“ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก
“ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา”
อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี
“บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”
“ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์”
ร่างบางคุกเข่าลงประสานมือ เหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้ เธอขอเลือกก้มหัวเพื่ออยู่รอดในยามที่ตัวเองไร้เรี่ยวแรง ดีกว่าทำตัวผยองทั้งที่ไม่มีอะไรสู้ใครได้
ไม่ว่าตอนนี้จะเรื่องจริงหรือความฝัน สิ่งแรกต้องทำคือแสดงเป็นเจ้าของร่างให้สมจริง พร้อม ๆ กับการเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เรียนรู้ทั้งวิชาและการใช้ชีวิตของโลกที่เธอไม่รู้จักนี้ก่อน
ถ้าเป็นแค่ฝันถือว่าเธอมาท่องเที่ยว ตื่นแล้วก็แค่จดจำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้ามันคือเรื่องจริงเหมือนในหนัง ที่ตายและทะลุมิติมาโลกคู่ขนาน เธอก็ต้องสร้างตัวตนให้อยู่รอดและปลอดภัย
“ฮ่า ๆ ร้ายนักนะ เช่นนั้นเราไปที่บ้านข้าก่อน ขืนเจ้ายังอยู่ในสภาพนี้ ไม่นานก็ตายอยู่ดี มุ่ยมุ่ย อย่าขี้เกียจออกมาพาน้องสาวเจ้ากลับบ้านกัน”
หญิงสาวขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อชายชราเรียกหาใครสักคน ก่อนที่อวิ๋นชีจะดวงตาเบิกกว้าง เมื่อทิเบตันสายพันธุ์ดังเดิม ได้โผล่หัวออกมาจากป่า ในยุคที่เธอจากมาคิดว่ามันตัวใหญ่มากแล้ว
แต่ในยุคต่างโลกนี้มันดูจะเหนือกว่านับเท่าตัว ความดุและใหญ่โตของมัน ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในโลกมิว่ายุคใดก็ตาม เจ้ามุ่ยมุ่ยเดินออกมาดมไปตามร่างกายของหญิงสาว ก่อนที่มันจะใช้หัวดุนร่างเธอเบา ๆ แต่กระนั้นอวิ๋นชีก็เซไปหลายก้าวอยู่ดี
“มันต้องการให้เจ้าขึ้นไปบนหลังของมัน หนทางมันไกลหากให้เจ้าเดินเอง ไม่รู้กี่วันจะถึง”
อวิ๋นชีอ้าปากหวอเมื่อตัวของเธอ ถูกยกด้วยมือเพียงข้างเดียวของผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะจับเชือกหนังที่อยู่บนคอของมุ่ยมุ่ยเอาไว้แน่น หญิงสาวหลับตาลง พร้อมหมอบราบไปบนขนหนานุ่มของทิเบตันตัวใหญ่ ตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์
สิ่งเดียวที่รับรู้ตอนนี้คือ สายลมที่ปะทะใบหน้าอย่างแรง คล้ายตอนที่เธอกำลังโดดร่มอย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เห็นมันนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เจ้ามุ่ยมุ่ยมันออกวิ่งเร็วกว่าม้าแข่งเสียอีก
ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็สงบลง สายลมที่เคยปะทะใบหน้า ก็เป็นเพียงอากาศเย็นที่เอื่อยเฉื่อย ที่แน่ ๆ ตอนนี้ใบหน้าของเธอชาหนึบ จากแรงลมในตอนที่เจ้ามุ่ยมุ่ยวิ่ง
“มา ๆ ลงมาได้แล้ว ถึงสำนักของเราแล้ว”
หญิงสาวลงจากหลังของมุ่ยมุ่ย ก่อนจะมองไปรอบ ๆ มันสวยงามมาก มีทั้งน้ำตก ดอกไม้ป่า เหมือนภาพวาดย้อนยุคของจิตกรชื่อดังหลายคนเลย
“ท่านอาจารย์ ไยข้าจึงพูดได้หรือมันแค่ความฝันเท่านั้น”
โป๊ก! พัดในมือของผู้เป็นอาจารย์ ตีลงบนหน้าผากของหญิงสาว ก่อนจะหัวเราะชอบใจ เมื่อหญิงสาวเอามือลูบหน้าผากปอย ๆ
“เจ็บไหม!”
