หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป อู๋ต้าปั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอกแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท ไทโฮ่วได้ส่งคนมาที่นี่ เพื่อตามหาฝ่าบาทหาเวลาไปพบพะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงถอนหายใจ "อาจเป็นเพราะเรื่องของซีซี ทำให้นางวิตกกังวลเข้าแล้ว ไปกันเลย"ดอกโบตั๋นในตำหนักโซ่วคังกำลังบานสะพรั่ง งดงาม มีกลิ่มหอมด้วยและดอกกุหลาบที่เลื้อยตามกำแพงตำหนักก็บานสะพรั่งอย่างสวยงามเช่นกันไทโฮ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาลีที่มีพนักพิงในห้องโถงใหญ่ สวมชุดคลุมสีม่วง และมีหยกขาวอยู่ในมวยของนาง ด้วยใบหน้าซีดเซียว"กระหม่อมคารวะเสด็จแม่พะย่ะค่ะ!" จักรพรรดิ์ซูชิงก้าวไปข้างหน้าและคารวะด้วยไทโฮ่วมองดูเขา ให้คนรับใช้ต่างๆ ออกไปแล้วถอนหายใจ "พระราชทานอภิเษกสมรสที่เจ้าออกให้นั้น ใช้ไม่ได้จริงๆ เจ้าทำแบบนี้ ทั้งผิดต่อท่านโหวซ่ง ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผู้คนในใต้หล้าอีกด้วย"เสียงของไทโฮ่วค่อยๆ เข้มขึ้น "ในราชวงศ์ซางมีกฎหมายอยู่ ขุนนางในราชสำนักไม่ได้รับอนุญาตให้รับอนุภรรยาภายในห้าปีหลังจากแต่งงาน ห้าปีเป็นเวลาที่สั้นมากแล้ว ตามที่ข้าคิด เว้นแต่เกินอายุสี่สิบแต่ยังไม่มีบุตรถึงจะแต่งอนุภรรยาได้ ตอนนี้เจ้าออกพระราชทาน
วันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยว่างเข้าไปในพระราชวังตามคำสั่ง เดิมทีเขาคิดว่าพอเข้าไปในวังแล้วก็สามารถเจอกับฝ่าบาทได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้เขาเป็นคนโดดเด่นในราชสำนักโดยไม่คาดคิด เขารออยู่นอกห้องหนังสือหลวงเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม ก่อนที่อู๋ต้าปั้นจะออกมาและพูดว่า "ท่านแม่ทัพจ้าน ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ เขาบอกว่าให้ท่านกลับก่อน เดี๋ยวจะค่อยเรียกท่านมาใหม่ในวันอื่นขอรับ"จ้านเป่ยว่างมีสีหน้าประหลาดใจ เขารออยู่นอกห้องหนังสือมานานขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีขารชาการคนใดเข้าออก แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอภิปรายเรื่องการเมืองกับข้าราชบริพารเขาถามว่า "อู๋กงกง เดิมทีฝ่าบาททรงเรียกข้ามาเพื่ออะไรหรือ"อู๋ต้าปั้นพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ"จ้านเป่ยว่างรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าเข้าไปถามฝ่าบาทโดยตรง "รบกวนกงกงเตือนข้าสสัดหน่อยว่าใช่ข้าทำผิดอะไรหรือไม่?"อู๋ต้าปั้นยังคงยิ้มและกล่าวว่า "ท่านแม่ทัพเพิ่งกลับมาอย่างมีชัย เป็นวีรบุรุษของบ้านเมือง จะมมีผิดที่ไหนกัน""แล้วฝ่าบาท..."อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและพูดว่า "ท่านแม่ทัพ โปรดกลับก่อนเถอะขอรับ"จ้านเป่ยว่างยังต้องการถามต่อ แต่อู๋ต้าปั้นไ
