“นางมีปากทำไมไม่พูดเองล่ะ อ่อ...ข้าลืมไปว่าปากนางมี แต่ไม่มีเสียงที่จะพูด ฮ่า ๆ”
“จะมากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”
“นังสวะ!”
หมับ! ก่อนที่ฝ่ามือของเชียวเยี่ยนจะถึงใบหน้าของอี้หรู มือหยาบกร้านจากการจับอาวุธของเชียวอวิ๋น ได้คว้าจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้แน่น พร้อมออกแรงบีบให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
แม้จะขัดใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจเอ่ยตอบโต้หรือสั่งสอนคนตรงหน้าได้ แต่นางมีความอดทนมากพอที่จะรอ และการรอมิได้แปลว่านางต้องนิ่งเฉยให้คนรังแก
“เจ้าคิดจะทำร้ายข้าเช่นนั้นรึ!”
“…”
เชียวอวิ๋นยิ้มน้อย ๆ ทว่ามันกลับทำให้คนมองหนาวสะท้านไปทั้งกาย การอยู่ต่างเมืองไม่มีใครบอกได้ ว่าเชียวอวิ๋นพบเจอสิ่งใดมาบ้าง และการกระทำที่แสดงออก บอกชัดว่าพี่สาวของนางเลือกปกป้องสาวใช้ มากกว่าจะให้นางที่เป็นน้องสาว ลงโทษบ่าวปากดี
“ทำสิ่งใดกัน!”
เสียงกัมปนาทดังขึ้นจากทางเดินด้านหลัง ทำให้เชียวอวิ๋นจำต้องคลายมือออกอย่างใจเย็น นางไม่ได้ตื่นกลัวกับครอบครัวที่มิเห็นค่าของนางเท่าใดนัก
ท่านเสนาบดีเชียวก้าวมาหยุดอยู่ข้างบุตรสาวคนรอง โดยมีภรรยาเอกและสมาชิกคนอื่นในครอบครัว ติดตามมาอย่างพร้อมหน้า ทำให้เชียวอวิ๋นพร้อมผู้ติดตามย่อกายให้บิดา และสมาชิกทุกคนอย่างอ่อนน้อม
“ท่านพ่อนางทำร้ายข้า ทั้งที่ตัวข้ามาต้อนรับนางด้วยความคิดถึง”
“มะ...”
เชียวอวิ๋นคว้าจับข้อมือของอี้หรูเอาไว้ พร้อมบีบเบา ๆ เป็นการเตือนให้นิ่งไว้ ปล่อยให้น้องสาวของนางพูดในสิ่งที่ต้องการ แบบนี้มันจะเป็นผลดีต่อนางในภายหน้า
“ข้ามั่นใจว่าอาของเจ้าไม่เคยพูดสักคำ ว่าเจ้าเป็นคนหยาบช้านะเชียวอวิ๋น หรือที่ผ่านมาเจ้ากับอาของเจ้าหลอกลวงข้า”
คำถามของผู้เป็นพ่อ ทำให้เชียวอวิ๋นบิดเรียวปากขึ้นเล็กน้อย นางคิดไว้อยู่แล้วว่าบิดาคงรักลูกไม่เท่ากัน ต่อให้ตอนนี้นางนอนจมกองเลือดอยู่ต่อหน้า เขาก็จะต้องบอกว่านางผิดอยู่ดี
“เจ้าเป็นบิดา! ไยจึงได้เชื่อเพียงคำของคนที่มีปากพูด ซึ่งอยากจะพ่นสิ่งใดออกมาก็ได้ แต่กลับลำเอียง ไม่คิดฟังความจากลูกอีกคนเยี่ยงนี้”
เชียวเยี่ยนรีบขยับไปหลบหลังผู้เป็นพ่อในทันที เมื่อผู้เป็นย่าปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังยืนอยู่ข้างพี่สาวอีกด้วย นางไม่เคยเป็นที่โปรดปราณของท่านย่ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีเพียงลูกที่เกิดจากภรรยารองของบิดา ที่ได้รับการเอ็นดูมากกว่านางที่เกิดจากสะใภ้เอก
“ก็ข้าเห็นกับตานะขอรับท่านแม่ ว่าเชียวอวิ๋นกำลังทำร้ายเยี่ยนเอ๋อร์ แล้วแบบนี้จะให้ข้าคิดอย่างไร”
