Share

บทที่ 7

Author: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป อู๋ต้าปั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอกแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท ไทโฮ่วได้ส่งคนมาที่นี่ เพื่อตามหาฝ่าบาทหาเวลาไปพบพะย่ะค่ะ"

จักรพรรดิ์ซูชิงถอนหายใจ "อาจเป็นเพราะเรื่องของซีซี ทำให้นางวิตกกังวลเข้าแล้ว ไปกันเลย"

ดอกโบตั๋นในตำหนักโซ่วคังกำลังบานสะพรั่ง งดงาม มีกลิ่มหอมด้วย

และดอกกุหลาบที่เลื้อยตามกำแพงตำหนักก็บานสะพรั่งอย่างสวยงามเช่นกัน

ไทโฮ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาลีที่มีพนักพิงในห้องโถงใหญ่ สวมชุดคลุมสีม่วง และมีหยกขาวอยู่ในมวยของนาง ด้วยใบหน้าซีดเซียว

"กระหม่อมคารวะเสด็จแม่พะย่ะค่ะ!" จักรพรรดิ์ซูชิงก้าวไปข้างหน้าและคารวะด้วย

ไทโฮ่วมองดูเขา ให้คนรับใช้ต่างๆ ออกไปแล้วถอนหายใจ "พระราชทานอภิเษกสมรสที่เจ้าออกให้นั้น ใช้ไม่ได้จริงๆ เจ้าทำแบบนี้ ทั้งผิดต่อท่านโหวซ่ง ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผู้คนในใต้หล้าอีกด้วย"

เสียงของไทโฮ่วค่อยๆ เข้มขึ้น "ในราชวงศ์ซางมีกฎหมายอยู่ ขุนนางในราชสำนักไม่ได้รับอนุญาตให้รับอนุภรรยาภายในห้าปีหลังจากแต่งงาน ห้าปีเป็นเวลาที่สั้นมากแล้ว ตามที่ข้าคิด เว้นแต่เกินอายุสี่สิบแต่ยังไม่มีบุตรถึงจะแต่งอนุภรรยาได้ ตอนนี้เจ้าออกพระราชทานอภิเษกสมรสให้ยี่ฝางเป็นภรรยามเท่าเทียมต่อหน้าผู้คน เจ้าทำแบบนี้เท่ากับเปิดทางให้ทุกคนเลย เช่นนี้สตรียังใช้ชีวิตได้ยังไงอีก?"

"จ้านเป่ยว่างออกศึกในวันแต่งงาน จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ร่วมหอกับซีซีด้วยซ้ำ และสามีก็จะแต่งงานกับภรรยาที่เท่าเทียมกัน เจ้ากำลังพยายามต้อนนางให้จนมุมหรือไง?"

หลังจากที่ไทโฮ่วพูดจบ น้ำตาก็ไหลรินอย่างรวดเร็ว "น่าสงสาร พวกเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังต้องถูกรังแกเช่นนี้?"

เหตุผลที่ไทโฮ่วทรงเศร้ามากก็เพราะนางและมารดาของซ่งซีซีเป็นคนสนิทกัน นางเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้โตขึ้นตั้งแต่เด็กด้วย

เมื่อจักรพรรดิ์ซูชิงเห็นแม่ของเขาร้องไห้ เขาก็คุกเข่าลงต่อหน้านางและพูดอย่างรู้สึกผิดว่า "เสด็จแม่ เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ ตอนนั้นเขาใช้ผลงานของตนในการขับไล่กองทัพศัตรูเพื่อขอพระราชกฤษฎีกาสมรสตอหน้าสาธารณะที่หน้าประตูเมือง ข้ารู้ว่ามันไม่ดี แต่เขาบอกว่าไม่มีคำขออย่างอื่นและไม่ต้องการของตอบแทน หากข้าไม่ทำตามที่เขาขอ งั้นเขาคงต้องอับอาย"

ไทโฮ่วตรัสด้วยความโกรธ "ไม่อยากให้เขาอับอาย แล้วต้องมาให้ซีซีเสียสละงั้นเหรอ? คนที่ตระกูลซ่งเสียสละนั้นยังไม่มากพอหรือ หนึ่งปีมานี้ นางใช้ชีวิตยากลำบากแค่ไหนเจ้าไม่รู้หรือไง"

จักรพรรดิ์ซูชิงก็รู้สึกเห็นใจด้วย แต่เขาต้องพูดความจริงว่า "เสด็จแม่ จ้านเป่ยว่างเปลี่ยนใจแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่แต่งงานกับยี่ฝาง ก็ไม่มีทางจะปฏิบัติต่อซ่งซีซีอย่างจริงใจ เมื่อกี้ซ่งซีซีมาขอร้องต่อหน้าข้าแล้วว่าอยากขอพระราชโองการเพื่อหย่า ข้ารับปากปล้ว"

ไทโฮ่วขมวดคิ้วหนัก "อะไรนะ ทำไมเด็กโง่คนนี้ถึงขอหย่าเล่า หลังจากหย่าแล้วนางจะไปไหนได้บ้าง?"

