จ้านเป่ยว่างจนใจเล็กน้อย "ทำไมต้องหาเรื่องด้วยล่ะ? นี่คือพระราชทานสมรสที่ฝ่าบาทออกให้ และแม้ว่ายี่ฝางจะเข้ามา พวกเจ้าก็อยู่คนละเรือนกัน และนางก็จะไม่แย่งชิงสิทธิในการบริหารครอบครัวกับเจ้า ซีซี สิ่งที่เจ้าให้สำคัญนั้นนางไม่สนหรอก""ท่านคิดว่าข้าสนใจอยากกุมอำนาจดูแลบ้านเหรอ?" ซ่งซีซีถามกลับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดูแลจวนแม่ทัพ แค่ยาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินในแต่ละเดือนก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึง ไหนจะของกินของใช้ของทุกคน ไหนจะมีญาติพี่น้องและเพื่อนต้องติดต่ออีก ต้องใช้เงินไปหมดจวนแม่ทัพมีแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา เงินสินเดิมของนางใช้อุดหนุนไปไม่น้อยเลย แต่นี่คือผลที่นางแลกมางั้นหรือจ้านเป่ยว่างหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง "ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียน้ำลายกับเจ้า ข้าแค่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบเรื่องก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้"ซ่งซีซีเฝ้าดูเขาเดินจากไปอย่างเย็นชา รู้สึกตัวเองน่าขำมากทีเดียว"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ "ท่านเขยเขารังแกคนมากเกินไปจริงๆ""อย่าเรียกไปมั่ว!" ซ่งซีซีเหลือบมองนางเบาๆ "เขาและข้ายังไม่ได้
เป่าจูหยิบรายการสินเดิมมา "ในเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านได้อุดหนุนเงินไปมากกว่าหกพันตำลึง แต่ร้านค้า บ้านพัก และสวนต่างไม่ได้แตะต้องเลย ใบรับรองเงินฝากของฮูหยิงที่เก็บไว้ในร้านฝากเงินตอนมีชีวิต และโฉนดบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกล่องแถมได้ปิดไว้เรียบร้อย""อืม!" ซ่งซีซีดูรายการนั้น ท่านแม่ของนางให้สินเดิมก้อนโตแก่นางในเวลานั้น คงกลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ในครอบครัวของสามี และนางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงขึ้นมาเป่าจูถามอย่างเศร้าๆ จากด้านข้าง "คุณหนู เราจะไปที่ไหนได้บ้าง หรือว่าจะกลับจวนโหวเหรอ ไม่งั้นเรากลับภูเขาเหม่ยชานดีไหม"สายตาของนางแวบภาพที่ทั้งจวนเต็มไปด้วยเลือดและศพอันน่าสลดใจของคนในครอบครัว นางรู้สึกเจ็บปวดใจทันที "ไปไหนก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่""พอท่านไปแล้ว มันก็ให้พวกเขาได้สมหวังสินะ"ซ่งซีซีพูดดรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาได้สมหวังเถอะ หากข้าอยู่ต่อ ก็จะใช้ชีวิตอย่างทรมานเมื่อต้องเห็นพวกเขารักใคร่กัน เป่าจู ยามนี้ จวนโหวเหลือข้าเพียงคนเดียว ข้าต้องอยู่ดีกินดีเพื่อที่พ่อแม่และพี่ๆ ของข้าที่อยู่ในสวรรค์ได้หายห่วง""คุณหนู!" เป่าจูร้องไห้อย่างหนัก นางเป็นผู้รับใช้ที่
ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนยิ้ม "จะชอบหรือไม่ยังให้คำตอบไม่ได้ เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว ต่อไปนางและเป่ยว่างร่วมือกันเพื่อสร้างผลงานในกองทัพ ส่วนเจ้าจัดการดูแลเรื่องฝ่ายในของจวนแม่ทัพ เพลิดเพลินกับความสำเร็จทางการทหารที่พวกเขาต่อสู้มา ช่างดีเหลือเกิน""ดีจริงๆ!" ซ่งซีซียิ้ม "แต่ให้แม่ทัพยี่เป็นแค่อนุภรรยาคงไม่เหมาะกับสถานะของนางสินะ"ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วกล่าวว่า "เจ้าเด็กโง่เอ๊ย นางจะเป็นแค่อนุภรรยาได้ยังไง ในเมื่อฝ่าพระบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว อีกอย่างนางยังเป็นผู้บัญชาการทหาร เป็นข้าราชการในราชสำนักด้วย ข้าราชการจะเป็นอนุภรรยาได้ยังไง เป็นภรรยาที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่า"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่มีใครเหนือกว่างั้นเหรอ ราชวงศ์ของเรามีกฎเช่นนี้หรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าดูเย็นชาเล็กน้อย "ซีซี เจ้าเป็นคนมีเหตุผลเสมอ ในเมื่อเจ้าได้แต่งเข้าตระกูลจ้านแล้ว ควรตามกฏของตระกูลจ้านก่อน หลังจากได้รับตรวจสอบโดยกระทรวงกลาโหมแล้ว ยี่ฝางสร้างผลงานโดดเด่นกว่าเป่ยว่างในสงครามครั้งนี้ ต่อไปสองสามีภรรยาพวกเขามีใจเดียวกันกัน บวกกับมีเจ้าดูแลฝ่าย
คนของตระกูลจ้านต่างมองหน้ากัน คิดไม่ถึงว่าซ่งซีซีมักจะที่อ่อนแอนั้น ยามนี้จะเด็ดขาดเช่นนี้ยิ่งกว่านั้นนางไม่ยอมเชื่อฟังท่านแม่ด้วยซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างเย็นชา "นางต้องยอมแน่นอน นางไม่มีทางเลือกอื่น"ใช่ไง บัดนี้นางไม่มีครอบครัวที่ให้พึ่งพา นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ในตระกูลจ้าน ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจ้านไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีต่อนาง นางยังเป็นภรรยาเอกเช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งซีซีนำเป่าจูกลับจวนโหวเจิ้นเป่ยภายในจวนก็รกร้าง ใบไม้ร่วงหล่นกองอยู่อย่างไรก็ตาม ไม่มีคนดูแลมาครึ่งปีแล้ว และลานบ้านของจวนโหวมีวัชพืชที่สูงพอๆ กับผู้ใหญ่ได้เมื่อเหยียบเข้าไปในจวนโหวอีกครั้ง ซ่งซีซีก็รู้สึกเจ็บใจจนเหมือนโดนมีดแทงใจเมื่อหกเดือนก่อน นางตกใจเมื่อได้ยินว่าครอบครัวของนางถูกสังหารไปหมด นางทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าศพของท่านย่าและท่านแม่ พวกนางหนาวมากจนไม่มีความอบอุ่นแม้แต่นิดเลย และทุกที่ของจวนก็เปื้อนไปด้วยเลือดหมดมีห้องโถงของบรรพบุรุษอยู่ในจวนโหว และป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษของตระกูลซ่งและท่านแม่ของนางล้วนอยู่ในห้องโถงของบรรพบุรุษนางและเป่าจูกำลังเตรียมเครื่องบูชา และน้ำตาของพวกนางก็ไม่เคยหยุด