“ไหนล่ะ! ร่องรอยถูกทำร้าย หรือลูกสาวสุดที่รักของเจ้าทำร้ายตนเองไม่ทันจะใส่ความผู้อื่นเล่า อย่านึกว่าข้าไม่รู้นิสัยของนางนะ คงมีแค่เจ้าที่หูหนวกตาบอดรักลูกลำเอียง”
เชียวอวิ๋น อดแปลกใจความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่พอสมควร เท่าที่นางรู้ก็แค่ตัวบุคคล นิสัยภายนอกเท่านั้น เรื่องภายในจวนย่อมยากที่จะสืบหา เพราะทุกคนถือกฎว่าเรื่องในบ้านมิควรแพร่งพราย
“แต่สาวใช้ของนาง หาได้ยำเกรงต่อข้าเลยนะเจ้าคะท่านย่า”
“เจ้าทำอันใดกับนายเขาก่อนเล่า หากไม่ทำสิ่งใดผิดต่ออวิ๋นเอ๋อร์ มีหรือบ่าวจะกล้ากำแหงต่อนาย พวกนางมาจากต่างเมือง มิใช่คนของเจ้าที่อยากกดขี่เยี่ยงไรก็ได้”
“ท่านย่าลำเอียง! ท่านพ่อเรื่องนี้ข้ามิผิดนะเจ้าคะ”
เชียวเยี่ยนรู้สึกอับอายที่ถูกผู้เป็นย่าตำหนิ ต่อหน้าสมาชิกในบ้านและบ่าวไพร่ หากเรื่องนี้นางกลายเป็นฝ่ายแพ้ แล้วผู้ใดจะยำเกรงต่ออำนาจของนางอยู่อีกเล่า
“เอาล่ะ! ถือว่าเป็นเรื่องหยอกเย้าระหว่างพี่น้อง”
ท่านเสนาบดีเสหลบสาตาของมารดา ก่อนจะมองไปที่บุตรสาวคนโต มิว่าหน้าตาหรือความสูงสง่าของนาง ล้วนบอกถึงชาติกำเนิดโดยแท้ น่าเสียดายที่นางไม่อาจพูดได้เท่านั้น และเขามิได้รักนางมากพอ
“ท่านพ่อ”
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้ากับพี่ใหญ่กำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน จะมีเรื่องบาดหมางกันไปทำไมเล่า พี่ใหญ่ของเจ้าเดินทางมาไกล เอาเป็นว่าเรื่องนี้ให้จบลงแค่นี้เถอะนะ ภายหน้าเจ้าต้องเป็นพระชายา จะมาทำเรื่องเล็กน้อยให้ใหญ่โตไปทำไม รู้จักที่จะใจกว้างให้มากเข้าไว้”
เชียวฮูหยินก้าวขึ้นมาโอบประคองบุตรสาว พร้อมปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะมองไปที่บุตรสาวคนโต แววตาที่มองมานั้นอวิ๋นเชียวสัมผัสได้ถึงความเฉยชา
ดูเหมือนมารดาของนางอ่อนหวานงดงาม แต่มิใช่กับลูกคนแรกเยี่ยงนาง มีสิ่งใดกันหนอที่ทำให้มารดาผู้หนึ่ง เมินเฉยต่อบุตรสาวผู้อาภัพต่อชะตาเช่นนี้ได้ หากเป็นเรื่องความพิการทางเสียง มันไม่ควรจะเป็นเหตุผลกล่าวอ้างได้เลย
เท่าที่นางเห็นมานักต่อนัก ถ้าเกิดเรื่องร้ายใดกับลูกในไส้ คนแรกที่จะกางปีกปกป้อง ย่อมต้องเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด นางเจ็บป่วยจนไม่อาจพูดได้ มิใช่เป็นมาแต่กำเนิดเสียเมื่อไหร่ แล้วตรงไหนกันที่ทำให้ความเป็นแม่ลูกห่างเหินต่อกันเหลือเกิน
“เห็นแก่ท่านแม่ เรื่องนี้ข้าจะไม่ถือสา แต่อย่าได้คิดว่าตนเองเป็นลูกคนโต อยากทำสิ่งใดตามอำเภอใจก็ได้ ให้รู้สำนึกว่าตอนนี้เจ้ากับข้า...”