"นางบอกว่าจะกลับจวนโหว รับเลี้ยงเด็กชายให้กับพ่อของนาง"

ไทโฮ่วทรงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า "นางยังสามารถกลับไปที่จวนโหวได้หรือ นางได้เห็นศพของญาติพี่น้องของนางเต็มบ้าน นางจะไม่กลัวฝันร้ายทุกคืนถ้านางอาศัยอยู่ในสถานที่นั้น?"

ไทโฮ่วรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่งและตรัสว่า "ในเมื่อนางเข้ามาในวังแล้ว ทำไมนางไม่มาพบข้าล่ะ? ข้าสามารถตัดสินใจแทนนางและสอนวิธีให้นางจัดการกับยี่ฝางได้ ไม่จำเป็นต้องหย่าเลย ในเมื่อจ้านเป่ยว่างได้สร้างผลงานดีๆ ในทางด้านฝ่ายทำศึก มาของยศ นางสามารถมีชีวิตอย่างดีทีเดียว เหตุใดถึงเลือกเส้นทางที่ยากลำบากเช่นนี้?"

"เสด็จแม่ นางตัดสินใจแล้ว บอกว่าไม่อยากใช้ชีวิตอย่างทุกข์ใจกับคนสองคนนั้นด้วย เสด็จแม่ลองคิดดูสิ หากในใจของนางมีจ้านเป่ยว่าง และแต่ละวันต้องทนดูเขากับหญิงอื่นรักใคร่กัน จะให้นางอยู่อย่างไรเล่า"

เอ่ยถึงจุดเจ็บใจของไทโฮ่วเข้าแล้ว

นางรักจักรพรรดิองค์ก่อน แต่จักรพรรดิองค์ก่อนนั้นรักพระสนมกุ้ยเฟย และแน่นอนว่ายังมีพระสนมหนิง พระสนมว่านกุ้ยเฟย และอื่นๆ อีกด้วย

ใบหน้าของไทโฮ่วเกือบซีดเผือดลงหมด "ชีวิตของสตรีช่างยากลำบากมากเชียว ยี่ฝางเป็นแม่ทัพหญิง ข้าเคยยกย่องนาง และเดิมทีคิดว่านางสามารถปรับปรุงสถานะของสตรีได้ แต่ไม่รู้เลยว่าพอนางได้รับอำนาจ คนแรกที่นางรังแกก็คือสตรี ข้าผิดหวังในตัวนางมาก"

จักรพรรดิ์ซูชิงก็ดูไม่ดีเช่นกัน เขาผิดหวังกับจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเพิ่งทำให้เมืองชายแดนสงบลง จึงไม่สามารถตำหนิพวกเขามากเกินไป และทำได้เพียงให้เขาเข้าไปในพระราชวังเพื่อตักเตือนพวกเขาสักหน่อย
Comments (10)
goodnovel comment avatar
Suda Isarakorn
ขออ่านให้ต่อเนื่องมากกว่านี้
goodnovel comment avatar
Kantitat
ไทเฮา กับ ฮ่องเต้ ช่างมีความคิดดีจริง
goodnovel comment avatar
Penluck
โชคดีที่ นาวเอกเจอ ไทเฮา เจอจักรพรรดิ ดีมีคุณธรรม แม้น สามีจะไม่ดี รอบตัวทำร้่ยขนาดไหน แต่ โลกไม่เคยไม่ยุติธรรม ในความเลวร้ายก็ยังเจอคนดีซ้อนอยู่
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 8

    วันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยว่างเข้าไปในพระราชวังตามคำสั่ง เดิมทีเขาคิดว่าพอเข้าไปในวังแล้วก็สามารถเจอกับฝ่าบาทได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้เขาเป็นคนโดดเด่นในราชสำนักโดยไม่คาดคิด เขารออยู่นอกห้องหนังสือหลวงเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม ก่อนที่อู๋ต้าปั้นจะออกมาและพูดว่า "ท่านแม่ทัพจ้าน ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ เขาบอกว่าให้ท่านกลับก่อน เดี๋ยวจะค่อยเรียกท่านมาใหม่ในวันอื่นขอรับ"จ้านเป่ยว่างมีสีหน้าประหลาดใจ เขารออยู่นอกห้องหนังสือมานานขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีขารชาการคนใดเข้าออก แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอภิปรายเรื่องการเมืองกับข้าราชบริพารเขาถามว่า "อู๋กงกง เดิมทีฝ่าบาททรงเรียกข้ามาเพื่ออะไรหรือ"อู๋ต้าปั้นพูดด้วยรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ"จ้านเป่ยว่างรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าเข้าไปถามฝ่าบาทโดยตรง "รบกวนกงกงเตือนข้าสสัดหน่อยว่าใช่ข้าทำผิดอะไรหรือไม่?"อู๋ต้าปั้นยังคงยิ้มและกล่าวว่า "ท่านแม่ทัพเพิ่งกลับมาอย่างมีชัย เป็นวีรบุรุษของบ้านเมือง จะมมีผิดที่ไหนกัน""แล้วฝ่าบาท..."อู๋ต้าปั้นโค้งคำนับและพูดว่า "ท่านแม่ทัพ โปรดกลับก่อนเถอะขอรับ"จ้านเป่ยว่างยังต้องการถามต่อ แต่อู๋ต้าปั้นไ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 9

