***นิยายชุดเจ้าสาว***สาวมั่นที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ถูกบุพการีขีดเส้นให้ต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เธอมีหรือจะยอม หากแต่"ธีร์ภาณุ" นายเล็กแห่งไร่แสงตะวันชายหนุ่มอายุสามสิบสอง ซึ่งเป็นที่หมายปองของสาวๆครึ่งค่อนจังหวัด ที่ดูเหมือนจะตกหลุมรักเจ้าสาวของตัวเองตั้งแต่เจอหน้ามีหรือจะยอมง่ายๆ งานนี้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็คงต้องใช้คาถา ให้มันรู้ไปว่าเขาจะปราบเจ้าสาวแสนพยศได้หรือเปล่า ก็ในเมื่อฝ่ายสนับสนุนของชายหนุ่มคือทั้งพ่อแม่ของเขาและเธอ ก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ว่าใครถือไพ่เหนือกว่า
View More“หนูไอไม่แต่งค่ะคุณแม่ มันหมดสมัยคลุมถุงชนแล้วนะคะ แล้วหนูไอก็ไม่ได้รักผู้ชายคนนั้นด้วย” ไอรักพูดเสียงดังอย่างโมโห
“แต่หนูไอก็น่าจะรู้ว่าไม่มีใครขัดใจป๊าได้นะลูก”
มารดาพยายามเกลี้ยกล่อมบุตรสาว ที่ตอนนี้นั่งชักสีหน้าแสดงถึงความไม่พอใจอย่างมาก อยู่บนเตียงนอนของตนเอง
“แล้วอีกอย่าง ถึงตอนนี้ไม่ได้รัก เดี๋ยวอยู่ๆ กันไปก็รักกันเองแหละลูก”
ไอรักหันขวับจ้องมองมารดาอย่างเอาเรื่อง
“ไม่มีทางเป็นไปได้ค่ะ หนูไอมีแฟนแล้ว หนูไอโตแล้วนะคะ บรรลุนิติภาวะแล้ว หนูไอไม่ยอม”
ไอรักยอมโกหกว่ามีแฟนเพื่อเอาตัวรอด
ผู้เป็นมารดาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจเต็มที เดินเข้าไปกอดลูกแล้วลูบศีรษะเบาๆ
“หนูไอ...แม่เข้าใจเหตุผลของลูกทุกอย่าง แต่มีเหตุผลหนึ่งที่หนูไอลืมไปหรือเปล่า?” ไอรักหันกลับมามองหน้ามารดาก็พบสายตาที่อ่อนโยนแต่จริงจัง
“ความเหมาะสมไงจ๊ะ ผู้ชายคนที่ป๊าเลือกให้ เป็นเจ้าของไร่อ้อยพันกว่าไร่ทางภาคตะวันตก และครอบครัวของเขาก็มีกิจการท่าข้าวที่มีส่วนในการเอื้อกับธุรกิจของเรา แม่ไม่อยากบังคับหนูไอ แต่แม่รู้ว่าหนูไอจะเข้าใจความหวังดีของป๊ากับแม่ และเข้าใจคำว่าความเหมาะสมนะ”
หญิงสาวนิ่งเงียบกับเหตุผลที่ได้ฟัง ใช่สินะ...ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของบิดาทำให้เธอต้องตั้งใจเล่าเรียน แล้วก็ต้องเลือกเรียนการบริหารธุรกิจ และก็ต้องเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังตามที่บิดาต้องการ เพื่อที่จะกลับมาช่วยกิจการค้าข้าวให้กับบิดา ‘เสี่ยอิน’ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทค้าข้าวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
ชีวิตเธอถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดว่าจะต้องเรียนอะไร เป็นอะไร แล้วนี่ยังจะต้องมาถูกกำหนดว่าต้องใช้ชีวิตร่วมกับใครอีกหรือ ทุกอย่างคือความเหมาะสมหรือ...นี่มันอะไรกัน เช้านี้ต้องเป็นเช้าที่สดใสสิ เพราะเป็นเช้าวันแรกที่เธอได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนในบ้านของตัวเอง หลังจากที่บากบั่นกับการเรียนมาหลายปี และต้องไปใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ในกรุงเทพฯ โดยที่ไม่ได้กลับบ้านมาตลอดสี่ปี เพราะบิดาบอกว่าต้องการให้เธอเข้มแข็ง รู้จักการเอาตัวรอด แล้วนี่อะไรทำไมเธอต้องตื่นมาเจอกับคำบอกเล่าของมารดา ที่เป็นคนนำสารจากบิดามาบอกว่า เส้นทางชีวิตของเธอได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกทั้งชีวิตกับใคร
“อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปคุยกับป๊าข้างล่าง แม่เชื่อว่าหนูไอโตพอที่จะรู้ว่าความเหมาะสมคืออะไร ป๊ารอทานมื้อเช้าอยู่นะ”
มารดาเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้ไอรักใช้ความคิดเงียบๆ คนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากห้องบุตรสาวไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เสียงปิดประตูห้องทำให้ไอรักตื่นจากห้วงความคิด ไม่ได้การแล้ว เธอจะต้องคุยกับบิดาให้รู้เรื่อง เธอจะไม่ยอมให้ใครมากำหนดชีวิตเธอ ที่ผ่านมาเธอยอมบิดามามากแล้ว ต่อไปนี้ถึงเวลาที่เธอจะขอใช้สิทธิ์ในชีวิตของตัวเองบ้าง
ความเหมาะสมงั้นเหรอ เธอก็มีเหตุผลที่เหมาะสมเหมือนกัน และเป็นเหตุผลที่บิดาเธอจะปฏิเสธไม่ได้ ไอรักยิ้มกริ่มกับความคิดของตนเองอยู่คนเดียว
ไอรักแต่งชุดอยู่บ้านตามความเคยชินของตัวเอง เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาสั้น โดยไม่คิดว่ามื้อเช้านี้จะมีแขกพิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะป๊า” หญิงสาวทักทายด้วยสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไรนักเพราะเรื่องที่รับรู้ไปเมื่อเช้านี้ และก็ยิ่งทำท่าทางไม่พอใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มที่เธอไม่รู้จักอีกคนมาร่วมโต๊ะอาหาร
“หนูไอ...นี่คุณธีร์ภาณุจ้ะ พี่เขาเป็นลูกชายของเพื่อนป๊า” มารดาเอ่ยขึ้นเหมือนจะบอกให้เธอทราบว่า อย่าเสียมารยาทกับแขกพิเศษคนนี้
“สวัสดีค่ะ” ไอรักยกมือไหว้ชายหนุ่มแบบไม่ใส่ใจนัก แล้วนั่งลงเก้าอี้ตรงกันข้ามกับเขา หญิงสาวก้มหน้าก้มตาทานอาหารเช้า โดยที่เธอไม่ได้สังเกตใบหน้าอมยิ้ม และแววตาที่มองมาที่ตัวเธออย่างหมายมาด
“ตามสบายนะตาธีร์ไม่ต้องเกรงใจแม่กับป๊า เรามันทองแผ่นเดียวกัน ตามสบายเลยจ้ะ”
“แคกๆ” ไอรักสำลักข้าวต้ม วางช้อนลง แล้วจ้องตาธีร์ภาณุอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มไม่พูดอะไรมีเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก และคิ้วที่เลิกขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหน้าก้มตา ตักข้าวต้มใส่ปากราวกับว่ามันอร่อยนักหนา และไม่ได้สนใจสายตาของเธอ ที่จ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ไอรักหันหน้าไปขอคำอธิบายจากมารดาและบิดา บิดาของเธอจึงพูดขึ้นว่า
“พี่เขาเป็นลูกชายของลุงธงที่ทำไร่อ้อยอยู่ทางภาคตะวันตกไง ป๊าเคยพาหนูไปเยี่ยมสมัยยังเด็กสักครั้งสองครั้งนี่แหละ จำพี่เขาได้ไหม ไม่เจอกันนาน ตอนนี้เป็นหนุ่มจนจำแทบไม่ได้ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย ปีนี้อายุเท่าไรแล้วนะ”
“สามสิบสองครับคุณอา” เสียงทุ้มนุ่มของผู้มาเยือนเอ่ยตอบ
“คุณองคุณอาอะไรกัน ต้องเรียกป๊าสิ” เสี่ยอินพูดอย่างอารมณ์ดี
“แก่!” ไอรักพูดพร้อมกับเบ้ปากเล็กน้อย
“หนูไอ...พี่เขาก็คือว่าที่เจ้าบ่าวของหนูไอนะ” มารดาปรามบุตรสาว
“อะไรนะคะคุณแม่ คุณแม่เพิ่งบอกเรื่องนี้กับหนูไอเมื่อกี้เองนะคะ มันไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ แล้วหนูไอก็ยังไม่ได้ตอบตกลงเลยค่ะ”