“สามหาว! ยังมีหน้ามาพูดจาเยี่ยงนี้ต่อหน้าข้าอีกเช่นนั้นรึ! นี่เจ้าไม่สำนึก แล้วยังไม่เห็นหัวของข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยหรือเชียวเยี่ยน”
ไท้ฮูหยินโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ นางไม่คิดเลยว่าจะมีลูกหลานที่นิสัยต่ำช้าได้เพียงนี้ แค่ตอนที่มาขอให้มีการเลื่อนการแต่งงานของหลานสาวคนโต เพื่อจะได้เปลี่ยนตัวเจ้าสาว ทำให้ต้องรอจนเชียวเยี่ยนถึงวัยออกเรือน นางก็ยินยอมมาแล้วหนหนึ่ง
แล้วนี่อะไรกัน! ความกำแหงไม่เห็นหัวผู้ใดของเชียวเยี่ยน มันสมควรแล้วหรือที่บุตรชายของนางยังนิ่งเฉยอยู่ ไท้ฮูหยินตวัดสายตาไปยังลูกสะใภ้ ที่เอาแต่ยืนนิ่งเอ่ยสิ่งใด นอกจากลูบแขนเชียวเยี่ยนเพื่อปลอบประโลม
“ว่าอย่างไรอวิ๋นเอ๋อร์”
เชียวอวิ๋นคว้ามือผู้เป็นย่ามาบีบเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการบอกว่านางไม่อยากให้มีเรื่องราวไปมากกว่านี้ ทว่าแท้จริงแล้วนางกำลังอึดอัดอยากที่จะพูดยิ่งนัก เลยเลือกที่จะเลี่ยงจากสิ่งเล็กน้อยนี้ไปเสีย เวลาสำหรับเรื่องไร้สาระยังมีอีกมาก
“เสแสร้งนัก!”
ยังมิวายที่จะถูกเหน็บแนมจากน้องสาว เชียวอวิ๋นหันไปยิ้มละมุน ทว่ามันเต็มไปด้วยความขบขัน ใบหน้าบูดบึ้งของเชียวเยี่ยนมิได้น่าเอ็นดู แต่มันคือการเสแสร้งอย่างแท้จริงมากกว่า
“เจ้าไปพักเรือนกับย่านะ” ไท้ฮูหยินเลือกที่จะไม่สนใจเชียวเยี่ยน ทว่าเอ่ยชวนหลานสาวคนโตไปอยู่ร่วมเรือนแทน เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งระหว่างอยู่ที่สกุลเชียว แม้ว่าสกุลกวงจะไม่อาจเทียบราชวงศ์ แต่ก็นับว่ามีอำนาจไม่น้อย หากเจ้าสาวของแม่ทัพกวงเฉินหนานเกิดอะไรขึ้น คงยากที่จะหาข้อแก้ตัวได้ เชียวอวิ๋นพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะก้าวตามแรงจับจูงของหญิงชรา โดยไม่สนใจสายตาของพ่อแม่และพี่น้องคนอื่น ๆ วันนี้มันยังเป็นแค่น้ำจิ้ม ยังไม่ได้วางจานหลักลง ฉะนั้นนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ว่าพวกเขาอยากจะเห็นสิ่งใดจากนางเจ็ดวันถัดมา กลางดึก ณ กระท่อมชานเมือง หลังฉากกั้นสีเข้ม ร่างในชุดสีดำสนิทนั่งนิ่ง ฟังการสนทนาของผู้ร่วมประชุม ขุนนางหลายฝ่ายที่ทำการสนับสนุนสายเลือดราชวงศ์เดิม ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันให้มีการทวงคืนบัลลังก์ “อีกไม่เกินครึ่งปี องค์ชายก็พร้อมที่จะกลับมา ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนคงไม่ทำให้ข้ากับองค์ชายผิดหวัง” เสียงที่เปล่งออกมา ถูกดัดแปลงเสียจนยากจะบอกได้ว่าคนที่อยู่หลังม่าน เป็นชายหรือหญิง “นายท่านมิต้องกังวลไปขอรับ ตอนนี้แผนการของเรากำลังสำเร็จไปทีละขั้นแล้วขอรับ” “กวงเฉินหลางไม่ควรที่จะอยู่เมือ
