“เชิญท่านเจ้าเมืองทำตามกฎหมายเถอะขอรับ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อน ชิงชิงไปกับพ่อ”
เชียวหลางเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ก็ได้คว้าแขนลูกสาวพากลับเข้าเรือน ปล่อยให้ภรรยาหวีดร้องด่าทอเขาอยู่ด้านหลัง สิ่งที่นางทำเขาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
บ่าวไพร่เก่าแก่ที่นี่ก็มีมาก ทุกคนจะคิดอย่างไรที่ภรรยาเขาคิดจะสลับตัวลูกของตัวเองกับหลานสาว เพียงเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนในราชวงศ์ โดยที่นางไม่รู้เลยว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เพราะเป็นสิ่งที่พี่ชายกำชับมา
เชียวอวิ๋นค้อมศีรษะให้แก่ท่านเจ้าเมือง เพื่อเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง โดยอาศัยความทรงจำเจ้าของร่างนำทาง เย็นนี้ท่านอาจารย์คงจะส่งสาวใช้คนใหม่มาให้นาง
และนับจากนี้ไปนางต้องทุ่มเทเวลา ศึกษาร่ำเรียนวิชาอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก นางไว้ใจใครไม่ได้เลยในจวนแห่งนี้ เพราะจากสายตาของผู้เป็นอาแล้ว มันไม่ยุติลงแค่นี้อย่างแน่นอน
สามปีต่อมา เมืองหลวง ณ สกุลเชียว
รถม้าจากจวนเชียเมืองฮั่วโจว ได้หยุดลงยังหน้าจวนสกุลเชียว ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสีเข้มสองคน จะก้าวมายืนรอยังบันไดรถม้า เพียงครู่เดียวสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มได้ก้าวลงมา ก่อนที่คุณหนูใหญ่เชียวอวิ๋น จะติดตามลงมาหยุดยืนต่อหน้าคนสนิททั้งสาม
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย สาวใช้ข้างกายได้ก้าวไปยังหน้าประตูจวน ก่อนจะทำการเคาะเพื่อเรียกคนด้านใน เชียวอวิ๋นมองสำรวจทุกอย่างด้วยสายตานิ่งเรียบ
“ผู้ใด!”
เสียงกร้าวจากด้านหน้าประตู ทำให้นายบ่าวทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านล่างช้อนตามอง แต่ยังคงไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ
“คุณหนูใหญ่เดินทางมาถึงแล้ว”
อี้หรูไม่ค่อยชอบในน้ำเสียงของพ่อบ้านเท่าใดนัก คำตอบของหญิงสาวจึงไม่อ่อนหวานเช่นกัน พ่อบ้านสูงวัยก้าวออกมาหยุดยืนมองไปที่ผู้มาเยือน
คุณหนูใหญ่งดงามสมชาติกำเนิด ทุกอย่างดูดีไร้ที่ติ เสียเพียงแค่นางพิการพูดไม่ได้เท่านั้น หาไม่แล้วคงได้กลายเป็นหงส์ในวัง ทว่านางกลับได้เป็นเพียงภรรยาแม่ทัพเท่านั้น
“เชิญประตูเล็ก”
“ประตูเล็กมีไว้ให้อนุและลูกอนุเท่านั้น คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวคนโตที่กำเนิดจากภรรยาเอก ท่านพ่อบ้านตั้งใจจะบอกสิ่งใดแก่นายข้ามิทราบ”
