ไป๋หลานลืมตาขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดศีรษะอย่างรุนแรงนางยังไม่ตายอย่างนั้นหรือเพราะรอบกายมีกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ที่ร้องออกมา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เจ๋อหรานเดินถือยาสมุนไพรเข้ามาพร้อมกับมองไปที่นางผู้นั้น
“ทะ ท่านช่วยข้าไว้หรือข้าเป็นอะไรไป” ไป๋หลานกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร
“เจ้าหลับไป 3 วัน เจ้าตอบข้ามาก่อนเจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อ ปะ...” ชื่อที่กำลังจะหลุดออกจากปากของนางต้องหุบลงเพราะหากบอกชื่อไปเกรงว่านางจะได้รับอันตรายอีกต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงไว้จนกว่าท่านพ่อจะตามหานางเจอ
“โอ๊ยยยย ข้าจำไม่ได้ข้าปวดหัวเหลือเกิน” ไป๋หลานแกล้งทำว่าปวดหัวหนักและจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจากการที่หัวกระแทกกับโขดหิน
“ท่านแม่...” เฟิ่งหวงเปิดประตูเข้าถึงกับมองนางไม่กะพริบแม้ว่าบนศีรษะจะมีผ้าพันแผลแต่ใบหน้าที่แสนงดงามกลับฉายชัดออกมาจนหัวใจที่หยาบกระด้างของเฟิ่งหวงเต้นแรงขึ้นมา
“หวงเอ๋อร์ หวงเอ๋อร์!” เจ๋อหรานที่เรียกลูกชายเสียงดังเพราะมัวแต่จ้องใบหน้าของนางตาไม่กะพริบ
“ขะ ขอรับท่านแม่”“นางจำอะไรไม่ได้ช่วงนี้เจ้าก็ดูแลนางไป นางจำอะไรได้เมื่อไรก็ส่งนางกลับบ้านเมืองไป” เจ๋อหรานให้ไป๋หลานดื่มยาให้ครบตามที่นางสั่ง
วันเวลาร่วงเลยไปถึง 7 วัน อาการของไป๋หลานก็ดีขึ้นตามลำดับและแกล้งความคำเสื่อมเช่นเดิม วันนี้วันแรกที่นางได้ออกมาดูหมู่บ้านซึ่งรายล้อมมีแต่สัตว์เลี้ยงและกระโจมของชาวบ้านที่เต็มไปด้วยภูเขาและเสียงน้ำไหล
“พี่สาวท่านหาอะไรหรือ” อาเจิงเห็นนางเดินออกมาจึงรีบเข้ามาถามไถ่
“แถวนี้มีแม่น้ำหรือไม่ข้าอยากไปล้างเนื้อล้างตัว”
“ท่านเดินตามทางนั้นไป” เด็กหนุ่มชี้ไปตามทางไป๋หลานไม่รอช้าที่จะเดินไปที่แม่น้ำชนเผ่าแห่งนี้นางเองก็ยังไม่รู้ว่าคือที่ใด เมื่อมาถึงจึงนั่งอยู่บนโขดหินอย่างเหม่อลอย
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้!” เฟิ่งหวงเห็นนางนั่งอยู่คนเดียวเขาเห็นตั้งแต่นางเดินเข้ามาแล้ว แต่อยากรู้ว่านางมาทำอะไร
“เจ้านั่นเอง เจ้าชื่ออะไรข้าจะได้เรียกถูก”
“เฟิ่งหวง” ชายหนุ่มตอบไปและจ้องมองหญิงสาวไม่วางตาแต่แววตาที่ว่างเปล่าทำให้เขาถอนหายใจเสียงดัง
“ข้าชื่อ...” ไป๋หลานไม่รู้ว่าจะให้เฟิ่งหวงเรียกว่าอะไรเพราะยังไม่คิดชื่อ
“เหม่ยเหม่ย เจ้าชื่อเหม่ยเหม่ย” เพราะนางนั้นสวยและอยู่ใกล้ทีไรความเหนื่อยล้าเหมือนจะหายไป เหมือนดอกเหมยที่ให้ความสดชื่นตลอดเวลา
“เพราะจัง” ไป๋หลานยิ้มออกมาจนเห็นฟันทำให้เฟิ่งหวงมองนางด้วยความหลงใหล นางเป็นผู้ใดกันทำไมถึงสวยราวกับองค์หญิงสวยจนเขาละสายตาจากนางไม่ได้
“เจ้าระวัง”
“ว้ายยยย” ไป๋หลานหลับตาลงเพราะกลัวว่าจะเจ็บตัวเพราะนางสะดุดกับก้อนหินก้อนโต แต่เหมือนมีมือแขนของเฟิ่งหวงมาคว้าเอวนางไว้ได้ทันไป๋หลายลืมตาขึ้นมาใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือใกล้จนไป๋หลานแทบจะหยุดหายใจ แต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่ยอมปล่อยนาง
“เจ้า เฟิ่งหวง! ปล่อยข้าได้แล้ว”
“ขออภัยเจ้าด้วย” เฟิ่งหวงเมื่อได้สติจึงรีบปล่อยมือออกจากเอวของนางและถอยออกมาห่างๆ จึงหันหลังให้นางเพื่อไม่ให้นางเห็นว่าเขากำลังหน้าแดงเพราะความเขินอาย
“ขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ถึงสองครั้ง” ‘ข้าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าเอง’ คำนี้ไป๋หลานพูดต่อในใจนางไม่อยากโกหกใครแต่เพื่อความปลอดภัยนางจำเป็นต้องโกหก
“ท่านแม่ข้าสอนเสมอหากพบใครที่ลำบากหากเราช่วยได้ก็ช่วย เจ้าจำเรื่องราวไม่ได้จริงหรือ” เฟิ่งหวงจ้องลึกเข้าไปในแววตานางและยังไม่มั่นใจว่านางโกหกหรือจำไม่ได้
