เป่าจู้รู้สึกปวดใจที่คุณหนูของตัวเองถูกรังแกเช่นนี้ คำบางคำที่คุณหนูต้องเห็นถึงกาลเทศะเลยไม่สามรถพูดได้ แต่นางเป็นสาวรับใช้ที่หยาบคาย นางไม่กลัว ดวงตาของนางแดงก่ำ "ข้อน้อยเป็นแค่สาวใช้ผู้ต่ำต้อย ยังรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ท่านเป็นถึงแม่ทัพหญิงในราชสำนัก แต่กลับไปคบชู้กับสามีคนอื่นในสนามรบ และตอนนี้กลับอาศัยความสำเร็จมารังแกคุณหนูของข้าโ... ""เพี๊ยะ!"การตบอย่างเสียงดังลงบนใบหน้าของเป่าจูจ้านเป่ยว่างตบเป่าจูอย่างแรงด้วยความโกรธ จากนั้นจ้องมองไปที่ซ่งซีซีด้วยความเย็นชา "นี่ก็คือสาวใช้ที่เจ้าสอนมาหรือ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลย"ซ่งซีซีรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปพยุงเป่าจูก่อน เมื่อเห็นแก้มของนางบวมทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจ้านเป่ยว่างออกแรงไปมากแค่ไหนนางหันกลับมาและดวงตาของนางก็เย็นชา จากนั้นนางก็ตบหน้าจ้านเป่ยว่างฉาดหนึ่ง "คนของข้า จะยอมให้เจ้าทุบตีอย่างตามใจเลยเหรอ"จ้านเป่ยว่างไม่คาดคิดว่านางจะตบเขาเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง หน้าของผู้ชายจะโดนผู้หญิงตบแบบง่ายๆ ได้ยังไงกัน โดยเฉพาะต่อหน้ายี่ฝางแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้กลับ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างเย็นชา และจากไปพร
เมื่อจ้านเป่ยว่างเห็นว่าทุกคนลำบากใจเช่นนี้ เลยหยิบรายการสินสอดขึ้นมาดู หลังจากอ่านแล้ว เขาจึงถามป้ารองว่า "แค่นี้มีปัญหาอะไรหรือ เงินสดหนึ่งหมื่นตำลึง กำไลทองสองคู่ กำไลหยกสองคู่ เครื่องประดับบนหัวสองอัน ผ้าทอชั้นดีห้าสิบชิ้น แค่นี้นี่เอง ส่วนอื่นๆ เป็นของเล็กน้อย ไม่ได้เยอะนี่""ไม่ได้เยอะเหรอ?" ฮูหยินผู้เฒ่ารองหัวเราะเยาะ "น่าเสียดายบัดนี้บัญชีของจวนแม้แต่เงินหนึ่งพันตำลึงก็ให้ไม่ได้เลย"จ้านเป่ยว่างประหลาดใจ "เป็นไปได้ยังไง? ใครเป็นผู้รับผิดชอบบัญชี? มันขาดทุนหรือเปล่า?""ข้ารับผิดชอบบัญชี!" ซ่งซีซีพูดเรียบๆ"เจ้าเป็นคนดูแลบัญชี แล้วเงินล่ะ?" จ้านเป่ยว่างถาม"ใช่สิ แล้วเงินล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่ารองยิ้มเยาะ "เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพของเราเป็นตระกูลใหญ่โตหรือไง จวนแม่ทัพหลังนี้ เป็นท่านย่าของเจ้าที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จักรพรรดิองค์ก่อนทรงมอบให้ เงินเดือนประจำปีของท่านพ่อเจ้ารวมกับท่านอาเจ้า ไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ส่วนเจ้า เป็นแม่ทัพแค่ขั้นสี่ จะมากกว่าท่านพ่อของเจ้าหรือ""แล้วทรัพย์สินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ล่ะ ยังไงมันต้องทำกำไรไว้ ไม่มากก็น้อยสินะ?" จ้านเป่ยว่างกล่าวฮูหยินผู้เฒ