จ้านเป่ยว่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงพูดอย่างเย็นชาว่า "นี่มันข้าขอด้วยความผลงานในการออกศึก หากพระองค์ถอนพระราชกฤษฎีกาของเขาจริงๆ มันจะทำให้ทหารผิดหวังแน่ๆ วันนี้พระองค์ทรงเรียกข้าไปพบ แต่ก็ไม่ยอมพบข้า อาจเป็นเพราะเจ้าฟ้องว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ซ่งซีซี ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ข้าเมตตากับเจ้ามามากพอแล้วจริงๆ""ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวดีๆ หยุดสร้างปัญหา หลังจากที่ข้าแต่งงานกับยี่ฝาง ข้าจะให้เจ้ามีลูกเป็นของตัวเองด้วย และเจ้าก็จะมีที่พึ่งพาในชีวิตที่เหลือ"ซ่งซีซีลดสายตาลง แล้วพูดเบาๆ "เป่าจู่ ส่งแขก!"เป่าจูยืนขึ้นแล้วพูดว่า "ท่าแม่ทัพเชิญเจ้าคะ!"จ้านเป่ยว่างเดินจากไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดอะไร น้ำตาของเป่าจูก็ไหลออกมาราวกับลูกปัดที่แตกสลายซ่งซีซีเดินเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง "เป็นอะไรอีก?""ข้าน้อยรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนู คุณหนูไม่รู้สึกน้อยใจหรือ?" เป่าจูถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "น้อยใจสิ แต่ร้องไห้จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ล่ะ สู้คิดหาทางออกเพื่อให้เราสองคนมีชีวิตที่ดีจะดีซะกว่า ตระกูลซ่งจะมีคนอ่อนแอที่ไหนกัน"เป่าจูเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และเบ
หลังจากส่งหมอมหัศจรรย์ดันกลับไป ซ่งซีซีก็กลับไปที่เรือนเหวินซี ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้านเป่ยว่างก็พายี่ฝางไปที่เรือนเหวินซีเพื่อตามหานางนางกำลังทำบัญชีของจวนเดือนนี้ในห้องหนังสือ เมื่อนางเห็นพวกเขาเข้ามา ดวงตาของนางก็จับจ้องไปที่มือที่ประสานกันของพวกเขากระถางธูปสีทองตัวเล็กๆ กำลังออกกลิ่มธูปหอมอยู่ กลิ่มนั้รทำให้คนสงบอารมณ์ได้ด้วย นางหายใจเข้าลึกๆ พูดให้ชัดเจนก็ดีหลังจากที่นางสั่งให้เป่าจูออกไป ก่อนพูดว่า "เชิญนั่งเลย!"ยี่ฝางเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าสตรีด้วยกระโปรงจีบสีแดงปักลายผีเสื้อสีทอง นางนั่งลง กระโปรงห้อยลงมา และผีเสื้อก็ดูนิ่งอยู่เช่นกันยี่ฝางไม่ถือว่าสวย แต่นางมีออร่ามาก"นางซ่ง!" นางเอ่ยปากก่อนและมองตรงไปที่ซ่งซีซี นางเคยอยู่ในกองทัพ และสังหารศัตรู นางคิดว่าความแข็งแกร่งของนางน่าจะทำให้ซ่งซีซีไม่กล้ามองตรงๆ อย่างไรก็ตาม ดวงตาของซ่งซีซีนั้นดูสดใส ไม่มีการหลบหนีแม้แต่น้อย นี่กลับทำให้นางประหลาดใจ"ท่านแม่ทัพมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!" ซ่งซีซีกล่าว"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากพบข้า ข้าก็เลยมาที่นี่ ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเจ้าจะยินดีที่จะอยู่ร่วมกับฉันอย่างสันติหรือไม่" ยี่ฝางพูดอย่า