“ไปสิ คุณก็ควรจะพักผ่อนเหมือนกันนะ” ขายาวก้าวนำก่อน ขาเล็กจึงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินตาม หัวใจเต้นโครมคราม สมองกำลังคิดไตร่ตรองว่าสิ่งที่ตัดสินใจถูกแล้วหรือนี่เรากำลังจะเต็มใจสูญเสียพรหมจรรย์ทิ้งไว้ที่นี่เหรอ เอาจริงใช่ไหม ถอยตอนนี้ทันไหม เอายังไงดีในขณะที่สมองทำงานอย่างหนัก น่านน้ำไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าประตูถูกปิดลงแล้ว และเธอก็ถูกจูงมานั่งบนเตียงกว้างกลางห้อง ภูชิตปล่อยมือบางแล้วเอนตัวลงนอนทันที ปล่อยหญิงสาวที่นั่งหลับตาปี๋รอคอยอย่างคาดหวัง เมื่อรอจนนานแล้วยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกาย ตากลมโตจึงเปิดขึ้น แล้วหันไปมองคนที่นอนหลับตาพริ้ม น่านน้ำไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือโล่งใจดี หญิงสาวหันรีหันขวาง ความเงียบรอบกายและอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้คนที่นอนน้อยตัดสินใจเดินตรงไปที่โซฟาตัวใหญ่ ร่างบางนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มแล้วเอนตัวลงนอน ไม่ถึงห้านาทีน่านน้ำก็เข้าสู่ห้วงนิทรา หลับสนิททันที&nbs
จริงจัง?“ผมหมายความว่ามันดูสมเหตุสมผลที่จะเอาคุณไปอ้าง” น่านน้ำถอนหายใจแรง ใจเต้นกับคำว่าจริงจังนี่สินะพรหมลิขิต เราต่างก็จริงจังต่อกัน“ก็ได้ค่ะคุณภูชิต น้ำถือว่ายังอยู่ในเนื้องาน” จะให้ตอบตกลงใบหน้ายิ้มแป้นก็กระไรอยู่ เป็นผู้หญิงมันต้องมีชั้นเชิง น้ำเสียงที่ใช้จึงค่อนข้างราบเรียบ“ไหน...เรียกใหม่ซิ”“ค่ะ...คุณภูขา” คนถูกเรียกกลั้นยิ้มไว้ภายใต้หน้าตานิ่งเฉย คนที่เอ่ยเรียกใจเต้นโครมคราม เมื่อคิดว่าสิ่งที่หวังใกล้ความจริงไปทุกขณะ“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคุณภูชิตจะมีคู่หมั้นแล้ว” กำนันช้างผู้
น่านน้ำมองตามแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับประตูห้องน้ำที่ปิดตามมา ประโยคที่เธอได้ยินก่อนที่ประตูห้องน้ำจะปิดสนิท ทำให้หญิงสาวรีบกระโจนลงจากเตียงกว้างทันที“ถ้าจะอาบน้ำพร้อมผมก็ตามเข้ามาได้เลยนะ ประตูไม่ได้ล็อก”ขาเรียวเล็กรีบพาเจ้าของร่างออกจากห้องกว้างทันที ภูชิตยื่นหน้าออกมาจากห้องน้ำ ทันเห็นหลังไวๆออกจากห้องไป เขาส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มกับตัวเอง“คนอะไรเนื้อนุ่มเนียนน่าฟัดไปทั้งตัว หึๆ”เมื่อคืนกว่าน่านน้ำจะข่มตานอนได้ก็ย่างเข้าสู่วันใหม่แล้ว เธอนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง คิดทบทวนเรื่องราวตอนหัวค่ำ ทั้งๆที่แอบปลื้มเจ้านายหนุ่ม แต่ทำไมเมื่อเขารุกประชิดร่าง เธอกลับรู้สึกหวาดกลัว อย่างนี้อาจจะทำให้สิ่งที่เธอหวังไม่สำเร็จ เอาล่ะ...ต่อนี้ไปเธอต้อง
“เอ่อ...น้ำยอมแล้วค่ะ คุณภูชิตลุกขึ้นก่อนนะคะ” เสียงหวานอ้อมแอ้มบอกอย่างยอมจำนน คนที่ได้สัมผัสความนุ่มนิ่มถอนหายใจยาว เขายังไม่อยากลุก กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆทำให้ใจเต้นแรง และรู้สึกดีอย่างประหลาด“ลุกสิคะ” คิ้วเข้มเลิกสูง ไม่เข้าใจว่าเธอจะทำอะไร น่านน้ำเหมือนจะเดาใจออกว่าชายหนุ่มสงสัย“ก็เดี๋ยวน้ำจะถอดชุดออกให้คุณภูชิตตรวจดูไง คุณภูชิตไม่ต้องลำบากมาถอดให้น้ำหรอกน่า” พูดอย่างใจกล้าแต่หัวใจแทบจะวายอยู่แล้ว ภูชิตยิ้มราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูด แต่ก็ยอมลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างร่างบาง รอดูว่าคนใจกล้าจะถอดเสื้อผ้าให้เขาตรวจสอบจริงๆไหมน่านน้ำยันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่า แววตาไม่มั่นใจฉายชัด หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนออกช้าๆ อย่างยากลำบาก มือเล็กค่อยๆแกะกระดุมเสื้อเม็ดแรก ภูชิตมองตามใจเต้นรัว เขาเคยเห็นมาแล้ว และรู้ดีว่าภายใต้เสื้อผ้าที่บดบังร่างกายนี้อยู่
“ทำอะไรอยู่นะ” ภูชิตพูดเบาๆ เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของคนที่ทำให้เขาหมดอารมณ์ไปต่อกับสาวสวยไฟแรงหุ่นอวบอั๋น มือใหญ่ยกค้าง ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีไหม แต่เนื่องจากสมองยังคิดหาเรื่องราวจะคุยกับคนในห้องไม่ได้ ภูชิตจึงตัดสินใจลดมือลงหันหลังกลับ ไปเปิดประตูห้องของตนแทนเสียงเปิดปิดประตูห้องไม่ได้ทำให้คนที่ยืนอยู่ระเบียงกว้างตกใจ เพราะน่านน้ำไม่ได้ยิน เธอยังคงดื่มด่ำอยู่กับภาพบรรยากาศตรงหน้า ภูชิตจัดการถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้าเตรียมตัวอาบน้ำทันที ร่างแกร่งกำยำเปลือยเปล่ากำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ หากแต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะมุมห้อง“ว่าไงสิน” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์และเสียงทุ้มที่ได้ยินตามมาทีหลัง ทำให้คนที่แอบย่องเข้าห้องนอนอื่นสะดุ้งสุดตัว“คุณภูชิตกลับมาแล้ว เอาไงล่ะทีนี้” น่านน้ำเหลียวซ้ายแลขวา ชะโง
“สวัสดีค่ะคุณศศิพิมล” น่านน้ำยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร หากแต่คนที่ต้องรับไหว้กลับชักสีหน้าไม่พอใจเท่าไร“สวัสดีค่ะคุณน่านน้ำ” ร่างสมส่วนอวบอัดเดินเข้าใกล้ภูชิต มือเรียวจับจองคล้องแขนล่ำอย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ริมฝีปากสีสดแสนเซ็กซี่แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ภูชิตก้มลงมองแขนเรียวที่คล้องแขนตัวเอง แล้วสบตาเจ้าของมือเรียว ใบหน้านิ่งขรึมไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆออกมา เขาหันไปสบตาน่านน้ำอยู่ครู่เดียวก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน พร้อมกับร่างเย้ายวนที่พยายามเบียดกระแซะร่างของเขาจนแทบจะสิงกันอยู่แล้วเมื่อประตูห้องทำงานปิดลงหลังจากที่สองคนนั้นออกไปแล้ว น่านน้ำก้มลงมองหน้าอกตัวเอง มือเล็กกอดอกจับสองเต้าตัวเองแล้วถอนหายใจ“จะสู้เขาไหวไหมน่านน้ำ ซะบะละฮึ่มขนาดนั้น” น่านน้ำทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง และเริ่มคิดเป็นจริงเป็นจังว่า หากต้องเพิ่
“พอทานได้ไหมครับ” คำถามจากภูชิต ทำให้น่านน้ำตื่นจากภวังค์ เพิ่งรู้ตัวว่าสายตาของตัวเองจ้องมองอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม หญิงสาวยิ้มแก้เก้อ เพราะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร“เอ่อ...