ฮูหยินผู้เฒ่าชะงัก ยืมเหรอ?ทว่าเมื่อกี้นางเองก็บอกว่ายืม รอที่จวนมีเงินแล้วก็คืนนาง ที่ซ่งซีซีพูดแบบทำให้นางไม่สามารถโต้แย้งได้เพียงแต่ นางยังคงบ่นอยู่ในใจว่า ซ่งซีซีเป็นคนไม่รู้ความจริงๆ กลับคิดเล็กคิดน้อยกับสามีตัวเอง ครอบครัวของพ่อแม่นางก็ตายหมดแล้ว เงินไม่ใช้กับจวนแม่ทัพ แล้วจะใช้ที่ไหนได้อีก?จ้านเป่ยว่างส่ายหัว "ข้าจะคิดหาทางออกเอง ไม่จำเป็นต้องยืมของเจ้า"หลังจากพูดแล้วเขาก็หันหลังกลับและออกไปทุกคนในห้องต่างมองไปที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีคารวะทีหนึ่ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปก่อนนะ""เดี๋ยวก่อนซีซี!" ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าบึ้งตึง ตอนนี้นางโกรธขึ้นมา และไม่ไอหรืออ่อนแรงอีก เพราะเมื่อวานนางเพิ่งกินยาหมอมหัศจรรย์ดันไปหนึ่งเม็ดซ่งซีซีมองดูนาง "ท่านมีคำสั่งอะไรอีกหรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างจริงจัง "ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าวังเพื่อขอร้องฝ่าบาทมา แต่มันไม่เหมาะเลยที่เจ้าทำเช่นนั้น ยี่ฝางแต่งเข้ามา หากต่อไปได้สร้างผลงานให้บ้านเมืองอีก มันสร้างชื่อเสียงให้ลูกหลานของจวนแม่ทัพนะ เจ้าก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย หากสร้างผลงานมากมาย เจ้าก็อาจรับยศไป มันก็เป็นบุญคุณของเจ้า"ซ่งซีซีไม่ได้ปฏิเสธ "ท่
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อว่าหมอมหัศจรรย์ดันจะไม่มา เพราะเมื่อวานเขายังมาส่งยาด้วย และให้คำกำชับเกี่ยวกับอาการของนาง จากนั้นนางรีบส่งคนไปที่ร้านขายยาของเขาทันทีเพื่อเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมา แต่หมอมหัศจรรย์ดันไม่แม้แต่ออกมาพบหน้าเลย แค่ให้หมอแระจำร้านให้คำตอบแทนคำตอบนั้นพ่อบ้านบอกฮูหยินผู้เฒ่าทุกคำ เกือบทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาสิ่งที่หมอประจำร้านพูดนั้นเป็นคำพูดของหมอมหัศจรรย์ดัน "ต่อไปม่ต้องมามาเลย สิ่งที่จวนแม่ทัพทำนั้นช่างทำให้คนเรารู้สึกเสียใจมาก หากรักษาโรคให้บุคคลไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ข้ากลัวสร้างกรรมเอาไว้ ข้ายังไม่อยากตาย"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ "ต้องเป็นนางที่ไม่ให้หมอมหัศจรรย์ดันมารักษาข้า ข้าไม่ได้คาดคิดว่านางจะใจร้ายขนาดนี้ ตอนที่รับนางเป็นลูกสะใภ้ยังคิดว่านางจะมีน้ำใจและอ่อนโยน ตั้งหนึ่งปีแล้วก็มองไม่ออกเลยนางจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ นางจงใจทำร้ายข้า หากไม่มียาของหมอมหัศจรรย์ดัน งั้นเท่ากับต้องให้ข้าตายสิ"จ้านจี้ยังคงเงียบอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สบอารมณ์อยู่ รู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่ได้เชื่อฟังเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเขาคิดว่านางแค่ขี้น้อยใจ พอโกรธไปสักหน