แม้ว่ายี่ฝางจะรู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่นางก็พูดว่า "ข้ามิใช่คนขี้อิจฉาขี้หึงอะไร และถ้าคิดเพื่อตัวเจ้าเอง หากเจ้ามีลูกของตัวเอง และต่อไปเจ้าก็จะมีคนที่ให้พึ่งพา ส่วนหลังจากเจ้าท้องเขาเขาจะร่วมหอกับเจ้าอีกหรือไม่ ข้าไม่อยากยุ่ง"ด้วยประโยคสุดท้าย เห็นได้ชัดว่านางโกรธแล้วจ้านเป่ยว่างรีบสัญญาอย่างว่า "ไม่ต้องห่วง ถ้านางท้อง ข้าจะไม่แตะต้องนางอีกเลย""ไม่จำเป็นต้องสัญญาหรอก ข้าไม่ได้เป็นคนใจแคบอย่างนั้น" ยี่ฝางหันหน้าออกไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจซ่งซีซีมองไปคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านาง และรู้สึกว่าน่าเกลียดอย่างยิ่ง นางยืนขึ้นและมองไปที่ยี่ฝาง ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม "สตรีอยู่ในโลกนี้มันยากลำบากมากอยู่แล้ว ทำไมเจ้าต้องดูถูกสตรีอีก เจ้าเองก็เป็นสตรีนะ แล้วจะมาดูถูกสตรีเช่นนี้เพียงเพราะเจ้าฆ่าศัตรูในสนามรบไม่ได้นะ เจ้าคิดว่าข้า ซ่งซีซีจะอยู่รอดก็ต่อเมื่อพึ่งพาสายเลือดของตระกูลจ้านเท่านั้นเหรอ ชีวิตข้าไม่มีอะไรที่ข้าเองต้องไปทำ ไม่มีชีวิตที่ข้าต้องการอยู่ จะต้องเป็นตัวประกอบของพวกเจ้าเท่านั้น และมีชีวิตอย่างอับอายในหลังจวนที่นี่เหรอ พวกเจ้าคิดว่าข้าซ่งซีซีเป็นอะไรกัน?"ยี่ฝางอึ้งไ
เป่าจู้รู้สึกปวดใจที่คุณหนูของตัวเองถูกรังแกเช่นนี้ คำบางคำที่คุณหนูต้องเห็นถึงกาลเทศะเลยไม่สามรถพูดได้ แต่นางเป็นสาวรับใช้ที่หยาบคาย นางไม่กลัว ดวงตาของนางแดงก่ำ "ข้อน้อยเป็นแค่สาวใช้ผู้ต่ำต้อย ยังรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ท่านเป็นถึงแม่ทัพหญิงในราชสำนัก แต่กลับไปคบชู้กับสามีคนอื่นในสนามรบ และตอนนี้กลับอาศัยความสำเร็จมารังแกคุณหนูของข้าโ... ""เพี๊ยะ!"การตบอย่างเสียงดังลงบนใบหน้าของเป่าจูจ้านเป่ยว่างตบเป่าจูอย่างแรงด้วยความโกรธ จากนั้นจ้องมองไปที่ซ่งซีซีด้วยความเย็นชา "นี่ก็คือสาวใช้ที่เจ้าสอนมาหรือ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลย"ซ่งซีซีรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปพยุงเป่าจูก่อน เมื่อเห็นแก้มของนางบวมทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจ้านเป่ยว่างออกแรงไปมากแค่ไหนนางหันกลับมาและดวงตาของนางก็เย็นชา จากนั้นนางก็ตบหน้าจ้านเป่ยว่างฉาดหนึ่ง "คนของข้า จะยอมให้เจ้าทุบตีอย่างตามใจเลยเหรอ"จ้านเป่ยว่างไม่คาดคิดว่านางจะตบเขาเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง หน้าของผู้ชายจะโดนผู้หญิงตบแบบง่ายๆ ได้ยังไงกัน โดยเฉพาะต่อหน้ายี่ฝางแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้กลับ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างเย็นชา และจากไปพร