    จ้านเป่ยว่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงพูดอย่างเย็นชาว่า "นี่มันข้าขอด้วยความผลงานในการออกศึก หากพระองค์ถอนพระราชกฤษฎีกาของเขาจริงๆ มันจะทำให้ทหารผิดหวังแน่ๆ วันนี้พระองค์ทรงเรียกข้าไปพบ แต่ก็ไม่ยอมพบข้า อาจเป็นเพราะเจ้าฟ้องว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ซ่งซีซี ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ข้าเมตตากับเจ้ามามากพอแล้วจริงๆ""ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวดีๆ หยุดสร้างปัญหา หลังจากที่ข้าแต่งงานกับยี่ฝาง ข้าจะให้เจ้ามีลูกเป็นของตัวเองด้วย และเจ้าก็จะมีที่พึ่งพาในชีวิตที่เหลือ"ซ่งซีซีลดสายตาลง แล้วพูดเบาๆ "เป่าจู่ ส่งแขก!"เป่าจูยืนขึ้นแล้วพูดว่า "ท่าแม่ทัพเชิญเจ้าคะ!"จ้านเป่ยว่างเดินจากไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดอะไร น้ำตาของเป่าจูก็ไหลออกมาราวกับลูกปัดที่แตกสลายซ่งซีซีเดินเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง "เป็นอะไรอีก?""ข้าน้อยรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนู คุณหนูไม่รู้สึกน้อยใจหรือ?" เป่าจูถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "น้อยใจสิ แต่ร้องไห้จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ล่ะ สู้คิดหาทางออกเพื่อให้เราสองคนมีชีวิตที่ดีจะดีซะกว่า ตระกูลซ่งจะมีคนอ่อนแอที่ไหนกัน"เป่าจูเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และเบ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 10

    หลังจากส่งหมอมหัศจรรย์ดันกลับไป ซ่งซีซีก็กลับไปที่เรือนเหวินซี ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้านเป่ยว่างก็พายี่ฝางไปที่เรือนเหวินซีเพื่อตามหานางนางกำลังทำบัญชีของจวนเดือนนี้ในห้องหนังสือ เมื่อนางเห็นพวกเขาเข้ามา ดวงตาของนางก็จับจ้องไปที่มือที่ประสานกันของพวกเขากระถางธูปสีทองตัวเล็กๆ กำลังออกกลิ่มธูปหอมอยู่ กลิ่มนั้รทำให้คนสงบอารมณ์ได้ด้วย นางหายใจเข้าลึกๆ พูดให้ชัดเจนก็ดีหลังจากที่นางสั่งให้เป่าจูออกไป ก่อนพูดว่า "เชิญนั่งเลย!"ยี่ฝางเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าสตรีด้วยกระโปรงจีบสีแดงปักลายผีเสื้อสีทอง นางนั่งลง กระโปรงห้อยลงมา และผีเสื้อก็ดูนิ่งอยู่เช่นกันยี่ฝางไม่ถือว่าสวย แต่นางมีออร่ามาก"นางซ่ง!" นางเอ่ยปากก่อนและมองตรงไปที่ซ่งซีซี นางเคยอยู่ในกองทัพ และสังหารศัตรู นางคิดว่าความแข็งแกร่งของนางน่าจะทำให้ซ่งซีซีไม่กล้ามองตรงๆ อย่างไรก็ตาม ดวงตาของซ่งซีซีนั้นดูสดใส ไม่มีการหลบหนีแม้แต่น้อย นี่กลับทำให้นางประหลาดใจ"ท่านแม่ทัพมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!" ซ่งซีซีกล่าว"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากพบข้า ข้าก็เลยมาที่นี่ ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเจ้าจะยินดีที่จะอยู่ร่วมกับฉันอย่างสันติหรือไม่" ยี่ฝางพูดอย่า

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 11

    แม้ว่ายี่ฝางจะรู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่นางก็พูดว่า "ข้ามิใช่คนขี้อิจฉาขี้หึงอะไร และถ้าคิดเพื่อตัวเจ้าเอง หากเจ้ามีลูกของตัวเอง และต่อไปเจ้าก็จะมีคนที่ให้พึ่งพา ส่วนหลังจากเจ้าท้องเขาเขาจะร่วมหอกับเจ้าอีกหรือไม่ ข้าไม่อยากยุ่ง"ด้วยประโยคสุดท้าย เห็นได้ชัดว่านางโกรธแล้วจ้านเป่ยว่างรีบสัญญาอย่างว่า "ไม่ต้องห่วง ถ้านางท้อง ข้าจะไม่แตะต้องนางอีกเลย""ไม่จำเป็นต้องสัญญาหรอก ข้าไม่ได้เป็นคนใจแคบอย่างนั้น" ยี่ฝางหันหน้าออกไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจซ่งซีซีมองไปคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านาง และรู้สึกว่าน่าเกลียดอย่างยิ่ง นางยืนขึ้นและมองไปที่ยี่ฝาง ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม "สตรีอยู่ในโลกนี้มันยากลำบากมากอยู่แล้ว ทำไมเจ้าต้องดูถูกสตรีอีก เจ้าเองก็เป็นสตรีนะ แล้วจะมาดูถูกสตรีเช่นนี้เพียงเพราะเจ้าฆ่าศัตรูในสนามรบไม่ได้นะ เจ้าคิดว่าข้า ซ่งซีซีจะอยู่รอดก็ต่อเมื่อพึ่งพาสายเลือดของตระกูลจ้านเท่านั้นเหรอ ชีวิตข้าไม่มีอะไรที่ข้าเองต้องไปทำ ไม่มีชีวิตที่ข้าต้องการอยู่ จะต้องเป็นตัวประกอบของพวกเจ้าเท่านั้น และมีชีวิตอย่างอับอายในหลังจวนที่นี่เหรอ พวกเจ้าคิดว่าข้าซ่งซีซีเป็นอะไรกัน?"ยี่ฝางอึ้งไ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 12