“ขะ ข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออะไรกัน” ไป๋หลายหันหน้าหนีหากท่านพ่อตามหานางเจอเมื่อไรนางจะต้องไปจากที่นี่และจะไม่ลืมบุญคุณของชนเผ่านี้เลย
“ข้าเกลียดคนโกหกที่สุด หากเจ้าเป็นคนโกหกข้านี่แหละจะเลาะหนังเจ้าออกเอง”
เฟิ่งหวงเดินจากไปทิ้งให้นางรู้สึกไม่ดีที่ต้องโกหก ตอนนี้ขอแค่ชีวิตรอดกลับบ้านเมืองก็พอ
“เจ้าไปไหนมา” เจ๋อหรานถามลูกชายที่เดินเข้ามาในกระโจมด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด
“ข้าก็ไปดูสัตว์ตามประสาข้าท่านแม่มีอะไรหรือขอรับ”
“เจ้าอายุ 21 แล้วเมื่อไรกันที่แม่จะมีหลาน” นางอยากให้ลูกชายออกเรือนเพราะอายุปูนนี้แล้วและกลัวว่าจะไม่มีทายาทแต่ก็ไม่อยากบังคับลูก
“ท่านแม่พูดกับลูกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เอาไว้ลูกรักใครจะบอกท่านแม่คนแรกเลยดีไหมขอรับ” เฟิ่งหวงพูดคำนี้มาหลายครั้งแล้วจนเจ๋อหรานอ่อนใจ
“แล้วแม่นางคนนั้นละเจ้าว่านางเป็นอย่างไร”
“นางชื่อเหม่ยเหม่ย”
“เจ้ารู้ได้ยังไง”
เจ๋อหรานแปลกใจที่ลูกชายรู้ว่านางนั้นมีชื่อแช่อะไรหรือนางไม่ได้ความจำเสื่อม
“ข้าตั้งให้นางเอง ข้าไปก่อนนะท่านแม่” เฟิ่งหวงรีบเดินออกไปเพราะเห็นเหม่ยเหม่ยกำลังนั่งพูดคุยกับเด็กอย่างมีความสุขจนคนเป็นแม่ได้แต่ส่ายหน้า
“ทำอะไรกันหรือ”
“ซักผ้าอยู่” ไป๋หลานตอบออกไปเขาเห็นว่านางกำลังนั่งอยู่แปลกยิ่งนักยังมาถามให้มากความ
“นี่เจ้า!” เฟิ่งหวงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโดนนางยอกย้อนและเห็นรอยยิ้มที่นางส่งยิ้มให้เด็กๆ แล้วเฟิ่งหวงก็รู้สึกยิ้มตาม
“ท่านยิ้มให้ลมหรือท่านพี่” อาเจิงมองตามในสิ่งที่เฟิ่งหวงมองจึงเข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังหัดมีความรัก
“เจ้ามาตั้งแต่ตอนไหน ข้าตกใจหมด” เฟิ่งหวงยังไม่สนใจอาเจิงเมื่อเห็นว่านางเดินไปตามเด็กๆ เฟิ่งหวงจึงรีบเดินตามไปไม่ห่างทิ้งให้อาเจิงอยู่คนเดียว
“เจ้าตามข้ามาหรือ” ไป๋หลานชักจะหงุดหงิดขึ้นมานางไม่ใช่นักโทษที่เขาจะตามติดจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเสียขนาดนี้
“ข้ามาตามดูว่าเจ้าเป็นสายให้ใครหรือไม่” เฟิ่งหวงหาเหตุผลมาอ้างทั้งที่อยากอยู่ใกล้นางมากกว่าสภาพนางฟื้นขึ้นมาได้ก็ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
“ข้ายังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะไปเป็นสายให้ใครได้ เจ้านี่ดีแต่ปากจริงๆ” ไป๋หลานหัวเสียและต่อว่าเฟิ่งหวงนางเกือบตายเขายังหาว่านางอาจจะเป็นสายศึก
“นั่นเจ้าจะไปไหนมันทางเข้าป่า เหม่ยเหม่ย” เฟิ่งหวงเดินมาหยุดที่ตรงหน้าของนางและกางมือออกเพื่อไม่ให้นางเดินเข้าป่าเพราะในป่าใหญ่อันตรายมีมากมาย
“ท่านพี่เฟิ่งหวงซินอี้กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวรุ่นคราวเดียวกันกับไป๋หลานวิ่งเข้ามาหาเฟิ่งหวงด้วยท่าทางดีใจจนไม่ได้หันมามองไป๋หลาน
“นางเป็นใครกันข้าไม่เคยเห็น”
ไป๋หลานมองใบหน้าหญิงสาวจึงเข้าใจว่าคงตกหลุมรักเฟิ่งหวงและท่าทีที่ดูหวงไป๋หลานจึงอยากเดินออกไปให้ห่าง
“นางคือเหม่ยเหม่ย”
“…”
“เจ้าจะไปไหนข้ายังพูดไม่จบข้าคือซินอี้เป็นคนในชนเผ่าและเป็นว่าที่ภรรยาของท่านพี่เฟิ่งหวง” แต่ไป๋หลานไม่รอฟังจนจบจึงพูดสวนขึ้นมา
“ข้าเป็นใครเจ้าก็ถามเฟิ่งหวงเอาเอง” นางเดินจากไปทิ้งให้เฟิ่งหวงอยู่กับซินอี้ตามลำพัง
ยามโหย่วเจ๋อหรานเรียกเฟิ่งหวงและแม่นางเหม่ยเหม่ยมานั่งทานข้าวด้วยกันในยามนี้ยังมีอี้หรานและลูกสาวซินอี้ทั้งกระโจมจึงมีแต่ความเงียบ
“ท่านพี่ลองทานเห็ดดูเจ้าค่ะ” ซินอี้ใช้ตะเกียบคีบเห็ดให้เฟิ่งหวงแต่สายตาของเขามองไปที่ไป๋หลานเมื่อเห็นว่านางนั้นไม่ชอบกินผักเป็นมื้อแรกที่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน
“เนื้อข้าตักให้” เฟิ่งหวงไม่ได้ใส่ใจซินอี้และตักเนื้อให้นางจนเต็มจานเจ๋อหรานคอยแอบมองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ซินอี้ไม่พอใจที่ไม่ได้รับความสนใจจากเฟิ่งหวง
“นางก็มีมือทำไมไม่ให้นางตักเองหัดทานผักเสียบ้าง”
“ซินอี้ เหม่ยเหม่ยนางบาดเจ็บอยู่” อี้หรานปรามลูกสาวที่เป็นคนชอบพูดไม่คิดจนทำให้อาหารมื้อนี้ดูกร่อยไปและบรรยากาศที่ชวนอึดอัด
“ข้าอิ่มแล้วชอบคุณท่านน้าทั้งสองมากเจ้าค่ะ” ไป๋หลานลุกออกไปโดยมีเฟิ่งหวงเดินตามออกไปโดยไม่สนใจเรียกของซินอี้
“นางเป็นใครเกิดนางเป็นไส้ศึกขึ้นมาชนเผ่าพวกเราจะแย่เอานะเจ้าค่ะท่านน้า” เจ๋อหรานวางตะเกียบลงท่าทางของเหม่ยเหม่ยก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแค่นางจะอะไรไม่ได้ก็ถือว่าแย่มากแล้ว
“นางบาดเจ็บจนจำอะไรไม่ได้ เราเป็นมนุษย์ก็ควรจะช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกันชนเผ่าเราไม่เคยเป็นศัตรูกับใครเจ้าควรระวังคำพูดด้วย”
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะท่านน้า” ซินอี้หน้าเสียที่โดนตำหนิและแอบหยิกต้นขาตัวเองไว้แน่นเพราะกลัวจะลุกขึ้นมาอาละวาดใส่ผู้คนที่นับถือ
“ข้าขอโทษแทนนางด้วย”
“เจ้าไม่ผิดอะไรเลยอี้หราน”
เฟิ่งหวงเดินตามนางออกมาจนถึงแม่น้ำตอนนี้เป็นยามซวีซึ่งท้องฟ้านั้นมืดหมดแล้วเหลือให้เห็นแค่ดวงดาวที่ส่อแสงสว่างอยู่เต็มท้องฟ้า
“คืนนี้ดวงดาวเหลือเกิน”
“เจ้าตามข้ามาหรือ” ไป๋หลานมองไปที่ชายหนุ่มที่ทำท่าทีมองท้องฟ้า วันนี้ดวงดาวสวยแต่ก็ทำให้นางเศร้าหมองไม่น้อยรอคอยเวลาว่าเมื่อไรที่ท่านพ่อจะตามมาเจอ
“ข้ากลัวเจ้าจะหลงเลยตามมา” ยามนี้เฟิ่งหวงกลัวว่านางจะหิวจนโมโหจึงคิดจะหาอะไรให้นางกินก่อน
“เจ้าจะทำอะไร”
“เจ้าอยู่เงียบๆ เถอะน่า” เฟิ่งหวงลงไปในน้ำและปามืดเล่มเล็กลงไปในน้ำและรีบวิ่งลงไปจับปลาขึ้นมาทำให้ไป๋หลานแปลกใจที่เฟิ่งหวงเชี่ยวชาญขนาดนี้
“เจ้า”
“เดี๋ยวข้าจะทำอาหารให้เจ้ากิน” ไม่พูดเปล่าเขายังเดินมาก่อไฟข้างกายไป๋หลานและจัดการย่างปลากลิ่นหอมๆ ที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ไป๋หลานรู้สึกหิวขึ้นมา
“เจ้ากินข้าวน้อยกินเยอะๆ สิ” เฟิ่งหวงยื่นปลากับให้นางตัวหนึ่งตั้งแต่เกิดมาจนโตเป็นหนุ่มเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนางเป็นหญิงคนแรกที่เฟิ่งหวงอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างให้
“ขอบใจเจ้ามากเฟิ่งหวงที่ดีกับข้า” หากถึงวันนั้นวันที่เจ้ารู้ความจริงอย่าโกรธเคืองข้าเลย ไป๋หลานได้แต่รู้สึกผิดที่ต้องโกหกผู้มีพระคุณ
“…”
รอยยิ้มที่นางยิ้มออกมาทำให้เฟิ่งหวงตกอยู่ในอาการตะลึงจนไม่ได้ฟังในสิ่งที่นางพูด นางสวยกว่าหญิงที่เขาเคยพานพบตอนนี้เริ่มจะปักใจแล้วว่านางนั้นคือนางในดวงใจและอยากจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต
เกือบ 2 เดือนแล้วที่ไป๋หลานใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเฟิงอวิ๋นตอนนี้ร่างกายของนางกลับมาแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป เฟิ่งตามติดชีวิตของนางตลอดเวลาจนได้ยินเสียงเล่าลือว่าเฟิ่งหวงนั้นมีใจให้นาง“เจ้าอยู่นี้เองข้าตามหาตั้งนาน” ซินอี้ไม่พอใจที่นางเข้ามาทำให้เฟิ่งหวงหวั่นไหวซินอี้ชอบเขามาเนิ่นนาน“เจ้ามีธุระอันใดจะคุยกับข้า”“ออกไปจากชีวิตของท่านพี่เฟิ่งหวง”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่มาสั่งคนอื่น” ไป๋หลานรู้นางแอบรักเฟิ่งหวงแต่ไม่ควรที่จะมาสั่งว่าผู้ใดมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา“ข้า ข้าเป็นคนสนิท”“ภรรยาก็ไม่ใช่ น้องสาวก็ไม่ใช่เจ้าควรให้เฟิ่งหวงเลือกเองไม่ใช่ไปบังคับใคร” ไป๋หลานเตรียมตัวจะเดินหนีแต่ถูกนางคว้าไว้และใช้มือตบเข้าไปที่แก้มของไป๋หลาน“อย่ามาลองดีกับข้า”เพียะ!“กรี้ด” เสียงกรีดร้องของซินอี้ทำให้เฟิ่งหวงและเจ๋อหรานออกมาดูเห็นซินอี้กำลังกุมแก้มที่โดนตบเมื่อนางเห็นคนทั้งสองจึงแสร้งทำเป็นคนโดนรังแก“ท่านน้านางตบข้าเจ้าค่ะ ข้าเจ็บ”“เจ้าตบนางจริงหรือ”เจ๋อหรานหันมาถามไป๋หลานเพื่อจะสอบถามความจริงนางจะไม่เข้าข้างใครแต่เหมือนว่าเฟิ่งหวงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนตบซินอี้ก่อนเพราะแก้มนั้
