“เจ้าอยากเล่นสนุกก่อนสินะ สาวน้อย”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างคนนึกสนุก ก่อนจะใช้มืออีกข้างปลดมือของหญิงสาวออกอย่างช้า ๆ ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาว แสดงออกถึงความท้าทาย ทั้งยังปล่อยให้เขาปลดมือนางออกอย่างว่าง่าย
ร่างสูงก้าวคร่อมเหนือร่างหญิงสาว ก่อนที่จะก้มลงเพื่อหวังเชยชมความหอมหวานของสาวบริสุทธิ์ ปึก! ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าเขียวคล้ำสลับขาวซีด เมื่อจุดลับถูกกระแทกอย่างแรง ด้วยเข่าของคนใต้ร่าง
ชายหนุ่มเจ็บแค้นนัก จึงใช้มือคว้าเข้าที่ลำคอของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงบีบด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว หญิงสาวจ้องเขม็งที่ใบหน้าของชายหนุ่มไม่คิดหลบ แม้ว่าอากาศที่เข้าไปในปอดจะน้อยนิดก็ตามที
หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผั๊วะ! ฝ่ามือสองข้างตบเข้าที่หูทั้งสองของชายหนุ่ม โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันคิดสิ่งใด นิ้วเรียวทิ่มเข้าที่หน่วยตาของเขาอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก!!!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เรียกให้คนด้านนอกทั้งสี่รีบพุ่งเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นสภาพของสหาย ที่คดคู้อยู่กับพื้น ส่วนหญิงสาวที่คิดว่าสิ้นสติ กำลังยืนจังก้าพร้อมท่อนไม้ในมือ ก่อนที่พวกเขาจะดวงตาเบิกกว้าง เมื่อท่อนไม้ในมือของหญิงสาว ได้หวดลงไปบนหัวของสหายที่นอนคดคู้อยู่อย่างเต็มแรง
ก่อนที่เขาจะชักกระตุกอยู่หลายที แล้วแน่นิ่งไปเสียอย่างนั้น นางเป็นแค่คุณหนูพิการ แค่แรงจะตบยุงยังไม่มี แล้วนี่มันคืออะไรกัน! เหตุใดถึงได้ทำให้สหายของพวกเขาสิ้นสภาพได้เล่า
อวิ๋นชีมีเวลาทบทวนทุกอย่างได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตอนที่เธอรู้สึกตัวพร้อมความทรงจำของผู้หญิงอีกคน ทำให้เธอทั้งสับสนและเจ็บร้าวที่หัวอย่างหนัก
สลับกับสิ่งที่ได้ยินจากคนทั้งห้า ทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่นเลยจริง ๆ ร่างกายที่เธอใช้หายใจอยู่ในตอนนี้ อ่อนแอและบอบบางยิ่งกว่ากระเบื้องเคลือบ ถูกผลักเบา ๆ ก็พร้อมแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
สิ่งเดียวที่เธอคิดได้ในตอนนี้ คือสู้เท่าที่จะไหว แต่จะให้มาทนรับเรื่องอดสูยากที่เธอจะยอมรับมัน หญิงสาวไม่คิดหลบสายตาของชายหนุ่มทั้งสี่ ที่จ้องเธอตาไม่กระพริบ เป็นการกดดันเธอตามหลักจิตวิทยา
แต่น่าเสียดายสำหรับความคิดนั้นของชายหนุ่มทั้งหลาย เพราะเธอผ่านการฝึกเรื่องพวกนี้มา จนกลายเป็นเรื่องปกติของชีวิตไปแล้ว คิดที่จะกดดันเธอมันไม่ง่ายเหมือนทำกับเจ้าของร่างนี้แน่นอน
“ฤทธิ์มากนักนะ! คิดว่าจะรอดไปได้สักกี่ก้านธูปกัน”
หนึ่งในชายหนุ่มที่เหลือเอ่ยขึ้น เมื่อสายตาของพวกเขา ดูจะไม่เป็นผลกับนางเท่าใดนัก หากนางรอดไปได้พวกเขาคงไม่อาจแบกรับความอับอายนี้ได้ สตรีบอบบางคนเดียวยังสยบไม่ได้ ใครหน้าไหนจะมากริ่งเกรงพวกเขากัน
อวิ๋นชีเงียบไม่เอ่ยตอบ เพราะตอนนี้สมองของนางกำลังคิดหาหนทางรอด อีกอย่างเท่าที่รับรู้ก่อนหน้า หญิงสาวคนนี้เป็นใบ้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเงียบนับว่าไม่แปลก
“ในเมื่อมอบความสุขให้ดี ๆ ไม่ชอบ เช่นนั้นพวกข้าไม่สนว่าเจ้าจะชื่นชอบความพร้อมเพรียงไหม!”