“บุตรีที่ไร้ค่า ย่อม...อึก!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค พ่อบ้านสูงวัยจำต้องรีบหุบปาก ดวงตาเบิกกว้าง สองมือกุมลำคอเมื่อมีบางอย่างติดอยู่ในนั้น แน่นอนว่ามันเป็นฝีมือของอี้หรู ทั้งรวดเร็วเห็นผลทันใจนัก
“บางครั้งการเก็บปากไว้บ้าง อาจทำให้ท่านพ่อบ้านมีปากเอาไว้พูดไปได้อีกนาน ๆ นะเจ้าคะ คุณหนูค่อย ๆ เดินเจ้าค่ะ”
อี้หรูรีบประคองผู้เป็นนายที่เดินขึ้นมาถึงหน้าประตูพอดี สี่นายบ่าวก้าวผ่านเข้าไปด้านใน โดยไม่สนใจอาการตาเหลือกค้างของพ่อบ้านสูงวัย
เชียวอวิ๋นเก็บความขำขันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าละมุน ในสายตาผู้อื่นนางคือสตรีใบ้ แต่ทว่านางกลับมีคนที่ใช้ปากแทนนางได้อย่างเผ็ดร้อน สมกับที่ท่านอาจารย์การันตีในฝีมือ
นางไม่จำเป็นต้องปฏิเสธความช่วยเหลือจากใคร หากมันไม่ได้ทำให้นางเดือดร้อน หรือต้องตายไปอีกเป็นครั้งที่สอง ตามจริงแล้วนางได้หมั้นหมายเป็นชายาอ๋อง
แต่เพราะพิการจึงได้ถูกสับเปลี่ยนสกุลแม่ทัพ แน่นอนว่าเรื่องความพิการหาใช่ข้ออ้าง แต่มันมีเบื้องหลังมากกว่านั้นอีก นางไม่รีบร้อนใส่ใจกับมันเท่าใดนัก จัดการเรื่องตรงหน้าให้คลายไปทีละขั้นเป็นการดีสุด
เมื่ออยู่ในยุคแห่งอำนาจ คิดจะหลีกหนีต่อหน้าที่นั้นยากเหลือเกิน สตรียุคนี้น้อยนักที่จะมีทางเลือกของตนเอง ซึ่งนางแค่ทำตามกฎที่ถูกกำหนดไว้ สตรีแม้ไร้หนทางเลือก แต่ก็เป็นคลื่นใต้น้ำที่น่ากลัวมิแพ้กัน หรืออาจน่ากลัวกว่าความร้ายกาจอันโจ่งแจ้งของบุรุษเสียอีก
ดูอย่างการเจ็บป่วยจนไร้เสียงพูดของเชียวอวิ๋นผู้นี้ มันน่าจะไม่ใช่ความคิดของบุรุษ เพราะทั้งแยบยลและเห็นผล ทุกอย่างล้วนใช้เวลาในการบ่มเพาะ
“อยู่บ้านนอกเสียนาน คงไร้การอบรมเรื่องมารยาทไปแล้วสินะ! คุณหนูใหญ่!”
สตรีใบหน้าแต่งแต้มราวงิ้ว เดินนวยนาทมาหยุดยืนขวางทางสี่นายบ่าว พร้อมส่งสายตาหยามเหยียดมาที่เชียวอวิ๋น
เชียวอวิ๋นหันมองไปที่สาวใช้ เพื่อให้สื่อสารแทนนาง แค่สบตาสองนายบ่าวเป็นอันรู้กัน
“มิว่าท่านคือ!” อี้หรูเอ่ยถามขึ้นแทนผู้เป็นนาย
“นี่! เจ้าตั้งใจที่จะไม่จดจำข้าเช่นนั้นรึ! เชียวอวิ๋น ข้าคือภรรยารองของบิดาเจ้าอย่างไรเล่า”
เมื่อถูกมองข้ามฐานะ ฮูหยินรองถึงกับแสดงท่าทีไม่พอใจ ต่างจากสี่นายบ่าว ที่ลอบยิ้มอย่างขำขัน มีหรือก่อนก้าวเข้ามาที่นี่พวกนาบงจะไม่สืบหาข้อมูลของผู้อาศัย แค่ไม่อยากให้ค่ากับคนประเภทนี้
“คุณหนูให้เรียนว่านางมิได้ตั้งใจลืมเจ้าค่ะ แค่ไม่เคยจดจำต่างหากเจ้าค่ะ”
“บ่าวชั้นต่ำ! เจ้าตั้งใจแต่งเรื่องหมิ่นข้าเช่นนั้นรึ!”