เฟิ่งหวงนั่งลงที่ข้างกายของนางและเข้ามาโอบกอดนางไว้เพื่อคลายหนาวใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบมือ เสียงฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา “อื้อออ” เฟิ่งจูบนางอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีให้นาง มือหนาเริ่มเลื้อยไปมาเหมือนงู “ข้า ข้า...” “เจ้ายอมเป็นของข้าได้หรือไม่เหม่ยเหม่ย” เฟิ่งหวงสบตาของนางอย่างลึกซึ้งหากนางไม่ยินยอมเขาก็จะไม่ทำอะไรนางเด็ดขาด “ขะ ข้ายอม...อื้ออ” พูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มจึงประคองในนางนอนลงบนขอนไม้ขนาดใหญ่เฟิ่งหวงยืนมือไปคว้าเอาเสื้อของตัวเองมาปูไว้เพื่อหญิงสาวได้นอนอย่างสบาย “ข้าจะดูแลเจ้าให้ดี” เฟิ่งหวงยื่นมือมาปลดเชือกที่ชุดของนางออกในล้วงมือเข้าไปจนถึงยอดปทุมถันอันแสนงดงามที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก “อื้อ..อ่าส์...เฟิ่งหวง” นางครางออกมาเมื่อปลายลิ้นอุ่นๆ แตะสัมผัสกับยอดปทุมถันสีสวย ไป๋หลานสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา “เจ้าสวยเหลือเกิน” เฟิ่งหวงพูดอย่างมาหลังที่ที่ได้สัมผัสยอดปทุมถันคู่นั้น
สองวันมาแล้วที่ไป๋หลานหลบหน้าหลบตาเฟิ่งหวงจริงอย่างที่แม่ของเขาบอก สักวันนางต้องกลับบ้านเมืองของนางไม่สร้างความผูกพันกันไปมากกว่านี้ “เจ้าหลบหน้าข้าหรือเหม่ยเหม่ย”เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้นางเพราะสองวันที่ผ่านมานางไม่ยอมมาเจอหน้าเขาเลย จนทำให้เขาร้อนใจว่าเขาทำอะไรผิดไป “ข้าไม่ได้หลบหน้าเสียหน่อย” “เจ้าโกหกข้า” เมื่อนางพยายามหลบตาเฟิ่งหวงจึงรู้เพราะนางโกหกไม่เป็นยามที่นางโกหกมักจะสายตาไม่กล้าสู้หน้า “ปล่อยข้าเฟิ่งหวง” นางจะเดินหนีแต่ถูกมือหนาของเขารั้งไว้ไม่ยอมให้ไปไหน “ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” “อื้อ!” ปากหนาครอบครองนางไว้มือหนารั้งท้ายทอยไว้เพื่อไม่ให้นางดิ้นไปไหน เฟิ่งหวงร้อนใจกลัวว่านางจะเป็นอะไรพยายามมาดักรอ “ปล่อยข้า” “หวงเอ๋อร์”เจ๋อหรานเข้ามาขัดทำให้ไป๋หลานขอตัวออกไปเพื่อให้แม่ลูกได้คุยกัน เจ๋อหรานส่ายหน้านางคงห้ามผิดคนคนที่จะต้องห้ามควรจะเป็นลูกชายนางมากกว่า “ลูกทำเยื้องนี้กับนางไม่ได้เจ้าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน” “นั้นท่านแม่ก็ให้ข้าแต่งงานกับนางสิ” เฟิ่งห
วันฉูชี (วันส่งท้ายปี) ซึ่งจัดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือน 12 เป็นวันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า และร่วมรับประทานอาหารกันตั้งแต่เย็น ร่ำสุราไปจนถึงเช้า เป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน “พี่สะใภ้ใหญ่สวยราวกับเทพธิดา” อาเจิงถึงกับตาค้างที่เห็นไป๋หลานสวมชุดสีชมพูสะอาดหน้าใบที่แต่งแต้มจนสวยงาม “ขอบใจเจ้ามาก” ไป๋หลานเตรียมตัวที่จะไปเฉลิมฉลองวันฉูชีวันนี้จะมีเหล่าชนเผ่าออกมาร่ำสุรากันอย่างมากมายทั้งหมูบ้านประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสีสันมองไปทางไหนก็ทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย “ท่านน้าเจ้าคะ” ไป๋หลานเดินเข้ามาหาเจ๋อหรานในกระโจมแต่เห็นนางนั่งมองสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในมือแม้จะเรียกเสียงแค่ไหนนางก็ไม่ตอบสนอง “ท่านน้า!” “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เจ๋อหรานรีบเก็บสร้อยเส้นนั้นลงไปไว้ที่กล่องเก่าๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของไป๋หลานสร้อยที่ประดับด้วยเพชรพลอยคงจะเป็นของราชวงศ์ชั้นสูง “สร้อยเส้นนั้น...” “เจ้ารู้หรือว่าคืออะไร” เจ๋อหรานไม่แปลกใจเท่าไรเวลานี้นางยอมที่จะให้ทั้งสองแต่งงานกันตามความต้องการของเฟิ่งหวงเพราะนางไม่อยากเห็นลูกต้องเสียใจ “เจ้