“เจ้าค่ะ”
“แสดงว่านี่คือความจริง เจ้าไม่ได้เป็นใบ้มาแต่กำเนิดมิใช่รึ!”
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ข้าเป็นหมอ เอาเป็นว่าไปจัดการกับร่างกายเหม็นเน่าของเจ้าเสียก่อน ห้องเจ้าอยู่ทางนั้น เสื้อผ้าที่มีในนั้นใส่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ห้องอาบน้ำอยู่ติดกับห้องนั้นแหละ มันมีบ่อน้ำอุ่นอยู่ใช้ได้เต็มที่”
“ท่านอาจารย์ ห้องนั้นของผู้ใดเล่าเจ้าคะ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า”
ไม่มีคำตอบอื่นใดอีก ผู้เป็นอาจารย์ก้าวยาว ๆ หายไปในตัวเรือนอีกด้าน ก่อนจะตะโกนกำชับให้นางรีบจัดการตนเองให้เสร็จสิ้น จะได้กินข้าวและยา
คงมีเพียงมุ่ยมุ่ยเท่านั้น ที่อยู่เป็นเพื่อนของเธอ ทั้งสองเดินไปยังห้องที่อยู่อีกด้าน เธอคงต้องทบทวน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเธอและเจ้าของร่างอีกครั้ง
และที่สำคัญเธอต้องมองหาหนทาง ที่จะอยู่ในความแปลกใหม่นี้ให้ลงตัว เห็นทีคงต้องเป็นนักแสดงมืออาชีพดูสักหน่อย จะเป็นคนดีหรือเลวก็ต้องดูตามเนื้อผ้าไปก่อน
หญิงสาวก้าวเข้าไปภายในเรือน ก่อนจะสำรวจข้าวของเครื่องใช้ นี่มันมีแต่ของผู้ชายทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าของเดิมหายไปที่ใดเล่า ถ้าเขากลับมานางจะต้องทำหน้ายังไงมาใช้ห้องและเสื้อผ้าของเขา
สามวันถัดมา ณ จวนเชียว เมืองฮั่วโจวอวิ๋นชีได้กลับมาที่จวน ซึ่งเจ้าของร่างได้อาศัยอยู่ ร่องรอยฟกช้ำของเธอยังคงมีอยู่ และวันนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือเป็นเชียวอวิ๋นให้เต็มตัว ในเมื่อพวกเขาไม่คิดใส่ใจเจ้าของร่าง เดี๋ยวเธอจะจัดการชำระความ พร้อมสร้างอำนาจในเงามืด ตามที่ผู้เป็นอาจารย์เสนอมา
“คุณหนู! หายไปที่ใดมาเจ้าคะ บ่าว...”
เพี๊ยะ! ใบหน้าของสาวใช้ข้างกายสะบัดไปตามแรงฝ่ามือ แน่นอนว่ามันดูจะหนักไปสักหน่อย หากเทียบกับเรี่ยวแรงของคุณหนู ที่แม้แต่ตบยุงยังไม่ตาย
“คุณหนูตบบ่าวทำไมเจ้าคะ บ่าวผิดหรือเจ้าคะที่เป็นห่วง”
เชียวอวิ๋นยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเข้าใกล้สาวใช้ ที่ตั้งใจพูดเสียงดัง คงจงใจที่จะให้ทุกคนในจวนรู้ถึงการกลับมาของนาง และคงพร้อมจะเอ่ยถึงความอัปยศ ที่สาวใช้ตัวดีจงใจให้มันเกิดขึ้น
เชียวอวิ๋นปล่อยห่อผ้าลงตรงหน้าของสาวใช้ ก่อนจะเดินเลยไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงก้มมองเท่านั้น ปึก! ตุบ! เท้าบางเตะเข้าที่ขาพับของสาวใช้
ทำให้สองเข่าของสาวใช้ทรุดลงกระแทกกับพื้น สาวใช้กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ก่อนจะจ้องไปที่ห่อผ้า สิ่งที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น มันคือนิ้วมือของบุรุษ สิ่งนั้นทำให้สาวใช้ถึงกับสั่นเทาไปทั้งร่าง
“อ๊ะ! คุณหนู!”