เมื่อจ้านเป่ยว่างเห็นว่าทุกคนลำบากใจเช่นนี้ เลยหยิบรายการสินสอดขึ้นมาดู หลังจากอ่านแล้ว เขาจึงถามป้ารองว่า "แค่นี้มีปัญหาอะไรหรือ เงินสดหนึ่งหมื่นตำลึง กำไลทองสองคู่ กำไลหยกสองคู่ เครื่องประดับบนหัวสองอัน ผ้าทอชั้นดีห้าสิบชิ้น แค่นี้นี่เอง ส่วนอื่นๆ เป็นของเล็กน้อย ไม่ได้เยอะนี่""ไม่ได้เยอะเหรอ?" ฮูหยินผู้เฒ่ารองหัวเราะเยาะ "น่าเสียดายบัดนี้บัญชีของจวนแม้แต่เงินหนึ่งพันตำลึงก็ให้ไม่ได้เลย"จ้านเป่ยว่างประหลาดใจ "เป็นไปได้ยังไง? ใครเป็นผู้รับผิดชอบบัญชี? มันขาดทุนหรือเปล่า?""ข้ารับผิดชอบบัญชี!" ซ่งซีซีพูดเรียบๆ"เจ้าเป็นคนดูแลบัญชี แล้วเงินล่ะ?" จ้านเป่ยว่างถาม"ใช่สิ แล้วเงินล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่ารองยิ้มเยาะ "เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพของเราเป็นตระกูลใหญ่โตหรือไง จวนแม่ทัพหลังนี้ เป็นท่านย่าของเจ้าที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จักรพรรดิองค์ก่อนทรงมอบให้ เงินเดือนประจำปีของท่านพ่อเจ้ารวมกับท่านอาเจ้า ไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ส่วนเจ้า เป็นแม่ทัพแค่ขั้นสี่ จะมากกว่าท่านพ่อของเจ้าหรือ""แล้วทรัพย์สินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ล่ะ ยังไงมันต้องทำกำไรไว้ ไม่มากก็น้อยสินะ?" จ้านเป่ยว่างกล่าวฮูหยินผู้เฒ
ฮูหยินผู้เฒ่าชะงัก ยืมเหรอ?ทว่าเมื่อกี้นางเองก็บอกว่ายืม รอที่จวนมีเงินแล้วก็คืนนาง ที่ซ่งซีซีพูดแบบทำให้นางไม่สามารถโต้แย้งได้เพียงแต่ นางยังคงบ่นอยู่ในใจว่า ซ่งซีซีเป็นคนไม่รู้ความจริงๆ กลับคิดเล็กคิดน้อยกับสามีตัวเอง ครอบครัวของพ่อแม่นางก็ตายหมดแล้ว เงินไม่ใช้กับจวนแม่ทัพ แล้วจะใช้ที่ไหนได้อีก?จ้านเป่ยว่างส่ายหัว "ข้าจะคิดหาทางออกเอง ไม่จำเป็นต้องยืมของเจ้า"หลังจากพูดแล้วเขาก็หันหลังกลับและออกไปทุกคนในห้องต่างมองไปที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีคารวะทีหนึ่ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปก่อนนะ""เดี๋ยวก่อนซีซี!" ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าบึ้งตึง ตอนนี้นางโกรธขึ้นมา และไม่ไอหรืออ่อนแรงอีก เพราะเมื่อวานนางเพิ่งกินยาหมอมหัศจรรย์ดันไปหนึ่งเม็ดซ่งซีซีมองดูนาง "ท่านมีคำสั่งอะไรอีกหรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างจริงจัง "ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าวังเพื่อขอร้องฝ่าบาทมา แต่มันไม่เหมาะเลยที่เจ้าทำเช่นนั้น ยี่ฝางแต่งเข้ามา หากต่อไปได้สร้างผลงานให้บ้านเมืองอีก มันสร้างชื่อเสียงให้ลูกหลานของจวนแม่ทัพนะ เจ้าก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย หากสร้างผลงานมากมาย เจ้าก็อาจรับยศไป มันก็เป็นบุญคุณของเจ้า"ซ่งซีซีไม่ได้ปฏิเสธ "ท่
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงกำหนดให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นที่อุทยานบุปผาหลวง สำนักพระคลังได้เตรียมการล่วงหน้ามาเป็นเวลานาน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เหลือเพียงรอวันพิธีมาถึงเท่านั้น ในวันที่ยี่สิบห้าของเดือนสิบสอง องค์ชายทั้งหลายยังคงฝึกซ้อมขี่ม้าอย่างเข้มงวด แม้แต่องค์ชายสามก็ยังเข้าร่วมการฝึก