เชียวอวิ๋นไม่ยากเสียเวลามากกว่านี้ จึงเลือกประนีประนอม ด้วยการก้าวมาบังร่างของอี้หรู แล้วค้อมศีรษะน้อย ๆ ให้แก่ภรรยารองของบิดา นางไม่ได้รู้สึกโกรธอันใดกับสตรีเจ้าอารมณ์ผู้นี้เลย แต่มันกลับรู้สึกดีที่เห็นความเป็นตนเองของอีกฝ่ายมากกว่า
“เห็นแก่เจ้าห่างบ้านไปนาน ข้าจะไม่ถือสา ฮึ!”
ฮูหยินรองเชียว สะบัดหน้าเดินจากไปยังทิศทางของเรือนบุตรสาว นางไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกดีต่อรอยยิ้มน้อย ๆ และดวงตาเยือกเย็นของเชียวอวิ๋น นางควรที่จะเกลียดลูกของฮูหยินใหญ่มิใช่หรือ
“นางดูร้ายกาจนะเจ้าคะ”
“คนร้ายกาจจริง ๆ เจ้ามองไม่ออกหรือว่ามักเป็นคนเช่นไร แบบฮูหยินรองนางแค่อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย แต่ไม่มีพิษภัยอันใด เพราะถานางมีป่านนี้ตำแหน่งเมียเอกนางคงคว้ามาไว้กับตัวนานแล้ว”
เชียวอวิ๋นเอยเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่พวกนาง เพราะที่นี่มิใช่สำนักกลางเขาของอาจารย์ ที่นางจะพูดหรือทำสิ่งได้ตามอำเภอใจ ก่อนที่สองนายบ่าวจะเงียบเสียงลง เมื่อมีคนเดินมายังพวกนาง
“ตัวน่าอับอายนี่เอง ข้านึกว่าผู้ใด!”
เชียวอวิ๋นรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจนัก เมื่อคนหาเรื่องมีมาอีกจนได้ แต่คราวนี้เป็นคนร่วมบิดามารดาเสียด้วย น้องสาวที่กำลังจะกลายเป็นชายาอ๋องแทนนาง
“คุณหนูเดินทางมาไกล อยากที่จะพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะคุณหนูสาม”
“ใครให้เจ้าแทรกคำของข้า!”
“บ่าวแค่พูดแทนคุณหนูใหญ่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“นางมีปากทำไมไม่พูดเองล่ะ อ่อ...ข้าลืมไปว่าปากนางมี แต่ไม่มีเสียงที่จะพูด ฮ่า ๆ” “จะมากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” “นังสวะ!” หมับ! ก่อนที่ฝ่ามือของเชียวเยี่ยนจะถึงใบหน้าของอี้หรู มือหยาบกร้านจากการจับอาวุธของเชียวอวิ๋น ได้คว้าจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้แน่น พร้อมออกแรงบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แม้จะขัดใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจเอ่ยตอบโต้หรือสั่งสอนคนตรงหน้าได้ แต่นางมีความอดทนมากพอที่จะรอ และการรอมิได้แปลว่านางต้องนิ่งเฉยให้คนรังแก “เจ้าคิดจะทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ!” “…” เชียวอวิ๋นยิ้มน้อย ๆ ทว่ามันกลับทำให้คนมองหนาวสะท้านไปทั้งกาย การอยู่ต่างเมืองไม่มีใครบอกได้ ว่าเชียวอวิ๋นพบเจอสิ่งใดมาบ้าง และการกระทำที่แสดงออก บอกชัดว่าพี่สาวของนางเลือกปกป้องสาวใช้ มากกว่าจะให้นางที่เป็นน้องสาว ลงโทษบ่าวปากดี “ทำสิ่งใดกัน!” เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากทางเดินด้านหลัง ทำให้เชียวอวิ๋นจำต้องคลายมือออกอย่างใจเย็น นางไม่ได้ตื่นกลัวกับครอบครัวที่มิเห็นค่าของนางเท่าใดนัก ท่านเสนาบดีเชียวก้าวมาหยุดอยู่ข้างบุตรสาวคนร