ชายหนุ่มทั้งสี่พุ่งเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว อวิ๋นชีเลือกที่จะตอบโต้ไปที่จุดสำคัญของมนุษย์ เพื่อให้ตนเองไม่เสียเปรียบจนเกินไป ด้วยร่างกายบอบบางแบบนี้ หากปะทะโดยไม่เลือกลงมือต่อจุดสำคัญของคู่ต่อสู้ ยากที่จะรับมือได้
ปึก! ครืน! ตุบ! ร่างบางเจ็บร้าวไปทั้งตัว เมื่อถูกเหวี่ยงทะลุผนังผุพังของวัดร้างออกมากองอยู่กับพื้นด้านนอก ร่างกายนี้ไม่พร้อมสำหรับการต่อสู้ ยืนมาได้ขนาดนี้ถือว่าสุดยอดแล้ว
“ฮ่า ๆ คิดว่าฝีมือแค่ไก่กา จะทำอันใดพวกข้าได้เช่นนั้นรึ! คุณหนูใบ้ รู้ไหมทำไมไม่มีใครคิดตามหาเจ้าเลย เพราะเจ้ามันไร้ค่าอย่างไรเล่า เกิดมาสูงส่ง แต่กลับพูดไม่ได้ ต่อให้เจ้าตายก็หาได้มีใครเสียน้ำตาให้แม้แต่หยดเดียว ฮ่า ๆ”
แปะๆ เสียงปรบมือจากป่า ซึ่งอยู่ด้านข้างดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มทั้งสี่หันไปยังที่มาของเสียงด้วยความแตกตื่น
“หึ ๆ พวกเจ้า ช่างเป็นบุรุษที่น่ายกย่องยิ่งนัก”
ร่างสูงของบุรุษวัยกลางคนได้ก้าวออกมา พร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่เขาจะมองไปที่หญิงสาว ที่ลุกขึ้นยืนโอนเอนไปมา ตามเนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลอยู่หลายแห่ง
“ตาแก่! อย่าได้คิดจะสอดมือเรื่องผู้อื่น หาไม่แล้วจะมิได้แก่ตาย” หนึ่งในสี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
“เช่นนั้นรึ!”
ชายชรายังคงมีสีหน้าเบิกบานอยู่เช่นเดิม ก่อนจะหันไปยังหญิงสาวอีกครั้ง
“อยากให้ข้าทำเยี่ยงไรกับพวกเขาแม่หนูน้อย” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามหญิงสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“...”
