บราวกับร่างกายจะปริแตก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บแต่เจ้าอย่าดิ้นเลยข้าก็ทรมานไม่แพ้เจ้า”
แรงตอดรัดแท่งหยกทำให้เฟิ่งหวงทรมานเช่นเดียวกับนางใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดยิ่งนางดิ้นเขาก็ยิ่งเจ็บเมื่อเห็นว่าไป๋หลานเริ่มปรับตัวได้เขาจึงขยับเอวสอบ
“เจ้าบอกข้า เจ้าเป็นของใคร”
“ข้าเป็นของเจ้า อื้อออ”
“เจ้าเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว หากเจ้าทิ้งข้าไปข้าก็จะลากตัวกลับมา” เฟิ่งหวงกระแทกแท่งหยกเข้าออกจนเหงื่อไหลออกมาตามไรผมเสียงครางของทั้งดังแข่งกับเสียงฝนที่ตกไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเปลวไฟที่ว่าร้อนก็ยังไม่เท่าเฟิ่งหวงในเวลานี้
“ข้าเจ็บ อื้อ” นางครางออกมาและรู้สึกเหนื่อยแต่เฟิ่งหวงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชายหนุ่มยิ่งกระแทกกายหนาเข้ามาเรียวขางามเกาะเกี่ยวสะโพกของเฟิ่งหวงไว้แน่นแสงจากเปลวไฟทำให้ทั้งสองมองเห็นใบหน้ากันได้ชัดเจนจนนางรู้สึกเขินอาย
“ไม่ต้องอายอะไรแล้วข้าเห็นมาหมดแล้ว”
“ข้า ข้ารู้เหมือนอะไรก็ไม่รู้”
“ปล่อยตัวให้สบายและเสร็จสมไปพร้อมข้า” เฟิ่งหวงรีบเร่งขยับสะโพกเพื่อที่จะส่งนางขึ้นสวรรค์ กลิ่นกายของนางทำให้เขายากตลอดเวลา
“อร้าย / โอ้ว” เฟิ่งหวงปลดปล่อยสายธารเข้าไปในตัวของไป๋หลานเมื่อถอนแท่งหยกออกมาสายธารก็ไหลย้อนกลับจนล้นออกมาด้านนอก ชายหนุ่มมองผลงานตัวเองอย่างพึ่งพอใจและหยิบเสื้อของเขาขึ้นมาเช็ดให้
“เจ้าขยับออกไป”
“ไม่ต้องอายข้าเห็นหมอแล้ว”
“เจ้าจะทำอะไร”
“ข้ายังไม่อิ่ม” เฟิ่งหวงเริ่มใช้ปากดูดเลียที่ซอกคอขาวเนียนอย่างหิวกระหายตอนนี้เขานอนช้อนหลังของนางและจับเรียวขายกขึ้นข้างหนึ่งอ้าออกกว้างจนได้องศา
“ให้ข้าได้เข้าไปอีกครั้งเถิด” เฟิ่งหวงไม่รอช้าที่จะบอกรักนางอีกครั้งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามพายุรักจึงสงบลงไป๋หลานนอนกอดเอวเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเฟิ่งหวงจะหายไปไหน
“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มมองใบหน้าของนางแล้วไม่ลืมที่จะจุมพิตหน้าผากข้างนอกฝนเริ่มหยุดตกแล้วเหลือไว้เพียงอากาศเหน็บหนาวยามค่ำคืนจนนางห่อตัวเข้าหาไออุ่นจากเฟิ่งหวง
ยามเหม่าไป๋หลานรู้สึกตัวเพราะเสียงนกร้องนางจึงลุกออกมาดูบรรยากศภายนอกถ้ำ เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณไป๋หลานยังคงครุ่นคิดว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
“หากท่านพ่อตามหาข้าเจอ ข้าต้องกลับไปเข้าพิธีอภิเษกอยู่ดี หรือไม่ก็ตามหาข้าไม่เจออีกเลย”
เพราะเป็นธิดาองค์เดียวของฮ่องเต้แคว้นเป่ยเฟิงการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างของแคว้นนางจึงต้องรับภาระหน้าที่ไป แต่คิดว่าถึงเวลาต้องจากเขาไปไยนางถึงรู้สึกเจ็บปวดนัก
เฟิ่งหวงใช้แขนคว้านหาตัวนางมากอดแต่ก็ต้องพบแค่ความว่างเปล่าทำให้เขาต้องดีดตัวขึ้นมาและมองไปรอบๆ ไม่มีนางอยู่แล้วความร้อนรนจึงรีบออกตามหานาง
“เหม่ยเหม่ย เจ้าอยู่ไหน” ชายหนุ่มเดินออกมาหน้าปากถ้ำก็เจอเข้ากับนางที่นั่งอยู่บนโขดหินใบหน้งอันแสนงดงามเหม่อลอยราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิด
“เหม่ยเหม่ย!”