    เป่าจู้รู้สึกปวดใจที่คุณหนูของตัวเองถูกรังแกเช่นนี้ คำบางคำที่คุณหนูต้องเห็นถึงกาลเทศะเลยไม่สามรถพูดได้ แต่นางเป็นสาวรับใช้ที่หยาบคาย นางไม่กลัว ดวงตาของนางแดงก่ำ "ข้อน้อยเป็นแค่สาวใช้ผู้ต่ำต้อย ยังรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ท่านเป็นถึงแม่ทัพหญิงในราชสำนัก แต่กลับไปคบชู้กับสามีคนอื่นในสนามรบ และตอนนี้กลับอาศัยความสำเร็จมารังแกคุณหนูของข้าโ... ""เพี๊ยะ!"การตบอย่างเสียงดังลงบนใบหน้าของเป่าจูจ้านเป่ยว่างตบเป่าจูอย่างแรงด้วยความโกรธ จากนั้นจ้องมองไปที่ซ่งซีซีด้วยความเย็นชา "นี่ก็คือสาวใช้ที่เจ้าสอนมาหรือ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลย"ซ่งซีซีรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปพยุงเป่าจูก่อน เมื่อเห็นแก้มของนางบวมทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจ้านเป่ยว่างออกแรงไปมากแค่ไหนนางหันกลับมาและดวงตาของนางก็เย็นชา จากนั้นนางก็ตบหน้าจ้านเป่ยว่างฉาดหนึ่ง "คนของข้า จะยอมให้เจ้าทุบตีอย่างตามใจเลยเหรอ"จ้านเป่ยว่างไม่คาดคิดว่านางจะตบเขาเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง หน้าของผู้ชายจะโดนผู้หญิงตบแบบง่ายๆ ได้ยังไงกัน โดยเฉพาะต่อหน้ายี่ฝางแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้กลับ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างเย็นชา และจากไปพร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 13

    เมื่อจ้านเป่ยว่างเห็นว่าทุกคนลำบากใจเช่นนี้ เลยหยิบรายการสินสอดขึ้นมาดู หลังจากอ่านแล้ว เขาจึงถามป้ารองว่า "แค่นี้มีปัญหาอะไรหรือ เงินสดหนึ่งหมื่นตำลึง กำไลทองสองคู่ กำไลหยกสองคู่ เครื่องประดับบนหัวสองอัน ผ้าทอชั้นดีห้าสิบชิ้น แค่นี้นี่เอง ส่วนอื่นๆ เป็นของเล็กน้อย ไม่ได้เยอะนี่""ไม่ได้เยอะเหรอ?" ฮูหยินผู้เฒ่ารองหัวเราะเยาะ "น่าเสียดายบัดนี้บัญชีของจวนแม้แต่เงินหนึ่งพันตำลึงก็ให้ไม่ได้เลย"จ้านเป่ยว่างประหลาดใจ "เป็นไปได้ยังไง? ใครเป็นผู้รับผิดชอบบัญชี? มันขาดทุนหรือเปล่า?""ข้ารับผิดชอบบัญชี!" ซ่งซีซีพูดเรียบๆ"เจ้าเป็นคนดูแลบัญชี แล้วเงินล่ะ?" จ้านเป่ยว่างถาม"ใช่สิ แล้วเงินล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่ารองยิ้มเยาะ "เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพของเราเป็นตระกูลใหญ่โตหรือไง จวนแม่ทัพหลังนี้ เป็นท่านย่าของเจ้าที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จักรพรรดิองค์ก่อนทรงมอบให้ เงินเดือนประจำปีของท่านพ่อเจ้ารวมกับท่านอาเจ้า ไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ส่วนเจ้า เป็นแม่ทัพแค่ขั้นสี่ จะมากกว่าท่านพ่อของเจ้าหรือ""แล้วทรัพย์สินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ล่ะ ยังไงมันต้องทำกำไรไว้ ไม่มากก็น้อยสินะ?" จ้านเป่ยว่างกล่าวฮูหยินผู้เฒ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 14