“เจ้าไปพักเรือนกับย่านะ” ไท้ฮูหยินเลือกที่จะไม่สนใจเชียวเยี่ยน ทว่าเอ่ยชวนหลานสาวคนโตไปอยู่ร่วมเรือนแทน เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งระหว่างอยู่ที่สกุลเชียว แม้ว่าสกุลกวงจะไม่อาจเทียบราชวงศ์ แต่ก็นับว่ามีอำนาจไม่น้อย หากเจ้าสาวของแม่ทัพกวงเฉินหนานเกิดอะไรขึ้น คงยากที่จะหาข้อแก้ตัวได้ เชียวอวิ๋นพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะก้าวตามแรงจับจูงของหญิงชรา โดยไม่สนใจสายตาของพ่อแม่และพี่น้องคนอื่น ๆ วันนี้มันยังเป็นแค่น้ำจิ้ม ยังไม่ได้วางจานหลักลง ฉะนั้นนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ว่าพวกเขาอยากจะเห็นสิ่งใดจากนางเจ็ดวันถัดมา กลางดึก ณ กระท่อมชานเมือง หลังฉากกั้นสีเข้ม ร่างในชุดสีดำสนิทนั่งนิ่ง ฟังการสนทนาของผู้ร่วมประชุม ขุนนางหลายฝ่ายที่ทำการสนับสนุนสายเลือดราชวงศ์เดิม ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันให้มีการทวงคืนบัลลังก์ “อีกไม่เกินครึ่งปี องค์ชายก็พร้อมที่จะกลับมา ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนคงไม่ทำให้ข้ากับองค์ชายผิดหวัง” เสียงที่เปล่งออกมา ถูกดัดแปลงเสียจนยากจะบอกได้ว่าคนที่อยู่หลังม่าน เป็นชายหรือหญิง “นายท่านมิต้องกังวลไปขอรับ ตอนนี้แผนการของเรากำลังสำเร็จไปทีละขั้นแล้วขอรับ” “กวงเฉินหลางไม่ควรที่จะอยู่เมือ
อี้หรูเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา หญิงสาวรอจนท่านแม่ทัพจากไป แล้วค่อยเข้ามาพบผู้เป็นนาย โดยให้ผู้ติดตามอีกสองคนเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่ในเงามืดด้านนอก“หึ ๆ เจ้าก็ทำเสียเหมือนตัวข้าเป็นโจร ต้องดูลาดเลาก่อนออกปล้น” เชียวอวิ๋นเย้าอี้หรู ซึ่งนางพอใจกับความรอบคอบของอี้หรูยิ่งนัก นางไม่ต้องมีองครักษ์มากมาย แค่อี้หรูกับชายหนุ่มทั้งสองด้านนอกก็มากพอแล้ว “ว่าได้หรือเจ้าคะ สกุลแม่ทัพหูตาราวสับปะรด นี่เจ้าค่ะท่านผู้คุ้มร้านขายข่าวเพิ่งส่งมาเจ้าค่ะ” เชียวอวิ๋นรับจดหมายจากอี้หรู ก่อนจะคลี่กระดาษออกอ่านอย่างใจเย็น สายตาคู่งามไล่ไปตามตัวอักษรที่สั้นกระชับ แต่ครบถ้วนในสิ่งที่นางต้องรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “เขาส่งคนไปแล้วใช่ไหม” “เจ้าค่ะ” “หมากกระดานนี้ไม่ยากไม่ง่ายเลยจริง ๆ” “ฮูหยินไม่เห็นต้องช่วยพวกเขาเลยนะเจ้าคะ” “เอาไว้เจ้าแต่งงานเข้าสกุลใหญ่ แล้วจะรู้ว่ามันยุ่งยากวุ่นวายแค่ไหน เขาตายข้าก็ต้องตาย ต่อให้ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดก็ตาม” “ใครว่าบ่าวคิดจะแต่งงาน บ่าวจะอยู่กับฮูหยินไป
