หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป อู๋ต้าปั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอกแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท ไทโฮ่วได้ส่งคนมาที่นี่ เพื่อตามหาฝ่าบาทหาเวลาไปพบพะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงถอนหายใจ "อาจเป็นเพราะเรื่องของซีซี ทำให้นางวิตกกังวลเข้าแล้ว ไปกันเลย"ดอกโบตั๋นในตำหนักโซ่วคังกำลังบานสะพรั่ง งดงาม มีกลิ่มหอมด้วยและดอกกุหลาบที่เลื้อยตามกำแพงตำหนักก็บานสะพรั่งอย่างสวยงามเช่นกันไทโฮ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาลีที่มีพนักพิงในห้องโถงใหญ่ สวมชุดคลุมสีม่วง และมีหยกขาวอยู่ในมวยของนาง ด้วยใบหน้าซีดเซียว"กระหม่อมคารวะเสด็จแม่พะย่ะค่ะ!" จักรพรรดิ์ซูชิงก้าวไปข้างหน้าและคารวะด้วยไทโฮ่วมองดูเขา ให้คนรับใช้ต่างๆ ออกไปแล้วถอนหายใจ "พระราชทานอภิเษกสมรสที่เจ้าออกให้นั้น ใช้ไม่ได้จริงๆ เจ้าทำแบบนี้ ทั้งผิดต่อท่านโหวซ่ง ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผู้คนในใต้หล้าอีกด้วย"เสียงของไทโฮ่วค่อยๆ เข้มขึ้น "ในราชวงศ์ซางมีกฎหมายอยู่ ขุนนางในราชสำนักไม่ได้รับอนุญาตให้รับอนุภรรยาภายในห้าปีหลังจากแต่งงาน ห้าปีเป็นเวลาที่สั้นมากแล้ว ตามที่ข้าคิด เว้นแต่เกินอายุสี่สิบแต่ยังไม่มีบุตรถึงจะแต่งอนุภรรยาได้ ตอนนี้เจ้าออกพระราชทาน
วันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยว่างเข้าไปในพระราชวังตามคำสั่ง เดิมทีเขาคิดว่าพอเข้าไปในวังแล้วก็สามารถเจอกับฝ่าบาทได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้เขาเป็นคนโดดเด่นในราชสำนักโดยไม่คาดคิด เขารออยู่นอกห้องหนังสือหลวงเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม ก่อนที่อู๋ต้าปั้นจะออกมาและพูดว่า "ท่านแม่ทัพจ้าน ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ เขาบอกว่าให้ท่านกลับก่อน เดี๋ยวจะค่อยเรียกท่านมาใหม่ในวันอื่นขอรับ"จ้านเป่ยว่างมีสีหน้าประหลาดใจ เขารออยู่นอกห้องหนังสือมานานขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีขารชาการคนใดเข้าออก แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอภิปรายเรื่องการเมืองกับข้าราชบริพารเขาถามว่า "อู๋กงกง เดิมทีฝ่าบาททรงเรียกข้ามาเพื่ออะไรหรือ"อู๋ต้าปั้นพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ"จ้านเป่ยว่างรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าเข้าไปถามฝ่าบาทโดยตรง "รบกวนกงกงเตือนข้าสสัดหน่อยว่าใช่ข้าทำผิดอะไรหรือไม่?"อู๋ต้าปั้นยังคงยิ้มและกล่าวว่า "ท่านแม่ทัพเพิ่งกลับมาอย่างมีชัย เป็นวีรบุรุษของบ้านเมือง จะมมีผิดที่ไหนกัน""แล้วฝ่าบาท..."อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและพูดว่า "ท่านแม่ทัพ โปรดกลับก่อนเถอะขอรับ"จ้านเป่ยว่างยังต้องการถามต่อ แต่อู๋ต้าปั้นไ