อี้หรูเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา หญิงสาวรอจนท่านแม่ทัพจากไป แล้วค่อยเข้ามาพบผู้เป็นนาย โดยให้ผู้ติดตามอีกสองคนเฝ้าดูความปลอดภัยอยู่ในเงามืดด้านนอก“หึ ๆ เจ้าก็ทำเสียเหมือนตัวข้าเป็นโจร ต้องดูลาดเลาก่อนออกปล้น” เชียวอวิ๋นเย้าอี้หรู ซึ่งนางพอใจกับความรอบคอบของอี้หรูยิ่งนัก นางไม่ต้องมีองครักษ์มากมาย แค่อี้หรูกับชายหนุ่มทั้งสองด้านนอกก็มากพอแล้ว “ว่าได้หรือเจ้าคะ สกุลแม่ทัพหูตาราวสับปะรด นี่เจ้าค่ะท่านผู้คุ้มร้านขายข่าวเพิ่งส่งมาเจ้าค่ะ” เชียวอวิ๋นรับจดหมายจากอี้หรู ก่อนจะคลี่กระดาษออกอ่านอย่างใจเย็น สายตาคู่งามไล่ไปตามตัวอักษรที่สั้นกระชับ แต่ครบถ้วนในสิ่งที่นางต้องรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “เขาส่งคนไปแล้วใช่ไหม” “เจ้าค่ะ” “หมากกระดานนี้ไม่ยากไม่ง่ายเลยจริง ๆ” “ฮูหยินไม่เห็นต้องช่วยพวกเขาเลยนะเจ้าคะ” “เอาไว้เจ้าแต่งงานเข้าสกุลใหญ่ แล้วจะรู้ว่ามันยุ่งยากวุ่นวายแค่ไหน เขาตายข้าก็ต้องตาย ต่อให้ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดก็ตาม” “ใครว่าบ่าวคิดจะแต่งงาน บ่าวจะอยู่กับฮูหยินไป
แต่พอได้สัมผัสกับนิสัยของลูกสะใภ้แล้ว นางก็มิได้เลวร้ายอันใด และตอนนี้เขาเหมือนได้บุตรสาวคนเล็กกลับมาอีกครั้ง กวงหลิวหลีที่เคยหม่นหมอง บัดนี้สดใสราวเทพธิดาเลยทีเดียว“นางจะทำสิ่งใดก็ช่าง นับแต่นี้ไปหากสกุลเชียวคิดจะมาทวงคืน ข้าไม่ยินยอมเป็นอันขาด คนสกุลนั้นจงใจดูถูกเรา ข้าก็จะทำให้พวกเขารู้สึกเสียดายลูกสาวที่พวกเขาโยนทิ้งเช่นกันเจ้าค่ะ”กวงเจี้ยนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโอบกอดภรรยาอย่างรักใคร่ เพราะนางจิตใจดีเยี่ยงนี้อย่างไรเล่า เขาจึงไม่คิดมีภรรยาอื่นใดมาเพิ่มเติม จริงอย่างที่นางกล่าวมา สกุลเชียวตั้งใจทำให้เขาขายหน้า เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว แต่เหมือนสวรรค์เมตตาสกุลกวงที่สะใภ้คนนี้รู้ความหนึ่งเดือนต่อมา ณ ชายแดนตะวันตก แม่ทัพหนุ่มก้าวเข้าไปภายในค่ายทหาร ด้วยใบหน้าเรียบตึง เขาใช้เวลาเดินทางออกจากเมืองหลวงในยามค่ำคืน สำคัญไปกว่านั้นเขาแทบไม่หยุดพัก ด้วยมีข่าวเรื่องการส่องสุมกำลังของแคว้นข้างเคียง ไหนจะมีการสูญหายของเสบียงจำนวนมาก เรื่องนี้เขายังไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ จำต้องทิ้งภรรยาไว้ในห้องหอเพียงลำพัง เพื่อกลับมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะหากมันไม่เป็นอย่างที
ต้วนเหนียงก้าวตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ นางอยากที่จะไปหาเชียวอวิ๋นสักครั้ง คราก่อนมัวปะทะคารมกันจนมิได้ทันได้ทักทาย หากเทียบกับบุตรสาวของนางที่แต่งไปอยู่ถึงชายแดนเหนือแล้ว เชียวอวิ๋นน่าเห็นใจกว่าหลายเท่านักเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป รถม้าสกุลเชียวได้หยุดอยู่หน้าจวนแม่ทัพ ก่อนที่ฮูหยินรองจะเดินเข้าไปภายในจวน โดยมีพ่อบ้านสกุลกวงเป็นผู้นำทางเพื่อไปพบกับเจ้าของบ้าน“ต้วนเหนียงคารวะใต้เท้ากวง ฮูหยินกวงเจ้าค่ะ”ต้วนเหนียงทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันไปรับของฝากจากสาวใช้ ซึ่งได้แวะซื้อมาระหว่างทาง“ขอบคุณเจ้าค่ะสำหรับของฝาก ฮูหยินรองมาพบอวิ๋นเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”กวงฮูหยินรับของจากมือแขกผู้มาเยือน