องค์ชายสามยังต้องให้คนอุ้มขึ้นหลังม้า แต่ข้อดีของพระองค์คือความกล้าหาญ พระองค์ปฏิบัติตามที่เสด็จอาสอนอย่างเคร่งครัด จับบังเหียนแน่นแล้วควบม้าไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี ในขณะที่พระองค์ควบม้า เซี่ยหลูโม่ก็จัดให้มีคนคอยประกบตลอด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ส่วนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนั้น ฝึกจนชำนาญแล้ว การควบม้าตะลุยไปข้างหน้าหาใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา ม้าของพวกเขาล้วนเป็นลูกม้าพันธุ์จ้าวหง (ม้าแดงด่าง) ซึ่งอุปนิสัยอ่อนโยนและควบคุมได้ง่าย เมื่อถึงสองทุ่ม เซี่ยหลูโม่ได้กล่าวเตือนพวกเขาเกี่ยวกับข้อควรระวังในวันพรุ่งนี้ และสอนวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพิ่งกล่าวจบ พระสนมเต๋อเฟยก็ส่งคนมารับองค์ชายรอง เดิมทีองค์ชายรองคิดจะกลับไปตำหนักฉือหนิงพร้อมกับพี่ชายทั้งสองเพื่อกินอาหารว่างยามดึก
องค์ชายใหญ่โอบต้นไม้ไว้ทั้งสองมือ ขยับเข้าไปแนบใบหน้ากับลำต้น แววตาเต็มไปด้วยความสับสน "ไม่รู้สิ เสด็จแม่ดีกับข้ามาโดยตลอด แต่วันนั้น…ท้องของข้าปวดมาก ปวดจนอยากตายเลย" องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วหันไปถามรุ่ยเอ่อร์ "ท่านอาน้อยของเจ้าดีต่อเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่รู้อยู่แล้วว่ามารดาของรุ่ยเอ่อร์สิ้นไปแล้ว เดิมทีพระองค์เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อโตขึ้น พระองค์ก็เริ่มเข้าใจจิตใจผู้อื่น และรู้ว่ารุ่ยเอ่อร์เป็นสหายที่ดี จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องที่อาจทำให้เขาเศร้า เสด็จย่าเคยตรัสไว้ว่า การเป็นสหายที่ดี ต้องรู้จักใส่ใจความรู้สึกของกันและกัน รุ่ยเอ่อร์ตอบว่า "ท่านอาน้อยดีกับข้ามาก ดีเป็นพิเศษเลยล่ะ" "แล้วเจ้าคิดว่าท่านอาน้อยของเจ้าจะยอมวางยาพิษเจ้าเพียงเพราะเป้าหมายบางอย่าง ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจนแทบเอาชีวิตไม่รอดหรือไม่?" รุ่ยเอ่อร์แทบไม่ต้องคิด รีบตอบทันทีว่า "ไม่มีทาง!" "แล้วถ้าเพื่ออนาคตของเจ้าเล่า?" ครานี้รุ่ยเอ่อร์นิ่งไปเล็กน้อย มิได้ตอบในทันที เขาเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นขอทานมาก่อน ย่อมเข้าใจโลกเร็วกว่าเด็กทั่วไป หากเขาตอบว่า ‘ไ
องค์ชายใหญ่ถูกบังคับให้อยู่ต่อ ได้แต่มองซ่งรุ่ยและองค์ชายรองเดินออกไปเพื่อเสวย ภายในใจของพระองค์รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่เสด็จย่าเคยสั่งสอนไว้ว่า แม้จะโกรธก็อย่าได้แสดงออกมาโดยง่าย พระองค์จึงเพียงแค่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “เสด็จแม่มีสิ่งใดจะตรัสกับลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” "เจ้า..." ฮองเฮามองดูพระโอรสด้วยความเจ็บปวดและขุ่นเคือง "เจ้าไม่ได้พบเสด็จแม่มานานถึงเพียงนี้ เจ้าไม่คิดถึงเสด็จแม่บ้างหรือ? ไม่มีสิ่งใดจะพูดกับเสด็จแม่เลยหรือ?" องค์ชายใหญ่เหลือบมองพระนาง