“เจ้าว่าอะไรนะ โง่” ซินอี้ถึงกับกรีดร้องออกมานางจ้างวานให้เฟยอินเอายาปลุกกำหนัดไปใส่ในเหล้าในเฟิ่งหวงดื่มและจะออกอุบายให้มาหานางแต่ผิดคาด “ข้าก็เอาไปให้แล้วแต่แม่นางเหม่ยเหม่ยเป็นคนกินเข้าไป เจ้าอย่าลืมค่าจ้างข้า” เขาถือว่าทำงานลุล่วงเพราะแค่น้ำยาไปใส่ให้เหล้าใครจะดื่มหรือไม่ดื่มไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา “ทำงานไม่สำเร็จยังจะมาเอาเงินอีกหรือ” “เจ้าแค่สั่งให้ข้าเอายาไปใส่ในเหล้าไม่ได้บอกว่าให้ใครดื่ม เอาเงินมาไม่งั้นข้าจะบอกให้ทุกคนรู้” เฟยอินขู่เข็ญนางเพื่อที่จะได้เงินค่าจ้าง “เอาไปและปิดปากให้เงียบ” ซินอี้ให้เงินเฟยอินไปมากโขแลกกับที่ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรนางก็แพ้ไป๋หลานไปทุกอย่าง “ข้าต้องหาความลับของเจ้าให้ได้” ซินอี้คิดอะไรออกบางอย่างพรุ่งนี้เช้าจะรีบเข้าไปในเมือง ไม่นานนางต้องกระเด็นออกไปจากชนเผ่าเฟิงอวิ่น ทางด้านไป๋หลานตอนนี้กำลังร้อนรุ่มราวกับไฟที่กำลังแผดเผาร่างกายของนาง นางกระชากเสื้อผ้าออกจากตัวโดยไม่สนอะไร “เจ้าอย่าใจร้อนสิ” “ข้าไม่ไหวแล้ว อืมมม” ไป๋หลานครางออกมาอย่
วันแต่งงานก็เดินทางมาถึงเฟิ่งหวงอยู่ในชุดชนเผ่าสีแดงสวยอร่ามสมกับเป็นว่าที่ผู้นำชนเผ่าเฟิงอวิ่นใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบ่งบอกว่าวันนี้กำลังมีความสุขมากเพียงใด “เจ้าดูดีสมกับเป็นว่าที่ผู้นำของชนเผ่า” “ขอบใจท่านแม่มากที่ให้ข้าแต่งงานกับเหม่ยเหม่ย” เจ๋อหรานหน้าถอดสีลงเล็กน้อยแต่พยายามที่จะเก็บความลับของไป๋หลานไว้ แค่ลูกของนางมีความสุขคนเป็นแม่ก็มีความสุขไปด้วย ไป๋หลานอยู่ในชุดเจ้าสาวที่แดงสวยงามเป็นผ้าไหมที่ปักเย็บอย่างประณีตประดับด้วยลวดลายต่างๆ อย่างสวยงามใบหน้าแต่งแต้มสีสันสวยงามและทายาทลงไปเพื่อให้ผิวเปล่งปลั่งฝาดแดงระเรื่อ “แม่นางสวยงามราวกับเทพธิดา” อี้หรานชมนางจากใจเพราะไม่เคยเห็นหญิงคนไหนงดงามเหมือนกับไป๋หลานเพียงแค่นางมองนางก็มั่นใจว่านางไม่ใช่คนธรรมดาหรือชาวบ้านทั่วไป “ขอบใจท่านน้ามากเจ้าค่ะ” “แม่นางอย่าถือโทษโกรธอี้เอ่อร์เลยนะ ข้าตามใจนางจนนางเสียคนตั้งแต่พ่อของนางตายข้าก็เลี้ยงดูนางมาคนเดียวตลอด” “ท่านน้าไม่ผิดอะไรเลยเจ้าค่ะ” นางก็เสียเสด็จแม่ไปตั้งวัยเยาว์เหลือแค่เสด็จพ่อ “ใก
ทางด้านซินอี้กำลังตรอมใจเมื่อคนที่รักได้แต่งงานกับหญิงอื่นไปนางกำลังวางแผนกำจัดไป๋หลานให้ออกไปจากชีวิตของเฟิ่งหวงตลอดกาล “นางต้องหายไปตลอดกาล” “อี้เอ๋อร์มากินข้าวเถอะลูก” อี้หรานยกกับข้าวมาให้ลูกสาวที่หมกตัวอยู่แต่ในกระโจมนางเห็นใจลูกสาวที่รักเฟิ่งหวงมาเนิ่นนานแต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนางไม่โทษใคร “ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ” “มากินข้าวแล้วออกไปเดินเล่นบ้างเถิด” “ข้าจะลุกไปกินเจ้าค่ะ” ซินอี้ลุกมากินข้าวกินปลาแต่ภายในใจกำลังเศร้าหมองคิดถึงคำนึงหาแต่เฟิ่งหวง และคิดหาหนทางกำจัดมารหัวใจตลอดเวลา ซินอี้เดินมาที่แม่น้ำที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำแต่สายตาก็หันไปเจอเข้ากับไป๋หลานที่นั่งอยู่ริมฝั่งคนเดียวจึงมีแผนร้ายขึ้นมาเมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเฟิ่งหวง “มานั่งเศร้าเพิ่งเข้าห้องสามีไม่สนใจหรือไง” “เจ้าอย่ามากวนอารมณ์โมโหข้า” นางกำลังคิดถึงเสด็จพ่อไม่รู้ป่านนี้จะได้เบาะแสนางหรือยัง “ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ที่นี้ไม่ได้” ซินอี้จ้องมองนางอย่างโกรธแค้น นางก็สวยไม่แพ้ไป๋หลานใยเฟิ่งหวงถึงไม่มองนางบ้าง นางไม่ยอมแพ้เด็ดขาด “เจ้าก็ควรจะทำ