ก่อนถามถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย จะชอบหรือไม่นี่คือแขกนางหาได้คิดปฏิเสธไมตรี“เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นรอสักครู่นะเจ้าคะ อวิ๋นเอ๋อร์คงอยู่ในครัวกับหลิวหลี”การสนทนาของสตรีทั้งสอง ต่างเป็นสัพเพเหระตามประสาแม่บ้าน ส่วนกวงเจี้ยนขอตัวไปทำงาของตน ต้วนเหนียงรับรู้ได้ว่าสองสามีเมตตาต่อเชียวอวิ๋นอยู่ไม่น้อย“อวิ๋นเอ๋อร์ ฮูหยินรองเชียวมาเยี่ยมเจ้า”เชียวอวิ๋นย่อกายให้แก่ฮูหยินรองเชียว นางแปลกใจเล็กน้อย ที่อยู่ ๆ ภรรยาร
ถนนเส้นรอบเมือง อวิ๋นชีกำลังขับรถพร้อมเปิดเพลงเบา ๆ เธอพักร้อนยาวจากกองทัพ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับหน่วยรบพิเศษ และมีตำแหน่งสูงแบบเธอที่จะได้หยุดพักยาว ๆหญิงสาวเลือกที่จะไปหาครอบครัวที่อยู่นอกเมือง เพื่อใช้เวลาทั้งหมดกับพ่อแม่และน้องสาว ผู้พันสาวเอื้อมมือไปปิดเพลง เมื่อเห็นได้ถึงความผิดปกติจากรถคันหลัง“วันพักผ่อนของฉันแท้ ๆ”หญิงสาวเอื้อมไปหยิบปืนที่อยู่เบาะข้างคนขับ มาวางไว้บนตักเพื่อเป็นการไม่ประมาท ถึงเธอจะไม่ได้เปิดเผยเรื่องหน้าที่การงานให้ใครรู้มากนัก แต่จะว่าไปแล้วคนในมักมีเกลือเป็นหนอนตัวตนของเธออาจถูกเปิดเผย กับพวกธุรกิจสีมืดไปบ้างแล้วก็ได้ หญิงสาวเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทาง เพราะไม่อยากนำอันตรายไปหาครอบครัวและดูเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่นั้น จะเป็นเรื่องจริงเสียซะแล้ว เพราะรถสองคันด้านหลังเปลี่ยนทิศทางตามเธอมาติด ๆ ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปิ๊ด! ปี๊ดดดด!!! เสียงแตรรถจากสั้น ๆ เปลี่ยนเป็นลากยาว เพื่อให้รถบรรทุกสองคันด้านหน้า ที่กำลังขับคู่กันมารู้ว่ามีรถอยู่ด้านหน้าตูม! โครม! ทว่ามันกลับไม่เป็นผล รถของผู้พันสาวหักหลบรถบรรทุกเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ตูม! รถบรรทุกหนึ่งใน
“เจ้าอยากเล่นสนุกก่อนสินะ สาวน้อย” ชายหนุ่มยิ้มอย่างคนนึกสนุก ก่อนจะใช้มืออีกข้างปลดมือของหญิงสาวออกอย่างช้า ๆ ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาว แสดงออกถึงความท้าทาย ทั้งยังปล่อยให้เขาปลดมือนางออกอย่างว่าง่าย ร่างสูงก้าวคร่อมเหนือร่างหญิงสาว ก่อนที่จะก้มลงเพื่อหวังเชยชมความหอมหวานของสาวบริสุทธิ์ ปึก! ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าเขียวคล้ำสลับขาวซีด เมื่อจุดลับถูกกระแทกอย่างแรง ด้วยเข่าของคนใต้ร่าง ชายหนุ่มเจ็บแค้นนัก จึงใช้มือคว้าเข้าที่ลำคอของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงบีบด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว หญิงสาวจ้องเขม็งที่ใบหน้าของชายหนุ่มไม่คิดหลบ แม้ว่าอากาศที่เข้าไปในปอดจะน้อยนิดก็ตามที หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผั๊วะ! ฝ่ามือสองข้างตบเข้าที่หูทั้งสองของชายหนุ่ม โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันคิดสิ่งใด นิ้วเรียวทิ่มเข้าที่หน่วยตาของเขาอย่างรวดเร็ว “อ๊าก!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เรียกให้คนด้านนอกทั้งสี่รีบพุ่งเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นสภาพของสหาย ที่คดคู้อยู่กับพื้น ส่วนหญิงสาวที่คิดว่าสิ้นสติ กำลังยืนจังก้าพร้อมท่อนไ