ก่อนจะหันไปมองหลานเจี่ยนกูกู สายตาของหลานเจี่ยนกูกูเต็มไปด้วยความอ้อนวอน องค์ชายใหญ่เห็นดังนั้นจึงเกิดความลังเล ก่อนจะรีบกล่าวว่า “แน่นอนว่าลูกคิดถึงเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกหิวมาก อยากรีบไปเสวย” กล่าวจบ พระองค์ยังไม่ลืมที่จะถวายบังคมลาไทเฮา จากนั้นก็วิ่งออกไปดั่งสายลม ไล่ตามรุ่ยเอ่อร์และองค์ชายรอง ฮองเฮานั่งนิ่งอยู่นาน ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดออกมาเป็นระยะ "เขาไม่เห็นหม่อมฉันเป็นมารดาอีกแล้ว เสด็จแม่พอพระทัยแล้วหรือยัง?" พระนางกล่าวขึ้นในที่สุด เช็ดน้ำตาด้วยท่วงท่าที่แข็งกระด้าง คำพูดนั้น
ทุกคนล้วนเข้าใจกันดี แม้ว่าการแข่งขันขี่ม้านี้ดูเหมือนจะถูกจัดขึ้นเพื่อบรรดาแม่ทัพนายกอง แต่ที่แท้แล้ว จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า องค์ชายใหญ่มีพัฒนาการมากเพียงใดเมื่อเทียบกับช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนเรื่องที่อ้างว่าในวันนั้นองค์ชายใหญ่พลาดพลั้งเพราะปวดท้องนั้น ภายหลังเมื่อใครๆ ได้คิดทบทวนก็เข้าใจได้ หากเจ็บป่วยจริง ย่อมต้องแสดงอาการตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่ว่าเช้าวันนั้นพระองค์ยังคงวิ่งเล่นโลดโผนอยู่เลย ที่สำคัญ พระองค์มิใช่แค่พลาดเป้า แต่กลับร้องไห้โฮออกมา จะมีรัชทายาทที่มีจิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ได้หรือ? เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้น พระนางก็ดีพระทัยนัก รีบไปยังตำหนักฉือหนิง ขอพระราชทานโอกาสจากไทเฮา เพื่อให้ได้พบหน้าพระโอรสสักครา ครานี้ไทเฮาทรงอนุญาต แต่มีข้อแม้ว่าพระนางต้องอยู่ต่อหน้าพระองค์ และห้ามพบกันเป็นการส่วนตัว แม้ว่าฉีฮองเฮาจะอยากพูดคุยกับพระโอรสเป็นการส่วนตัว เพื่ออธิบายเรื่องการวางยา แต่เมื่อตรัสห้ามไปแล้ว ก็ย่อมฝืนมิได้ เพียงแค่ได้พบหน้าก็ถือว่าดีแล้ว พระนางไปถึงตำหนักฉือหนิงในช่วงเย็น คอยรับใช้ไทเฮาขณะเสวย จากนั้นก็ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม จึงได้พบองค์ชา
หลานเจี่ยนกูกูจำต้องลองหาทางไปพบองค์ชายใหญ่ ทว่าเขตตำหนักศึกษานั้นเป็นสถานที่สำคัญ แต่ไหนแต่ไรก็มิอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป นางจึงทำได้เพียงรอคอยอยู่ห่างๆ หวังว่าในยามที่องค์ชายใหญ่ออกจากตำหนักศึกษา กลับไปตำหนักฉือหนิง หรือเดินทางไปยังลานฝึกยุทธ์ จะสามารถมองเห็นพระองค์ได้สักครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น เพราะรอบกายล้วนมีองครักษ์คอยคุ้มกัน บางครั้งแม้แต่เงาก็มิอาจเห็นได้ เพราะองครักษ์ที่ล้อมรอบล้วนตัวสูงใหญ่ องค์ชายใหญ่ถูกขนาบอยู่ตรงกลาง ศีรษะของพระองค์ก็ยังถูกบดบังจนสิ้น นางลองใช้เงินติดสินบนองครักษ์ เพื่อขอให้องค์ชายใหญ่ได้ออกมาข้างนอกสักครึ่งชั่วยาม แต่เหล่าองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นคนของไทเฮา ต่อให้มอบเงินทองมากเพียงใด