“ฮ่า ๆ นางเป็นใบ้จะบอกเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าอยากสอดมือนัก ข้าจะทำให้เจ้าได้จดจำนางเป็นภาพสุดท้ายก่อนตาย”
ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมชักกระบี่ออกจากฝัก เพื่อข่มขวัญคนแก่กับสตรีไร้วิชา
“เก็บไว้ก็รังแต่จะเผยความลับของข้า หากท่านผู้เฒ่าช่วยข้าได้จริง ทำให้มันหายไปได้หรือไม่เล่า”
คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาว แม้มันจะแหบแห้ง แต่กลับเด็ดเดี่ยว เป็นที่ถูกใจของชายวัยกลางคนยิ่งนัก ไหนจะแววตาและรอยยิ้มที่บอกชัด ว่านางไม่แยแสกับการที่เขาจะฆ่าใครต่อหน้านาง
ทางด้านชายหนุ่มทั้งสี่ต่างพากันแตกตื่น กับคำพูดของคุณหนูใบ้ที่อยู่ ๆ กลับพูดได้เสียอย่างนั้น แล้วนี่ยังคิดที่จะให้ตาแก่ไร้หัวนอนสังหารพวกเขาอีก นางไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าฆ่าพวกเขาได้ คนผู้นี้ก็ฆ่านางได้เช่นกัน
“พวกเจ้ารู้ใช่ไหม ว่าสิ่งใดคือการรักษาความลับได้ดีที่สุด”
ชายวัยกลางคนหันกลับไปถามคนทั้งสี่ ทว่า...ฟิ้ว! ฉึก ๆ ยังไม่ทันที่คนทั้งสี่จะได้ตอบ หรือขยับกายไปที่ใด อาวุธลับได้ปักเข้าที่ลำคอของพวกเขา พร้อมลมหายใจที่หายไปโดยมิทันตั้งตัว
อวิ๋นชียอมรับว่าคนตรงหน้าไม่ชอบพูดอะไรมาก พอบอกว่าจะฆ่าถามเสร็จลงมือโดยไม่คิดรอคำตอบ หากเป็นมิตรย่อมเป็นมิตรที่ล้ำค่า แต่หากเป็นศัตรูนับว่าสุดแสนจะอันตราย
“เป็นศิษย์ข้าไหม!”
เป็นคำถามที่ไม่ค่อยจะเหนือความคาดหมายเท่าไหร่ เพราะไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วยคน แล้วไร้ข้อแลกเปลี่ยน ไม่เงินก็ชีวิตหรือการผูกติดอะไรสักอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้ที่ยื่นมือช่วยต้องการ
“ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก “ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก “ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา” อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี “บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่” “ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์” ร่างบางคุกเข่าลงประสานมือ เหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้ เธอขอเลือกก้มหัวเพื่ออยู่รอดในยามที่ตัวเองไร้เรี่ยวแรง ดีกว่าทำตัวผยองทั้งที่ไม่มีอะไรสู้ใครได้ ไม่ว่าตอนนี้จะเรื่องจริงหรือความฝัน สิ่งแรกต้องทำคือแสดงเป็นเจ้าของร่
คำถามของผู้เป็นอา หาได้ละมุนหูแม้แต่น้อย คนพวกนี้อาศัยเงินทองจากบิดาของนาง แต่กลับไม่เคยใยดีนางเท่าที่ควร สายตาที่เปลี่ยนไปของหลานสาว ทำให้เชียวหลางขมวดคิ้วจนชิดกัน เขากลับมาจากการค้า ก็ได้ยินว่าหลานสาวหนีออกไปเที่ยวเล่นยังไม่กลับบ้านมาหลายวัน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีโทสะอยู่แล้ว แต่จากที่เขาเห็นในตอนนี้เห็นทีต้องสืบสาวราวเรื่องให้ดี หาไม่แล้วคงต้องมีเรื่องใหญ่โตเกิดข้นเป็นแน่ กระดาษกับพู่กันถูกนำมาให้แก่เชียวอวิ๋น เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ผู้เป็นอา หญิงสาวมองเลยไปยังอาสะใภ้ ก่อนจะจรดปลายพู่กันเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นลงไปแน่นอนว่าก่อนกลับมา นางเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี พยานที่มีย่อมยากที่ใครจะชนะได้ เพราะตัวนางยังต้องก้มหัวให้แก่เขา หญิงสาวยื่นส่งกระดาษให้แก่ผู้เป็นอา ก่อนจะมองไปยังห่อผ้าที่อยู่บนพื้นตรงหน้าของสาวใช้เมื่อเห็นสายตาของคุณหนู สาวใช้รีบคว้าห่อผ้าแล้วซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ทุกการกระทำหาได้รอดพ้นสายตาของเชียวหลาง เขาได้พยักหน้าให้แก่คนสนิทเข้าคุมตัวสาวใช้เอาไว้“เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ่าวที่ละเลยต่อนาย จะต้องรับโทษเช่นไร”“นายท่านบ่าวมิได้ทำนะเจ
“เชิญท่านเจ้าเมืองทำตามกฎหมายเถอะขอรับ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อน ชิงชิงไปกับพ่อ” เชียวหลางเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ก็ได้คว้าแขนลูกสาวพากลับเข้าเรือน ปล่อยให้ภรรยาหวีดร้องด่าทอเขาอยู่ด้านหลัง สิ่งที่นางทำเขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนบ่าวไพร่เก่าแก่ที่นี่ก็มีมาก ทุกคนจะคิดอย่างไรที่ภรรยาเขาคิดจะสลับตัวลูกของตัวเองกับหลานสาว เพียงเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนในราชวงศ์ โดยที่นางไม่รู้เลยว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เพราะเป็นสิ่งที่พี่ชายกำชับมาเชียวอวิ๋นค้อมศีรษะให้แก่ท่านเจ้าเมือง เพื่อเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง โดยอาศัยความทรงจำเจ้าของร่างนำทาง เย็นนี้ท่านอาจารย์คงจะส่งสาวใช้คนใหม่มาให้นางและนับจากนี้ไปนางต้องทุ่มเทเวลา ศึกษาร่ำเรียนวิชาอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก นางไว้ใจใครไม่ได้เลยในจวนแห่งนี้ เพราะจากสายตาของผู้เป็นอาแล้ว มันไม่ยุติลงแค่นี้อย่างแน่นอนสามปีต่อมา เมืองหลวง ณ สกุลเชียว รถม้าจากจวนเชียเมืองฮั่วโจว ได้หยุดลงยังหน้าจวนสกุลเชียว ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสีเข้มสองคน จะก้าวมายืนรอ
“นางมีปากทำไมไม่พูดเองล่ะ อ่อ...ข้าลืมไปว่าปากนางมี แต่ไม่มีเสียงที่จะพูด ฮ่า ๆ” “จะมากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” “นังสวะ!” หมับ! ก่อนที่ฝ่ามือของเชียวเยี่ยนจะถึงใบหน้าของอี้หรู มือหยาบกร้านจากการจับอาวุธของเชียวอวิ๋น ได้คว้าจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้แน่น พร้อมออกแรงบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แม้จะขัดใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจเอ่ยตอบโต้หรือสั่งสอนคนตรงหน้าได้ แต่นางมีความอดทนมากพอที่จะรอ และการรอมิได้แปลว่านางต้องนิ่งเฉยให้คนรังแก “เจ้าคิดจะทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ!” “…” เชียวอวิ๋นยิ้มน้อย