“ขาวหรือดำเล่า” อวิ๋นชีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่ายังคงแหบแห้งอยู่มาก “ฮ่า ๆ ดี ๆ ข้าชอบความตรงไปตรงมาของเจ้านัก ตาแก่อย่างข้าเป็นผู้เรียนรู้ยาสมุนไพรและการต่อสู้พอได้ป้องกันตัว ไม่ชอบความดำมืดเพราะมันเหนื่อย ข้าเป็นคนขี้เกียจ” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก “ถามแค่นิดเดียว ตอบเสียอ้อมขุนเขา” อวิ๋นชีพูดด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย คนตรงหน้านางน่ากลัวใช่เล่น เพราะคนที่มองทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน เท่าที่เธอเคยสัมผัสกับคนประเภทนี้ บอกเลยว่าเป็นคนที่มากด้วยเรื่องภายในใจ และถ้าลงมือเมื่อไหร่ไม่มีคำว่าปราณี “บ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้ พอพูดได้ก็วาจาเลาะร้ายเชียวนะ ตกลงเจ้าจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่” “ศิษย์คารวะ ท่านอาจารย์” ร่างบางคุกเข่าลงประสานมือ เหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธคนแบบนี้ได้ เธอขอเลือกก้มหัวเพื่ออยู่รอดในยามที่ตัวเองไร้เรี่ยวแรง ดีกว่าทำตัวผยองทั้งที่ไม่มีอะไรสู้ใครได้ ไม่ว่าตอนนี้จะเรื่องจริงหรือความฝัน สิ่งแรกต้องทำคือแสดงเป็นเจ้าของร่
คำถามของผู้เป็นอา หาได้ละมุนหูแม้แต่น้อย คนพวกนี้อาศัยเงินทองจากบิดาของนาง แต่กลับไม่เคยใยดีนางเท่าที่ควร สายตาที่เปลี่ยนไปของหลานสาว ทำให้เชียวหลางขมวดคิ้วจนชิดกัน เขากลับมาจากการค้า ก็ได้ยินว่าหลานสาวหนีออกไปเที่ยวเล่นยังไม่กลับบ้านมาหลายวัน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีโทสะอยู่แล้ว แต่จากที่เขาเห็นในตอนนี้เห็นทีต้องสืบสาวราวเรื่องให้ดี หาไม่แล้วคงต้องมีเรื่องใหญ่โตเกิดข้นเป็นแน่ กระดาษกับพู่กันถูกนำมาให้แก่เชียวอวิ๋น เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ผู้เป็นอา หญิงสาวมองเลยไปยังอาสะใภ้ ก่อนจะจรดปลายพู่กันเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นลงไปแน่นอนว่าก่อนกลับมา นางเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี พยานที่มีย่อมยากที่ใครจะชนะได้ เพราะตัวนางยังต้องก้มหัวให้แก่เขา หญิงสาวยื่นส่งกระดาษให้แก่ผู้เป็นอา ก่อนจะมองไปยังห่อผ้าที่อยู่บนพื้นตรงหน้าของสาวใช้เมื่อเห็นสายตาของคุณหนู สาวใช้รีบคว้าห่อผ้าแล้วซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ทุกการกระทำหาได้รอดพ้นสายตาของเชียวหลาง เขาได้พยักหน้าให้แก่คนสนิทเข้าคุมตัวสาวใช้เอาไว้“เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ่าวที่ละเลยต่อนาย จะต้องรับโทษเช่นไร”“นายท่านบ่าวมิได้ทำนะเจ