Share

ตอนที่ 3 แค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้

            “ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก

            “ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก

            “ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา”

            อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี

            “บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”

            “ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์”

            ร่างบางคุกเข่าลงประสานมือ เหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้ เธอขอเลือกก้มหัวเพื่ออยู่รอดในยามที่ตัวเองไร้เรี่ยวแรง ดีกว่าทำตัวผยองทั้งที่ไม่มีอะไรสู้ใครได้

            ไม่ว่าตอนนี้จะเรื่องจริงหรือความฝัน สิ่งแรกต้องทำคือแสดงเป็นเจ้าของร่างให้สมจริง พร้อม ๆ กับการเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เรียนรู้ทั้งวิชาและการใช้ชีวิตของโลกที่เธอไม่รู้จักนี้ก่อน

            ถ้าเป็นแค่ฝันถือว่าเธอมาท่องเที่ยว ตื่นแล้วก็แค่จดจำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้ามันคือเรื่องจริงเหมือนในหนัง ที่ตายและทะลุมิติมาโลกคู่ขนาน เธอก็ต้องสร้างตัวตนให้อยู่รอดและปลอดภัย

            “ฮ่า ๆ ร้ายนักนะ เช่นนั้นเราไปที่บ้านข้าก่อน ขืนเจ้ายังอยู่ในสภาพนี้ ไม่นานก็ตายอยู่ดี มุ่ยมุ่ย อย่าขี้เกียจออกมาพาน้องสาวเจ้ากลับบ้านกัน”

            หญิงสาวขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อชายชราเรียกหาใครสักคน ก่อนที่อวิ๋นชีจะดวงตาเบิกกว้าง เมื่อทิเบตันสายพันธุ์ดังเดิม ได้โผล่หัวออกมาจากป่า ในยุคที่เธอจากมาคิดว่ามันตัวใหญ่มากแล้ว

            แต่ในยุคต่างโลกนี้มันดูจะเหนือกว่านับเท่าตัว ความดุและใหญ่โตของมัน ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในโลกมิว่ายุคใดก็ตาม เจ้ามุ่ยมุ่ยเดินออกมาดมไปตามร่างกายของหญิงสาว ก่อนที่มันจะใช้หัวดุนร่างเธอเบา ๆ แต่กระนั้นอวิ๋นชีก็เซไปหลายก้าวอยู่ดี

            “มันต้องการให้เจ้าขึ้นไปบนหลังของมัน หนทางมันไกลหากให้เจ้าเดินเอง ไม่รู้กี่วันจะถึง”

            อวิ๋นชีอ้าปากหวอเมื่อตัวของเธอ ถูกยกด้วยมือเพียงข้างเดียวของผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะจับเชือกหนังที่อยู่บนคอของมุ่ยมุ่ยเอาไว้แน่น หญิงสาวหลับตาลง พร้อมหมอบราบไปบนขนหนานุ่มของทิเบตันตัวใหญ่ ตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์

            สิ่งเดียวที่รับรู้ตอนนี้คือ สายลมที่ปะทะใบหน้าอย่างแรง คล้ายตอนที่เธอกำลังโดดร่มอย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เห็นมันนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เจ้ามุ่ยมุ่ยมันออกวิ่งเร็วกว่าม้าแข่งเสียอีก

            ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็สงบลง สายลมที่เคยปะทะใบหน้า ก็เป็นเพียงอากาศเย็นที่เอื่อยเฉื่อย ที่แน่ ๆ ตอนนี้ใบหน้าของเธอชาหนึบ จากแรงลมในตอนที่เจ้ามุ่ยมุ่ยวิ่ง

            “มา ๆ ลงมาได้แล้ว ถึงสำนักของเราแล้ว”

            หญิงสาวลงจากหลังของมุ่ยมุ่ย ก่อนจะมองไปรอบ ๆ มันสวยงามมาก มีทั้งน้ำตก ดอกไม้ป่า เหมือนภาพวาดย้อนยุคของจิตกรชื่อดังหลายคนเลย

            “ท่านอาจารย์ ไยข้าจึงพูดได้หรือมันแค่ความฝันเท่านั้น”

            โป๊ก! พัดในมือของผู้เป็นอาจารย์ ตีลงบนหน้าผากของหญิงสาว ก่อนจะหัวเราะชอบใจ เมื่อหญิงสาวเอามือลูบหน้าผากปอย ๆ

            “เจ็บไหม!”