“เจ้ามาตั้งอต่เมื่อไร ข้าตกใจหมด”
“ข้าเรียกเจ้าหลายครั้งแล้วเจ้ามีเรื่องอันใดให้คิดหนัก หากเป็นเรื่องเมื่อคืนข้ายินดีรับผิดชอบเจ้า” เฟิ่งหวงเกรงว่านางจะคิดมากเรื่องที่ผ่านมา
“ข้าแค่อยากจำเรื่องราวของตัวเองได้”
นางเลือกที่จะพูดปดหากวันนั้นมาถึงต่อให้เฟิ่งหวงเกลียดนาง นางก็พอจะเข้าใจชีวิตของนางไม่มีทางเลือกมากนัก
“หากเจ้าจำได้เจ้าจะไปจากข้าหรือ ข้าไม่ยอม” ชายหนุ่มเดินเข้ามากอดนางไว้แน่นต่อให้พลิกแผ่นดินหานางเขาก็จะทำและจะไม่มีอะไรพรากนางไปจากเขาได้
“ข้าจะไปจากเจ้าได้อย่างไร เรากลับกันเถอะข้าเริ่มหิวแล้ว”
“เจ้าขึ้นหลังข้ามา” เฟิ่งหวงแบกนางขึ้นหลังและเดินลงจากเขากว่าจะถึงหมูบ้านก็เกือบถึงยามเฉินเฟิ่งหวงมาส่งนางที่กระโจมก่อนที่จะกลับกระโจมของตัวเอง
“มาได้เสียทีเจ้าลูกคนนี้”
“ท่านแม่รอข้าหรือขอรับ”
“เจ้าหายไปทั้งคืนทำให้แม่เป็นห่วง”
“ฝนตกหนักข้าเลยกลับไม่ได้ขอรับ” เฟิ่งหวงจึงทำท่าทีว่าง่วงนอนและเดินไปล้มตัวลงบนเตียง
“หากเจ้าไปทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามมาแม่จะลงหวายที่หลังของเจ้า” เจ๋อหรานส่ายหน้านับวันลูกชายยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปใหญ่ นางเดินกลับที่กระโจมและหยิบสร้อยของไป๋หลานขึ้นมา
“หรือเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา” สร้อยที่สลักเพชรพลอยไว้อย่างสวยงามและลวดลายที่ปราณีตอาจเป็นของประจำตระกูลเจ๋อหรานจึงจะส่งคืนเจ้าของ
“ข้าเอาของมาคืน”
“ของอะไรหรือเจ้าคะ” ไป๋หลานมองไปที่สร้อยเส้นนั้นซึ่งเป็นสร้อยประจำตระกูลของนาง ทีแรกนางคิดว่าหายไปแล้วแต่โชคยังดีที่อยู่กับเจ๋อหราน
“นี่เป็นสร้อยอะไรไยถึงสวยงามนัก”
“ข้า ข้าจำยังไม่ได้เจ้าค่ะ” ไป๋หลานโกหกออกไปไม่รู้ว่าจะโกหกทุกคนได้นานแค่ไหน
“เจ้าคิดอะไรกับลูกชายของข้า”
“ข้า ข้า เอ่อ...” นางถึงกับพูดไม่ออกตอนนี้กำลังสับสนนางต้องเข้าพิธีอภิเษกแต่ก็ยังปล่อยตัวให้กับเฟิ่งหวง
“หวงเอ๋อร์โตมากับข้าแค่สองคน พ่อของเขาใจร้ายกับข้ามาก ข้าไม่อยากเห็นลูกต้องเจ็บปวดเพราะความรักเช่นเดียวกับข้า” สิ่งที่นางจะทำได้ก็คงได้แต่เตือนลูกชายเพราะไม่สามารถไปบังคับจิตใจของลูกได้
“ข้าชอบเฟิ่งหวง” ไป๋หลานพูดออกไปไม่ใช่เพราะกลัวว่าเจ๋อหรานจะต่อว่าแต่เพราะหัวใจของนางสั่งให้พูดแบบนั้น เฟิ่งหวงคือรักแรกและจะเป็นรักเดียวของนาง
“ชายหญิงอยู่ใกล้กันมากไม่ดี เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องกลับบ้าน ลูกข้าคงอยู่ไม่ได้เจ้าควรอยู่ให้ห่างจากหวงเอ๋อร์”
เจ๋อหรานกลัวว่านางผู้นี้จะทำให้ลูกของนางเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่นางเคยโดน
“สงสารข้าเสียเถิดข้ามีลูกคนเดียว”
“เจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลาข้าจะกลับบ้าน” ไป๋หลานก้มหน้าและรับปากเจ๋อหราน
“ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด” เจ๋อหรานอยากให้นางกลับบ้านกลัวว่าลูกชายจะถลำลึกไปมากกว่านี้ นางผู้นี้ต้องเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์
“เจ้าเอายานี้ไปกิน”
“ยาอะไรหรือเจ้าค่ะ”