จ้านเป่ยว่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงพูดอย่างเย็นชาว่า "นี่มันข้าขอด้วยความผลงานในการออกศึก หากพระองค์ถอนพระราชกฤษฎีกาของเขาจริงๆ มันจะทำให้ทหารผิดหวังแน่ๆ วันนี้พระองค์ทรงเรียกข้าไปพบ แต่ก็ไม่ยอมพบข้า อาจเป็นเพราะเจ้าฟ้องว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ซ่งซีซี ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ข้าเมตตากับเจ้ามามากพอแล้วจริงๆ""ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวดีๆ หยุดสร้างปัญหา หลังจากที่ข้าแต่งงานกับยี่ฝาง ข้าจะให้เจ้ามีลูกเป็นของตัวเองด้วย และเจ้าก็จะมีที่พึ่งพาในชีวิตที่เหลือ"ซ่งซีซีลดสายตาลง แล้วพูดเบาๆ "เป่าจู่ ส่งแขก!"เป่าจูยืนขึ้นแล้วพูดว่า "ท่าแม่ทัพเชิญเจ้าคะ!"จ้านเป่ยว่างเดินจากไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดอะไร น้ำตาของเป่าจูก็ไหลออกมาราวกับลูกปัดที่แตกสลายซ่งซีซีเดินเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง "เป็นอะไรอีก?""ข้าน้อยรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนู คุณหนูไม่รู้สึกน้อยใจหรือ?" เป่าจูถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "น้อยใจสิ แต่ร้องไห้จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ล่ะ สู้คิดหาทางออกเพื่อให้เราสองคนมีชีวิตที่ดีจะดีซะกว่า ตระกูลซ่งจะมีคนอ่อนแอที่ไหนกัน"เป่าจูเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และเบ
หลังจากส่งหมอมหัศจรรย์ดันกลับไป ซ่งซีซีก็กลับไปที่เรือนเหวินซี ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้านเป่ยว่างก็พายี่ฝางไปที่เรือนเหวินซีเพื่อตามหานางนางกำลังทำบัญชีของจวนเดือนนี้ในห้องหนังสือ เมื่อนางเห็นพวกเขาเข้ามา ดวงตาของนางก็จับจ้องไปที่มือที่ประสานกันของพวกเขากระถางธูปสีทองตัวเล็กๆ กำลังออกกลิ่มธูปหอมอยู่ กลิ่มนั้รทำให้คนสงบอารมณ์ได้ด้วย นางหายใจเข้าลึกๆ พูดให้ชัดเจนก็ดีหลังจากที่นางสั่งให้เป่าจูออกไป ก่อนพูดว่า "เชิญนั่งเลย!"ยี่ฝางเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าสตรีด้วยกระโปรงจีบสีแดงปักลายผีเสื้อสีทอง นางนั่งลง กระโปรงห้อยลงมา และผีเสื้อก็ดูนิ่งอยู่เช่นกันยี่ฝางไม่ถือว่าสวย แต่นางมีออร่ามาก"นางซ่ง!" นางเอ่ยปากก่อนและมองตรงไปที่ซ่งซีซี นางเคยอยู่ในกองทัพ และสังหารศัตรู นางคิดว่าความแข็งแกร่งของนางน่าจะทำให้ซ่งซีซีไม่กล้ามองตรงๆ อย่างไรก็ตาม ดวงตาของซ่งซีซีนั้นดูสดใส ไม่มีการหลบหนีแม้แต่น้อย นี่กลับทำให้นางประหลาดใจ"ท่านแม่ทัพมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!" ซ่งซีซีกล่าว"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากพบข้า ข้าก็เลยมาที่นี่ ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเจ้าจะยินดีที่จะอยู่ร่วมกับฉันอย่างสันติหรือไม่" ยี่ฝางพูดอย่า