ซ่งซีซีคุกเข่าในห้องอ่านหนังสือของจักรวรรดิ ลดศีรษะลงพลางหรี่ตาลงจักรพรรดิ์ซูชิงจำได้ว่าทั้งครอบครัวจวนโหวเจิ้นเป่ยตอนนี้เหลือนางเพียงคนเดียวแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารขึ้นมา "ลุกขึ้นค่อยพูด!"ซ่งซีซีประสานมือแล้วกราบ "ฝ่าบาทเพค่ะ ที่หม่อมฉันมาขอพบในวันนี้ถือว่าทำตัวล่วงเกินไปจริงๆ แต่หม่อมฉันอยากขอเรื่องหนึ่งจากฝ่าบาทเพค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงว่า "ซ่งซีซี ข้าได้ออกพระราชโองการแล้ว และไม่สามารถกลับคำได้"ซ่งซีซีส่ายหัวเบาๆ "หม่อมฉันขอร้องฝ่าบาทออกพระราชโองการให้หม่อมฉันกับแม่ทัพจ้านหย่าโดยสันติเพค่ะ"จักรพรรดิ์หนุ่มตกใจ "หย่า? เจ้าต้องการหย่าหรือ?"เดิมทีเขาคิดว่านางมาที่นี่เพื่อขอร้องให้เขาถอนพระราชโองการกาแต่งงาน แต่ไม่ได้คาดคิดว่านางมาขอออกพระราชโองการให้หย่าโดยสันติซ่งซีซีกลั้นน้ำตา "ฝ่าบาทเพค่ะ แม่ทัพจ้านและแม่ทัพยี่ใช้ผลงานการเอาชนะศึกเพื่อขอพระราชทานอภิเษกสมรส วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของท่านพ่อและพี่ชายของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ต้องการใช้ผลงานทางทหารของพวกเขาเพื่อขอพระราชโองการให้หย่า หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้!"ดวงตาของจักรพรรดิ์ซูชิงมีความซับซ้อน "ซีซี เจ้ารู้ห
หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป อู๋ต้าปั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอกแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท ไทโฮ่วได้ส่งคนมาที่นี่ เพื่อตามหาฝ่าบาทหาเวลาไปพบพะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงถอนหายใจ "อาจเป็นเพราะเรื่องของซีซี ทำให้นางวิตกกังวลเข้าแล้ว ไปกันเลย"ดอกโบตั๋นในตำหนักโซ่วคังกำลังบานสะพรั่ง งดงาม มีกลิ่มหอมด้วยและดอกกุหลาบที่เลื้อยตามกำแพงตำหนักก็บานสะพรั่งอย่างสวยงามเช่นกันไทโฮ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาลีที่มีพนักพิงในห้องโถงใหญ่ สวมชุดคลุมสีม่วง และมีหยกขาวอยู่ในมวยของนาง ด้วยใบหน้าซีดเซียว"กระหม่อมคารวะเสด็จแม่พะย่ะค่ะ!" จักรพรรดิ์ซูชิงก้าวไปข้างหน้าและคารวะด้วยไทโฮ่วมองดูเขา ให้คนรับใช้ต่างๆ ออกไปแล้วถอนหายใจ "พระราชทานอภิเษกสมรสที่เจ้าออกให้นั้น ใช้ไม่ได้จริงๆ เจ้าทำแบบนี้ ทั้งผิดต่อท่านโหวซ่ง ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผู้คนในใต้หล้าอีกด้วย"เสียงของไทโฮ่วค่อยๆ เข้มขึ้น "ในราชวงศ์ซางมีกฎหมายอยู่ ขุนนางในราชสำนักไม่ได้รับอนุญาตให้รับอนุภรรยาภายในห้าปีหลังจากแต่งงาน ห้าปีเป็นเวลาที่สั้นมากแล้ว ตามที่ข้าคิด เว้นแต่เกินอายุสี่สิบแต่ยังไม่มีบุตรถึงจะแต่งอนุภรรยาได้ ตอนนี้เจ้าออกพระราชทาน
วันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยว่างเข้าไปในพระราชวังตามคำสั่ง เดิมทีเขาคิดว่าพอเข้าไปในวังแล้วก็สามารถเจอกับฝ่าบาทได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้เขาเป็นคนโดดเด่นในราชสำนักโดยไม่คาดคิด เขารออยู่นอกห้องหนังสือหลวงเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม ก่อนที่อู๋ต้าปั้นจะออกมาและพูดว่า "ท่านแม่ทัพจ้าน ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ เขาบอกว่าให้ท่านกลับก่อน เดี๋ยวจะค่อยเรียกท่านมาใหม่ในวันอื่นขอรับ"จ้านเป่ยว่างมีสีหน้าประหลาดใจ เขารออยู่นอกห้องหนังสือมานานขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีขารชาการคนใดเข้าออก แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอภิปรายเรื่องการเมืองกับข้าราชบริพารเขาถามว่า "อู๋กงกง เดิมทีฝ่าบาททรงเรียกข้ามาเพื่ออะไรหรือ"อู๋ต้าปั้นพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ"จ้านเป่ยว่างรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าเข้าไปถามฝ่าบาทโดยตรง "รบกวนกงกงเตือนข้าสสัดหน่อยว่าใช่ข้าทำผิดอะไรหรือไม่?"อู๋ต้าปั้นยังคงยิ้มและกล่าวว่า "ท่านแม่ทัพเพิ่งกลับมาอย่างมีชัย เป็นวีรบุรุษของบ้านเมือง จะมมีผิดที่ไหนกัน""แล้วฝ่าบาท..."อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและพูดว่า "ท่านแม่ทัพ โปรดกลับก่อนเถอะขอรับ"จ้านเป่ยว่างยังต้องการถามต่อ แต่อู๋ต้าปั้นไ
จ้านเป่ยว่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงพูดอย่างเย็นชาว่า "นี่มันข้าขอด้วยความผลงานในการออกศึก หากพระองค์ถอนพระราชกฤษฎีกาของเขาจริงๆ มันจะทำให้ทหารผิดหวังแน่ๆ วันนี้พระองค์ทรงเรียกข้าไปพบ แต่ก็ไม่ยอมพบข้า อาจเป็นเพราะเจ้าฟ้องว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ซ่งซีซี ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ข้าเมตตากับเจ้ามามากพอแล้วจริงๆ""ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวดีๆ หยุดสร้างปัญหา หลังจากที่ข้าแต่งงานกับยี่ฝาง ข้าจะให้เจ้ามีลูกเป็นของตัวเองด้วย และเจ้าก็จะมีที่พึ่งพาในชีวิตที่เหลือ"ซ่งซีซีลดสายตาลง แล้วพูดเบาๆ "เป่าจู่ ส่งแขก!"เป่าจูยืนขึ้นแล้วพูดว่า "ท่าแม่ทัพเชิญเจ้าคะ!"จ้านเป่ยว่างเดินจากไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดอะไร น้ำตาของเป่าจูก็ไหลออกมาราวกับลูกปัดที่แตกสลายซ่งซีซีเดินเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง "เป็นอะไรอีก?""ข้าน้อยรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนู คุณหนูไม่รู้สึกน้อยใจหรือ?" เป่าจูถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "น้อยใจสิ แต่ร้องไห้จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ล่ะ สู้คิดหาทางออกเพื่อให้เราสองคนมีชีวิตที่ดีจะดีซะกว่า ตระกูลซ่งจะมีคนอ่อนแอที่ไหนกัน"เป่าจูเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และเบ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงกำหนดให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นที่อุทยานบุปผาหลวง สำนักพระคลังได้เตรียมการล่วงหน้ามาเป็นเวลานาน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เหลือเพียงรอวันพิธีมาถึงเท่านั้น ในวันที่ยี่สิบห้าของเดือนสิบสอง องค์ชายทั้งหลายยังคงฝึกซ้อมขี่ม้าอย่างเข้มงวด