    ฮูหยินผู้เฒ่าชะงัก ยืมเหรอ?ทว่าเมื่อกี้นางเองก็บอกว่ายืม รอที่จวนมีเงินแล้วก็คืนนาง ที่ซ่งซีซีพูดแบบทำให้นางไม่สามารถโต้แย้งได้เพียงแต่ นางยังคงบ่นอยู่ในใจว่า ซ่งซีซีเป็นคนไม่รู้ความจริงๆ กลับคิดเล็กคิดน้อยกับสามีตัวเอง ครอบครัวของพ่อแม่นางก็ตายหมดแล้ว เงินไม่ใช้กับจวนแม่ทัพ แล้วจะใช้ที่ไหนได้อีก?จ้านเป่ยว่างส่ายหัว "ข้าจะคิดหาทางออกเอง ไม่จำเป็นต้องยืมของเจ้า"หลังจากพูดแล้วเขาก็หันหลังกลับและออกไปทุกคนในห้องต่างมองไปที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีคารวะทีหนึ่ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปก่อนนะ""เดี๋ยวก่อนซีซี!" ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าบึ้งตึง ตอนนี้นางโกรธขึ้นมา และไม่ไอหรืออ่อนแรงอีก เพราะเมื่อวานนางเพิ่งกินยาหมอมหัศจรรย์ดันไปหนึ่งเม็ดซ่งซีซีมองดูนาง "ท่านมีคำสั่งอะไรอีกหรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างจริงจัง "ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าวังเพื่อขอร้องฝ่าบาทมา แต่มันไม่เหมาะเลยที่เจ้าทำเช่นนั้น ยี่ฝางแต่งเข้ามา หากต่อไปได้สร้างผลงานให้บ้านเมืองอีก มันสร้างชื่อเสียงให้ลูกหลานของจวนแม่ทัพนะ เจ้าก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย หากสร้างผลงานมากมาย เจ้าก็อาจรับยศไป มันก็เป็นบุญคุณของเจ้า"ซ่งซีซีไม่ได้ปฏิเสธ "ท่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 15

    ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อว่าหมอมหัศจรรย์ดันจะไม่มา เพราะเมื่อวานเขายังมาส่งยาด้วย และให้คำกำชับเกี่ยวกับอาการของนาง จากนั้นนางรีบส่งคนไปที่ร้านขายยาของเขาทันทีเพื่อเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมา แต่หมอมหัศจรรย์ดันไม่แม้แต่ออกมาพบหน้าเลย แค่ให้หมอแระจำร้านให้คำตอบแทนคำตอบนั้นพ่อบ้านบอกฮูหยินผู้เฒ่าทุกคำ เกือบทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาสิ่งที่หมอประจำร้านพูดนั้นเป็นคำพูดของหมอมหัศจรรย์ดัน "ต่อไปม่ต้องมามาเลย สิ่งที่จวนแม่ทัพทำนั้นช่างทำให้คนเรารู้สึกเสียใจมาก หากรักษาโรคให้บุคคลไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ข้ากลัวสร้างกรรมเอาไว้ ข้ายังไม่อยากตาย"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ "ต้องเป็นนางที่ไม่ให้หมอมหัศจรรย์ดันมารักษาข้า ข้าไม่ได้คาดคิดว่านางจะใจร้ายขนาดนี้ ตอนที่รับนางเป็นลูกสะใภ้ยังคิดว่านางจะมีน้ำใจและอ่อนโยน ตั้งหนึ่งปีแล้วก็มองไม่ออกเลยนางจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ นางจงใจทำร้ายข้า หากไม่มียาของหมอมหัศจรรย์ดัน งั้นเท่ากับต้องให้ข้าตายสิ"จ้านจี้ยังคงเงียบอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สบอารมณ์อยู่ รู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่ได้เชื่อฟังเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเขาคิดว่านางแค่ขี้น้อยใจ พอโกรธไปสักหน

Latest chapter

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1498

    พอเร่งเดินทางอย่างสุดกำลัง ในที่สุดวันที่สามเดือนแปด พวกเขาก็มาถึงชายแดนเฉิงหลิงตลอดยี่สิบวันที่เดินทางมา เนื่องจากอากาศร้อนจัด ผู้คนมากมายต่างล้มป่วยลงทีละคน แต่โชคดีที่ซ่งซีซีเตรียมตัวมาดี นางนำยามามากมาย และยังมีหมอหลวงจินติดตามมาด้วย จึงไม่เกิดปัญหาใหญ่อันใดฉินอ๋องนั้นถึงกับหมดเรี่ยวแรงโดยแท้เขาเคยลำบากเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน ตั้งแต่วันที่สิบของการเดินทาง เขาก็แทบเอ่ยปากพูดไม่ได้ สีหน้าและริมฝีปากซีดขาวตลอดเวลา ความอิดโรยฉายชัดบนใบหน้า ไม่อาจปกปิดได้ครั้นเดินทางมาถึงเขตแดนเฉิงหลิง มองเห็นทหารสกุลเซียวที่นำทัพมาต้อนรับ เขาก็ถึงกับทรุดฮวบลงหมดสติไป ทำให้ทุกคนแตกตื่น รีบหามเขากลับไปทันทีซ่งซีซีเมื่อได้พบกับท่านตาและบรรดาท่านลุง นางจะไปสนใจฉินอ๋องได้อย่างไร นางพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของท่านตา น้ำตาไหลพรากมิอาจหยุดยั้งแม่ทัพใหญ่เซียวมองหลานสาวด้วยสายตาเอ็นดู ลูบศีรษะนาง น้ำเสียงสั่นเครือ เขาเคยคิดว่าเมื่อแยกจากกันที่เมืองหลวง บางทีคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ที่ไหนได้กลับได้พบหน้านางอีกครั้งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวเสียงอ่อนโยน “พอแล้ว อย่าให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ไปพบลุงของเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1497