แม้ว่ายี่ฝางจะรู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่นางก็พูดว่า "ข้ามิใช่คนขี้อิจฉาขี้หึงอะไร และถ้าคิดเพื่อตัวเจ้าเอง หากเจ้ามีลูกของตัวเอง และต่อไปเจ้าก็จะมีคนที่ให้พึ่งพา ส่วนหลังจากเจ้าท้องเขาเขาจะร่วมหอกับเจ้าอีกหรือไม่ ข้าไม่อยากยุ่ง"ด้วยประโยคสุดท้าย เห็นได้ชัดว่านางโกรธแล้วจ้านเป่ยว่างรีบสัญญาอย่างว่า "ไม่ต้องห่วง ถ้านางท้อง ข้าจะไม่แตะต้องนางอีกเลย""ไม่จำเป็นต้องสัญญาหรอก ข้าไม่ได้เป็นคนใจแคบอย่างนั้น" ยี่ฝางหันหน้าออกไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจซ่งซีซีมองไปคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านาง และรู้สึกว่าน่าเกลียดอย่างยิ่ง นางยืนขึ้นและมองไปที่ยี่ฝาง ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม "สตรีอยู่ในโลกนี้มันยากลำบากมากอยู่แล้ว ทำไมเจ้าต้องดูถูกสตรีอีก เจ้าเองก็เป็นสตรีนะ แล้วจะมาดูถูกสตรีเช่นนี้เพียงเพราะเจ้าฆ่าศัตรูในสนามรบไม่ได้นะ เจ้าคิดว่าข้า ซ่งซีซีจะอยู่รอดก็ต่อเมื่อพึ่งพาสายเลือดของตระกูลจ้านเท่านั้นเหรอ ชีวิตข้าไม่มีอะไรที่ข้าเองต้องไปทำ ไม่มีชีวิตที่ข้าต้องการอยู่ จะต้องเป็นตัวประกอบของพวกเจ้าเท่านั้น และมีชีวิตอย่างอับอายในหลังจวนที่นี่เหรอ พวกเจ้าคิดว่าข้าซ่งซีซีเป็นอะไรกัน?"ยี่ฝางอึ้งไ
เป่าจู้รู้สึกปวดใจที่คุณหนูของตัวเองถูกรังแกเช่นนี้ คำบางคำที่คุณหนูต้องเห็นถึงกาลเทศะเลยไม่สามรถพูดได้ แต่นางเป็นสาวรับใช้ที่หยาบคาย นางไม่กลัว ดวงตาของนางแดงก่ำ "ข้อน้อยเป็นแค่สาวใช้ผู้ต่ำต้อย ยังรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ท่านเป็นถึงแม่ทัพหญิงในราชสำนัก แต่กลับไปคบชู้กับสามีคนอื่นในสนามรบ และตอนนี้กลับอาศัยความสำเร็จมารังแกคุณหนูของข้าโ... ""เพี๊ยะ!"การตบอย่างเสียงดังลงบนใบหน้าของเป่าจูจ้านเป่ยว่างตบเป่าจูอย่างแรงด้วยความโกรธ จากนั้นจ้องมองไปที่ซ่งซีซีด้วยความเย็นชา "นี่ก็คือสาวใช้ที่เจ้าสอนมาหรือ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลย"ซ่งซีซีรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปพยุงเป่าจูก่อน เมื่อเห็นแก้มของนางบวมทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจ้านเป่ยว่างออกแรงไปมากแค่ไหนนางหันกลับมาและดวงตาของนางก็เย็นชา จากนั้นนางก็ตบหน้าจ้านเป่ยว่างฉาดหนึ่ง "คนของข้า จะยอมให้เจ้าทุบตีอย่างตามใจเลยเหรอ"จ้านเป่ยว่างไม่คาดคิดว่านางจะตบเขาเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง หน้าของผู้ชายจะโดนผู้หญิงตบแบบง่ายๆ ได้ยังไงกัน โดยเฉพาะต่อหน้ายี่ฝางแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้กลับ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างเย็นชา และจากไปพร