แม้แต่องค์ชายสามก็ยังเข้าร่วมการฝึก องค์ชายสามยังต้องให้คนอุ้มขึ้นหลังม้า แต่ข้อดีของพระองค์คือความกล้าหาญ พระองค์ปฏิบัติตามที่เสด็จอาสอนอย่างเคร่งครัด จับบังเหียนแน่นแล้วควบม้าไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี ในขณะที่พระองค์ควบม้า เซี่ยหลูโม่ก็จัดให้มีคนคอยประกบตลอด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ส่วนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนั้น ฝึกจนชำนาญแล้ว การควบม้าตะลุยไปข้างหน้าหาใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา ม้าของพวกเขาล้วนเป็นลูกม้าพันธุ์จ้าวหง (ม้าแดงด่าง) ซึ่งอุปนิสัยอ่อนโยนและควบคุมได้ง่าย เมื่อถึงสองทุ่ม เซี่ยหลูโม่ได้กล่าวเตือนพวกเขาเกี่ยวกับข้อควรระวังในวันพรุ่งนี้ และสอนวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพิ่งกล่าวจบ พระสนมเต๋อเฟยก็ส่งคนมารับองค์ชายรอง เดิมทีองค์ชายรองคิดจะกลับไปตำหนักฉือหนิงพร้อมกับพี่ชายทั้งสองเพื่อกินอาหารว่างยามดึก
องค์ชายใหญ่โอบต้นไม้ไว้ทั้งสองมือ ขยับเข้าไปแนบใบหน้ากับลำต้น แววตาเต็มไปด้วยความสับสน "ไม่รู้สิ เสด็จแม่ดีกับข้ามาโดยตลอด แต่วันนั้น…ท้องของข้าปวดมาก ปวดจนอยากตายเลย" องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วหันไปถามรุ่ยเอ่อร์ "ท่านอาน้อยของเจ้าดีต่อเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่รู้อยู่แล้วว่ามารดาของรุ่ยเอ่อร์สิ้นไปแล้ว เดิมทีพระองค์เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อโตขึ้น พระองค์ก็เริ่มเข้าใจจิตใจผู้อื่น และรู้ว่ารุ่ยเอ่อร์เป็นสหายที่ดี จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องที่อาจทำให้เขาเศร้า เสด็จย่าเคยตรัสไว้ว่า การเป็นสหายที่ดี ต้องรู้จักใส่ใจความรู้สึกของกันและกัน รุ่ยเอ่อร์ตอบว่า "ท่านอาน้อยดีกับข้ามาก ดีเป็นพิเศษเลยล่ะ" "แล้วเจ้าคิดว่าท่านอาน้อยของเจ้าจะยอมวางยาพิษเจ้าเพียงเพราะเป้าหมายบางอย่าง ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจนแทบเอาชีวิตไม่รอดหรือไม่?" รุ่ยเอ่อร์แทบไม่ต้องคิด รีบตอบทันทีว่า "ไม่มีทาง!" "แล้วถ้าเพื่ออนาคตของเจ้าเล่า?" ครานี้รุ่ยเอ่อร์นิ่งไปเล็กน้อย มิได้ตอบในทันที เขาเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นขอทานมาก่อน ย่อมเข้าใจโลกเร็วกว่าเด็กทั่วไป หากเขาตอบว่า ‘ไ
องค์ชายใหญ่ถูกบังคับให้อยู่ต่อ ได้แต่มองซ่งรุ่ยและองค์ชายรองเดินออกไปเพื่อเสวย ภายในใจของพระองค์รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่เสด็จย่าเคยสั่งสอนไว้ว่า แม้จะโกรธก็อย่าได้แสดงออกมาโดยง่าย พระองค์จึงเพียงแค่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “เสด็จแม่มีสิ่งใดจะตรัสกับลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” "เจ้า..." ฮองเฮามองดูพระโอรสด้วยความเจ็บปวดและขุ่นเคือง "เจ้าไม่ได้พบเสด็จแม่มานานถึงเพียงนี้ เจ้าไม่คิดถึงเสด็จแม่บ้างหรือ? ไม่มีสิ่งใดจะพูดกับเสด็จแม่เลยหรือ?" องค์ชายใหญ่เหลือบมองพระนาง ก่อนจะหันไปมองหลานเจี่ยนกูกู สายตาของหลานเจี่ยนกูกูเต็มไปด้วยความอ้อนวอน องค์ชายใหญ่เห็นดังนั้นจึงเกิดความลังเล ก่อนจะรีบกล่าวว่า “แน่นอนว่าลูกคิดถึงเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกหิวมาก อยากรีบไปเสวย” กล่าวจบ พระองค์ยังไม่ลืมที่จะถวายบังคมลาไทเฮา จากนั้นก็วิ่งออกไปดั่งสายลม ไล่ตามรุ่ยเอ่อร์และองค์ชายรอง ฮองเฮานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดออกมาเป็นระยะ "เขาไม่เห็นหม่อมฉันเป็นมารดาอีกแล้ว เสด็จแม่พอพระทัยแล้วหรือยัง?" พระนางกล่าวขึ้นในที่สุด เช็ดน้ำตาด้วยท่วงท่าที่แข็งกระด้าง คำพูดนั้น
ทุกคนล้วนเข้าใจกันดี แม้ว่าการแข่งขันขี่ม้านี้ดูเหมือนจะถูกจัดขึ้นเพื่อบรรดาแม่ทัพนายกอง แต่ที่แท้แล้ว จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า องค์ชายใหญ่มีพัฒนาการมากเพียงใดเมื่อเทียบกับช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนเรื่องที่อ้างว่าในวันนั้นองค์ชายใหญ่พลาดพลั้งเพราะปวดท้องนั้น ภายหลังเมื่อใครๆ ได้คิดทบทวนก็เข้าใจได้ หากเจ็บป่วยจริง ย่อมต้องแสดงอาการตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่ว่าเช้าวันนั้นพระองค์ยังคงวิ่งเล่นโลดโผนอยู่เลย ที่สำคัญ พระองค์มิใช่แค่พลาดเป้า แต่กลับร้องไห้โฮออกมา จะมีรัชทายาทที่มีจิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ได้หรือ? เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้น พระนางก็ดีพระทัยนัก รีบไปยังตำหนักฉือหนิง ขอพระราชทานโอกาสจากไทเฮา เพื่อให้ได้พบหน้าพระโอรสสักครา ครานี้ไทเฮาทรงอนุญาต แต่มีข้อแม้ว่าพระนางต้องอยู่ต่อหน้าพระองค์ และห้ามพบกันเป็นการส่วนตัว แม้ว่าฉีฮองเฮาจะอยากพูดคุยกับพระโอรสเป็นการส่วนตัว เพื่ออธิบายเรื่องการวางยา แต่เมื่อตรัสห้ามไปแล้ว ก็ย่อมฝืนมิได้ เพียงแค่ได้พบหน้าก็ถือว่าดีแล้ว พระนางไปถึงตำหนักฉือหนิงในช่วงเย็น คอยรับใช้ไทเฮาขณะเสวย จากนั้นก็ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม จึงได้พบองค์ชา
หลานเจี่ยนกูกูจำต้องลองหาทางไปพบองค์ชายใหญ่ ทว่าเขตตำหนักศึกษานั้นเป็นสถานที่สำคัญ แต่ไหนแต่ไรก็มิอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป นางจึงทำได้เพียงรอคอยอยู่ห่างๆ หวังว่าในยามที่องค์ชายใหญ่ออกจากตำหนักศึกษา กลับไปตำหนักฉือหนิง หรือเดินทางไปยังลานฝึกยุทธ์ จะสามารถมองเห็นพระองค์ได้สักครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น เพราะรอบกายล้วนมีองครักษ์คอยคุ้มกัน บางครั้งแม้แต่เงาก็มิอาจเห็นได้ เพราะองครักษ์ที่ล้อมรอบล้วนตัวสูงใหญ่ องค์ชายใหญ่ถูกขนาบอยู่ตรงกลาง ศีรษะของพระองค์ก็ยังถูกบดบังจนสิ้น นางลองใช้เงินติดสินบนองครักษ์ เพื่อขอให้องค์ชายใหญ่ได้ออกมาข้างนอกสักครึ่งชั่วยาม แต่เหล่าองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นคนของไทเฮา