ใบหน้าของสาวใช้แหงนขึ้นสบตากับผู้เป็นนาย เมื่อมือบางรวบดึงเส้นผมของนางอย่างแรง เพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“เกิดสิ่งใดขึ้น! เจ้าหายไปที่ใดมาเชียวอวิ๋น”
คำถามของผู้เป็นอา หาได้ละมุนหูแม้แต่น้อย คนพวกนี้อาศัยเงินทองจากบิดาของนาง แต่กลับไม่เคยใยดีนางเท่าที่ควร สายตาที่เปลี่ยนไปของหลานสาว ทำให้เชียวหลางขมวดคิ้วจนชิดกัน เขากลับมาจากการค้า ก็ได้ยินว่าหลานสาวหนีออกไปเที่ยวเล่นยังไม่กลับบ้านมาหลายวัน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีโทสะอยู่แล้ว แต่จากที่เขาเห็นในตอนนี้เห็นทีต้องสืบสาวราวเรื่องให้ดี หาไม่แล้วคงต้องมีเรื่องใหญ่โตเกิดข้นเป็นแน่ กระดาษกับพู่กันถูกนำมาให้แก่เชียวอวิ๋น เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ผู้เป็นอา หญิงสาวมองเลยไปยังอาสะใภ้ ก่อนจะจรดปลายพู่กันเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นลงไปแน่นอนว่าก่อนกลับมา นางเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี พยานที่มีย่อมยากที่ใครจะชนะได้ เพราะตัวนางยังต้องก้มหัวให้แก่เขา หญิงสาวยื่นส่งกระดาษให้แก่ผู้เป็นอา ก่อนจะมองไปยังห่อผ้าที่อยู่บนพื้นตรงหน้าของสาวใช้เมื่อเห็นสายตาของคุณหนู สาวใช้รีบคว้าห่อผ้าแล้วซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ทุกการกระทำหาได้รอดพ้นสายตาของเชียวหลาง เขาได้พยักหน้าให้แก่คนสนิทเข้าคุมตัวสาวใช้เอาไว้“เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ่าวที่ละเลยต่อนาย จะต้องรับโทษเช่นไร”“นายท่านบ่าวมิได้ทำนะเจ
“เชิญท่านเจ้าเมืองทำตามกฎหมายเถอะขอรับ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อน ชิงชิงไปกับพ่อ” เชียวหลางเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ก็ได้คว้าแขนลูกสาวพากลับเข้าเรือน ปล่อยให้ภรรยาหวีดร้องด่าทอเขาอยู่ด้านหลัง สิ่งที่นางทำเขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนบ่าวไพร่เก่าแก่ที่นี่ก็มีมาก ทุกคนจะคิดอย่างไรที่ภรรยาเขาคิดจะสลับตัวลูกของตัวเองกับหลานสาว เพียงเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนในราชวงศ์ โดยที่นางไม่รู้เลยว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เพราะเป็นสิ่งที่พี่ชายกำชับมาเชียวอวิ๋นค้อมศีรษะให้แก่ท่านเจ้าเมือง เพื่อเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง โดยอาศัยความทรงจำเจ้าของร่างนำทาง เย็นนี้ท่านอาจารย์คงจะส่งสาวใช้คนใหม่มาให้นางและนับจากนี้ไปนางต้องทุ่มเทเวลา ศึกษาร่ำเรียนวิชาอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก นางไว้ใจใครไม่ได้เลยในจวนแห่งนี้ เพราะจากสายตาของผู้เป็นอาแล้ว มันไม่ยุติลงแค่นี้อย่างแน่นอนสามปีต่อมา เมืองหลวง ณ สกุลเชียว รถม้าจากจวนเชียเมืองฮั่วโจว ได้หยุดลงยังหน้าจวนสกุลเชียว ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสีเข้มสองคน จะก้าวมายืนรอ