เมื่อจ้านเป่ยว่างเห็นว่าทุกคนลำบากใจเช่นนี้ เลยหยิบรายการสินสอดขึ้นมาดู หลังจากอ่านแล้ว เขาจึงถามป้ารองว่า "แค่นี้มีปัญหาอะไรหรือ เงินสดหนึ่งหมื่นตำลึง กำไลทองสองคู่ กำไลหยกสองคู่ เครื่องประดับบนหัวสองอัน ผ้าทอชั้นดีห้าสิบชิ้น แค่นี้นี่เอง ส่วนอื่นๆ เป็นของเล็กน้อย ไม่ได้เยอะนี่""ไม่ได้เยอะเหรอ?" ฮูหยินผู้เฒ่ารองหัวเราะเยาะ "น่าเสียดายบัดนี้บัญชีของจวนแม้แต่เงินหนึ่งพันตำลึงก็ให้ไม่ได้เลย"จ้านเป่ยว่างประหลาดใจ "เป็นไปได้ยังไง? ใครเป็นผู้รับผิดชอบบัญชี? มันขาดทุนหรือเปล่า?""ข้ารับผิดชอบบัญชี!" ซ่งซีซีพูดเรียบๆ"เจ้าเป็นคนดูแลบัญชี แล้วเงินล่ะ?" จ้านเป่ยว่างถาม"ใช่สิ แล้วเงินล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่ารองยิ้มเยาะ "เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพของเราเป็นตระกูลใหญ่โตหรือไง จวนแม่ทัพหลังนี้ เป็นท่านย่าของเจ้าที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จักรพรรดิองค์ก่อนทรงมอบให้ เงินเดือนประจำปีของท่านพ่อเจ้ารวมกับท่านอาเจ้า ไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ส่วนเจ้า เป็นแม่ทัพแค่ขั้นสี่ จะมากกว่าท่านพ่อของเจ้าหรือ""แล้วทรัพย์สินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ล่ะ ยังไงมันต้องทำกำไรไว้ ไม่มากก็น้อยสินะ?" จ้านเป่ยว่างกล่าวฮูหยินผู้เฒ
ฮูหยินผู้เฒ่าชะงัก ยืมเหรอ?ทว่าเมื่อกี้นางเองก็บอกว่ายืม รอที่จวนมีเงินแล้วก็คืนนาง ที่ซ่งซีซีพูดแบบทำให้นางไม่สามารถโต้แย้งได้เพียงแต่ นางยังคงบ่นอยู่ในใจว่า ซ่งซีซีเป็นคนไม่รู้ความจริงๆ กลับคิดเล็กคิดน้อยกับสามีตัวเอง ครอบครัวของพ่อแม่นางก็ตายหมดแล้ว เงินไม่ใช้กับจวนแม่ทัพ แล้วจะใช้ที่ไหนได้อีก?จ้านเป่ยว่างส่ายหัว "ข้าจะคิดหาทางออกเอง ไม่จำเป็นต้องยืมของเจ้า"หลังจากพูดแล้วเขาก็หันหลังกลับและออกไปทุกคนในห้องต่างมองไปที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีคารวะทีหนึ่ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปก่อนนะ""เดี๋ยวก่อนซีซี!" ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าบึ้งตึง ตอนนี้นางโกรธขึ้นมา และไม่ไอหรืออ่อนแรงอีก เพราะเมื่อวานนางเพิ่งกินยาหมอมหัศจรรย์ดันไปหนึ่งเม็ดซ่งซีซีมองดูนาง "ท่านมีคำสั่งอะไรอีกหรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างจริงจัง "ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าวังเพื่อขอร้องฝ่าบาทมา แต่มันไม่เหมาะเลยที่เจ้าทำเช่นนั้น ยี่ฝางแต่งเข้ามา หากต่อไปได้สร้างผลงานให้บ้านเมืองอีก มันสร้างชื่อเสียงให้ลูกหลานของจวนแม่ทัพนะ เจ้าก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย หากสร้างผลงานมากมาย เจ้าก็อาจรับยศไป มันก็เป็นบุญคุณของเจ้า"ซ่งซีซีไม่ได้ปฏิเสธ "ท่