ต่อให้มอบเงินทองมากเพียงใด ก็ไม่เป็นผล ไทเฮาใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการปกป้ององค์ชายใหญ่ กระทั่งฮ่องเต้ต้องการเข้าเฝ้า ก็ยังต้องมีขบวนอารักขาคอยส่งพระองค์ไป ส่วนองค์ชายรองนั้น มีความผ่อนปรนมากกว่าหน่อย เพราะพระสนมเต๋อเฟยครองอำนาจในวังหลังมานาน ได้วางคนของตนไว้ทั่วทุกแห่ง นางมีอำนาจพอที่จะปกป้ององค์ชายรองได้ แต่ถึงกระนั้น ไทเฮาก็ยังลอบส่งคนคอยจับตาดูอยู่ หาใช่เ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในราชสำนักไม่เคยเงียบลงเลย แทบทุกเช้าในที่ประชุมราชสำนัก ต้องมีขุนนางนำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวเสมอ ในที่สุด วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประกาศว่า พระองค์ทรงมีพระทัยเลือกองค์รัชทายาทแล้ว แต่เนื่องจากองค์รัชทายาทยังเยาว์วัย จึงมิได้ประกาศต่อสาธารณะ พระองค์เพียงเขียนพระราชโองการเก็บไว้ แล้วนำไปเก็บรักษาบนขื่อของไทเมี่ยว จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสกลางท้องพระโรงว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่าใครคือองค์รัชทายาท มิได้เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ เช่นนี้ก็เพื่อให้ เสนาบดีมู่และเซี่ยหลูโม่ ไม่ต้องคอยถูกซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ถึงแม้จักรพรรดิ์จะมิได้ตรัสออกมาโดยตรง ทุกคนล้วนคาดเดา บัดนี้องค์ชายใหญ่เลิกเกียจคร้าน เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนขยัน ตั้งใจศึกษา และมีนิสัยอ่อนน้อมขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีซ่งรุ่ย คุณชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วเป็นสหายร่วมศึกษาด้วย ดังนั้น ทุกคนจึงคาดเดาว่าองค์ชายใหญ่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องยากจะคาดเดา ท้ายที่สุดแล้ว องค์ชายใหญ่ครองตำแหน่งรัชทายาท อีกทั้งยังเปลี่
ไทเฮาทรงมีพระราชโองการให้ดูแลพระสนมซูเฟยอย่างเหมาะสม การย้ายตำหนักของพระสนมซูเฟยไปยังตำหนักกุ้ยหลานนั้นเป็นไปเพื่อให้องค์ชายสามได้พักฟื้น ต้องอย่าได้ละเลยดูแลพวกเขา เมื่อไทเฮาทรงเป็นผู้รับสั่งโดยตรง กรมวังย่อมไม่กล้าละเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเสื้อผ้า อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ยังคงได้รับการจัดสรรตามฐานะของพระสนมในตำแหน่งพระสนมชั้นเฟย แต่กระนั้น บรรดาญาติที่ต้องการเข้าเยี่ยมกลับถูกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลเดิม องค์ชายสามจำต้องพักฟื้น ไม่อาจรบกวนได้ หลี่ฮูหยินจึงจำต้องไปขอร้องซ่งซีซี นางขอให้ซ่งซีซีช่วยส่งเงินเข้าไปในวัง เพื่อให้พระสนมซูเฟยสามารถใช้จ่ายดูแลตนเองและบุตร ไม่ให้ต้องลำบากหรือถูกกดขี่จนเกินไป แม้นางจะมิอาจรู้ได้ว่า การแท้งของฝูเจาอี๋เกี่ยวข้องกับพระสนมซูเฟยหรือไม่ แต่นางรู้ว่า ชีวิตของพระสนมที่หมดสิ้นความโปรดปรานนั้นย่อมขมขื่นยิ่งนัก ในวังหลวง ผู้คนล้วนแต่ประจบสอพลอ ต่อให้เมื่อวานยังเป็นที่โปรดปราน วันนี้หากตกต่ำ คนก็พร้อมจะเหยียบย่ำโดยไม่ลังเล ถึงแม้ซ่งซีซีจะปลอบนางว่า ไทเฮาได้ทรงมีพระราชโองการดูแลองค์หญิงสามและองค์ชายสาม ไม่ต้องกังวลมากนัก แต่หลี่ฮูหยินกลับหลั่งน้ำ