    วันที่สิบสองเดือนเจ็ด คณะทูตแคว้นซางออกเดินทางจากเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ มุ่งหน้าไปยังซีจิงเซี่ยหลูโม่ควบม้าส่งขบวนไปถึงยี่สิบลี้ จนกระทั่งจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูกล่าวว่าเพียงพอแล้ว เขาจึงจำใจรั้งบังเหียนม้าเอาไว้ซ่งซีซีหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา ใบหน้างามราวกับบุปผา ไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อยเซี่ยหลูโม่จ้องมองนาง สายตาอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับบ่นพึมพำเสียงต่ำว่า “ช่างเป็นสตรีไร้หัวใจเสียจริง”ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว ถนนหลวงไร้ลมพัด อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก เขายืนรออยู่จนขบวนท้ายสุดลับสายตาไป จึงยอมหมุนม้ากลับอย่างเสียดายครั้งนี้ที่เดินทางไปซีจิง ซ่งซีซีนำกองทัพซวนเจียจำนวนสามร้อยนาย พร้อมทั้งกุ้นเอ๋อร์ เสิ่นว่านจือ และผู้ติดตามอื่นๆ ไปด้วยแม้สองแคว้นจะอยู่ในช่วงสงบชั่วคราวหลังสงคราม แต่เรื่องราวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทซีจิงถูกซูลันซือเปิดเผยออกมา เวลานี้ชาวเมืองซีจิงมากมายยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อแคว้นซาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำทหารติดตามไปมากขึ้น เพื่อรับรองความปลอดภัยของฉินอ๋องและเหล่าทูตสำหรับฉินอ๋องนี้ ซ่งซีซีมีปฏิสัมพันธ์กับเขาน้อยมาก ที่ถูกต้องกว่านั้นคือ นางแทบไม่ติดต่อกับฉินอ๋

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1496

    ในค่ำคืนก่อนออกเดินทาง ซ่งซีซีพาเซี่ยหลูโม่ไปถวายบังคมลาฮุ่ยไทเฟย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ หากมาลาในตอนนั้นเกรงว่าฮุ่ยไทเฟยจะยังไม่ตื่น จึงเลือกมาขอลาในค่ำคืนนี้แทน ฮุ่ยไทเฟยทรงทราบมาก่อนแล้วว่าซ่งซีซีจะเดินทางไปซีจิง ตอนแรกยังไม่ทรงเข้าใจนัก มองว่าราชโองการของฮ่องเต้นั้นเกินไปหรือไม่ การเดินทางที่ยาวไกลเช่นนี้ จำเป็นต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวจริงหรือ? แต่เมื่อเสิ่นว่านจืออธิบายว่านี่เป็นโอกาสให้นางได้กลับไปพบญาติฝ่ายมารดา พระนางก็ได้แต่ทอดถอนพระทัย แย้มสรวลบางเบาแล้วตรัสว่า "ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต คือการต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่ความสุขที่สุด ก็คือการได้พบกันอีกครั้งหลังจากจากกันไปเนิ่นนาน" พระนางตรัสกับเสิ่นว่านจือเช่นนี้ มิได้กล่าวต่อหน้าซ่งซีซี เพราะหากกล่าวกับผู้อื่นก็เป็นเพียงการรำพึงถึงชีวิต แต่หากกล่าวกับซ่งซีซี ก็คงไม่ต่างจากการราดเกลือลงบนบาดแผล บัดนี้ พระนางก็รักและเอ็นดูลูกสะใภ้ผู้นี้แล้ว ย่อมไม่อยากให้ต้องเจ็บปวดแม้แต่น้อย เมื่อมองดูซ่งซีซีที่มาขอลา พระนางก็อดคิดไม่ได้ เมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนแรกพระนางคัดค้านการแต่งงานนี้อย่างถึงที

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1495

    เดือนเจ็ดอันร้อนระอุ ราชสาส์นจากซีจิงก็มาถึง จักรพรรดิ์ซีจิงทรงสละราชบัลลังก์ องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เหลิ่งอวี้ขึ้นครองราชย์ ทรงใช้อำนาจบริหารแผ่นดินและเปลี่ยนชื่อแคว้นเป็นหยวนซิน พระนางมีพระราชโองการเชิญแคว้นซางส่งทูตเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเจรจาเรื่องเขตแดนร่วมกัน แท้จริงแล้ว หยวนซินฮ่องเต้ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พิธีราชาภิเษกเป็นเพียงข้ออ้าง สิ่งที่ต้องเจรจากันจริงๆ ก็คือปัญหาเขตแดน เมื่อครั้งที่คณะทูตซีจิงมาเยือนแคว้นซาง จุดประสงค์หลักก็คือปัญหาเขตแดน แต่เนื่องจากเกิดความวุ่นวายภายในแคว้น ทำให้เรื่องนี้ต้องถูกระงับไว้ชั่วคราว และนี่คงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในพระทัยของหยวนซินฮ่องเต้มากที่สุด ดังนั้น ทันทีที่พระนางขึ้นครองราชย์ ก็ทรงรีบเร่งดำเนินการเปิดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง ในที่ประชุมราชสำนัก ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า บัดนี้ความบาดหมางระหว่างสองแคว้นได้คลี่คลายลงแล้ว การเจรจาในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น สิ่งใดที่ต้องรักษาไว้ ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษามันไว้ ปัญหาเขตแดนอาจไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ตราบใดที่สามารถรักษ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1494