แต่พอได้สัมผัสกับนิสัยของลูกสะใภ้แล้ว นางก็มิได้เลวร้ายอันใด และตอนนี้เขาเหมือนได้บุตรสาวคนเล็กกลับมาอีกครั้ง กวงหลิวหลีที่เคยหม่นหมอง บัดนี้สดใสราวเทพธิดาเลยทีเดียว“นางจะทำสิ่งใดก็ช่าง นับแต่นี้ไปหากสกุลเชียวคิดจะมาทวงคืน ข้าไม่ยินยอมเป็นอันขาด คนสกุลนั้นจงใจดูถูกเรา ข้าก็จะทำให้พวกเขารู้สึกเสียดายลูกสาวที่พวกเขาโยนทิ้งเช่นกันเจ้าค่ะ”กวงเจี้ยนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโอบกอดภรรยาอย่างรักใคร่ เพราะนางจิตใจดีเยี่ยงนี้อย่างไรเล่า เขาจึงไม่คิดมีภรรยาอื่นใดมาเพิ่มเติม จริงอย่างที่นางกล่าวมา สกุลเชียวตั้งใจทำให้เขาขายหน้า เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว แต่เหมือนสวรรค์เมตตาสกุลกวงที่สะใภ้คนนี้รู้ความหนึ่งเดือนต่อมา ณ ชายแดนตะวันตก แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้าไปภายในค่ายทหาร ด้วยใบหน้าเรียบตึง เขาใช้เวลาเดินทางออกจากเมืองหลวงในยามค่ำคืน สำคัญไปกว่านั้นเขาแทบไม่หยุดพัก ด้วยมีข่าวเรื่องการส่องสุมกำลังของแคว้นข้างเคียง ไหนจะมีการสูญหายของเสบียงจำนวนมาก เรื่องนี้เขายังไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ จำต้องทิ้งภรรยาไว้ในห้องหอเพียงลำพัง เพื่อกลับมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะหากมันไม่เป็นอย่างที
ต้วนเหนียงก้าวตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ นางอยากที่จะไปหาเชียวอวิ๋นสักครั้ง คราก่อนมัวปะทะคารมกันจนมิได้ทันได้ทักทาย หากเทียบกับบุตรสาวของนางที่แต่งไปอยู่ถึงชายแดนเหนือแล้ว เชียวอวิ๋นน่าเห็นใจกว่าหลายเท่านักเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป รถม้าสกุลเชียวได้หยุดอยู่หน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ฮูหยินรองจะเดินเข้าไปภายในจวน โดยมีพ่อบ้านสกุลกวงเป็นผู้นำทางเพื่อไปพบกับเจ้าของบ้าน“ต้วนเหนียงคารวะใต้เท้ากวง ฮูหยินกวงเจ้าค่ะ”ต้วนเหนียงทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันไปรับของฝากจากสาวใช้ ซึ่งได้แวะซื้อมาระหว่างทาง“ขอบคุณเจ้าค่ะสำหรับของฝาก ฮูหยินรองมาพบอวิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”กวงฮูหยินรับของจากมือแขกผู้มาเยือน ก่อนถามถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย จะชอบหรือไม่นี่คือแขกนางหาได้คิดปฏิเสธไมตรี“เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นรอสักครู่นะเจ้าคะ อวิ๋นเอ๋อร์คงอยู่ในครัวกับหลิวหลี”การสนทนาของสตรีทั้งสอง ต่างเป็นสัพเพเหระตามประสาแม่บ้าน ส่วนกวงเจี้ยนขอตัวไปทำงาของตน ต้วนเหนียงรับรู้ได้ว่าสองสามีเมตตาต่อเชียวอวิ๋นอยู่ไม่น้อย“อวิ๋นเอ๋อร์ ฮูหยินรองเชียวมาเยี่ยมเจ้า”เชียวอวิ๋นย่อกายให้แก่ฮูหยินรองเชียว นางแปลกใจเล็กน้อย ที่อยู่ ๆ ภรรยาร
ถนนเส้นรอบเมือง อวิ๋นชีกำลังขับรถพร้อมเปิดเพลงเบา ๆ เธอพักร้อนยาวจากกองทัพ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับหน่วยรบพิเศษ และมีตำแหน่งสูงแบบเธอที่จะได้หยุดพักยาว ๆหญิงสาวเลือกที่จะไปหาครอบครัวที่อยู่นอกเมือง เพื่อใช้เวลาทั้งหมดกับพ่อแม่และน้องสาว ผู้พันสาวเอื้อมมือไปปิดเพลง เมื่อเห็นได้ถึงความผิดปกติจากรถคันหลัง“วันพักผ่อนของฉันแท้ ๆ”หญิงสาวเอื้อมไปหยิบปืนที่อยู่เบาะข้างคนขับ มาวางไว้บนตักเพื่อเป็นการไม่ประมาท