“ยาคุมกำเนิด” ไป๋หลานมองไปที่ถ้วยยาและยกขึ้นดื่มจนหมดหากมีลูกเกิดมาอีกเกรงว่าทุกอย่างจะยุ่งยากไปมากกว่านี้ นางได้แต่โทษโชคชะตาหากเลือกได้นางขอเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ต้องมียศบรรดาสูงศักดิ์ที่แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์ได้เลือก
“ข้าขอโทษ”
นางได้แต่ขอโทษชาย
อันเป็นที่รักไม่รู้ว่าจะได้อยู่ใกล้กับเฟิ่งหวงได้อีกนานแค่ไหน
สองวันมาแล้วที่ไป๋หลานหลบหน้าหลบตาเฟิ่งหวงจริงอย่างที่แม่ของเขาบอก สักวันนางต้องกลับบ้านเมืองของนางไม่สร้างความผูกพันกันไปมากกว่านี้ “เจ้าหลบหน้าข้าหรือเหม่ยเหม่ย”เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้นางเพราะสองวันที่ผ่านมานางไม่ยอมมาเจอหน้าเขาเลย จนทำให้เขาร้อนใจว่าเขาทำอะไรผิดไป “ข้าไม่ได้หลบหน้าเสียหน่อย” “เจ้าโกหกข้า” เมื่อนางพยายามหลบตาเฟิ่งหวงจึงรู้เพราะนางโกหกไม่เป็นยามที่นางโกหกมักจะสายตาไม่กล้าสู้หน้า “ปล่อยข้าเฟิ่งหวง” นางจะเดินหนีแต่ถูกมือหนาของเขารั้งไว้ไม่ยอมให้ไปไหน “ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” “อื้อ!” ปากหนาครอบครองนางไว้มือหนารั้งท้ายทอยไว้เพื่อไม่ให้นางดิ้นไปไหน เฟิ่งหวงร้อนใจกลัวว่านางจะเป็นอะไรพยายามมาดักรอ “ปล่อยข้า” “หวงเอ๋อร์”เจ๋อหรานเข้ามาขัดทำให้ไป๋หลานขอตัวออกไปเพื่อให้แม่ลูกได้คุยกัน เจ๋อหรานส่ายหน้านางคงห้ามผิดคนคนที่จะต้องห้ามควรจะเป็นลูกชายนางมากกว่า “ลูกทำเยื้องนี้กับนางไม่ได้เจ้าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน” “นั้นท่านแม่ก็ให้ข้าแต่งงานกับนางสิ” เฟิ่งห
วันฉูชี (วันส่งท้ายปี) ซึ่งจัดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือน 12 เป็นวันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า และร่วมรับประทานอาหารกันตั้งแต่เย็น ร่ำสุราไปจนถึงเช้า เป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน “พี่สะใภ้ใหญ่สวยราวกับเทพธิดา” อาเจิงถึงกับตาค้างที่เห็นไป๋หลานสวมชุดสีชมพูสะอาดหน้าใบที่แต่งแต้มจนสวยงาม “ขอบใจเจ้ามาก” ไป๋หลานเตรียมตัวที่จะไปเฉลิมฉลองวันฉูชีวันนี้จะมีเหล่าชนเผ่าออกมาร่ำสุรากันอย่างมากมายทั้งหมูบ้านประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสันมองไปทางไหนก็ทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย “ท่านน้าเจ้าคะ” ไป๋หลานเดินเข้ามาหาเจ๋อหรานในกระโจมแต่เห็นนางนั่งมองสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือแม้จะเรียกเสียงแค่ไหนนางก็ไม่ตอบสนอง “ท่านน้า!” “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เจ๋อหรานรีบเก็บสร้อยเส้นนั้นลงไปไว้ที่กล่องเก่าๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของไป๋หลานสร้อยที่ประดับด้วยเพชรพลอยคงจะเป็นของราชวงศ์ชั้นสูง “สร้อยเส้นนั้น...” “เจ้ารู้หรือว่าคืออะไร” เจ๋อหรานไม่แปลกใจเท่าไรเวลานี้นางยอมที่จะให้ทั้งสองแต่งงานกันตามความต้องการของเฟิ่งหวงเพราะนางไม่อยากเห็นลูกต้องเสียใจ “เจ้