พระสนมซูเฟยอ้าปากค้าง นิ่งอึ้งอยู่กับที่ สมองของนางปั่นป่วนไปหมด แต่เมื่อได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงรู้เรื่องแล้วเพียงแต่พวกเขาไม่มีเจตนาจะสืบสวนต่อแต่…นางอยากให้พวกเขาสืบสวนจริงหรือ? หากสืบสวนต่อไป คนแรกที่ต้องถูกลงโทษย่อมเป็นนางเองนางเริ่มรู้สึกเสียใจที่มาสารภาพเสียแล้ว เพราะกลับกลายเป็นว่าก่อให้เกิดโทษแก่ตัวเองโดยสมบูรณ์พระสนมซูเฟยคุกเข่าลง ก้มศีรษะคำนับ แล้วซวนเซออกไปไทเฮาทอดพระเนตรแผ่นหลังของนาง นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่พระสนมซูเฟยเพิ่งเข้าวังมา นางงดงามเป็นอย่างยิ่ง นิสัยหยิ่งทะนงและเย่อหยิ่ง เมื่อได้รับความโปรดปรานก็ยิ่งหยิ่งผยองสองปีมานี้ แม้นางจะเก็บงำตัวลงไปมาก แต่ในกระดูกของนางยังคงมีความทะนงตน แค่เพียงความทะเยอทะยานเพียงเล็กน้อย ก็นำพานางให้กล้าทำเรื่องเช่นนี้อำนาจ…ช่างทำให้คนหลงมัวเมานักเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก ไทเฮาตรัสสั่งให้ฮองเฮาและพระสนมเต๋อเฟยคัดลอกพระคัมภีร์ ต้องทำเช่นนี้ไปจนถึงวันส่งท้ายปีเก่าจึงจะได้รับการปล่อยตัวส่วนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง กลางวันต้องไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษา ตอนกลางคืนต้องติดตามเสด็จอาฝึกวรยุ
ผ่านไปไม่กี่วัน วังหลังได้เคลื่อนย้ายร่างของนางกำนัลคนหนึ่งออกไปวันนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้พระสนมซูเฟยย้ายออกจากตำหนักฮุ่ยอี๋ นำนางกำนัล องค์หญิงสาม และองค์ชายสามไปพำนักที่ตำหนักกุ้ยหลานตำหนักกุ้ยหลานตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้กับตำหนักเย็น ปกติแทบไม่มีใครไปเยือนเมื่อพระราชโองการประกาศออกมา พระสนมซูเฟยราวกับถูกฟ้าผ่า ยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยสั่งบรรดาข้ารับใช้ด้วยใบหน้าซีดเผือด “เก็บข้าวของเถิด”นางรู้ดีว่า ตนเองและองค์ชายสามหมดโอกาสแล้วโดยสิ้นเชิงแต่ที่จริง นางไม่ได้นึกแปลกใจเลย นับตั้งแต่นางรู้ว่าฝูเจาอี๋สูญเสียลูกไป นางก็ทำใจไว้แล้วเพราะเรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ ยาที่นางให้ไปมีปริมาณเพียงน้อยนิด ต้องดื่มติดต่อกันครึ่งเดือนถึงจะเห็นผลแต่กลับกลายเป็นว่าเพียงวันรุ่งขึ้น ฝูเจาอี๋ก็ตกเลือดเสียแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าคนของนางที่แทรกซึมอยู่ข้างกายฝูเจาอี๋ ได้ทรยศและหันไปเข้ากับฮองเฮา หรือมิฉะนั้นก็พระสนมเต๋อเฟยนางไม่จำเป็นต้องไปไตร่ตรองอีกแล้วว่าเป็นใคร เพราะไม่มีความหมายใดอีก ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ย้ายตำหน