จ้านเป่ยว่างไปหาเพื่อนข้างนอกมารอบหนึ่ง เพื่อขอยืมเงินกับคนรู้จักกันแต่จำนวนเงินที่ยืมไปมีเพียงหนึ่งพันตำลึง ซึ่งต่างจากหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงที่ต้องใช้กับเงินหมั้นสินสอดและงานเลี้ยงมากมายแน่นอนว่าหากเขายอมแบกหน้าไปขอยืมเงินจากตระกูลขุนนาง ยืมสักสองสามหมื่นย่อมไม่มีปัญหา เพราะถึงยังไงเขาเพิ่งเอาชนะศึก เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ทุกคนต่างอยากจะไปประจบประแจงเขาแต่เขาไม่สามารถแบกหน้าไปหาได้การยืมเงินเป็นเรื่องน่าอายและอ่อนไหวอยู่แล้ว แล้วเขาจะหน้าได้ยังไงล่ะ?หลังจากคิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะยืมเงินจากซ่งซีซี อับอายต่อหน้านางยังดีกว่าต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นระหว่างทางกลับบ้าน เขาเห็นน้องชายสามขี่ม้ามาหาเขา ก่อนที่เขาจะถาม จ้านเป่ยเซินก็พูดว่า "พี่รอง ท่านรีบกลับบ้านเร็วเข้า ท่านแม่ถูกพี่สะใภ้รองยั่วโมโหแทบไม่ไหวแล้ว"เมื่อได้ยินว่าเป็นซ่งซีซีอีกแล้ว เขาก็พูดอย่างน่ารำคาญว่า "นางเป็นอะไรอีก"จ้านเป่ยเซินกล่าวว่า "นางให้หมอมหัศจรรย์ดันหย่ามารักษาให้ท่านแม่อีก"จ้านเป่ยว่างยังคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนเชียว ที่แท้เป็นแค่เรื่องรักษาโรคของท่านแม่เอง "มีหมอมากมายในเมืองห
จ้านเป่ยว่างหายใจเข้าลึกๆ และมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อนางอยากไปจริงๆ หรือนางใช้สิ่งนี้เพื่อบังคับเขา? แต่เขาจะไม่หย่าเด็ดขาด เมื่อเขาหย่ากับนาง คำด่าทอของคนภายนอกจะด่าเขากับยี่ฝางจมไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้อีกเลยนอกจากนี้ ผู้คนในกองทัพจะเห็นว่าพวกเขาเป็นคนไม่มีความ ละอายใจ ทุกคนต่างยกย่องท่านโหวเป็นวีรบุรุษ เขาไม่สามารถสูญเสียขวัญกำลังใจทางทหารของเขาได้"ซ่งซีซี ข้าจะไม่หย่ากับเจ้า" เขารู้สึกรำคาญและเป็นทุกข์ด้วย "ข้าจะไม่หย่ากับเจ้า และไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ดีเช่นกัน ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่สร้างปัญหามากมายอะไรอีก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เจ้าขู่ข้าด้วยอาการป่วยของท่านแม่เจ้าไม่คิดว่าตัวเองเลวทรามเกินไปหรือ เจ้ามีคำขออะไร มีความไม่พอใจอะไร ระบายความโกรธกับข้าได้ อย่าทรมานท่านแม่ เจ้าทำแบบนี้คืออกตัญญู ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป มันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเจ้า"ใบหน้าของซ่งซีซีเย็นชามาก "คือเจ้าจะไม่หย่ากับข้า หรือเจ้าไม่กล้าที่จะหย่ากับข้า? การหย่ากับข้า สำหรับเจ้าแล้วมีแต่เสียกับเสีย ไม่เพียงแต่โดนคนอื่นด่าทอว่าเจ้าเป็นคนใจร้ายและโหดเหี้ยม กลัวที่จะสูญเสียการสนับสนุนจากลูกน้องเก่าของท่านพ่อข
"ถุ้ย!" เป่าจูแสดงท่าทีรังเกียจ "เงินหมั้นหนึ่งหมื่นตำลึง คิดซะว่าจวนแม่ทัพเป็นตระกูลที่ร่ำรวยจริงๆ เหรอ เมื่อคุณหนูแต่งเข้ามา ฮูหยิงก็แค่รับเงินไปไม่กี่พันตำลึงเอง เราเสียเปรียบเลย"ซ่งซีซีพูดอย่างน่าสงสาร "ใช่สิ ข้าขายถูกมา"เป่าจูก็เริ่มหัวเราะด้วย แต่ไม่นานนนักนางก็น้ำตาไหล ตอนที่คุณหนูของนางแต่งเข้ามาต้องทนทุกข์มากแค่ไหน ฮูหยิงก็เห็นความสำคัญกับคำสัญญากับจ้านเป่ยว่างจริงๆ โดยบอกว่าจะไม่รับอนุภรรยาเด็ดขาด กลับเป็นคำโกหกล้วนๆ ทำร้ายคุณหนูของนางไปตลอดชีวิตเลยนางปาดน้ำตาแล้วออกไปหยิบแกงเม็ดบัวและรังนกมาให้ และตามหาแม่นมคนอื่นๆ เข้ามากินด้วยเรื่องการพระราชทานหย่าโดยสันติภาพที่สั่งจากฮ่องเต้นั้นยังเป็นความลับอยู่ แน่นอนว่า ผู้คนที่มาจากครอบครัวพ่อแม่ของนางเองล้วนเชื่อถือได้และภักดี พวกเขารู้เรื่องมันไม่เป็นไร เพราะพวกเขาต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสิ่งเดียวที่นางกังวลตอนนี้คือฮ่องเต้ไม่อนุญาติได้ให้ทั้งสองหย่าโดยสันติภาพ การถูกฝ่ายชายขอหย่าถือว่าถูกทอดทิ้งกับหย่าโดยสันติภาพมันมีความแตกต่างมากผู้หญิงที่ฝ่ายชายทอดทิ้งนั้นจะเอาสินเดิมกลับคืนไม่ได้ตามหลักแล้ว แค่ออกพระราชโองการเท่านั้น
หลังจากมอบอำนาจในการบริหารครอบครัวแล้ว ซ่งซีซีก็ปิดประตูเรือนไม่ออกไปไหนอีกเลยนางไม่พบใครนอกจากคนติดตามที่มาจากครอบครัวพ่อแม่ของนาง แม้แต่ข้าวที่กินก็ทำจากห้องครัวเรือนเหวินซีอีกด้วย แม่นมเหลียงและแม่นมฮวงไปซื้อผักเองและปรุงเองหลังจากที่ซ่งซีซีเรียกทุกคนกลับมาแล้ว ทั้งจวนแม่ทัพก็ยุ่งวุ่นวายไปหมดนางหมินทำได้เพียงให้พ่อบ้านจัดคนที่มีความสามารถให้มาทำหน้าที่ตำแหน่งของแม่นมฮวงแทน แล้วทำงานตามที่พวกนางเคยทำก่อนหน้านี้อย่างไรก็ตาม ใกล้จะจัดงานแต่ง กำลังคนย่อมไม่เพียงพอในตอนนี้ และคนที่ซ่งซีซีซื้อหลังจากที่นางแต่งเข้ามาก็ถูกส่งตัวกลับโดยพวกแม่นมฮวง ดังนั้นตอนนี้แม้แต่คนรับใช้ในแต่ละเรือนก็ไม่เพียงพอนางหมินรายงานเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนจับหน้าผาก "ข้าไม่คิดว่านางจะใจแข็งขนาดนี้ ข้ามีตาไร้แววจริงๆ อุตส่าห์ที่ข้าปฏิบัติต่อนางอย่างดีในอดีต และไม่เคยสั่งสอนนางแม้แต่ครั้งเดียว"เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางหมินก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมอะไรนางเคยโดนสั่งสอนให้ปฏิบัติตามกฎเมื่อนางเพิ่งเข้ามาใหม่ แต่นางก็แตกต่างจากซ่งซีซี ซ่งซีซีแต่งงานด้วยความทรัพย์สินสมบัติมากมาย และ
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป
แววตาของชิวเหมิงเป็นประกาย "ดี งั้นข้าจะลองฟังคำพูดที่ดูดีแต่ไร้ความจริงใจดูบ้าง" จักรพรรดิ์ซูชิงมีนิสัยหวาดระแวงเป็นทุนเดิม และหวั่นเกรงต่อสำนักเป่ยหมิงอ๋องมาโดยตลอด วันนี้เมื่อถามนางว่าจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสตรีหรือไม่ แม้ว่านางจะตอบว่าไม่ จักรพรรดิ์ซูชิงก็ยังต้องเก็บคำถามนี้ไว้ในใจ ซ่งซีซีจะไม่รู้หรือว่าเขามีเจตนาอะไร? ตั้งแต่เขาถามคำถามนั้นออกมา นางก็รู้แล้วว่ามันคือกับดัก เพียงแต่ซ่งซีซียังไม่ทันได้พูดอะไร ชิวเหมิงก็หัวเราะเยาะพลางเสริมว่า "เจ้าก็ลองยกยอจักรพรรดิ์ซูชิงสักหน่อยสิ ว่าภายใต้นโยบายของพระองค์นั้น สตรีได้รับความโปรดปรานเพียงใด หากจิตสำนึกของเจ้ายอมรับได้ ก็เชิญยกยอไปเถอะ" ซ่งซีซีถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ นางจ้องมองดวงตาเสียดสีและท้าทายของเขา "เจ้าอย่าตั้งสมมติฐานเลย มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เจ้ามองว่าผู้คนโง่เขลาและปิดกั้นความคิด จนไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าชอบ จึงใช้วิธีการสุดโต่งนี้เพื่อให้พวกเขายอมรับเจ้า แต่นั่นคือปัญหาส่วนตัวของเจ้า เจ้าถึงขั้นไม่อาจเป็นตัวแทนของคนที่เหมือนเจ้าได้ เจ้าไม่ได้ทำเพื่อพวกเขาเลย เจ้ากลับดึงความเกลียดชังและความรังเกียจมาให้พวกเขา