"เซี่ยจิ้งเหยียน ปากเจ้าหยุดได้บ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีขมวดคิ้ว มองดูบุตรสาวที่กำลังพันแข้งพันขาพี่รุ่ยเอ่อร์ด้วยคำถามไม่หยุดไม่หย่อนใบหน้าเล็กๆ แดงจัดจากแดด เผ้าผมยุ่งเหยิงราวกับรังนก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านมานับแต่พี่รุ่ยเอ่อร์กลับจากการเดินทาง เข้าประตูมา เด็กน้อยก็ไม่หยุดเจื้อยแจ้ว ถามเรื่องสนุกต่างๆ ที่พี่ชายพบเจอระหว่างท่องเที่ยว"เสด็จแม่เจ้าคะ" เซี่ยจิ้งเหยียนเบิกตากลมโต มองมาด้วยท่าทีใสซื่อไร้เดียงสา ใบหน้าราวกับเก็บเอาส่วนดีจากทั้งบิดาและมารดามาไว้ครบถ้วน "ข้ามิได้พบพี่รุ่ยเอ่อร์มานาน วันเดียวไม่ได้เจอ เหมือนห่างกันสามปี นี่ไม่รู้เลยว่าห่างกันมากี่เดือนกี่ปีแล้ว ข้าย่อมมีเรื่องมากมายต้องพูดกับพี่เขาเจ้าค่ะ""วันเดียวไม่เจอเหมือนห่างกันสามปี ใครสอนเจ้าพูดเช่นนี้?" ซ่งซีซีขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเซี่ยจิ้งเหยียนตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ "อาจารย์ลุงหวังพูดกับท่านน้าเสิ่นอย่างนี้ ตอนก่อนเขากลับไปเขาเหม่ยซานไม่กี่วัน พอกลับมาก็กอดท่านน้าเสิ่นแล้วพูดประโยคนี้ล่ะเจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือรีบก้มหน้าลงทันที หลบเลี่ยงสายตาคมกริบดั่งมีดของซ่งซีซี ใครจะรู้เล่าว่าตอนนั้นจิ้งเ
การออกจากเมืองครั้งนี้ของซ่งรุ่ย เขาแจ้งกับฮ่องเต้ว่าออกไปท่องเที่ยว แต่เขามิได้อยู่ที่สำนักเทพโอสถนานนัก เพียงเจ็ดวันก็ออกเดินทางต่อ แล้วมุ่งหน้าไปยังสถาบันว่านซงเหมินแต่เดิมตั้งใจจะกลับเมืองหลวงไปหาท่านอาหงเซียว ทว่าคิดไปคิดมา สู้ไปหาศิษย์อาผิงหวูจูงโดยตรงดีกว่า ขอให้นางเป็นผู้สอนวิชาแปลงโฉมด้วยตนเอง วิชาแปลงโฉมไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากต้องการให้ถึงขั้นแยบยล แปลงแล้วไร้ผู้ใดมองออก เช่นนั้นก็ไม่อาจสำเร็จได้ในเวลาเดือนสองเดือน วิชาแปลงโฉมอย่างง่ายนั้น สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสริมอะไรเพิ่มเติมไปจากใบหน้าตนเอง จะเป็นการแต่งเติมหรือแต่งหน้าเท่านั้น แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา แม้แต่ฝนตกเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ความลับถูกเปิดเผย เพราะฉะนั้น ไม่อาจเรียนเพียงวิชาเบื้องต้นเช่นนี้ได้ อีกแขนงหนึ่งของวิชาแปลงโฉม คือการสร้าง “ใบหน้าเทียม” ขึ้นมา ทว่าใบหน้าเทียมทั่วไปนั้นมีความหนา อึดอัด หากสวมใส่นานจะทำร้ายผิวหน้าของผู้สวมใส่ อีกทั้งยังต้องใช้ยาพิเศษในการติดกับผิวหน้า พอถึงเวลาพักผ่อน จะต้องลอกออก ซึ่งอาจดึงเอาผิวหน้าเดิมติดออกมาด้วย ในสำนักหออวิ๋นอี้ แม้จะมีการใช้ใบหน้าเทีย
ยามค่ำ ทั้งสองนั่งสนทนาใต้แสงเทียน เรื่องราวในราชสำนักไม่มีการเอ่ยถึงแม้แต่น้อย ซิวเช่อเพียงรู้ว่าแผ่นดินสงบสุขร่มเย็น เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว เขามิใช่องค์ชายใหญ่คนเดิมอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องแบกรับ มีเพียงชีวิตของตน ส่วนอื่นนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว การเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชสำนักนั้นเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง ทางที่ดีคือต้องไม่เอ่ยถึงเลยจะปลอดภัยที่สุด เมื่อยังเยาว์ เขายังไม่เข้าใจนักว่าทำไมเขาถึง “ต้องตาย” จนกระทั่งท่านปรมาจารย์ดันค่อยๆ อธิบายให้เขาเข้าใจ รวมถึงอาจารย์ของเขาก็เคยพูดถึงผลได้ผลเสียเหล่านี้ให้ฟัง ระหว่างเขากับน้องสาม แม้จะไม่ไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ทว่า หากจะใช้ความสัมพันธ์นั้นไปเดิมพันกับชีวิต เดิมพันกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ก็มิใช่เรื่องดีสำหรับผู้ใดเลย เขาจึงยอมรับความจริง ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป และต้องมีชีวิตที่ดีในแต่ละวัน ยิ่งกว่าวันพรุ่งนี้ถึงจะไม่เสียเปล่าที่ได้เกิดมา ซ่งรุ่ยถามถึงขาของเขา “ตอนข้ามา ท่านอาบอกข้าว่า ขาของเจ้าลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงเดินได้บ้างเล่า?” ซิวเช่อตอบว่า “ปีที่เสด็จพ่อสวรรคต มีคนอยู่เพียงไม
ดอกอาซาเลียของสำนักเทพโอสถ บานสะพรั่งไปทั่วทั้งเขา ภาพสีสันสดใสเหล่านี้ ช่างงดงามจนทำให้ผู้คนหลงใหล โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่เคยมาเยือนสำนักเทพโอสถ ต่างก็อยากจะปักหลักอยู่ที่นี่ตลอดไป ทว่ากลับมีคนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น เขาควบม้าจนถึงเชิงเขา พอผูกม้าไว้เรียบร้อยก็เดินเท้าขึ้นเขา สายตาของเขาจับอยู่เพียงหนทางข้างหน้า แม้ดอกอาซาเลียสีแดงจะชูช่อเข้ามาขวางทาง เขาก็เพียงใช้มือปัดออก เขาเดินเร็ว บางครายังใช้วิชาตัวเบาช่วย สำนักเทพโอสถนั้นแม้จะไม่สูงนัก แต่กลับซ่อนตัวได้แนบเนียน ทางขึ้นเขายังแยกย่อยมากมาย ทว่าเขาได้ดูแผนที่มาไม่น้อยกว่าพันครั้ง ขึ้นใจจนจำได้แม่นยำ ในวัยยี่สิบต้นๆ เขาได้รับสืบทอดตำแหน่ง ขณะนั้นท่านอาเล็กมอบของขวัญยิ่งใหญ่หลายสิ่ง และของขวัญที่ใหญ่ที่สุดก็คือแผนที่ฉบับนั้น พร้อมกับข่าวหนึ่งที่ทำให้เลือดทั้งตัวของเขาเดือดพล่าน ซิวเช่อ… ยังมีชีวิตอยู่ คืนนั้นเขาไม่ได้นอนแม้แต่น้อย ภาพในอดีตผุดขึ้นในหัวทีละฉาก ราวกับเป็นเรื่องราวชาติปางก่อน หลังรับตำแหน่ง ต้องเข้าวังถวายบังคม ไปไหว้บรรพชน และเยี่ยมเยือนขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดี ท่านอาเล็กอยากให้เขาใช้โอกาสนี้สร้างส
เซี่ยหลูโม่มองเสื้อคลุมนั้น “นี่ของข้านี่ เจ้าเห็นว่าข้าอ้วนหรือ? ข้ามิได้อ้วนนี่นา”“อ้อ ของเจ้าหรือ? งั้นก็ยาวเกินไปหน่อย เอาไว้ให้คนแก้ให้หน่อยแล้วกัน”เซี่ยหลูโม่ว่า “เจ้าจะใส่เสื้อหลวมๆ ก็ให้คนตัดใหม่ให้สิ ไฉนต้องเอาเสื้อตัวเก่าของข้ามาแก้ด้วยล่ะ? ใส่ก็ไม่สบาย”“ข้าจะกลับไปอยู่เขาเหม่ยซานหนึ่งปี พอได้สวมเสื้อของเจ้า ก็เหมือนเจ้าคอยอยู่ข้างกายข้ายังไงเล่า” ซ่งซีซียิ้มจนตาโค้ง ราวกับการจากกันหนึ่งปีในปากของนางนั้นเป็นแค่เพียงวันเดียว ดูไม่เป็นเรื่องสำคัญอันใดเลยแม้แต่น้อย“หนึ่งปี?” เซี่ยหลูโม่ถึงกับตกตะลึง “เจ้าจะกลับไปหนึ่งปีเชียวหรือ? ทำไมล่ะ?”