    ที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีและเฉินเฉินก็กำลังสอนเสี่ยวหมิงซีและหวังจืออวี่ฝึกวรยุทธ์ โดยส่วนใหญ่เป็นเฉินเฉินที่สอนเสี่ยวหมิงซี ส่วนซ่งซีซีกับหวังจืออวี่ก็เพียงอยู่ร่วมฝึกด้วย จวนกองกำลังเมืองหลวงแม้จะยุ่งวุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าวันเวลาจะค่อยๆ ช้าลง ทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงตามไปด้วย ไม่ว่าเวลาที่ปราศจากความระแวงเช่นนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน ตราบใดที่ยังมี ก็จงใช้มันให้คุ้มค่าทุกวัน สิ่งเดียวที่นางกังวลคือสุขภาพของศิษย์น้อง แม้ว่าร่างกายของเขาจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็เคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน การทำงานหนักเช่นนี้ทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งกินอาหารไม่เป็นเวลา กินยาก็ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งที่ทำให้นางอดเป็นห่วงไม่ได้ หมั่นโถวเดินมาตามระเบียง มาหยุดข้างซ่งซีซีแล้วกล่าวว่า "จือจือบอกว่า คืนนี้ไม่กลับมา" "อืม" ซ่งซีซีพยักหน้า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรโดยตรง แต่ซ่งซีซีรู้ว่า นางกลับไปทำสิ่งที่เคยทำอีกครั้ง เรื่องนี้ พวกนางจะไม่พูดคุยกันโดยตรง มีเพียงประโยคเดียวที่เคยกล่าวกันไว้ ในเมื่อมือเคยเปื้อนเลือดแล้ว ก็ควรปล่อยให้เลือดของคนชั่วหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้แดงฉานยิ่งขึ้น

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1493

    บัดนี้ เรื่องขององค์ชายทั้งหลาย จักรพรรดิ์ซูชิงมักปรึกษากับเซี่ยหลูโม่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยหลูโม่มักจะมาสอนหนังสือในช่วงค่ำ หลังจากสอนเสร็จก็จะอยู่เป็นเพื่อนระหว่างที่พระองค์ฝังเข็ม เมื่อสนทนากันมากขึ้น ความเป็นพี่น้องก็แน่นแฟ้นขึ้น ความหวาดระแวงลดลง และความเข้าใจก็มีมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เซี่ยหลูโม่เป็นคนเปิดเผย ซื่อสัตย์ในถ้อยคำ ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับซ่งซีซี เขาก็มักจะพูดตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอะไร เมื่อได้อยู่ใกล้กัน จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น หากมีปัญหาใดก็สามารถพูดคุยกันได้โดยตรง มิใช่ต่างฝ่ายต่างคาดเดาไปเองเช่นแต่ก่อน แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงตระหนักว่า สิ่งที่ทำให้พระองค์สามารถเปลี่ยนแนวคิดเช่นนี้ได้ เป็นเพราะซ่งซีซีดุด่าให้พระองค์ตื่นจากความคิดของตัวเอง พระองค์จึงเรียนรู้ที่จะใช้สายตาของพี่ชายมองเซี่ยหลูโม่ มิใช่เพียงแค่จักรพรรดิ์มองขุนนาง เมื่อหมอมหัศจรรย์ทำการฝังเข็มเสร็จแล้วก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน เซี่ยหลูโม่จึงพยุงจักรพรรดิ์ซูชิงให้ลุกขึ้นเดินช้าๆ โดยมีอู๋ต้าปั้นติดตามอยู่ห่างๆ ยามค่ำคืนในอุท