“นางมีปากทำไมไม่พูดเองล่ะ อ่อ...ข้าลืมไปว่าปากนางมี แต่ไม่มีเสียงที่จะพูด ฮ่า ๆ” “จะมากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” “นังสวะ!” หมับ! ก่อนที่ฝ่ามือของเชียวเยี่ยนจะถึงใบหน้าของอี้หรู มือหยาบกร้านจากการจับอาวุธของเชียวอวิ๋น ได้คว้าจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้แน่น พร้อมออกแรงบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แม้จะขัดใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจเอ่ยตอบโต้หรือสั่งสอนคนตรงหน้าได้ แต่นางมีความอดทนมากพอที่จะรอ และการรอมิได้แปลว่านางต้องนิ่งเฉยให้คนรังแก “เจ้าคิดจะทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ!” “…” เชียวอวิ๋นยิ้มน้อย ๆ ทว่ามันกลับทำให้คนมองหนาวสะท้านไปทั้งกาย การอยู่ต่างเมืองไม่มีใครบอกได้ ว่าเชียวอวิ๋นพบเจอสิ่งใดมาบ้าง และการกระทำที่แสดงออก บอกชัดว่าพี่สาวของนางเลือกปกป้องสาวใช้ มากกว่าจะให้นางที่เป็นน้องสาว ลงโทษบ่าวปากดี “ทำสิ่งใดกัน!” เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากทางเดินด้านหลัง ทำให้เชียวอวิ๋นจำต้องคลายมือออกอย่างใจเย็น นางไม่ได้ตื่นกลัวกับครอบครัวที่มิเห็นค่าของนางเท่าใดนัก ท่านเสนาบดีเชียวก้าวมาหยุดอยู่ข้างบุตรสาวคนร
“เจ้าไปพักเรือนกับย่านะ” ไท้ฮูหยินเลือกที่จะไม่สนใจเชียวเยี่ยน ทว่าเอ่ยชวนหลานสาวคนโตไปอยู่ร่วมเรือนแทน เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งระหว่างอยู่ที่สกุลเชียว แม้ว่าสกุลกวงจะไม่อาจเทียบราชวงศ์ แต่ก็นับว่ามีอำนาจไม่น้อย หากเจ้าสาวของแม่ทัพกวงเฉินหนานเกิดอะไรขึ้น คงยากที่จะหาข้อแก้ตัวได้ เชียวอวิ๋นพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะก้าวตามแรงจับจูงของหญิงชรา โดยไม่สนใจสายตาของพ่อแม่และพี่น้องคนอื่น ๆ วันนี้มันยังเป็นแค่น้ำจิ้ม ยังไม่ได้วางจานหลักลง ฉะนั้นนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ว่าพวกเขาอยากจะเห็นสิ่งใดจากนางเจ็ดวันถัดมา กลางดึก ณ กระท่อมชานเมือง หลังฉากกั้นสีเข้ม ร่างในชุดสีดำสนิทนั่งนิ่ง ฟังการสนทนาของผู้ร่วมประชุม ขุนนางหลายฝ่ายที่ทำการสนับสนุนสายเลือดราชวงศ์เดิม ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันให้มีการทวงคืนบัลลังก์ “อีกไม่เกินครึ่งปี องค์ชายก็พร้อมที่จะกลับมา ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนคงไม่ทำให้ข้ากับองค์ชายผิดหวัง” เสียงที่เปล่งออกมา ถูกดัดแปลงเสียจนยากจะบอกได้ว่าคนที่อยู่หลังม่าน เป็นชายหรือหญิง “นายท่านมิต้องกังวลไปขอรับ ตอนนี้แผนการของเรากำลังสำเร็จไปทีละขั้นแล้วขอรับ” “กวงเฉินหลางไม่ควรที่จะอยู่เมือ