ๆ ทว่ามันกลับทำให้คนมองหนาวสะท้านไปทั้งกาย การอยู่ต่างเมืองไม่มีใครบอกได้ ว่าเชียวอวิ๋นพบเจอสิ่งใดมาบ้าง และการกระทำที่แสดงออก บอกชัดว่าพี่สาวของนางเลือกปกป้องสาวใช้ มากกว่าจะให้นางที่เป็นน้องสาว ลงโทษบ่าวปากดี “ทำสิ่งใดกัน!” เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากทางเดินด้านหลัง ทำให้เชียวอวิ๋นจำต้องคลายมือออกอย่างใจเย็น นางไม่ได้ตื่นกลัวกับครอบครัวที่มิเห็นค่าของนางเท่าใดนัก ท่านเสนาบดีเชียวก้าวมาหยุดอยู่ข้างบุตรสาวคนร
“เจ้าไปพักเรือนกับย่านะ” ไท้ฮูหยินเลือกที่จะไม่สนใจเชียวเยี่ยน ทว่าเอ่ยชวนหลานสาวคนโตไปอยู่ร่วมเรือนแทน เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งระหว่างอยู่ที่สกุลเชียว แม้ว่าสกุลกวงจะไม่อาจเทียบราชวงศ์ แต่ก็นับว่ามีอำนาจไม่น้อย หากเจ้าสาวของแม่ทัพกวงเฉินหนานเกิดอะไรขึ้น คงยากที่จะหาข้อแก้ตัวได้ เชียวอวิ๋นพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะก้าวตามแรงจับจูงของหญิงชรา โดยไม่สนใจสายตาของพ่อแม่และพี่น้องคนอื่น ๆ วันนี้มันยังเป็นแค่น้ำจิ้ม ยังไม่ได้วางจานหลักลง ฉะนั้นนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ว่าพวกเขาอยากจะเห็นสิ่งใดจากนางเจ็ดวันถัดมา กลางดึก ณ กระท่อมชานเมือง หลังฉากกั้นสีเข้ม ร่างในชุดสีดำสนิทนั่งนิ่ง ฟังการสนทนาของผู้ร่วมประชุม ขุนนางหลายฝ่ายที่ทำการสนับสนุนสายเลือดราชวงศ์เดิม ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันให้มีการทวงคืนบัลลังก์ “อีกไม่เกินครึ่งปี องค์ชายก็พร้อมที่จะกลับมา ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนคงไม่ทำให้ข้ากับองค์ชายผิดหวัง” เสียงที่เปล่งออกมา ถูกดัดแปลงเสียจนยากจะบอกได้ว่าคนที่อยู่หลังม่าน เป็นชายหรือหญิง “นายท่านมิต้องกังวลไปขอรับ ตอนนี้แผนการของเรากำลังสำเร็จไปทีละขั้นแล้วขอรับ” “กวงเฉินหลางไม่ควรที่จะอยู่เมือ
อี้หรูเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา หญิงสาวรอจนท่านแม่ทัพจากไป แล้วค่อยเข้ามาพบผู้เป็นนาย โดยให้ผู้ติดตามอีกสองคนเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่ในเงามืดด้านนอก“หึ ๆ เจ้าก็ทำเสียเหมือนตัวข้าเป็นโจร ต้องดูลาดเลาก่อนออกปล้น” เชียวอวิ๋นเย้าอี้หรู ซึ่งนางพอใจกับความรอบคอบของอี้หรูยิ่งนัก นางไม่ต้องมีองครักษ์มากมาย แค่อี้หรูกับชายหนุ่มทั้งสองด้านนอกก็มากพอแล้ว “ว่าได้หรือเจ้าคะ สกุลแม่ทัพหูตาราวสับปะรด นี่เจ้าค่ะท่านผู้คุ้มร้านขายข่าวเพิ่งส่งมาเจ้าค่ะ” เชียวอวิ๋นรับจดหมายจากอี้หรู ก่อนจะคลี่กระดาษออกอ่านอย่างใจเย็น สายตาคู่งามไล่ไปตามตัวอักษรที่สั้นกระชับ แต่ครบถ้วนในสิ่งที่นางต้องรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “เขาส่งคนไปแล้วใช่ไหม” “เจ้าค่ะ” “หมากกระดานนี้ไม่ยากไม่ง่ายเลยจริง ๆ” “ฮูหยินไม่เห็นต้องช่วยพวกเขาเลยนะเจ้าคะ” “เอาไว้เจ้าแต่งงานเข้าสกุลใหญ่ แล้วจะรู้ว่ามันยุ่งยากวุ่นวายแค่ไหน เขาตายข้าก็ต้องตาย ต่อให้ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดก็ตาม” “ใครว่าบ่าวคิดจะแต่งงาน บ่าวจะอยู่กับฮูหยินไป