“ก็แน่นอนว่าอาจารย์คิดถึงข้า แล้วข้าก็คิดถึงอาจารย์ด้วยสิ” ซ่งซีซีเท้าสะเอว แล้วยื่นเสื้อให้เป่าจูที่ยืนปิดปากหัวเราะอยู่ข้างๆ “แต่ไม่ใช่ว่าจะไปตอนนี้นะ รุ่ยเอ๋อร์กำลังจะรับตำแหน่งสืบทอดจวนกั๋วกง รอเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าค่อยกลับเขาเหม่ยซาน”“ทำไมต้องกลับไปนานขนาดนั้น?” เซี่ยหลูโม่รู้สึกว่าท่าทางยืนของนางแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เอาแต่ถามต่อซ่งซีซีลงนั่งอย่างไม่รีบร้อน “ข้าจะไปอยู่เขาเหม่ยซานหนึ่งปี แล้วจะอุ้มเด็กกลับมาคนหนึ่ง
วันที่สิบสามเดือนเหมันต์ พระองค์กลับมีสติแจ่มใสขึ้นมาก จนเอ่ยว่าหิว และระบุชัดว่าต้องการเสวยโจ๊กเนื้อกับขนมนมอบกรอบอู๋ต้าปั้นรีบสั่งให้คนจัดเตรียม พอโจ๊กเนื้อกับขนมนมอบกรอบมาจัดถวาย เฉินฮองเฮาก็นั่งอยู่ข้างเตียงป้อนพระองค์เหมือนเช่นเคย แต่พระองค์กลับบอกว่าอยากนั่งเสวยเองอู๋ต้าปั้นจึงเข้ามาพยุงพระองค์ให้ลุกขึ้น แล้ววางเบาะนุ่มหนาไว้ที่ด้านหลังพระองค์ผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เมื่อนั่งก็จะไถลตัวลงทุกครั้ง อู๋ต้าปั้นจึงต้องคุกเข่าข้างเตียง ใช้สองมือประคองช่วงเอวของพระองค์ไว้แน่นโจ๊กหนึ่งชาม พระองค์ก็เสวยจนหมดจริงๆ ไม่เหลือแม้แต่น้อย แล้วจึงเสวยขนมนมอบกรอบหนึ่งชิ้น เพียงแต่พอเสวยเข้าไปแล้วรู้สึกคลื่นไส้ จึงไม่ได้แตะชิ้นที่สองอีกหมอมหัศจรรย์ดันกลับให้คนไปเชิญไทเฮามา พอพูดไม่กี่ประโยค ใบหน้าไทเฮาก็เปลี่ยนสี น้ำตาร่วงลงมาทันทีแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง ใจของไทเฮาก็ยังเหมือนถูกมีดกรีด ร้าวจนตัวสั่นไปหมดผ่านไปพักใหญ่จึงมีรับสั่งให้ไปเชิญเนี่ยเจิ้งอ๋องกับองค์รัชทายาทมา แล้วให้เชิญบรรดาองค์หญิงในตำหนักฝ่ายในมาด้วยจักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะไม่รู้เลยว่าพระองค์ประชวร
เมื่อกลับถึงวังหลวง จักรพรรดิ์ซูชิงก็ล้มหมอนนอนเสื่อ มิอาจลุกขึ้นจากเตียงได้อีกหมอมหัศจรรย์ดันกล่าวกับไทเฮาเพียงไม่กี่คำ ความหมายก็คือว่า เกรงว่าอีกไม่กี่วัน ฮ่องเต้คงจะเสด็จสวรรคต หากอยากพบผู้ใด ก็จงรีบพบเสียแต่ตอนนี้ผู้ที่ฮ่องเต้อยากพบเป็นคนแรก ย่อมไม่พ้นไทเฮา“เด็กคนนั้น พอเห็นข้าก็พร่ำถามไม่หยุด คำถามแรกที่เอ่ยขึ้นมาก็คือเรื่องเสด็จย่า เสด็จแม่มิได้รักเขาเปล่าเปล่าเลยจริงๆ”ไทเฮาถอนพระทัยยาว “น่าสงสารนัก ชั่วชีวิตนี้ก็ต้องซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ไม่ได้ออกมาอีก ขาของเขา...ไม่อาจมีหวังแล้วจริงหรือ?”“เกรงว่าคงไม่มีหวังแล้ว” ริมพระโอษฐ์ของจักรพรรดิ์ซูชิงแห้งซีดไร้สีเลือด “แต่ก่อนจะจากกัน เขากล่าวว่า...เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ เมื่อลูกเรียนรู้วิชาแพทย์สำเร็จแล้ว จะรักษาโรคของพระองค์ให้หายแน่”ไทเฮารู้สึกปวดร้าวในพระทัย “เด็กดีจริงๆ”จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรเพดานเหนือม่านเตียง แล้วพึมพำว่า “ใช่แล้ว เด็กดีจริงๆ”เมื่อพบไทเฮาเสร็จแล้ว พระองค์ก็ให้เซี่ยหลูโม่พาองค์รัชทายาทเข้ามาเมื่อครั้งยังทรงมีเรี่ยวแรง พระองค์เคยพาองค์รัชทายาทขึ้นว่าราชการ พาไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อตรวจฎีกา ร่วมประชุ