ถึงเธอจะไม่ได้เปิดเผยเรื่องหน้าที่การงานให้ใครรู้มากนัก แต่จะว่าไปแล้วคนในมักมีเกลือเป็นหนอนตัวตนของเธออาจถูกเปิดเผย กับพวกธุรกิจสีมืดไปบ้างแล้วก็ได้ หญิงสาวเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทาง เพราะไม่อยากนำอันตรายไปหาครอบครัวและดูเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่นั้น จะเป็นเรื่องจริงเสียซะแล้ว เพราะรถสองคันด้านหลังเปลี่ยนทิศทางตามเธอมาติด ๆ ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปี๊ดดดด!!! เสียงแตรรถจากสั้น ๆ เปลี่ยนเป็นลากยาว เพื่อให้รถบรรทุกสองคันด้านหน้า ที่กำลังขับคู่กันมารู้ว่ามีรถอยู่ด้านหน้าตูม! โครม! ทว่ามันกลับไม่เป็นผล รถของผู้พันสาวหักหลบรถบรรทุกเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ตูม! รถบรรทุกหนึ่งใน
“เจ้าอยากเล่นสนุกก่อนสินะ สาวน้อย” ชายหนุ่มยิ้มอย่างคนนึกสนุก ก่อนจะใช้มืออีกข้างปลดมือของหญิงสาวออกอย่างช้า ๆ ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาว แสดงออกถึงความท้าทาย ทั้งยังปล่อยให้เขาปลดมือนางออกอย่างว่าง่าย ร่างสูงก้าวคร่อมเหนือร่างหญิงสาว ก่อนที่จะก้มลงเพื่อหวังเชยชมความหอมหวานของสาวบริสุทธิ์ ปึก! ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าเขียวคล้ำสลับขาวซีด เมื่อจุดลับถูกกระแทกอย่างแรง ด้วยเข่าของคนใต้ร่าง ชายหนุ่มเจ็บแค้นนัก จึงใช้มือคว้าเข้าที่ลำคอของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงบีบด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว หญิงสาวจ้องเขม็งที่ใบหน้าของชายหนุ่มไม่คิดหลบ แม้ว่าอากาศที่เข้าไปในปอดจะน้อยนิดก็ตามที หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผั๊วะ! ฝ่ามือสองข้างตบเข้าที่หูทั้งสองของชายหนุ่ม โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันคิดสิ่งใด นิ้วเรียวทิ่มเข้าที่หน่วยตาของเขาอย่างรวดเร็ว “อ๊าก!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เรียกให้คนด้านนอกทั้งสี่รีบพุ่งเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นสภาพของสหาย ที่คดคู้อยู่กับพื้น ส่วนหญิงสาวที่คิดว่าสิ้นสติ กำลังยืนจังก้าพร้อมท่อนไ
“ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก “ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก “ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา” อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี “บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่” “ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์” ร่างบางคุกเข่าลงประสานมือ เหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้ เธอขอเลือกก้มหัวเพื่ออยู่รอดในยามที่ตัวเองไร้เรี่ยวแรง ดีกว่าทำตัวผยองทั้งที่ไม่มีอะไรสู้ใครได้ ไม่ว่าตอนนี้จะเรื่องจริงหรือความฝัน สิ่งแรกต้องทำคือแสดงเป็นเจ้าของร่