ฤดูเหมันต์ทำให้ทั้งเมืองมีหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณรวมแคว้นหวางป๋อ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากมายสมกับชื่อของแคว้นมีบรรพบุรุษตระกูลหวางปกครองมาหลายร้อยปี ซึ่งคนที่มีอำนาจสูงสุดคือ หวางเทียนเวิ่น ที่ขึ้นปกครองเมืองได้ไม่นานเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือทั่วหล้าก็แทบจะยกลูกสาวให้ทั้งเมืองโดยไม่ลังเลเพื่อหวังจะได้เชื่อมความสัมพันธ์“น้องหญิง” หวางเทียนเวิ่นเอ่ยเรียกสตรีที่รักสุดหัวใจด้วยความเจ็บปวด“ท่านมีเวลามาหาแล้วหรือเพคะ” สนมหลี่เจ๋อหรานมองใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเจ็บปวดฝ่าบาทกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับองค์หญิงต่างแคว้นเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์แต่นางเป็นคนชนเผ่าเล็กๆ ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ“ใยเจ้าถึงกล่าวแบบนั้น” ฝ่าบาทเห็นแววตาของคนรักแล้วรู้สึกเจ็บปวดที่เขารักษาสัญญาให้นางไม่ได้ว่าเขาจะไม่เข้าพิธีอภิเษกกับหญิงนางใดแต่เพื่อบ้านเมืองกลับทำให้เขาผิดสัญญา“ท่านพี่บอกให้น้องตั้งท้องลูกชายเพื่อจะได้เลื่อนขั้นแต่น้องไม่ต้องการตำแหน่งไหนเลยเพคะ” หลี่เจ๋อหรานร้องไห้ออกมาเดิมทีนางอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ่น นางได้ช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้พระองค์ทรงเมตตาจึงรับนางเป็นนางสนมและให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีใคร“น้องหญิง...”
ไป๋หลานลืมตาขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดศีรษะอย่างรุนแรงนางยังไม่ตายอย่างนั้นหรือเพราะรอบกายมีกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ที่ร้องออกมา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ๋อหรานเดินถือยาสมุนไพรเข้ามาพร้อมกับมองไปที่นางผู้นั้น“ทะ ท่านช่วยข้าไว้หรือข้าเป็นอะไรไป” ไป๋หลานกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร“เจ้าหลับไป 3 วัน เจ้าตอบข้ามาก่อนเจ้าชื่ออะไร”“ข้าชื่อ ปะ...” ชื่อที่กำลังจะหลุดออกจากปากของนางต้องหุบลงเพราะหากบอกชื่อไปเกรงว่านางจะได้รับอันตรายอีกต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงไว้จนกว่าท่านพ่อจะตามหานางเจอ“โอ๊ยยยย ข้าจำไม่ได้ข้าปวดหัวเหลือเกิน” ไป๋หลานแกล้งทำว่าปวดหัวหนักและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจากการที่หัวกระแทกกับโขดหิน“ท่านแม่...” เฟิ่งหวงเปิดประตูเข้าถึงกับมองนางไม่กะพริบแม้ว่าบนศีรษะจะมีผ้าพันแผลแต่ใบหน้าที่แสนงดงามกลับฉายชัดออกมาจนหัวใจที่หยาบกระด้างของเฟิ่งหวงเต้นแรงขึ้นมา“หวงเอ๋อร์ หวงเอ๋อร์!” เจ๋อหรานที่เรียกลูกชายเสียงดังเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ“ขะ ขอรับท่านแม่”“นางจำอะไรไม่ได้ช่วงนี้เจ้าก็ดูแลนางไป นางจำอะไรได้เมื่อไรก็ส่งนางกลับบ้านเมืองไป” เจ๋อหรานให้ไป๋หลานด