อาจารย์ฉีและชิวเหมิงพบกันที่ห้องสอบสวนในหอต้าหลี่ ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่งคั่นกลางระหว่างพวกเขา ซ่งซีซีเองนั่งอยู่หลังโต๊ะของเจ้าหน้าที่บันทึก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก แม้ทั้งสองจะพูดคุยกันเสียงเบาเพียงใด นางก็ยังสามารถได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน เสียงลมหายใจ เสียงหัวใจเต้น และบางครั้งก็มีเสียงถอนหายใจแผ่วเบา แต่ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น แม้แต่การสบตากันของทั้งสองก็มีเพียงไม่กี่ครั้ง ราวกับคนแปลกหน้าที่ถูกบังคับให้นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งห่างเหินและเย็นชา ซ่งซีซีคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่ แต่เพราะนางออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงอยู่ร่วมกับบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ผ่านไปนาน อาจารย์ฉีจึงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า "ทำไม?" เขารู้สึกสงสัยอย่างแท้จริง ราวกับว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนในความทรงจำของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันได้ ชิวเหมิงประสานมือทั้งสองแล้วส่ายหน้า "จะค้นหาทำไม? ผู้ชนะคือผู้เป็นใหญ่ ผู้แพ้คือผู้ต่ำต้อย" "ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีที่มาใช่หรือไม่?" อาจารย์ฉีถามด้วยเสียงแหบพร่า ชิวเหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "อย่างไรเสีย
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ซ่งซีซีกลับมาถึงกองกำลังเมืองหลวง นางก็ถูกพระชายาอ๋องฮวยขวางไว้ที่ประตู ซ่งซีซีไม่ได้พบพระชายาอ๋องฮวยมานานแล้ว หรือจะพูดให้ถูกคือ นางเองก็ไม่ออกจากบ้านมานาน ครั้งนี้แม้อ๋องฮวยจะถูกจับกลับมายังเมืองหลวง แต่บุตรชายของเขายังไม่ถูกจับ มู่ฉงกุยยังคงนำกองทัพค้นหาอยู่ และคาดว่าจะจับตัวกลับมาได้ในไม่ช้า พระชายาอ๋องฮวยกลัวว่าบุตรชายของตนจะต้องรับโทษไปด้วย และอาจถูกตัดสินโทษประหารด้วยตัดเอว จึงรีบมาขอความช่วยเหลือจากซ่งซีซี จริงๆ แล้ว ตั้งแต่อ๋องฮวยถูกส่งตัวกลับมายังเมืองหลวง พระชายาอ๋องฮวยก็ได้ไปหาหลานเอ่อร์เพื่อให้ช่วยขอร้องซ่งซีซีแล้ว แต่หลานเอ่อร์ปฏิเสธ และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับซ่งซีซีเลย ซ่งซีซีเพิ่งรู้จากศิษย์พี่ซือโซ “ซีซี!” พระชายาอ๋องฮวยรีบเดินเข้ามาหา ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตก “ป้าต้องการพูดกับเจ้าสักหน่อย เราหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหม?” ซ่งซีซีตอบว่า “ข้ามีงานต้องทำ ไม่มีเวลา” พระชายาอ๋องฮวยรีบกางมือขวางไว้ มองนางด้วยสายตาเว้าวอน “แค่พูดกันไม่กี่คำ ช่วยลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเถอะ เขาบริสุทธิ์ เขาไม่รู้อะไรเลย ทุกอย่างเป็นเพราะถูกพ่อของเขาลากไป