อี้หรูเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา หญิงสาวรอจนท่านแม่ทัพจากไป แล้วค่อยเข้ามาพบผู้เป็นนาย โดยให้ผู้ติดตามอีกสองคนเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่ในเงามืดด้านนอก“หึ ๆ เจ้าก็ทำเสียเหมือนตัวข้าเป็นโจร ต้องดูลาดเลาก่อนออกปล้น” เชียวอวิ๋นเย้าอี้หรู ซึ่งนางพอใจกับความรอบคอบของอี้หรูยิ่งนัก นางไม่ต้องมีองครักษ์มากมาย แค่อี้หรูกับชายหนุ่มทั้งสองด้านนอกก็มากพอแล้ว “ว่าได้หรือเจ้าคะ สกุลแม่ทัพหูตาราวสับปะรด นี่เจ้าค่ะท่านผู้คุ้มร้านขายข่าวเพิ่งส่งมาเจ้าค่ะ” เชียวอวิ๋นรับจดหมายจากอี้หรู ก่อนจะคลี่กระดาษออกอ่านอย่างใจเย็น สายตาคู่งามไล่ไปตามตัวอักษรที่สั้นกระชับ แต่ครบถ้วนในสิ่งที่นางต้องรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “เขาส่งคนไปแล้วใช่ไหม” “เจ้าค่ะ” “หมากกระดานนี้ไม่ยากไม่ง่ายเลยจริง ๆ” “ฮูหยินไม่เห็นต้องช่วยพวกเขาเลยนะเจ้าคะ” “เอาไว้เจ้าแต่งงานเข้าสกุลใหญ่ แล้วจะรู้ว่ามันยุ่งยากวุ่นวายแค่ไหน เขาตายข้าก็ต้องตาย ต่อให้ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดก็ตาม” “ใครว่าบ่าวคิดจะแต่งงาน บ่าวจะอยู่กับฮูหยินไป
แต่พอได้สัมผัสกับนิสัยของลูกสะใภ้แล้ว นางก็มิได้เลวร้ายอันใด และตอนนี้เขาเหมือนได้บุตรสาวคนเล็กกลับมาอีกครั้ง กวงหลิวหลีที่เคยหม่นหมอง บัดนี้สดใสราวเทพธิดาเลยทีเดียว“นางจะทำสิ่งใดก็ช่าง นับแต่นี้ไปหากสกุลเชียวคิดจะมาทวงคืน ข้าไม่ยินยอมเป็นอันขาด คนสกุลนั้นจงใจดูถูกเรา ข้าก็จะทำให้พวกเขารู้สึกเสียดายลูกสาวที่พวกเขาโยนทิ้งเช่นกันเจ้าค่ะ”กวงเจี้ยนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโอบกอดภรรยาอย่างรักใคร่ เพราะนางจิตใจดีเยี่ยงนี้อย่างไรเล่า เขาจึงไม่คิดมีภรรยาอื่นใดมาเพิ่มเติม จริงอย่างที่นางกล่าวมา สกุลเชียวตั้งใจทำให้เขาขายหน้า เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว แต่เหมือนสวรรค์เมตตาสกุลกวงที่สะใภ้คนนี้รู้ความหนึ่งเดือนต่อมา ณ ชายแดนตะวันตก แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้าไปภายในค่ายทหาร ด้วยใบหน้าเรียบตึง เขาใช้เวลาเดินทางออกจากเมืองหลวงในยามค่ำคืน สำคัญไปกว่านั้นเขาแทบไม่หยุดพัก ด้วยมีข่าวเรื่องการส่องสุมกำลังของแคว้นข้างเคียง ไหนจะมีการสูญหายของเสบียงจำนวนมาก เรื่องนี้เขายังไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ จำต้องทิ้งภรรยาไว้ในห้องหอเพียงลำพัง เพื่อกลับมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะหากมันไม่เป็นอย่างที