เกือบ 2 เดือนแล้วที่ไป๋หลานใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ๋นตอนนี้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป เฟิ่งตามติดชีวิตของนางตลอดเวลาจนได้ยินเสียงเล่าลือว่าเฟิ่งหวงนั้นมีใจให้นาง“เจ้าอยู่นี้เองข้าตามหาตั้งนาน” ซินอี้ไม่พอใจที่นางเข้ามาทำให้เฟิ่งหวงหวั่นไหวซินอี้ชอบเขามาเนิ่นนาน“เจ้ามีธุระอันใดจะคุยกับข้า”“ออกไปจากชีวิตของท่านพี่เฟิ่งหวง”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่มาสั่งคนอื่น” ไป๋หลานรู้นางแอบรักเฟิ่งหวงแต่ไม่ควรที่จะมาสั่งว่าผู้ใดมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา“ข้า ข้าเป็นคนสนิท”“ภรรยาก็ไม่ใช่ น้องสาวก็ไม่ใช่เจ้าควรให้เฟิ่งหวงเลือกเองไม่ใช่ไปบังคับใคร” ไป๋หลานเตรียมตัวจะเดินหนีแต่ถูกนางคว้าไว้และใช้มือตบเข้าไปที่แก้มของไป๋หลาน“อย่ามาลองดีกับข้า”เพียะ!“กรี้ด” เสียงกรีดร้องของซินอี้ทำให้เฟิ่งหวงและเจ๋อหรานออกมาดูเห็นซินอี้กำลังกุมแก้มที่โดนตบเมื่อนางเห็นคนทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นคนโดนรังแก“ท่านน้านางตบข้าเจ้าค่ะ ข้าเจ็บ”“เจ้าตบนางจริงหรือ”เจ๋อหรานหันมาถามไป๋หลานเพื่อจะสอบถามความจริงนางจะไม่เข้าข้างใครแต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนตบซินอี้ก่อนเพราะแก้มนั้
วันฉูชี (วันส่งท้ายปี) ซึ่งจัดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือน 12 เป็นวันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า และร่วมรับประทานอาหารกันตั้งแต่เย็น ร่ำสุราไปจนถึงเช้า เป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน “พี่สะใภ้ใหญ่สวยราวกับเทพธิดา” อาเจิงถึงกับตาค้างที่เห็นไป๋หลานสวมชุดสีชมพูสะอาดหน้าใบที่แต่งแต้มจนสวยงาม “ขอบใจเจ้ามาก” ไป๋หลานเตรียมตัวที่จะไปเฉลิมฉลองวันฉูชีวันนี้จะมีเหล่าชนเผ่าออกมาร่ำสุรากันอย่างมากมายทั้งหมูบ้านประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสันมองไปทางไหนก็ทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย “ท่านน้าเจ้าคะ” ไป๋หลานเดินเข้ามาหาเจ๋อหรานในกระโจมแต่เห็นนางนั่งมองสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือแม้จะเรียกเสียงแค่ไหนนางก็ไม่ตอบสนอง “ท่านน้า!” “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เจ๋อหรานรีบเก็บสร้อยเส้นนั้นลงไปไว้ที่กล่องเก่าๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของไป๋หลานสร้อยที่ประดับด้วยเพชรพลอยคงจะเป็นของราชวงศ์ชั้นสูง “สร้อยเส้นนั้น...” “เจ้ารู้หรือว่าคืออะไร” เจ๋อหรานไม่แปลกใจเท่าไรเวลานี้นางยอมที่จะให้ทั้งสองแต่งงานกันตามความต้องการของเฟิ่งหวงเพราะนางไม่อยากเห็นลูกต้องเสียใจ “เจ้
สองวันมาแล้วที่ไป๋หลานหลบหน้าหลบตาเฟิ่งหวงจริงอย่างที่แม่ของเขาบอก สักวันนางต้องกลับบ้านเมืองของนางไม่สร้างความผูกพันกันไปมากกว่านี้ “เจ้าหลบหน้าข้าหรือเหม่ยเหม่ย”เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้นางเพราะสองวันที่ผ่านมานางไม่ยอมมาเจอหน้าเขาเลย จนทำให้เขาร้อนใจว่าเขาทำอะไรผิดไป “ข้าไม่ได้หลบหน้าเสียหน่อย” “เจ้าโกหกข้า” เมื่อนางพยายามหลบตาเฟิ่งหวงจึงรู้เพราะนางโกหกไม่เป็นยามที่นางโกหกมักจะสายตาไม่กล้าสู้หน้า “ปล่อยข้าเฟิ่งหวง” นางจะเดินหนีแต่ถูกมือหนาของเขารั้งไว้ไม่ยอมให้ไปไหน “ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” “อื้อ!” ปากหนาครอบครองนางไว้มือหนารั้งท้ายทอยไว้เพื่อไม่ให้นางดิ้นไปไหน เฟิ่งหวงร้อนใจกลัวว่านางจะเป็นอะไรพยายามมาดักรอ “ปล่อยข้า” “หวงเอ๋อร์”เจ๋อหรานเข้ามาขัดทำให้ไป๋หลานขอตัวออกไปเพื่อให้แม่ลูกได้คุยกัน เจ๋อหรานส่ายหน้านางคงห้ามผิดคนคนที่จะต้องห้ามควรจะเป็นลูกชายนางมากกว่า “ลูกทำเยื้องนี้กับนางไม่ได้เจ้าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน” “นั้นท่านแม่ก็ให้ข้าแต่งงานกับนางสิ” เฟิ่งห
เฟิ่งหวงนั่งลงที่ข้างกายของนางและเข้ามาโอบกอดนางไว้เพื่อคลายหนาวใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือ เสียงฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา “อื้อออ” เฟิ่งจูบนางอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีให้นาง มือหนาเริ่มเลื้อยไปมาเหมือนงู “ข้า ข้า...” “เจ้ายอมเป็นของข้าได้หรือไม่เหม่ยเหม่ย” เฟิ่งหวงสบตาของนางอย่างลึกซึ้งหากนางไม่ยินยอมเขาก็จะไม่ทำอะไรนางเด็ดขาด “ขะ ข้ายอม...อื้ออ” พูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มจึงประคองในนางนอนลงบนขอนไม้ขนาดใหญ่เฟิ่งหวงยืนมือไปคว้าเอาเสื้อของตัวเองมาปูไว้เพื่อหญิงสาวได้นอนอย่างสบาย “ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เฟิ่งหวงยื่นมือมาปลดเชือกที่ชุดของนางออกในล้วงมือเข้าไปจนถึงยอดปทุมถันอันแสนงดงามที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก “อื้อ..อ่าส์...เฟิ่งหวง” นางครางออกมาเมื่อปลายลิ้นอุ่นๆ แตะสัมผัสกับยอดปทุมถันสีสวย ไป๋หลานสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา “เจ้าสวยเหลือเกิน” เฟิ่งหวงพูดอย่างมาหลังที่ที่ได้สัมผัสยอดปทุมถันคู่นั้น
เกือบ 2 เดือนแล้วที่ไป๋หลานใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ๋นตอนนี้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป เฟิ่งตามติดชีวิตของนางตลอดเวลาจนได้ยินเสียงเล่าลือว่าเฟิ่งหวงนั้นมีใจให้นาง“เจ้าอยู่นี้เองข้าตามหาตั้งนาน” ซินอี้ไม่พอใจที่นางเข้ามาทำให้เฟิ่งหวงหวั่นไหวซินอี้ชอบเขามาเนิ่นนาน“เจ้ามีธุระอันใดจะคุยกับข้า”“ออกไปจากชีวิตของท่านพี่เฟิ่งหวง”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่มาสั่งคนอื่น” ไป๋หลานรู้นางแอบรักเฟิ่งหวงแต่ไม่ควรที่จะมาสั่งว่าผู้ใดมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา“ข้า ข้าเป็นคนสนิท”“ภรรยาก็ไม่ใช่ น้องสาวก็ไม่ใช่เจ้าควรให้เฟิ่งหวงเลือกเองไม่ใช่ไปบังคับใคร” ไป๋หลานเตรียมตัวจะเดินหนีแต่ถูกนางคว้าไว้และใช้มือตบเข้าไปที่แก้มของไป๋หลาน“อย่ามาลองดีกับข้า”เพียะ!“กรี้ด” เสียงกรีดร้องของซินอี้ทำให้เฟิ่งหวงและเจ๋อหรานออกมาดูเห็นซินอี้กำลังกุมแก้มที่โดนตบเมื่อนางเห็นคนทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นคนโดนรังแก“ท่านน้านางตบข้าเจ้าค่ะ ข้าเจ็บ”“เจ้าตบนางจริงหรือ”เจ๋อหรานหันมาถามไป๋หลานเพื่อจะสอบถามความจริงนางจะไม่เข้าข้างใครแต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนตบซินอี้ก่อนเพราะแก้มนั้