แต่พอได้สัมผัสกับนิสัยของลูกสะใภ้แล้ว นางก็มิได้เลวร้ายอันใด และตอนนี้เขาเหมือนได้บุตรสาวคนเล็กกลับมาอีกครั้ง กวงหลิวหลีที่เคยหม่นหมอง บัดนี้สดใสราวเทพธิดาเลยทีเดียว“นางจะทำสิ่งใดก็ช่าง นับแต่นี้ไปหากสกุลเชียวคิดจะมาทวงคืน ข้าไม่ยินยอมเป็นอันขาด คนสกุลนั้นจงใจดูถูกเรา ข้าก็จะทำให้พวกเขารู้สึกเสียดายลูกสาวที่พวกเขาโยนทิ้งเช่นกันเจ้าค่ะ”กวงเจี้ยนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโอบกอดภรรยาอย่างรักใคร่ เพราะนางจิตใจดีเยี่ยงนี้อย่างไรเล่า เขาจึงไม่คิดมีภรรยาอื่นใดมาเพิ่มเติม จริงอย่างที่นางกล่าวมา สกุลเชียวตั้งใจทำให้เขาขายหน้า เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว แต่เหมือนสวรรค์เมตตาสกุลกวงที่สะใภ้คนนี้รู้ความหนึ่งเดือนต่อมา ณ ชายแดนตะวันตก แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้าไปภายในค่ายทหาร ด้วยใบหน้าเรียบตึง เขาใช้เวลาเดินทางออกจากเมืองหลวงในยามค่ำคืน สำคัญไปกว่านั้นเขาแทบไม่หยุดพัก ด้วยมีข่าวเรื่องการส่องสุมกำลังของแคว้นข้างเคียง ไหนจะมีการสูญหายของเสบียงจำนวนมาก เรื่องนี้เขายังไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ จำต้องทิ้งภรรยาไว้ในห้องหอเพียงลำพัง เพื่อกลับมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะหากมันไม่เป็นอย่างที
ต้วนเหนียงก้าวตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ นางอยากที่จะไปหาเชียวอวิ๋นสักครั้ง คราก่อนมัวปะทะคารมกันจนมิได้ทันได้ทักทาย หากเทียบกับบุตรสาวของนางที่แต่งไปอยู่ถึงชายแดนเหนือแล้ว เชียวอวิ๋นน่าเห็นใจกว่าหลายเท่านักเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป รถม้าสกุลเชียวได้หยุดอยู่หน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ฮูหยินรองจะเดินเข้าไปภายในจวน โดยมีพ่อบ้านสกุลกวงเป็นผู้นำทางเพื่อไปพบกับเจ้าของบ้าน“ต้วนเหนียงคารวะใต้เท้ากวง ฮูหยินกวงเจ้าค่ะ”ต้วนเหนียงทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันไปรับของฝากจากสาวใช้ ซึ่งได้แวะซื้อมาระหว่างทาง“ขอบคุณเจ้าค่ะสำหรับของฝาก ฮูหยินรองมาพบอวิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”กวงฮูหยินรับของจากมือแขกผู้มาเยือน ก่อนถามถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย จะชอบหรือไม่นี่คือแขกนางหาได้คิดปฏิเสธไมตรี“เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นรอสักครู่นะเจ้าคะ อวิ๋นเอ๋อร์คงอยู่ในครัวกับหลิวหลี”การสนทนาของสตรีทั้งสอง ต่างเป็นสัพเพเหระตามประสาแม่บ้าน ส่วนกวงเจี้ยนขอตัวไปทำงาของตน ต้วนเหนียงรับรู้ได้ว่าสองสามีเมตตาต่อเชียวอวิ๋นอยู่ไม่น้อย“อวิ๋นเอ๋อร์ ฮูหยินรองเชียวมาเยี่ยมเจ้า”เชียวอวิ๋นย่อกายให้แก่ฮูหยินรองเชียว นางแปลกใจเล็กน้อย ที่อยู่ ๆ ภรรยาร