ก็ไม่เป็นผล ไทเฮาใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการปกป้ององค์ชายใหญ่ กระทั่งฮ่องเต้ต้องการเข้าเฝ้า ก็ยังต้องมีขบวนอารักขาคอยส่งพระองค์ไป ส่วนองค์ชายรองนั้น มีความผ่อนปรนมากกว่าหน่อย เพราะพระสนมเต๋อเฟยครองอำนาจในวังหลังมานาน ได้วางคนของตนไว้ทั่วทุกแห่ง นางมีอำนาจพอที่จะปกป้ององค์ชายรองได้ แต่ถึงกระนั้น ไทเฮาก็ยังลอบส่งคนคอยจับตาดูอยู่ หาใช่เ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในราชสำนักไม่เคยเงียบลงเลย แทบทุกเช้าในที่ประชุมราชสำนัก ต้องมีขุนนางนำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวเสมอ ในที่สุด วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง จักรพรรดิ์ซูชิงทรงประกาศว่า พระองค์ทรงมีพระทัยเลือกองค์รัชทายาทแล้ว แต่เนื่องจากองค์รัชทายาทยังเยาว์วัย จึงมิได้ประกาศต่อสาธารณะ พระองค์เพียงเขียนพระราชโองการเก็บไว้ แล้วนำไปเก็บรักษาบนขื่อของไทเมี่ยว จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสกลางท้องพระโรงว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ว่าใครคือองค์รัชทายาท มิได้เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ เช่นนี้ก็เพื่อให้ เสนาบดีมู่และเซี่ยหลูโม่ ไม่ต้องคอยถูกซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ถึงแม้จักรพรรดิ์จะมิได้ตรัสออกมาโดยตรง ทุกคนล้วนคาดเดา บัดนี้องค์ชายใหญ่เลิกเกียจคร้าน เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนขยัน ตั้งใจศึกษา และมีนิสัยอ่อนน้อมขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีซ่งรุ่ย คุณชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วเป็นสหายร่วมศึกษาด้วย ดังนั้น ทุกคนจึงคาดเดาว่าองค์ชายใหญ่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องยากจะคาดเดา ท้ายที่สุดแล้ว องค์ชายใหญ่ครองตำแหน่งรัชทายาท อีกทั้งยังเปลี่
ไทเฮาทรงมีพระราชโองการให้ดูแลพระสนมซูเฟยอย่างเหมาะสม การย้ายตำหนักของพระสนมซูเฟยไปยังตำหนักกุ้ยหลานนั้นเป็นไปเพื่อให้องค์ชายสามได้พักฟื้น ต้องอย่าได้ละเลยดูแลพวกเขา เมื่อไทเฮาทรงเป็นผู้รับสั่งโดยตรง กรมวังย่อมไม่กล้าละเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเสื้อผ้า อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ยังคงได้รับการจัดสรรตามฐานะของพระสนมในตำแหน่งพระสนมชั้นเฟย แต่กระนั้น บรรดาญาติที่ต้องการเข้าเยี่ยมกลับถูกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลเดิม องค์ชายสามจำต้องพักฟื้น ไม่อาจรบกวนได้ หลี่ฮูหยินจึงจำต้องไปขอร้องซ่งซีซี นางขอให้ซ่งซีซีช่วยส่งเงินเข้าไปในวัง เพื่อให้พระสนมซูเฟยสามารถใช้จ่ายดูแลตนเองและบุตร ไม่ให้ต้องลำบากหรือถูกกดขี่จนเกินไป แม้นางจะมิอาจรู้ได้ว่า การแท้งของฝูเจาอี๋เกี่ยวข้องกับพระสนมซูเฟยหรือไม่ แต่นางรู้ว่า ชีวิตของพระสนมที่หมดสิ้นความโปรดปรานนั้นย่อมขมขื่นยิ่งนัก ในวังหลวง ผู้คนล้วนแต่ประจบสอพลอ ต่อให้เมื่อวานยังเป็นที่โปรดปราน วันนี้หากตกต่ำ คนก็พร้อมจะเหยียบย่ำโดยไม่ลังเล ถึงแม้ซ่งซีซีจะปลอบนางว่า ไทเฮาได้ทรงมีพระราชโองการดูแลองค์หญิงสามและองค์ชายสาม ไม่ต้องกังวลมากนัก แต่หลี่ฮูหยินกลับหลั่งน้ำ