ไป๋หลานลืมตาขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดศีรษะอย่างรุนแรงนางยังไม่ตายอย่างนั้นหรือเพราะรอบกายมีกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ที่ร้องออกมา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ๋อหรานเดินถือยาสมุนไพรเข้ามาพร้อมกับมองไปที่นางผู้นั้น“ทะ ท่านช่วยข้าไว้หรือข้าเป็นอะไรไป” ไป๋หลานกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร“เจ้าหลับไป 3 วัน เจ้าตอบข้ามาก่อนเจ้าชื่ออะไร”“ข้าชื่อ ปะ...” ชื่อที่กำลังจะหลุดออกจากปากของนางต้องหุบลงเพราะหากบอกชื่อไปเกรงว่านางจะได้รับอันตรายอีกต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงไว้จนกว่าท่านพ่อจะตามหานางเจอ“โอ๊ยยยย ข้าจำไม่ได้ข้าปวดหัวเหลือเกิน” ไป๋หลานแกล้งทำว่าปวดหัวหนักและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจากการที่หัวกระแทกกับโขดหิน“ท่านแม่...” เฟิ่งหวงเปิดประตูเข้าถึงกับมองนางไม่กะพริบแม้ว่าบนศีรษะจะมีผ้าพันแผลแต่ใบหน้าที่แสนงดงามกลับฉายชัดออกมาจนหัวใจที่หยาบกระด้างของเฟิ่งหวงเต้นแรงขึ้นมา“หวงเอ๋อร์ หวงเอ๋อร์!” เจ๋อหรานที่เรียกลูกชายเสียงดังเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ“ขะ ขอรับท่านแม่”“นางจำอะไรไม่ได้ช่วงนี้เจ้าก็ดูแลนางไป นางจำอะไรได้เมื่อไรก็ส่งนางกลับบ้านเมืองไป” เจ๋อหรานให้ไป๋หลานด
ฤดูเหมันต์ทำให้ทั้งเมืองมีหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณรวมแคว้นหวางป๋อ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากมายสมกับชื่อของแคว้นมีบรรพบุรุษตระกูลหวางปกครองมาหลายร้อยปี ซึ่งคนที่มีอำนาจสูงสุดคือ หวางเทียนเวิ่น ที่ขึ้นปกครองเมืองได้ไม่นานเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือทั่วหล้าก็แทบจะยกลูกสาวให้ทั้งเมืองโดยไม่ลังเลเพื่อหวังจะได้เชื่อมความสัมพันธ์“น้องหญิง” หวางเทียนเวิ่นเอ่ยเรียกสตรีที่รักสุดหัวใจด้วยความเจ็บปวด“ท่านมีเวลามาหาแล้วหรือเพคะ” สนมหลี่เจ๋อหรานมองใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเจ็บปวดฝ่าบาทกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับองค์หญิงต่างแคว้นเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์แต่นางเป็นคนชนเผ่าเล็กๆ ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ“ใยเจ้าถึงกล่าวแบบนั้น” ฝ่าบาทเห็นแววตาของคนรักแล้วรู้สึกเจ็บปวดที่เขารักษาสัญญาให้นางไม่ได้ว่าเขาจะไม่เข้าพิธีอภิเษกกับหญิงนางใดแต่เพื่อบ้านเมืองกลับทำให้เขาผิดสัญญา“ท่านพี่บอกให้น้องตั้งท้องลูกชายเพื่อจะได้เลื่อนขั้นแต่น้องไม่ต้องการตำแหน่งไหนเลยเพคะ” หลี่เจ๋อหรานร้องไห้ออกมาเดิมทีนางอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ่น นางได้ช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้พระองค์ทรงเมตตาจึงรับนางเป็นนางสนมและให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีใคร“น้องหญิง...”