ยามเหม่าเฟิ่งงหวงจึงพาไป๋หลานออกเดินทางสู่เมืองใหญ่ยานพาหนะคือม้าที่เฟิ่งหวงเป็นคนควบม้า ตลอดทางข้างทางท้องฟ้ายังมืดสนิทไม่นานพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ “สวยจัง” เขาพานางมาหยุดรออยู่ที่หน้าผาสูงชันไป๋หลานมองไปที่พระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่วบริเวณและหมอกเมฆที่ปกคลุมไปทั้งบริเวณ “เอาไว้พี่จะพาน้องหญิงมาอีก” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ไป๋หลานใช้ผ้าปกคลุมใบหน้าเพราะกลัวว่าจะมีใครเห็นใบหน้าของนาง บางทีคนร้ายอาจจะยังตามล่าหาตัวนางอยู่ ไป๋หลานอ้างว่านางแพ้อากาศอาจจะทำให้ไม่สบายได้จึงขอใช้ผ้าปิดบังใบหน้าอันแสนงดงามไว้ ซึ่งเฟิ่งหวงก็ไม่ได้ขัดอะไรคืนนี้เฟิ่งหวงจึงชวนนางเข้าพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน “รอตอนเย็นพี่จะพาน้องหญิงออกไปเดินเล่น พักผ่อนเสียเถิด” เฟิ่งหวงเมื่อเห็นว่านางหลับไปแล้วจึงออกมาเดินสำรวจโรงเตี๊ยมแห่งนี้และเห็นเหล่าทหารมากมายเหมือนกำลังออกตามหาอะไรสักอย่าง “เถ้าแก่คนพวกนั้นกำลังหาอะไรหรือ” “เมื่อหลายเดือนก่อนมีองค์หญิงจากแคว้นเป่ยเฟิงถูกดักทำร้ายและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย น่าเสียดายยั
ชนเผ่าอวิ่น ฮ่องเต้เฟิ่งหวงพาฮองเฮากลับมาเยี่ยมบ้านเกิดและองค์รัชทายาทตงหยางพร้อมกับองค์หญิงอ้ายเสิน ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก “ซินอี้” “ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” ซินอี้ก้มลงเพื่อทำความเคารพฮองเฮาที่ครั้งหนึ่งนางเคยคิดจะกำจัด “ตอนนี้อยู่นอกวังเจ้าไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก เจ้าสบายดีหรือไม่” ไป๋หลานไม่คิดโกรธเคืองนางเลยสักนิดเวลาผ่านไปคนเราก็สามารถเปลี่ยนกันได้ “หม่อมฉันสบายดีเจ้าค่ะ” “ไทเฮาบอกว่าเจ้ากำลังจะมีลูกน้อย” “เพคะหม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์” ซินอี้แต่งงานกับคุณชายแซ่เหลียงและได้ออกไปเปิดโรงน้ำชาด้วยกันจนมีพยานรักที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนาง “ข้ายินดีกับเจ้าด้วยอดีตผ่านไปแล้วเจ้าก็ได้บทเรียนแล้ว เราแค่ลืมและเดินหน้าต่อไป” “หม่อมฉันขออภัยในครั้งนั้นด้วยเพค่ะ” “ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก” ไป๋หลานไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแคว้นในวันนี้นางคิดได้แล้ว ก็ต่างคนต่างมีชีวิตและเดินตามเส้นทางของตัวเอง “หม่อมฉันขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ” ไป๋หลานเดินกลับมาและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เฟิ่งหวงที่นั่งดูลูกๆ วิ่ง
วันเวลาผ่านไปจนครบเก้าเดือนองค์หญิงไป๋หลานได้ให้กำเนิดลูกฝาแฝดโอรสและธิดาสร้างความปีติยินดีให้กับทุกคนโดยเฉพาะเฟิ่งหวงที่เฝ้ารอพระชายาอยู่หน้าตำหนักไม่ยอมไปไหน “หวงเอ๋อร์พระชายาของลูกแค่หลับเพราะเหนื่อยอย่ากังวลไปนักเลย” “ลูกเป็นห่วงนาง” เฟิ่งหวงนั่งไม่อยู่กับที่เขาเดินไปเดินมาเพื่อรอว่าเมื่อไรนางจะฟื้นขึ้นมา ตอนที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของนางใจเขาแทบขาด “หวงเอ่อร์ลูกจะให้โอรสและธิดาชื่อว่าอะไร” เฟิ่งหวงเดินเข้ามาใกล้ลูกทั้งสองและมองหน้ากันสลับไปมาลูกของเขาทั้งสองเกิดจากความรักของพ่อและแม่ “โอรสให้ชื่อตงหยาง ธิดาให้ชื่ออ้ายเสิน” “ดีๆ พ่อชอบชื่อนี้” ฝ่าบาททรงตามใจลูกในการตั้งชื่ออีกไม่นานเฟิ่งหวงจะต้องขึ้นครองบัลลังก์แทนฮ่องเต้ ไป๋หลานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดสิ่งแรกที่นางนึกถึงคือลูกทั้งสองนางได้ยินเสียงร้องก่อนที่นางจะหมดสติไป ไป๋หลานพยายามที่จะขยับตัว “พระชายาอย่าเพิ่งลุกเพค่ะ” “น้องหญิงเป็นยังไงบ้าง” เฟิ่งหวงรีบเข้ามาดูอาการทันทีเมื่อเห็นว่านางปลอดภัยเขาก็หายห่วง “ลูกของน้อง...”