            “เจ้าค่ะ”

            “แสดงว่านี่คือความจริง เจ้าไม่ได้เป็นใบ้มาแต่กำเนิดมิใช่รึ!”

            “ท่านรู้ได้อย่างไร”

            “ข้าเป็นหมอ เอาเป็นว่าไปจัดการกับร่างกายเหม็นเน่าของเจ้าเสียก่อน ห้องเจ้าอยู่ทางนั้น เสื้อผ้าที่มีในนั้นใส่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ห้องอาบน้ำอยู่ติดกับห้องนั้นแหละ มันมีบ่อน้ำอุ่นอยู่ใช้ได้เต็มที่”

            “ท่านอาจารย์ ห้องนั้นของผู้ใดเล่าเจ้าคะ”

            “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า”

            ไม่มีคำตอบอื่นใดอีก ผู้เป็นอาจารย์ก้าวยาว ๆ หายไปในตัวเรือนอีกด้าน ก่อนจะตะโกนกำชับให้นางรีบจัดการตนเองให้เสร็จสิ้น จะได้กินข้าวและยา

            คงมีเพียงมุ่ยมุ่ยเท่านั้น ที่อยู่เป็นเพื่อนของเธอ ทั้งสองเดินไปยังห้องที่อยู่อีกด้าน เธอคงต้องทบทวน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเธอและเจ้าของร่างอีกครั้ง

            และที่สำคัญเธอต้องมองหาหนทาง ที่จะอยู่ในความแปลกใหม่นี้ให้ลงตัว เห็นทีคงต้องเป็นนักแสดงมืออาชีพดูสักหน่อย จะเป็นคนดีหรือเลวก็ต้องดูตามเนื้อผ้าไปก่อน

            หญิงสาวก้าวเข้าไปภายในเรือน ก่อนจะสำรวจข้าวของเครื่องใช้ นี่มันมีแต่ของผู้ชายทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าของเดิมหายไปที่ใดเล่า ถ้าเขากลับมานางจะต้องทำหน้ายังไงมาใช้ห้องและเสื้อผ้าของเขา

สามวันถัดมา ณ จวนเชียว เมืองฮั่วโจว

            อวิ๋นชีได้กลับมาที่จวน ซึ่งเจ้าของร่างได้อาศัยอยู่ ร่องรอยฟกช้ำของเธอยังคงมีอยู่ และวันนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือเป็นเชียวอวิ๋นให้เต็มตัว ในเมื่อพวกเขาไม่คิดใส่ใจเจ้าของร่าง เดี๋ยวเธอจะจัดการชำระความ พร้อมสร้างอำนาจในเงามืด ตามที่ผู้เป็นอาจารย์เสนอมา

            “คุณหนู! หายไปที่ใดมาเจ้าคะ บ่าว...”

            เพี๊ยะ! ใบหน้าของสาวใช้ข้างกายสะบัดไปตามแรงฝ่ามือ แน่นอนว่ามันดูจะหนักไปสักหน่อย หากเทียบกับเรี่ยวแรงของคุณหนู ที่แม้แต่ตบยุงยังไม่ตาย

            “คุณหนูตบบ่าวทำไมเจ้าคะ บ่าวผิดหรือเจ้าคะที่เป็นห่วง”

            เชียวอวิ๋นยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับเข้าใกล้สาวใช้ ที่ตั้งใจพูดเสียงดัง คงจงใจที่จะให้ทุกคนในจวนรู้ถึงการกลับมาของนาง และคงพร้อมจะเอ่ยถึงความอัปยศ ที่สาวใช้ตัวดีจงใจให้มันเกิดขึ้น

            เชียวอวิ๋นปล่อยห่อผ้าลงตรงหน้าของสาวใช้ ก่อนจะเดินเลยไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงก้มมองเท่านั้น ปึก! ตุบ! เท้าบางเตะเข้าที่ขาพับของสาวใช้

            ทำให้สองเข่าของสาวใช้ทรุดลงกระแทกกับพื้น สาวใช้กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ก่อนจะจ้องไปที่ห่อผ้า สิ่งที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น มันคือนิ้วมือของบุรุษ สิ่งนั้นทำให้สาวใช้ถึงกับสั่นเทาไปทั้งร่าง

            “อ๊ะ! คุณหนู!”

            ใบหน้าของสาวใช้แหงนขึ้นสบตากับผู้เป็นนาย เมื่อมือบางรวบดึงเส้นผมของนางอย่างแรง เพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

            “เกิดสิ่งใดขึ้น! เจ้าหายไปที่ใดมาเชียวอวิ๋น”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status