ต้วนเหนียงก้าวตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ นางอยากที่จะไปหาเชียวอวิ๋นสักครั้ง คราก่อนมัวปะทะคารมกันจนมิได้ทันได้ทักทาย หากเทียบกับบุตรสาวของนางที่แต่งไปอยู่ถึงชายแดนเหนือแล้ว เชียวอวิ๋นน่าเห็นใจกว่าหลายเท่านักเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป รถม้าสกุลเชียวได้หยุดอยู่หน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ฮูหยินรองจะเดินเข้าไปภายในจวน โดยมีพ่อบ้านสกุลกวงเป็นผู้นำทางเพื่อไปพบกับเจ้าของบ้าน“ต้วนเหนียงคารวะใต้เท้ากวง ฮูหยินกวงเจ้าค่ะ”ต้วนเหนียงทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันไปรับของฝากจากสาวใช้ ซึ่งได้แวะซื้อมาระหว่างทาง“ขอบคุณเจ้าค่ะสำหรับของฝาก ฮูหยินรองมาพบอวิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”กวงฮูหยินรับของจากมือแขกผู้มาเยือน ก่อนถามถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย จะชอบหรือไม่นี่คือแขกนางหาได้คิดปฏิเสธไมตรี“เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นรอสักครู่นะเจ้าคะ อวิ๋นเอ๋อร์คงอยู่ในครัวกับหลิวหลี”การสนทนาของสตรีทั้งสอง ต่างเป็นสัพเพเหระตามประสาแม่บ้าน ส่วนกวงเจี้ยนขอตัวไปทำงาของตน ต้วนเหนียงรับรู้ได้ว่าสองสามีเมตตาต่อเชียวอวิ๋นอยู่ไม่น้อย“อวิ๋นเอ๋อร์ ฮูหยินรองเชียวมาเยี่ยมเจ้า”เชียวอวิ๋นย่อกายให้แก่ฮูหยินรองเชียว นางแปลกใจเล็กน้อย ที่อยู่ ๆ ภรรยาร
ถนนเส้นรอบเมือง อวิ๋นชีกำลังขับรถพร้อมเปิดเพลงเบา ๆ เธอพักร้อนยาวจากกองทัพ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับหน่วยรบพิเศษ และมีตำแหน่งสูงแบบเธอที่จะได้หยุดพักยาว ๆหญิงสาวเลือกที่จะไปหาครอบครัวที่อยู่นอกเมือง เพื่อใช้เวลาทั้งหมดกับพ่อแม่และน้องสาว ผู้พันสาวเอื้อมมือไปปิดเพลง เมื่อเห็นได้ถึงความผิดปกติจากรถคันหลัง“วันพักผ่อนของฉันแท้ ๆ”หญิงสาวเอื้อมไปหยิบปืนที่อยู่เบาะข้างคนขับ มาวางไว้บนตักเพื่อเป็นการไม่ประมาท ถึงเธอจะไม่ได้เปิดเผยเรื่องหน้าที่การงานให้ใครรู้มากนัก แต่จะว่าไปแล้วคนในมักมีเกลือเป็นหนอนตัวตนของเธออาจถูกเปิดเผย กับพวกธุรกิจสีมืดไปบ้างแล้วก็ได้ หญิงสาวเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทาง เพราะไม่อยากนำอันตรายไปหาครอบครัวและดูเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่นั้น จะเป็นเรื่องจริงเสียซะแล้ว เพราะรถสองคันด้านหลังเปลี่ยนทิศทางตามเธอมาติด ๆ ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปี๊ดดดด!!! เสียงแตรรถจากสั้น ๆ เปลี่ยนเป็นลากยาว เพื่อให้รถบรรทุกสองคันด้านหน้า ที่กำลังขับคู่กันมารู้ว่ามีรถอยู่ด้านหน้าตูม! โครม! ทว่ามันกลับไม่เป็นผล รถของผู้พันสาวหักหลบรถบรรทุกเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ตูม! รถบรรทุกหนึ่งใน