“หม่อมฉันจะไปตามหมอมาให้เพคะ” “ไม่ต้องหรอกหวงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร” จากที่นางได้ฟังเรื่องราวมาจากไป๋หลานและองครักษ์จึงพอจะเดาได้ว่าเฟิ่งหวงเป็นอะไรถึงได้ไม่สบายแบบนั้น “น้องหญิงแล้วหวงเอ่อร์ไยถึงไม่สบาย” ฮ่องเต้แปลกใจเฟิ่งหวงเกิดอาการแบบนี้มาหลายวันแล้วแต่ก็ไม่มีอาการดีขึ้น “หวงเอ่อร์แค่แพ้ท้องแทนไป๋หลาน คนท้องมักจะชอบกินของรสเปรี้ยวซึ่งหวงเอ่อร์ไม่ชอบและเกลียดส้มจะตาย” เจ๋อหรานรู้ว่าลูกชายชอบหรือเกลียดอะไร เฟิ่งหวงเป็นแบบนี้ก็เพราะแพ้ท้องแทนพระชายา “เฟิ่งหวงจะทรงหายหรือไม่เพคะ” “ไม่ต้องห่วง” ไป๋หลานจึงอยู่ดูแลเฟิ่งหวงเมื่อคิดถึงคำพูดของเจ๋อหรานนางถึงกับหน้าแดงขึ้นมา เจ๋อหรานบอกว่าบุรุษที่แพ้ท้องแทนแม่ของลูกแสดงว่าเขานั้นรักนางมาก “อย่าดื้อกับเสด็จพ่อนะลูก” ไป๋หลานหันไปพูดกับลูกน้อยตอนนี้สีหน้าของเฟิ่งหวงดูซีดเซียวนางจึงคอยดูแลไม่ห่าง กำหนดการเดินทางกลับแคว้นนางคงจะต้องเลื่อนออกไป “น้องไป๋หลาน” “เสด็จพี่” “พี่จะกลับแคว้นแล้วน้องต้องดูแลตัวเอง” “ไยถึงเร็วแบบนั้นเพค่ะ” ไป๋หลานใจหายที่เสด็จพี่จ
เฟิ่งหวงกำลังจัดการงานต่างๆ ด้วยความยากลำบากเขาทรงงานอย่างหนักเพื่อจะรีบกลับไปหาไป๋หลานที่เขาคิดถึงคะนึงหา ฮ่องเต้ทิ้งให้องค์รัชทายาทต้องเผชิญกับปัญหาและปล่อยให้เขาจัดการกับคนร้าย “องค์รัชทายาทท่านพักผ่อนหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” โม่โฉวเห็นองค์รัชทายาทมุ่งหน้าทำแต่งานที่ประชาชนร้องเรียนมา อีกไม่นานองค์รัชทายาทก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้ “ตอนนี้ท่านอาเป็นอย่างไรบ้าง” “ทุกคนยังคงไว้อาลัยให้องค์ชายหลานซวนพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งงหวงหยักหน้าเขาเห็นใจหวางไห่เถิ่งที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และเรื่องที่หลานซวนก่อขึ้นมาทำให้วงศ์ตระกูลเสียหายโทษต้องกักขังไปยังญาติพี่น้องแต่เฟิ่งหวงก็ไม่ยอมเพราะหวางไห่เถิงไม่มีส่วนรู้เห็น “องค์รัชทายาท! ตามหมอหลวงเร็วเข้า” โม่โฉวหันไปเรียกกงกงเมื่อองค์รัชทายาททรงเป็นลมไป ทำให้ทั้งตำหนักวุ่นวายไปหมดใบหน้าซีดเผือดขององค์รัชทายาทนอนหลับอยู่บนเตียงกว้าง “องค์รัชทายาทน่าจะทรงงานหนักให้พักผ่อนสักหน่อยจะดีขึ้นเองขอรับ” “ท่านให้คนไปส่งหมอหลวง” “พระชายาไม่อยู่นั้นกระหม่อมจะดูแลท่านเอง” โม่
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรเพคะ” ลู่เสียนเกรี้ยวกราดขึ้นมาเมื่อแม่ทัพหลิงหยุนมาบอกข่าวร้าย “องค์รัชทายาททรงส่งเจ้ากลับจวน” “กรี๊ดดดด องค์รัชทายาทจะทำแบบนั้นกับข้าไม่ได้” ลู่เสียนกับมาคิดดูแล้วสิ่งที่องค์รัชทายาททำไปก็แค่ใช้นางเป็นเครื่องมือและส่งองค์หญิงออกไปนอกวัง หลอกให้นางดีใจพอเรื่องราวจบก็ส่งนางกลับจวน “ลูกพ่อองค์รัชทายาทยกเลิกที่จะรับลูกเป็นสนม” หลิงยุนไม่มีสิทธิ์โต้แย้งเพราะคือคำขาดจากองค์รัชทายาทในอนาคตก็จะขึ้นครองบัลลังก์ “ลูกไม่ดีตรงไหนทำไมองค์รัชทายาทถึงหลงใหลมันนัก” “ลูก! เจ้าระวังคำพูดด้วย” ลู่เสียนโกรธและพร่ำเพ้อออกมานางเห็นใบหน้าขององค์รัชทายาทครั้งแรก ก็ตกหลุมรักหาวิธีที่จะได้เข้าใกล้และทรงขอร้องท่านพ่อให้เข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ให้รับนางเป็นสนมขององค์รัชทายาท นางดีใจจนแทบบ้าที่ได้รับข่าวดี แต่พอมาวันนี้ทุกอย่างเป็นแค่แผนหลอกให้นางไปเสี่ยงตายแต่กับปกป้ององค์หญิงไป๋หลาน “องค์รัชทายาทตรัสไว้ชาตินี้จะไม่รับสนมจะมีแค่พระชายาคนเดียว” “ทำไมนางถึงไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้น” ลู่เสียนโกรธแค้นที่สุดท้ายแล้วนาง
ไป๋หลานเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักของเฟิ่งหวงนางกำนัลมาแจ้งข่าวว่าเขากำลังจะรับสนมเข้ามาในตำหนักวันนี้ ถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อแต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากับทำในนางเจ็บปวดไม่น้อย “องค์หญิง” “เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรเฟิ่งหวง” ไป๋หลานมองไปที่องค์รัชทายาทด้วยแววตาที่แสนเจ็บปวดที่เห็นเขากำลังนั่งอยู่ใกล้นางสนมคนนั้น “ก็อย่างที่เจ้าเห็นข้าจะรับนางเป็นสนม” เฟิ่งหวงเห็นแววตาที่แสนเจ็บปวดนั้นก็หันใบหน้าหนีเขาใจไม่แข็งพอที่จะเห็นน้ำตาของนาง “หม่อมฉันเลี่ยงซูเพค่ะองค์หญิงไป๋หลาน” “ข้าไม่อยากรู้จักเจ้า! เจ้าตอบข้ามาคำว่ารักที่เจ้าพูดหรือมันแค่หลอกลวง” ไป๋หลานเจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นเขาไม่แยแสนางหรือที่เขาทำเพื่อจะแก้แค้นนาง “เจ้าพูดเหมือนไม่เคยหลอกข้า ออกไปข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” “เจ้าต้องการแก้แค้นข้าหรือ” ไป๋หลานปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเมื่อคิดว่าที่ผ่านมาเขาจะรักนางแต่ทุกอย่างกับไม่ใช่เขาแค่ต้องการแก้แค้นนาง “หรือหากเจ้ารับไม่ได้เจ้าก็กลับบ้านเมืองเจ้าไปเสียพิธีอภิเษกของเราถือว่ายกเลิก” เฟิ่งหวงพยายามที่จะกลั้นใจพูดออกมาเพื่อให้นางเกลียดเขา