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1492

    ฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักฉางชุน แต่ยังมิทันได้กระวนกระวายนาน จักรพรรดิ์ซูชิงก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงนำเหล่าองครักษ์เหล็กดำมาด้วย และตรัสสั่งให้ปิดล้อมตำหนักฉางชุนโดยสิ้นเชิง มีเพียงหลานเจี่ยนกูกูที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตำหนัก อู๋ต้าปั้นถือของสองอย่างเข้ามา หนึ่งในนั้นคือผงพิษขับแมลงที่ฮองเฮาให้แก่องค์ชายใหญ่ในวันนั้น เมื่อวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าฮองเฮาแล้วเชิญให้ทอดพระเนตร นางพลันชะงักค้างอยู่กับที่ ทั้งพระทัยเย็นเยียบจนหนาวสะท้านทั่วร่าง ริมพระโอษฐ์สั่นระริกมิอาจเอื้อนเอ่ย หลานเจี่ยนกูกูเห็นเช่นนั้นก็ทรุดกายลงคุกเข่า เสียงร้องไห้สั่นเครือ "ฝ่าบาท โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเพคะ ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของบ่าวแต่เพียงผู้เดียว พระนางหาได้ล่วงรู้ไม่" จักรพรรดิ์ซูชิงมิได้เหลือบแลหลานเจี่ยนกูกูแม้แต่น้อย พระองค์เพียงประทับบนพระเก้าอี้แล้วตรัสกับอู๋ต้าปั้นว่า "ให้ฮองเฮาทอดพระเนตรราชโองการ ไม่ต้องประกาศ" อู๋ต้าปั้นรับคำ จากนั้นจึงคลี่ราชโองการออกเป็นสิ่งที่สอง เมื่อโองการถูกนำไปเบื้องหน้าฮองเฮา พระเนตรของพระนางจับจ้องเพียงสองบรรทัดก็ราวกับได้เห็นปีศาจร้าย นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง "ไม่!" ร่า

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1491

    ฮองเฮาทรงรอด้วยความกระวนกระวายถึงสองวัน แต่ก็ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น หลานเจี่ยนกูกูแอบไปที่โรงหมอหลวงเพื่อตามหาหมอหลวงจิน แต่เขากลับลาหยุดหลายวันเพราะมีธุระที่บ้าน จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาได้กล่าวสิ่งใดต่อฮ่องเต้หรือไม่ เพียงแต่เมื่อไม่มีรับสั่งลงโทษใดๆ ออกมา ความกังวลของฉีฮองเฮาก็บรรเทาลงไปมาก ผ่านไปอีกหลายวัน ทุกอย่างยังคงสงบ นางจึงวางใจลงได้โดยสิ้นเชิง คิดว่าหมอหลวงจินมิได้ทูลสิ่งใดต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงเรียกเขาไปสอบถามเพียงครั้งเดียว หากเขาไม่กล่าวสิ่งใดในตอนนั้น หลังจากนี้ก็คงไม่ปริปากอีก เพราะสุดท้ายเขาก็ได้รับทองไปแล้ว แต่ไม่นานนางก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ทุกวันที่นางให้หลานเจี่ยนกูกูส่งอาหารไปถวายองค์ชายใหญ่ พระองค์กลับไม่แตะต้องเลยแม้แต่น้อย แรกเริ่มองค์ชายใหญ่กล่าวว่าพระนาภียังไม่ปกติ ไทเฮาทรงรับสั่งให้เสวยแต่อาหารอ่อน นางจึงคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ผ่านมาหลายวันแล้ว พระองค์ทรงหายดีแล้ว ไยจึงยังไม่เสวยอีก? ความรู้สึกไม่สบายพระทัยพลันก่อตัวขึ้น นางตัดสินพระทัยว่าคืนนี้จะไปถวายพระพรไทเฮา และถือโอกาสนำของเสวยไปให้องค์ชายใหญ่ พร้อมสนทนากับพระองค์เสียหน่อย

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1490

    ฮองเฮาทรงเสด็จออกมา ครั้นทอดพระเนตรเห็นฉากเบื้องหน้า พระเนตรพลันหม่นหมอง พระทัยเองก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกออกมาได้พระนางเสด็จเข้าไปท่ามกลางหมู่ขุนนาง แล้วตรัสว่า “องค์ชายใหญ่พ่ายแพ้ในวันนี้ นับเป็นเรื่องน่าอับอายอยู่บ้าง เพียงแต่เช้านี้เขารู้สึกปวดพระนาภี อ่อนแรงไปทั่วร่าง จึงได้เรียกหมอหลวงมาตรวจรักษา และจ่ายยาให้แล้ว”จักรพรรดิ์ซูชิงทรงขมวดพระขนง “หมอหลวงว่าอย่างไร?”ฮองเฮา รีบกราบทูล “หมอหลวงกราบทูลว่าทรงเสวยของที่ไม่ดีเข้าไปเพคะ ตอนนี้เสวยยาแล้ว อาการก็ดีขึ้นมากแล้ว”จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบเย็น “เช่นนั้น ฮองเฮาก็ดูแลเขาให้ดีเถิด”“เพคะ!” ฮองเฮาลอบมองปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้าง แม้ไม่อาจอ่านความคิดพวกเขาได้ชัดเจน แต่เมื่อทอดพระเนตรสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ ก็ดูเหมือนไม่ได้กริ้วมากนัก เช่นนั้น เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปได้แล้วกระมัง?พระนางแย้มพระโอษฐ์ขึ้นมาเล็กน้อย กำลังจะกล่าวถวายพระพรแสดงความยินดีที่ ฮ่องเต้ทรงล่าได้หมูป่า ทว่าทันใดนั้นก็ได้ยินพระองค์ตรัสขึ้นว่า “เรื่องที่แพ้ในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับอาการประชวร หากล่าไม่ได้ ก็คือล่าไม่ได้ วันหน้าก็ฝึกฝนให้มากข

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status