พระสนมซูเฟยอ้าปากค้าง นิ่งอึ้งอยู่กับที่ สมองของนางปั่นป่วนไปหมด แต่เมื่อได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงรู้เรื่องแล้วเพียงแต่พวกเขาไม่มีเจตนาจะสืบสวนต่อแต่…นางอยากให้พวกเขาสืบสวนจริงหรือ? หากสืบสวนต่อไป คนแรกที่ต้องถูกลงโทษย่อมเป็นนางเองนางเริ่มรู้สึกเสียใจที่มาสารภาพเสียแล้ว เพราะกลับกลายเป็นว่าก่อให้เกิดโทษแก่ตัวเองโดยสมบูรณ์พระสนมซูเฟยคุกเข่าลง ก้มศีรษะคำนับ แล้วซวนเซออกไปไทเฮาทอดพระเนตรแผ่นหลังของนาง นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่พระสนมซูเฟยเพิ่งเข้าวังมา นางงดงามเป็นอย่างยิ่ง นิสัยหยิ่งทะนงและเย่อหยิ่ง เมื่อได้รับความโปรดปรานก็ยิ่งหยิ่งผยองสองปีมานี้ แม้นางจะเก็บงำตัวลงไปมาก แต่ในกระดูกของนางยังคงมีความทะนงตน แค่เพียงความทะเยอทะยานเพียงเล็กน้อย ก็นำพานางให้กล้าทำเรื่องเช่นนี้อำนาจ…ช่างทำให้คนหลงมัวเมานักเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก ไทเฮาตรัสสั่งให้ฮองเฮาและพระสนมเต๋อเฟยคัดลอกพระคัมภีร์ ต้องทำเช่นนี้ไปจนถึงวันส่งท้ายปีเก่าจึงจะได้รับการปล่อยตัวส่วนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง กลางวันต้องไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษา ตอนกลางคืนต้องติดตามเสด็จอาฝึกวรยุ
ผ่านไปไม่กี่วัน วังหลังได้เคลื่อนย้ายร่างของนางกำนัลคนหนึ่งออกไปวันนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้พระสนมซูเฟยย้ายออกจากตำหนักฮุ่ยอี๋ นำนางกำนัล องค์หญิงสาม และองค์ชายสามไปพำนักที่ตำหนักกุ้ยหลานตำหนักกุ้ยหลานตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้กับตำหนักเย็น ปกติแทบไม่มีใครไปเยือนเมื่อพระราชโองการประกาศออกมา พระสนมซูเฟยราวกับถูกฟ้าผ่า ยืนอึ้งอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยสั่งบรรดาข้ารับใช้ด้วยใบหน้าซีดเผือด “เก็บข้าวของเถิด”นางรู้ดีว่า ตนเองและองค์ชายสามหมดโอกาสแล้วโดยสิ้นเชิงแต่ที่จริง นางไม่ได้นึกแปลกใจเลย นับตั้งแต่นางรู้ว่าฝูเจาอี๋สูญเสียลูกไป นางก็ทำใจไว้แล้วเพราะเรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ ยาที่นางให้ไปมีปริมาณเพียงน้อยนิด ต้องดื่มติดต่อกันครึ่งเดือนถึงจะเห็นผลแต่กลับกลายเป็นว่าเพียงวันรุ่งขึ้น ฝูเจาอี๋ก็ตกเลือดเสียแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าคนของนางที่แทรกซึมอยู่ข้างกายฝูเจาอี๋ ได้ทรยศและหันไปเข้ากับฮองเฮา หรือมิฉะนั้นก็พระสนมเต๋อเฟยนางไม่จำเป็นต้องไปไตร่ตรองอีกแล้วว่าเป็นใคร เพราะไม่มีความหมายใดอีก ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ย้ายตำหน