ได้ค่ะ” ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะก้มลงรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง เพราะหิวหรือเพราะเขินอายที่แอบมองแล้วถูกจับได้ก็ไม่รู้“นายคะ วันนี้ของหวานมีลอดช่องน้ำกะทิ กับบัวลอยไข่หวาน นายจะรับอะไรดีคะ” ภูชิตกับน่านน้ำเงยหน้ามองหญิงสาวในชุดผ้าถุงและเสื้อยืดสีขาวรัดรูปเน้นทรวดทรง ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะอาหารที่ทั้งสองนั่งทานอยู่ ภูชิตพ่นลมหายใจออกเบาๆ นั่นเป็นสิ่งที่น่านน้ำสังเกตเห็นแวบเดียวเท่านั้น“คุณน้ำทานอะไรดีครับ” ภูชิตไม่ตอบคำถามของหญิงสาวที่ยืนยิ้มส่งสายตาวิบวับให้ตนเอง แต่กลับหันมาถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าแทน
“ก็ได้ครับ ผมจะให้โอกาสคุณแล้วกัน พรุ่งนี้เราจะเริ่มงานกันจริงๆเสียที หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องเลื่อนวันเริ่มงานอีกนะครับ” น่านน้ำคลี่ยิ้มกว้าง ยิ้มหวานบนในหน้าเนียนกับแววตาสดใสบ่งบอกว่าดีใจสุดขีด ทำให้หัวใจของภูชิตกระตุกวูบไหวอีกแล้ว“ขอบคุณมากค่ะ น้ำสัญญาว่าจะทำงานให้สุดความสามารถเลยค่ะ” ภูชิตพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป เมื่อประตูห้องถูกปิดลง“คุณได้อยู่ต่อนะจ๊ะ คุณน่านน้ำ” น่านน้ำบอกกับตัวเองแล้วลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น โดยไม่สนใจเสื้อคลุมที่หล่นไปกองอยู่กับพื้น เธอกระทืบเท้ากรี๊ดในลำคอ ดีใจที่ยังมีโอกาสอยู่พิชิตใจเจ้านายหนุ่ม ร่างเล็กหมุนตัวอย่างมีคนมีความสุขสุดๆ จนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดออกอีกครั้ง“เอ่อ...คุณน่านน้ำผมรอทานขะ...” ภูชิตอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น น่านน้ำหยุดทุกการเคลื่อนไหวอ้าปากค้างตาโตและรีบหันหลังให้คนที่โผล่หน้าเข้ามา ภูชิตรีบดึงประตูปิด เขาหอบหายใจแรงราวกับเด็กหนุ่มเพิ่งเคยเห็นเนื้อนวลสาวครั้งแรก“ขะ...ขอโทษครับ ผมรอทานข้าวนะครับ” น่านน้ำรีบวิ่งไปกดล็อกประตู ก่อนที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกไป“ค่ะ”
ภูชิตเปิดประตูรถออกแล้ววางร่างบอบบางไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับ มือใหญ่จับโน่นถอดนี่อย่างว่องไวไม่เว้นแม้แต่ชั้นในตัวจิ๋วสองชิ้น น่านน้ำตกใจหัวใจหล่นไปกองที่ตามตุ่ม ครั้นจะยกมือปัดป้องหรือเอ่ยปากว่าไม่เป็นไรแล้ว ก็ไม่ทันการณ์ นั่นยิ่งจะทำให้มารยาเล่มแรกที่เธองัดมาใช้ถูกเขาจับได้ เสียเชิงหญิงอย่างเธอกันพอดี คนตัวเล็กจึงจำใจหลับตาไว้อย่างนั้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผิวเนื้อเนียนขาวโพลนของตัวเอง ตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงเรื่อขึ้นจนทั่วร่าง ด้วยความสะเทิ้นอาย หากแต่ภูชิตไม่ได้สังเกตเพราะเขารีบถอดเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของตนมาคลุมร่างของหญิงสาวไว้ทันที และถึงจะไม่ทันได้สังเกตผิวเนื้อเนียนที่เปลี่ยนสี สายตาคมกล้าก็อดไม่ได้ที่ชำเลืองมองทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสมาแล้ว และรู้ว่าหยุ่นเด้งเพียงใดภูชิตรวบพันเสื้อผ้าและชั้นในเปียกน้ำเอาไปวางไว้ท้ายกระบะ ร่างใหญ่วิ่งไปเปิดประตูด้านคนขับ แล้วขึ้นนั่งประจำที่ หลังจากสตาร์ทรถแล้วภูชิตจึงรู้ว่าลืมปิดประตูอีกด้าน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยื่นแขนยาวและโน้มตัวไปดึงประตูปิดช้าๆ กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆ
Comments