“เฟิ่งหวง อ๊ะ” ไป๋หลานครางออกมาเมื่อเฟิ่งหวงใช้มือกอบกุมเต้าคู่งามไว้และขย้ำหน้าอกของนางอย่างแรงจนนางต้องตีมือเขาไว้ “เจ้าดูมังกรของข้าสิ” เฟิ่งหวงนำมังกรมาถูไถบริเวณแผ่นหลังของนาง “เจ้าคนหื่น” ไป๋หลานได้แต่บนเขาในใจไม่รู้ว่าเฟิ่งหวงอดอยากมาจากไหนถึงได้ตะกละตะกลามกินนางอย่างมูมมามและกินไม่อิ่มเสียที “ไยเจ้าถึงไม่ท้องเสียที มีโอรสหรือธิดาให้ข้า” เฟิ่งหวงขมวดคิ้วอย่างสงสัยเพราะมั่นใจว่าเขาสามารถทำให้นางท้องได้แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าไป๋หลานจะตั้งท้อง “ขะ ข้า” “หรือเจ้ามีอะไรปิดบังข้า” ไป๋หลานเงียบเพราะนางคุมกำเนิดทุกครั้งยามที่สุขสมตอนนี้นางอยากให้ทุกอย่างสงบสุขก่อน “ข้าคุมกำเนิด” “เจ้าทำย่างนั้นทำไมเจ้าไม่อยากมีลูกกับข้าหรือ” เฟิ่งหวงให้นางหันมาเผชิญหน้ากัน เขาเฝ้ารอที่นางจะตั้งท้องแต่ทุกอย่างก็พังลงแววตาเสียใจทำให้ไป๋หลานหันหน้าหนี “บ้านเมืองของเจ้ายังไม่สงบสุขเจ้าคิดว่าหากคนเหล่านั้นย้อนกลับมาทำร้ายข้าและลูกเจ้าจะทำอย่างไร” ไป๋หลานอยากให้เฟิ่งหวงมีเหตุผลมากกว่าที่เป็นอยู่ “ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ
เวลาต่อมาทั้งแผ่นดินของแคว้นหวางป๋อจึงได้รับรู้ว่าได้มีองค์รัชทายาทองค์ใหม่พร้อมกับอีกไม่นานจะมีพิธีอภิเษกระหว่างองค์รัชทายาทเฟิ่งหวงกับองค์หญิงไป๋หลาน “หวางหลิ่วอิน” หลีเหว่ยเดินเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่งพร้อมกับมองไปที่ชายชุดดำที่ถูกมัดมือมัดเท้าไว้ “ท่านอ๋อง” “หลานซวนทำไมถึงคิดก่อกบฏ” ตอนนี้ท่านอ๋องและฮ่องเต้รู้ความจริงกันหมดแล้วว่าหลานซวนคิดจะก่อกบฏตอนนี้พวกเขายังไม่ทำอะไรปล่อยให้คนร้ายตายใจเสียก่อน “ข้าไม่คิดว่าเสด็จพี่จะทรงคิดกำจัดองค์หญิงและองค์รัชทายาท หากเสด็จพ่อรู้เข้าต้องเสียพระทัยอย่างหนัก” หวางหลิ่วอินไม่อยากให้บิดารับรู้แต่สิ่งที่หลานซวนทำนั้นเรื่องใหญ่นัก “อย่าให้ใครรู้เราแยกกันตรงนี้” “ทูลลาท่านอ๋อง” หลีเหว่ยเดินทางกลับเข้ามาในวังหลวงทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “องค์หญิงอยู่ที่ตำหนักองค์รัชทายาทเพค่ะ” “เจ้านั้นคิดจะกักขังน้องไป๋หลานไว้หรือไง” หลีเหว่ยพูดออกมาเมื่อเฟิ่งหวงไม่ยอมปล่อยไป๋หลานกลับตำหนัก เฟิ่งหวงอาการดีขึ้นอย่างมากเพราะมีองค์หญิงไป๋หลานคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เพราะเฟิ่งห
เฟิ่งหวงทรงลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบากและนึกคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านเขาถูกยิงด้วยธนูที่ต้นแขนแล้วไป๋หลานนางปลอดภัยหรือไม่ “องค์รัชทายาทฟื้นแล้วเพค่ะ” นางกำนัลรีบมากราบทูลฮ่องเต้ที่ทรงนั่งรออยู่หน้าตำหนักจึงรีบเข้ามาดูองค์รัชทายาท “หวงเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้างหมอหลวงตรวจดูอาการองค์รัชทายาท” “ไป๋หลานทรงปลอดภัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หากนาวงเป็นอะไรไปเขาจะอยู่อย่างไร ราวกับมีเข็มเป็นพันหมื่นเล่มทิ่มแทงหัวใจของเขา “องค์หญิงทรงมิได้เป็นอะไรนางเฝ้าไข้ลูกทั้งคืนเพิ่งกลับไปพักผ่อนลูกวางใจเถิด” มุมปากหยักโค้งขึ้นน้อยๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มองค์รัชทายาทถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อไม่มีผิด “ข้าอยากพบหน้านาง โม่โฉวเจ้าไปตามองค์หญิงมา” เมื่อได้ยินดังนั้นความวิตกเล็กน้อยสลายไปจนสิ้น “พ่ะย่ะค่ะ” “ลูกพักผ่อนเสียเถิดเอาไว้หายดีแล้วค่อยมาพูดคุยกัน” ไป๋หลานเดินทางมายังตำหนักของเฟิ่งหวงอีกครั้งสีหน้านั้นเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ “โอ้ยย ไป๋หลานข้าเจ็บเหลือเกิน” เฟิ่งหวงเมื่อเห็นนางเดินเข้ามาจึงแทรกทำเป็นร้องโวยวายออกมาในยามที่หมอหลวงกำลังทำแผล