จักรพรรดิ์ซูชิงพำนักชั่วคราวอยู่ในสำนักเทพโอสถ ที่แห่งนี้มีโอสถครบครันทุกชนิด แต่พระอาการของพระองค์นั้นกลับอยู่ในจุดที่ยาใดก็ไร้ผลเสียแล้วแต่เมื่อได้อยู่ที่นี่ พระทัยกลับรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งร่างก็ประหนึ่งได้วางภาระทั้งหมดลงแล้ว เสมือนเป็นบิดาผู้สามัญในหมู่บ้านที่เฝ้าอยู่เคียงข้างบุตรในทุกวันคืนซ่งซีซีสามารถเข้าไปเยี่ยมได้ นางก็คุยกับองค์ชายใหญ่พักหนึ่งองค์ชายใหญ่มักจะถามถึงพี่รุ่ยเอ่อร์ ถามว่าเขามีสหายใหม่แล้วหรือไม่ซ่งซีซีคิดว่าเขาจะหวง จึงตอบว่า “เขานอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีสหายอื่นอีกเลย เขาคิดถึงเจ้าตลอด”องค์ชายใหญ่เงียบไปเนิ่นนาน สีหน้าเผยแววรู้สึกผิด “ข้ามีสหายของตนเองแล้ว จี๋เสียงก็คือสหายของข้า เขาก็ควรจะมีสหายของเขา ข้าเองก็คิดถึงเขาเสมอ แต่ชีวิตนี้ คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว”เมื่อกล่าวจบ แววตาเขาก็มีเพียงความหดหู่สิ้นหวังซ่งซีซีลูบศีรษะเขา พลางยิ้มกล่าว “อนาคตยังอีกยาวไกล เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักว่าจะไม่มีวันได้พบกันอีกเล่า?”“เพราะผู้ใหญ่ไม่ยอม ผู้ใหญ่มักจะต้องคิดเรื่องต่างๆ มากมาย ยังมีสิ่งที่กลัวอีกมากด้วย”“วันหน้า พวกเจ้าก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ เมื่อถึงยามนั้น เจ้
หลังตะวันลับเหลี่ยมเขาทิศตะวันตก อุณหภูมิในหุบเขาก็ลดต่ำลง จักรพรรดิ์ซูชิงแม้ตอนขึ้นเขาจะมีคนหามบัลลังก์ให้ ทว่าบัดนี้กลับเป็นฝ่ายแบกองค์ชายใหญ่เดินกลับไปยังเรือนพักองค์ชายใหญ่ซบอยู่บนแผ่นหลังผ่ายผอมของเสด็จพ่อ น้ำตาไหลพรากไม่หยุดแม้แต่น้อยนี่คือภาพที่แม้ในฝันเขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน อย่าว่าแต่แบกเขาเลย แม้เพียงจะให้เสด็จพ่อเอื้อมพระหัตถ์ลูบศีรษะเขาสักครั้ง ก็ยังเป็นสิ่งที่เขาเห็นว่าเกินจะหวังแต่...เสด็จพ่อผอมเหลือเกิน เหตุใดถึงได้ผอมเช่นนี้? บนหลังแทบไม่มีเนื้อเหลืออยู่เลยซ่งซีซีกับผู้อื่นยังคงรออยู่ที่หน้าประตูเขา แม้แต่ขุนนางชั้นสูงอย่างชีกุ้ยก็ยังมิได้เข้าไป ผู้ที่หามบัลลังก์เข้าไปเมื่อครู่ล้วนเป็นขุนนางที่จงรักภักดีอย่างถึงที่สุด ผู้อื่นย่อมไม่อาจได้พบองค์ชายใหญ่พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าฮ่องเต้เสด็จมายังสำนักเทพโอสถครั้งนี้ ก็เพื่อรักษาพระอาการประชวรเท่านั้นจักรพรรดิ์ซูชิงแบกเขากลับเข้าไปยังเรือนพักของตน เรือนพักแห่งนี้ ตอนเข้ามาก็ดูเหมือนสวรรค์ซ่อนเร้นเบื้องนอกแลไปก็เป็นเพียงเรือนพักธรรมดาหลังหนึ่ง แต่เมื่อย่างก้าวเข้ามา จึงเห็นว่าภายในแบ่งออกเป็นเรือนน้อยเรือนใหญ่แยกต่า